เมื่อพรรคเพื่อไทยวางหมากหลายชั้นเพื่อนำไปสู่เป้าหมายนิรโทษกรรมทักษิณให้กลับบ้านได้ภายใน 6 เดือนหลังเลือกตั้ง “เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษคอรัปชั่นทักษิณ” จึงเร่งระดมพลเดินหน้าบุกดีเอสไอ - กลต. - ป.ป.ช. และอัยการ เพื่อ “กล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร” กระทุ้งกระบวนการยุติธรรมเอาผิดทักษิณและผู้เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ล่าสุดศอกกลับคณะกรรมการตลาด..ลักทรัพย์ฯสร้างความสับสนเอาคดีซุกหุ้นชินคอร์ปมามั่วกับคดีเอสซีแอสเสท จับตาสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างคนทรยศต่อประชาชนกับพลังของภาคพลเมืองจะลงเอยเช่นใด
นับจาก “ปูแดง” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย หลุดปากกลางที่ประชุมใหญ่พรรคว่าเตรียมแผนนิรโทษกรรมเพื่อให้ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย กลับบ้านได้ภายใน 6 เดือนหลังเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 นี้ กลุ่มคนรู้ทันทักษิณในนาม “เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษคอรัปชั่นทักษิณ” หรือ คนท. ก็ก่อรูปเคลื่อนไหวคัดค้านแผนนิรโทษกรรมอย่างเป็นกระบวนการ มีการตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อน ทุกเม็ด ทุกประเด็น
เมื่อข้าทาสจากพรรคเพื่อไทยเรียงหน้าปกป้องนายหญิง นับแต่เรื่องการรังแกผู้หญิง การใช้วิชามารสกัดเพื่อไทย การเตรียมแจ้งความต่อกองปราบฯ กกต. ข่มขู่คนจะมาร่วมกล่าวโทษปูว่ามีความผิดทางกฎหมาย ฯลฯ
ฟากฝั่งคนท.ได้ให้ข้อมูลการคอรัปชั่นของชินวัตร การโกหกโป้ปดมดเท็จต่อศาลของปู พร้อมประกาศทำสงครามครั้งสุดท้ายกับคนทรยศต่อประชาชน ให้ทักษิณได้รู้ว่าคนในแผ่นดินนี้ไม่ใช่พวกสมองหมาปัญญาควายที่จะรู้ไม่เท่าทันทักษิณ
เพียงแค่สัปดาห์เดียวหลัง คนท. ออกมาเคลื่อนไหวปลุกพลังพลเมืองที่เดือดเนื้อร้อนใจในความทุกข์ยากของแผ่นดิน มาร่วมกัน กล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร หน่วยงานที่ถูกพาดพิงว่าไม่ดำเนินการเอาผิดทักษิณในคดีข้างเคียงหลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์ ตามคำพิพากษา ที่ อม.1/2553 ดังเช่น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ (ก.ล.ต.) ก็ออกแถลงการณ์มาแก้ต่างให้กับชินวัตร เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ว่าได้ดำเนินงานในคดีชินคอร์ปมาครบถ้วนและพนักงานอัยการก็ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องจนคดีเป็นที่สุดแล้ว
ชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ ก.ล.ต.ออกแถลงการณ์ ทาง คนท. ก็สวนกลับและสวนมวย ก.ล.ต.ทันที โดยชี้แจงผ่าน เฟสบุ๊ก ของ คนท. ว่า คนท.กล่าวหากรณีซุกหุ้นชินคอร์ปเท่านั้น ก.ล.ต.อย่าเอาหุ้นเอสซีมายุ่ง การแถลงของ ก.ล.ต. มีแต่จะสร้างความสับสนให้กับสังคม เพราะเมื่อทักษิณ ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ในปี 2542 นั้นมีธุรกิจสองธุรกิจที่ต้องซุกหุ้นหนีกฎหมายให้ได้ คือ
หนึ่ง ธุรกิจชินคอร์ป ถือหุ้น 49% ต่อไปไม่ได้ เพราะกฎหมาย ป.ป.ช.ห้ามนายกรัฐมนตรีถือหุ้นสัมปทานกับรัฐ การซุกหุ้นก้อนนี้ถูก คตส.นำคดีขึ้นศาลฎีกาหาว่าใช้อำนาจหน้าที่นายกฯเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป จนศาลสั่งยึดเงินขายหุ้นชินมาเป็นของแผ่นดินแล้ว
สอง ธุรกิจที่ดิน เอสซีแอสเสท ถือหุ้น 100% และขณะนั้นกำลังเตรียมการจะเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหากทักษิณฯเป็นนายกแล้วจะทำไม่ได้ เพราะมีกฎหมาย ป.ป.ช. บังคับให้รัฐมนตรีแขวนหุ้นที่เกิน 5% ไว้กับบริษัทจัดการหลักทรัพย์โดยห้ามยุ่งเกี่ยว ทักษิณจึงซุกหุ้นโดยให้กองทุนของตนเองที่จดทะเบียนตั้งอยู่ต่างประเทศมาซื้อหุ้นทั้งหมดไป ทางสอบสวนพบชัดเจนถึงขนาดว่าเงินที่กองทุนหัวดำนำมาซื้อหุ้นจากทักษิณ และคุณหญิงนั้น แท้ที่จริงคือเงินจากบัญชีคุณหญิงเอง พฤติการณ์นี้ถูกตัดไปเป็นคดีฐานนำธุรกิจเอสซี เข้าตลาดโดยแสดงข้อมูลเป็นเท็จในสาระสำคัญ เป็นคดีที่ รัฐบาลขิงแก่ไฟเขียวให้ กลต.และดีเอสไอ ลุยเต็มที่ แต่ถูกอัยการเจาะยางสั่งไม่ฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมายข้างๆคูๆ
ความผิดที่ คนท.เคลื่อนไหวรวมชื่อกล่าวโทษอยู่นี้ จำกัดแต่เฉพาะกรณีซุกหุ้นธุรกิจชินคอร์ปเท่านั้น เพราะข้องใจว่ามีคำพิพากษาชัดเจนแล้วว่า ทักษิณและพวกร่วมมือกันซุกหุ้นชิน แล้วทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ยอมดำเนินคดี การที่กลต. นำคดีซุกหุ้นเอสซีแอสเสท มารวมแถลงชี้แจงต่อ คนท. ในครั้งนี้จึงไม่สมควรยิ่ง เพราะเป็นคนละเรื่องมีแต่จะทำให้เกิดความสับสนขึ้นโดยทั่วไปเท่านั้น
ส่วนคำชี้แจง กลต.ในส่วนการดำเนินคดีแจ้งธุรกรรมหุ้นชินคอร์ปเป็นเท็จ ที่แจ้งว่าได้กล่าวโทษไปแล้ว ตามมาตรา 246 ว่าทักษิณและพวกแจ้งโอนหุ้นเป็นเท็จ แต่ดีเอสไอกับอัยการไม่เห็นด้วยจึงสั่งไม่ฟ้องจนคดียุติไปแล้วนั้น คนท.เห็นว่าเป็นการใช้กฎหมายโดยผิดพลาด ที่จะต้องทบทวนดำเนินคดีใหม่ ตั้งรูปคดีใหม่ ดังนี้
1. คดีนี้ต้องมองเห็นป่าทั้งป่า จะมองแต่ต้นไม้เป็นต้นๆ ไม่ได้ มองแล้วก็จะพบว่า สิ่งที่การซุกหุ้นชินทำไปนั้น ก็คือการทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นปรากฏต่อตลาดหลักทรัพย์ไม่ตรงกับความจริง มีชื่อลูกและน้องเข้ามาบังชื่อตัวจริงคือทักษิณและภริยาไว้ เป็นเช่นนี้มานานจาก ปี 2543 จนถึงขายธุรกิจให้ทุนสิงค์โปร์ในปี 2549
2.ความเท็จที่ปรากฏนี้ เมื่อมองภาพรวมจะพบว่ามาจากการกระทำหลายกรรมหลายวาระหลายผู้เกี่ยวข้องต่อเนื่องรู้เห็นกันมาตลอด ทั้งโดยการแจ้งขาย แจ้งซื้อเป็นเท็จ แจ้งโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นเท็จในหนังสือชี้ชวนและรายงานประจำปี ทั้งหมดนี้ทำโดยกลุ่มคนที่สมคบแบ่งงานกันทำ ทั้งทักษิณ, ภริยา, เลขาภริยา,ลูกชาย,ลูกสาว,น้องสาว รวมถึงกรรมการบริหารชินคอร์ปด้วย การที่ กลต. อธิบายว่ายิ่งลักษณ์ไม่ผิดเพราะไม่ได้เป็นผู้แจ้งขายหุ้นหรือซื้อหุ้นนั้น จึงไม่ถูกต้องเพราะต้องรับผิดร่วมกับทักษิณและคนอื่นๆด้วยเช่นเป็นตัวการร่วมตามประมวลกฎหมายอาญา
3.ฐานความผิด ที่ ก.ล.ต.ต้องใช้นั้นไม่ใช่ มาตรา 246 ที่เอาผิดฐานโอนหุ้นเปลี่ยนมือกันเกิน 5% แล้วละเว้นไม่แจ้ง ก.ล.ต. ซึ่งหาได้เกี่ยวกับกรณีซุกหุ้นชินนี้เลย ข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นเรื่องโอนกันปลอมๆ แล้วแจ้งเท็จ ไม่ใช่โอนจริงแล้วละเว้นไม่แจ้ง ฐานความผิดที่ต้องใช้คือ
มาตรา 302 พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยถ้ามีการแจ้งข้อเท็จจริงในโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นเท็จอย่างนี้เมื่อใด ทั้งแจ้งโอนซื้อขายหรือแจ้งโครงสร้างผู้ถือหุ้นประจำปีก็เป็นผิดทั้งสิ้นและผิดร่วมกันทุกคนทั้งคนแจ้งและคนที่ไม่ได้แจ้ง และผิดติดพันต่อเนื่องกันมาตลอดไม่มีขาดอายุความเลย
มาตรา 278 พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ ฐานนี้โทษหนักจำคุกถึง 5 ปี เกิดความผิดเป็นพิเศษต่อคนทั่วไป เพราะได้มีการออกหนังสือชี้ชวนเป็นเท็จ เพื่อชี้ชวนให้พนักงานซื้อหุ้นชินคอร์ป (หลักทรัพย์ประเภทใบสำคัญแสดงสิทธิ์ POESOP ) มีผลใช้บังคับ 27 มีนาคม 2545 โดยในหนังสือชี้ชวนนี้ปรากฏโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นเท็จชัดเจน ซึ่งความหมายของ “หนังสือชี้ชวนและการเสนอขายหลักทรัพย์”ตามมาตรา 278นั้น ก็กินความกว้างถึงการเสนอต่อสาธารณะทุกครั้งไป โดยมีเกณฑ์ในกฎหมายว่าถ้าเกิน 35 คนขึ้นไปก็นับเป็นสาธารณะแล้ว
ความผิดสองมาตรานี้เป็นเครื่องมือใช้จัดการกับการให้ความเท็จต่อตลาดโดยตรง การที่ กลต.ไปหยิบมาตรา 246 มาใช้จึงไม่ถูกเรื่อง เหมือนกับขายยาปลอมจนชาวบ้านกินแล้วปากเบี้ยว ดังนี้ตำรวจก็ต้องแจ้งข้อหาทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส จะไปแจ้งข้อหาขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้ คนเจ็บเขาไม่ยอมแน่ๆ
คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด คนท.จะยังคงแจ้งความปูและพวกฐานให้ข้อมูลเท็จต่อไป
ในทางกฎหมายนั้นสิ่งที่สิ้นสุดเป็นยุติไปแล้ว ก็คือคำกล่าวโทษของ ก.ล.ต. ที่แจ้งไปยังดีเอสไอ เมื่อ เมษายน 2553 เท่านั้น มาบัดนี้เมื่อกล่าวโทษผิดไปแล้ว ก.ล.ต.ก็กล่าวโทษใหม่ให้ถูกต้องได้อีก ดีเอสไอก็รับสอบสวนใหม่ได้อีกไม่มีปัญหา กฎหมายห้ามเฉพาะการฟ้องซ้ำต่อศาลเท่านั้น คดีนี้ยังไม่มีการฟ้องร้องเลย มีแต่การกล่าวโทษที่ยุติไปหนึ่งสำนวนเท่านั้นเอง
นอกจากนั้น ในวันที่ 21 มิถุนายนนี้ ทางคนท. ปรับแผนจะกล่าวโทษให้ดำเนินคดี ปูและพวก ครั้งเดียว 4 หน่วยงาน โดยคดีให้ข้อมูลเป็นเท็จของยิ่งลักษณ์และพวกนี้ มีสองกลุ่ม คือ
1. ให้ข้อมูลเท็จต่อตลาดหลักทรัพย์ ส่วนนี้ คนท.จะมีหนังสือกล่าวโทษ ปูและพวก ทั้งต่อก.ล.ต.,และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้มีหน้าที่โดยตรง
2.ให้ข้อมูลเท็จต่อ คตส.และเบิกความเท็จต่อศาล ส่วนนี้จะแจ้งกรมสอบสวนคดีพิเศษเช่นกันว่าเป็นคดีเกี่ยวพันกับคดีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทางกรมอาจไม่รับก็ได้ ดังนั้นเพื่อความแน่นอน คนท.จะต้องแจ้งไปยังอัยการและ ป.ป.ช. ( ในฐานะแทน คตส.) ให้รับไปกล่าวโทษต่อตำรวจต่อไปด้วย
เดิมทีในชั้นแรก คนท.จะกล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษก่อน แต่เมื่อปรากฏพฤติการณ์ของ ก.ล.ต.เช่นตามแถลงการณ์ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในข่าวประกอบ) คนท.จึงปรับแผนใหม่ตัดสินใจจะกล่าวโทษครั้งเดียว โดย คนท. ได้เชิญพลเมืองผู้ยังนับถือกฎหมายร่วมประชุม รวบรวมเอกสารลงนามกล่าวโทษ ณ ตึกอเนกประสงค์ ชั้น 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายนนี้ เวลา 14.00 - 16.00 น.
สำหรับการยื่นหนังสือถึง 4 หน่วยงานนั้น คนท.ต้องการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตั้งสำนวนสอบสวนดำเนินคดี นางสาวยิ่งลักษณ์และพวก ซึ่งจะทำได้ต้องมีผู้กล่าวโทษก่อน ดังนั้น ในวันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2554 นี้ คนท. จะยื่นหนังสือถึง 4 หน่วยงาน โดยหนังสือกล่าวโทษในนามของ คนท. เอง มีฉบับเดียว คือ การยื่นต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ เวลา 10.00 น. ขอให้ดีเอสไอกล่าวหาและสอบสวนนางสาวยิ่งลักษณ์และพวกด้วยอำนาจของดีเอสไอ
ส่วนอีก 3 ฉบับ เป็นการยื่นหนังสือขอให้หน่วยงานอื่นช่วยกล่าวโทษต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย คือ 1) ยื่นต่อ ปปช. ให้ตรวจสำนวน คตส.ที่มีในครอบครอง แล้วนำหลักฐาน ที่ คนท.ชี้ช่องไว้ มายื่นกล่าวโทษต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในนามของ ป.ป.ช.เอง 2) ยื่นต่ออัยการสูงสุด ให้ตรวจสำนวน คตส.ที่มีในครอบครอง แล้วนำหลักฐานที่ คนท.ชี้ช่องไว้มายื่นกล่าวโทษต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในนามของ อสส.เอง และ 3) ยื่นต่อ กลต. ให้ทบทวนข้อมูลและข้อกฎหมายให้ชัดเจน แล้วกล่าวโทษใหม่อีกครั้งหนึ่งในนามของ กลต.เอง
คนท. ยังชี้แจงว่า หนังสือที่ยื่น ป.ป.ช. นั้น เป็นแต่เพียงให้ ป.ป.ช.ทำหน้าที่กล่าวโทษนางสาวยิ่งลักษณ์และพวกเท่านั้น เพราะเป็นคดีที่ ป.ป.ช.รับช่วงมาจาก คตส. เมื่อชัดเจนว่ามีผู้เบิกความเท็จ และมีหลักฐานประกอบอยู่ในสำนวน คตส. ที่ ป.ป.ช.ครอบครอง ป.ป.ช.จึงควรต้องสนใจรวบรวมเอาเรื่องให้จริงจังกว่านี้ ส่วนการที่มีกรรมการ ป.ป.ช.ออกมาชี้แจงว่า ตนไม่มีอำนาจรับคดียิ่งลักษณ์เบิกความเท็จนั้นก็ถูกต้องแล้วพูดอีกก็ถูกอีก แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ คนท.จะขอให้ทำหน้าที่เพียงแค่กล่าวโทษนางสาวยิ่งลักษณ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่อย่างใด
อนึ่ง หลังจากการประชุมรวบรวมรายชื่อผู้กล่าวโทษ ในวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน 2554 และนำไปยื่นคำกล่าวโทษในวันอังคารที่ 21 มิถุนายนนี้ แล้ว คนท.จะหยุดความเคลื่อนไหวจนกว่าจะเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง