xs
xsm
sm
md
lg

3 กลุ่มพลังมวลชน ต้าน "ปรองดอง-แก้รธน." หวั่น "ทักษิณ-พวก" ยึดประเทศ-ตรวจสอบยาก!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
เหตุผลหลักที่คนไทยต้องรู้ ทำไม? "3 กลุ่มพลังมวลชน" ประกอบด้วย กลุ่มพันธมิตร-กลุ่มเสื้อหลากสี-กลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน จึงต้องประกาศเคลื่อนไหวต่อต้านและชุมนุมทันที หากรัฐบาลยุคยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย เดินหน้าผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่ออุ้ม "ทักษิณ-พลพรรค" มั่นใจการเคลื่อนพลของทั้ง 3 กลุ่ม มีเป้าหมายเพื่อปกป้องประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก พร้อมเดินหน้าให้ข้อมูลประชาชนหวังปลุกภาคประชาชนเข้มแข็ง ก่อนที่ประเทศไทยจะเสียแผ่นดิน!

กระแสต่อต้านประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติยิ่งทวีรุนแรง หลังจากพรรคเพื่อไทยเดินหน้าไม่ถอนร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ออกจากการพิจารณาของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวาระที่ 3 และไม่ถอนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. .... ออกจากวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่อยู่ระหว่างรอพิจารณาขั้นรับหลักการในวาระแรก

มีรายงานว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งที่ สผ 0014/ผ 66 นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 8 ส.ค.นี้ โดยมีการบรรจุระเบียบวาระ ซึ่งเป็นเรื่องที่ที่ประชุมเห็นชอบให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อน โดยเป็นเรื่องที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว จำนวน 10 เรื่อง หลังพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 10 ฉบับเสร็จแล้ว ในวาระที่ 11-14 ก็จะเป็นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ

กลุ่มพันธมิตรฯ มองว่าเป็นเพียงการยืดเวลาเท่านั้น และยังคงย้ำจุดยืนเดิมตามที่ได้ยื่นหนังสือถึงนายกฯและประธานรัฐสภา ที่ขอให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองออกจากวาระการประชุมสภา เพราะเห็นว่าเป็นการสร้างความแตกแยก และหากนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณา กลุ่มพันธมิตรฯจะออกมาชุมนุมทันที

ขณะที่ฝ่ายอื่นๆ เตรียมเดินหน้าคัดค้านอย่างเต็มรูปแบบ เพราะเห็นว่าทั้ง 2 เรื่องนี้จะเอื้อให้เกิดประโยชน์แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้องในหลายกรณี และไม่ได้เป็นการทำเพื่อส่วนรวม จึงไม่สามารถยอมรับให้เกิดขึ้นได้

ทีมข่าว "เอเอสทีวี ผู้จัดการรายวัน” จึงได้สำรวจการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติและการแก้ไขรัฐธรรมนูญของทั้ง 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มคนเสื้อหลากสี และกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน

พันธมิตรฯ เคลื่อนการชุมนุม 3 กรณี
 
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการเรียกร้องให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ว่า จากการที่กลุ่มพันธมิตรฯ เรียกร้องให้ถอนวาระดังกล่าวออกจากที่ประชุม แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับไม่มีการถอนวาระดังกล่าว แต่ใช้วิธีร่นวาระอื่นๆ ขึ้นมาแทนเพื่อเป็นการชะลอสถานการณ์ออกไปเท่านั้น ทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่จำเป็นต้องเร่งชุมนุมในเวลานี้ แต่ต้องเฝ้าระวังเพราะรัฐบาลยังไม่มีความคิดที่จะยกเลิกการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเพื่อเอื้อประโยชน์กับคุณทักษิณให้มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม กลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่มีท่าทีต่อกรณีที่พรรคเพื่อไทยต้องการผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศยุติการชุมนุมเมื่อปี 2554 โดยมีเงื่อนไขว่าทางกลุ่มจะเคลื่อนไหวด้วยการเคลื่อนมวลชนใน 2 กรณีคือ กรณีที่ 1 เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ หรือกรณีที่ 2 เมื่อมีการตรากฎหมายเพื่อเป็นการล้างความผิดให้กับคุณทักษิณและพวก ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดกรณีหนึ่ง กลุ่มพันธมิตรจะใช้วิธีการชุมนุม

“ต่อมามีการเห็นพ้องในการเพิ่มกรณีที่ 3 คือกลุ่มพันธมิตรจะเคลื่อนการชุมนุมในกรณีที่ประชาชนต้องการตื่นรู้และต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ คือการเรียกร้องการปฏิรูปการเมืองด้วย ดังนั้น เมื่อรัฐบาลมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงแม้มีความเป็นไปได้ว่ามีเป้าหมายที่จะแก้ไขเพื่อเป็นการล้างความผิดให้คุณทักษิณ แต่เราก็ไม่สามารถที่จะคาดเดาล่วงหน้าได้ ทำได้เพียงคาดการณ์เท่านั้น เพราะยังไม่มีการปฏิบัติจริง ทำให้พรรคเพื่อไทยสามารถที่จะพลิกลิ้นโดยบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำเช่นนั้น ซึ่งถึงแม้เราจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น แต่สังคมก็อาจจะยังไม่เชื่อ ดังนั้นเราจึงต้องต่อสู้โดยใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างอื่นไปก่อนในระหว่างนี้ ซึ่งสิ่งที่เราทำคือใช้กระบวนการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรหรือจะตีความอย่างไร เราก็จะเคารพกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเราเชื่อว่ากระบวนการดังกล่าวนั้นสามารถยุติได้ด้วยข้อกฎหมาย และมีการเคลื่อนไหวอย่างใดอย่างหนึ่งในทางศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลในระดับหนึ่ง คือทำให้เขาชะลอในการพิจารณาเรื่องนี้ออกไป”

“ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดอง เป็นกฎหมายที่มีความชัดเจนว่าต้องการช่วยคุณทักษิณและพวก เมื่อเราเห็นเงื่อนไขนี้มีความชัดเจนอย่างแน่นอนแล้ว เราจึงใช้วิธีการเคลื่อนมวลชนในวันที่ 30-31 พ.ค.และวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมาโดยไปที่หน้าศาล และทำให้ไม่สามารถเกิดการประชุมสภาได้ ดังนั้นจึงเห็นว่ากระบวนการดังกล่าวนั้นเราทำตามคำมั่นสัญญาที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนทุกประการ”

จ่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความการแก้ รธน.

ส่วนกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายปานเทพเห็นว่ามีความชัดเจนในแง่ที่ต้องการกระชับอำนาจเพิ่มเติม และต้องการความคล่องตัวมากขึ้นในการล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณและพวกในอดีต เพราะจะถูกตรวจสอบน้อยลง ซึ่งเป้าหมายทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของนักการเมือง ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนเลย

“เพราะฉะนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลกำลังจะผลักดันไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร หากเป็นผลประโยชน์ในทางการบริหาร ผลประโยชน์ทางการเมือง หรือเพื่อลดการตรวจสอบ เราก็เชื่อว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญโดยตรง ในฐานะที่เป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ของนักการเมืองซึ่งไม่สามารถจะกระทำได้ ถ้ากระทำก็จะต้องถูกถอดถอนอีก ซึ่งหมายถึงว่าถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเช่นนั้น สังคมก็เห็นชัดว่าสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยหรือยื่นการถอดถอนต่อไปในอนาคตว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือเป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ได้”

นายปานเทพเชื่อว่าที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยมีความต้องการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อต้องการอำพรางเป้าประสงค์ที่แท้จริงไม่ให้ใครเห็น โดยผ่านกรณี ส.ส.ร. เป็นประเด็นแรกเพื่อประโยชน์ตนเอง

“อย่างไรก็ดี วันนี้โพลออกมาชัดเจนว่าสังคมส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้มีการฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ทำให้เขาเกิดความลังเล เพราะถ้าวันนี้จะไปทำประชามติในการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 50 เสียก็เกรงว่าสังคมจะไม่เอาด้วย เขาจึงค่อนข้างอยู่ในฐานะที่ตีบตันในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้ดังใจ”

ส่วนยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ กรณีที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายปานเทพเผยว่า ถึงแม้พันธมิตรฯ จะไม่ใช้วิธีการชุมนุม ก็ยังสามารถยื่นให้ตีความต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ เพราะการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งต้องการลบล้างความผิดให้ตัวเองถูกตรวจสอบได้น้อยลง

"เสื้อหลากสี" ยืนยันเดินหน้าคัดค้าน
 

ส่วนกลุ่มเสื้อหลากสีได้ออกมาชุมนุม ประกาศจุดยืนคัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดองมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2555 และประกาศจะกลับมาอีกครั้งทันทีที่มีการนำเรื่องนี้เข้าพิจารณา

นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี และคณะเครือข่ายพลมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ยืนยันแนวทางการเดินหน้าคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมว่า จะเดินหน้าคัดค้านในทุกรูปแบบ หากมีการลงมติในวาระที่ 3 ก็จะกดดันไม่ให้เข้าสภา หรือกีดกันไม่ให้ลงมติได้ และพร้อมยกระดับการต่อสู้ ซึ่งอยู่ในรูปแบบเดียวกับการคัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดอง

ประเด็นที่กลุ่มสนใจ คือวาระการประชุม เน้นความชัดเจน มากกว่าตัวบุคคล หรือกลุ่มคณะกรรมการ หรือเรื่องอื่นๆ เพราะมองว่าเป็นหมากลวงมากกว่า ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญ หรือ พ.ร.บ.ปรองดองก็เป็นการช่วยทักษิณ ชินวัตร ทั้งนั้น

ส่วนที่กลุ่มเสื้อหลากสีประกาศพร้อมชุมนุมทันที เมื่อมีการประชุมหรือพิจารณากฎหมายปรองดองในสภานั้น มองว่าในกรณีการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในยุคของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีการชุมนุมยืดเยื้อนานเป็นเดือนยังทำได้ หากกลุ่มชุมนุมอื่นๆ จะขับเคลื่อนก็สามารถทำได้ และทางกลุ่มจะพิจารณาว่าส่วนไหนสามารถเดินหน้าได้ตามกฎหมายก็จะดำเนินการต่อไป

แก้ รธน.อาจถึงขั้นเสียแผ่นดิน

ส่วนกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน ภายใต้การนำของนายบวร ยสินทร ประธานกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน เปิดเผยว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญกระทำด้วยมิชอบ หรือไม่มีเจตนาในการแก้ไขเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของประเทศ อาจจะนำมาซึ่งการเสียประโยชน์ของประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง รวมถึงการแก้เพื่อให้พ้นจากความผิด และส่งผลให้มีอำนาจปกครองอย่างยาวนาน อาทิ หากมีการแก้บางมาตรา อาจนำมาซึ่งการเสียแผ่นดิน หรือสามารถขายพื้นที่ของประเทศได้เลย, อำนาจในการออกกฎหมาย, การแก้ไขอำนาจในการพิจารณาความผิด, การอภัยโทษ ฯลฯ โดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากสภา ส่วน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติอาจมีจุดมุ่งหมายในการล้างความผิดเท่านั้น

ตอนนี้ได้ติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเดินหน้าในวาระที่ 3 หากเข้าสภาก็จะยืนคำร้องในทันที เพราะเห็นว่าไม่เป็นไปตามศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากค้างเรื่องไว้ ก็จะดูว่าในระยะยาวจะสร้างปัญหาอื่นหรือไม่ ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 68 มองว่าเหมือนเป็นการถอดเกราะคุ้มกัน และหากทำได้สำเร็จก็อาจเตรียมตัวยิงใส่ เหมือนเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ละเมิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากทำก็จะร้องทันที ส่วนมาตราอื่นๆ ก็จะดูรายละเอียดของการแก้ไขอีกครั้งหนึ่ง หากเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมก็ไม่ยอมรับ ทำไม่ถูกก็จะสู้ ทั้งนี้มองว่าตัวบุคคลในการขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่นำเสนอ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการให้ข้อมูล และความรู้ สร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ภาคประชาชนเกิดความเข้มแข็ง โดยกลุ่มได้จัดสัมมนา และเสวนาอย่างต่อเนื่อง


กำลังโหลดความคิดเห็น