“พันธมิตรฯ” น้อมรับศาลยกคำร้องฟัน 416 ส.ส.-ส.ว. เล็งไขก๊อกสองยื่น ป.ป.ช.-กกต.ยุบพรรคต่อไป ย้ำออกวาระ พ.ร.บ.ปรองดองชุมนุมทันที ซัด “เหลิม” เล่นลิ้นปัดความรับผิดชอบตามที่ “สนธิ” คาดไว้ไม่มีผิด ชี้จัดฉากสานเสวนา แต่ยังคงวาระไว้ในที่ประชุม ไม่ต่างจากตั้งธงเอาไว้แล้ว ลั่นอย่ามาคุยหากไม่ถอนวาระออกไปก่อน ยันศุกร์นี้ “สนธิ” แถลงข่าวสำคัญด้วยตัวเอง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (25 ก.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่น 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ในรายการนิวส์อาวร์ ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ถึงท่าทีในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งจำหน่ายคำร้องในกรณีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคณะ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และมาตรา 212 ว่าการที่นายสุนัย จุลพงศธร กับพวก 416 คนดำเนินการจัดทำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เป็นการกระทำล้มล้างการปกครองหรือไม่ โดยกล่าวว่าตนไม่มีปัญหา ถ้าศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นประเด็นเดียวกัน ซึ่งเราไม่มีโอกาสขึ้นการไต่สวนเลย ซึ่งก็ถือว่าเป็นดุลพินิจของทางศาล คงจะหาทางข้อกฎหมายต่อไปที่จะดำเนินการ
อีกประการหนึ่ง ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำร้อง แต่เห็นว่า 5 คำร้องแรกก็มีคำวินิจฉัยที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะสามารถดำเนินการต่อ โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับคดีความอาญา พันธมิตรฯ ได้ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ไปแล้วด้านหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อ กกต.ไปแล้วด้านหนึ่ง และกำลังจะให้มีการชี้แจงข้อมูลต่อไป ก็หวังว่าในขั้นตอนนั้นจะทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องของการดำเนินคดีอาญาว่า ที่ผ่านมาที่กระทำการออกไปนั้นเป็นการกระทำความผิดทางอาญาหรือไม่
ทั้งนี้ เห็นว่าช่องทางในทางอาญายังคงมีอยู่ เพียงแต่ว่าในครั้งที่เรายื่นตามมาตรา 68 ได้มีคำร้องมากไปกว่านั้น เช่น การกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้กระบวนการศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่ก็มีกระบวนการถอดถอน ซึ่งต้องการให้ศาลวินิจฉัยในมาตรา 68 ว่า กรณีที่เกิดขึ้นนั้นมันมีความร้ายแรงอย่างไร การขัดกันแห่งผลประโยชน์มีความร้ายแรงในทางอาญาอย่างไร ซึ่งนำมาเชื่อมโยงกับคดีมาตรา 68 แต่ถ้าศาลเห็นว่าจะไม่วินิจฉัยเรื่องพาดพิงอื่นๆ เฉพาะมาตรา 68 อย่างเดียวเห็นว่าเป็นประเด็นเดียวกัน แล้วให้ยกคำร้อง ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ต้องเคารพ
“พันธมิตรฯ ยืนยันว่าจะเคารพกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด แต่พันธมิตรฯ ก็ยังไม่หยุดยั้งในกระบวนการที่จะยื่นและติดตามผลต่อไปกับทาง ป.ป.ช.ว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นทางการแล้ว ไม่ว่าคำวินิจฉัยกลางหรือคำวินิจฉัยส่วนตน ก็จะนำสำเนาผลการประชุมหรือคำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการไปยื่นต่อ ป.ป.ช. และ ก.ก.ต.โดยตรงอีกครั้ง เพื่อให้มีผลในทางคดีความในการยุบพรรคต่อไป” นายปานเทพ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งมีท่าทีจากทางวิปรัฐบาลกล่าวว่าวันที่ 1 ส.ค.นี้อาจจะยังไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ทันที โดยเลื่อนออกไปก่อนเพื่อคุยกันประมาณสัปดาห์ที่สอง นายปานเทพกล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูง เพราะว่าวันที่ 1 ส.ค.เป็นวันเปิดสมัยประชุม แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีการประชุม ดังนั้นพันธมิตรฯ ถึงได้ประกาศในจดหมายที่ยื่นต่อประธานรัฐสภาและนายกรัฐมนตรี ว่า หากปรากฎอย่างชัดเจนว่ามีการประชุมในวาระนี้เมื่อไหร่ พันธมิตรฯ ก็จะชุมนุม และเรียกร้องให้มีการถอนวาระดังกล่าวออกไป ดังนั้นถ้ารัฐสภามีความชัดเจนในวาระที่ต้องแจ้งต่อสมาชิกรัฐสภาในที่ประชุมก่อนว่าจะมีวาระพิจารณาในการประชุมหรือไม่ ถ้ามีวาระชัดเจนว่าเขาประชุมในสัปดาห์ถัดไป เราก็ชุมนุมในสัปดาห์ถัดไปก็เท่านั้นถ้ายังไม่ถอนออกไป
เมื่อถามว่า กรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พันธมิตรฯ ตั้งใจแถลงให้เข้าใจผิด เพราะร่าง พ.ร.บ.ปรองดองอยู่ในสภา เป็นเรื่องของสภาแล้ว รัฐบาลจะไปถอนได้ยังไง แล้วรัฐบาลไม่มีอำนาจไปถอน เป็นเรื่องของสภากับผู้ยื่น นายปานเทพกล่าวว่า ตนอยากจะบอกว่า การพูดเช่นนี้เป็นการเล่นลิ้น เหมือนกับเป็นการเล่นละครเท่านั้น ซึ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้กล่าวดักคอเอาไว้แล้วล่วงหน้าว่าจะมีการพูดแบบนี้
ทั้งนี้ ที่รู้ว่าต้องพูดแบบนี้เพราะพวกเขาไม่ต้องการรับผิดชอบ ไม่ต้องการรับรู้อะไร แต่ในความเป็นจริงเขาประชุมพรรคการเมือง และคนที่เป็นรัฐมนตรีทั้งหลายก็ร่วมประชุมพรรคการเมืองด้วย ก่อนจะเป็นมติพรรค คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค คนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางในการยกมือสนับสนุนการถอนวาระดังกล่าวออกไปจากที่ประชุมได้ ดังนั้นนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีมาจากเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องรับผิดชอบด้วย
“สำหรับพันธมิตรฯ และภาคประชาชนทั่วไป เราไม่ใช่คนที่ถูกตบตาได้ง่ายๆ และไปหลงเชื่อว่ารัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เราจึงบอกว่าให้ไปพูดคุย สั่งการ หรือดำเนินการเพื่อให้มีการถอนวาระดังกล่าว เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าแท้ที่จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีอยู่เบื้องหลัง ถึงมีการพูดคุยกับประธานรัฐสภา ในฉากจริงบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่ในความเป็นจริงมันเกี่ยวข้อง ฉะนั้นเรายื่นจดหมายไปคือการพูดโดยตรงกับพวกเขา เขาจะมีท่าทีอย่างไรก็สุดแท้แต่ เราก็เรียกร้องความรับผิดชอบจากพวกเขาอยู่ดี ฉะนั้นเราจึงเห็นว่าการพูดของ ร.ต.อ.เฉลิมดังกล่าวเป็นการตบตาประชาชนว่าเขาไม่เกี่ยวข้อง แต่สำหรับพันธมิตรฯ เราถือว่าพวกเขาต้องเกี่ยวข้อง และเขาต้องรับผิดชอบด้วย” นายปานเทพ กล่าว
แกนนำรุ่น 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวอีกว่า พันธมิตรฯ มีเงื่อนไขในการถอน พ.ร.บ.ปรองดอง ตามที่ได้ยื่นจดหมายในสิ่งที่ได้ประกาศไปแล้ว ถ้าเขาต้องการบรรยากาศความปรองดองจริง กรณีที่ยังมีวาระดังกล่าวอยู่ในที่ประชุม เป็นวาระเร่งด่วนพิเศษ และอ้างว่าจะไปสานเสวนาโดยยังคงวาระดังกล่าวอยู่ในที่ประชุม มันไม่ต่างกับกระบวนการสร้างความชอบธรรมเพื่อให้วาระที่ตั้งธงเอาไว้แล้วสำเร็จลุล่วง ก็ทำให้ใครก็ตามที่เข้าร่วมสานเสวนาเป็นเพียงไม้ประดับ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเอง
“ผมเห็นว่ากระบวนการดังกล่าว ถ้ายังไม่มีการถอนวาระดังกล่าว ไม่มีทางเลยที่จะมีการสานเสวนากับทางพันธมิตรฯ ได้เป็นอย่างน้อย ไม่มีทางที่จะพูดคุยกันได้ ถือว่าก็ต้องสู้ไปตามกระบวนการ เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อเขาไม่เคารพในกระบวนการความคิดเห็นที่แตกต่างจากประชาชนกลุ่มอื่น หรือการมีส่วนร่วมแล้วก็ดันทุรังที่จะตั้งธงเอาไว้ก่อน แล้วก็ไปจัดฉากการสานเสวนา ผมก็คิดว่าไม่มีประโยชน์ ที่จะไปดำเนินการในวิธีการอื่น พันธมิตรฯ ก็ต้องชุมนุมอยู่ดีจนกว่ามีความชัดเจนว่าเขาจะถอนออกจากวาระ นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ค่อยมาหาคำตอบว่าเราควรจะหาทางออกเรื่องนี้กันอย่างไร” นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพกล่าวทิ้งท้ายว่า พันธมิตรฯ ยังยืนยันที่จะแถลงข่าวสำคัญในวันศุกร์ที่ 27 ก.ค.นี้ เวลา 11.00 น. ที่บ้านพระอาทิตย์ ตามที่นายสนธิได้ประกาศไว้ โดยนายสนธิจะเป็นผู้แถลงเอง