ASTVผู้จัดการออนไลน์ - คนท.ดีเดย์ไขลานกระบวนการยุติธรรมยื่น“กล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร” สกัดแผนนิรโทษกรรมทักษิณที่เริ่มชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ ถึงขั้นกำหนดเวลากลับเมืองไทยในเดือนธันวาคมนี้โดยอาศัยโอกาสงานแต่งลูก “เอม” เจ้าสาวหมื่นล้าน ขณะที่คดีแก๊งทักษิณและพวกอีกนับสิบยังถูกดองอยู่ที่ป.ป.ช.และอัยการ
หลังจากตั้งโต๊ะลงชื่อร่วมกล่าวโทษปู หยุดกฎหมู่ชินวัตร ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีประชาชนเข้าร่วมอย่างล้นหลาม เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษคอรัปชั่นทักษิณ (คนท.) มีกำหนดเข้ายื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในวันที่ 21 มิถุนายนนี้ กล่าวโทษนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพวก คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร,นางพจมาน ณ ป้อมเพชร, นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์, นายพานทองแท้ ชินวัตร, นางสาวพิณทองทา ชินวัตร และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน ได้ร่วมกันกระทำผิด ให้ข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้น บมจ.ชินคอร์ป ต่อทางการและตลาดหลักทรัพย์เป็นเท็จหลายกรรมหลายวาระเป็นอาญาแผ่นดิน แต่ก็ยังมิได้ถูกดำเนินคดีใดๆ จนในปัจจุบันก็ได้กำเริบเสิบสาน จะใช้อำนาจทางการเมืองมาทำลายกฎหมายบ้านเมืองจะนิรโทษกรรมให้แก่พวกของตนอีก คนท.จึงขอให้ดีเอสไอใช้อำนาจดำเนินคดีต่อบุคคลดังกล่าวข้างต้น
ตามข้อกล่าวโทษของ คนท. ระบุว่า ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ระหว่างอัยการสูงสุดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเรื่องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ได้วินิจฉัยเป็นที่ยุติแล้วว่า “ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ ปี 2544 นั้น หุ้นบริษัทชินคอร์ปซึ่งรับสัญญาโทรคมนาคมกับรัฐกว่า 49% ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและภริยา อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วยังคงถือไว้ซึ่งสัญญาสัมปทาน ส่วนคำคัดค้านของนางสาวยิ่งลักษณ์ และพวกว่า หุ้นชินคอร์ปจำนวนดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของตน เพราะได้ซื้อมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ศาลฟังว่าเป็นความเท็จ เป็นการสมคบให้ใช้ชื่อถือแทนเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย ”
เมื่อผู้พิพากษาทั้ง 9 ท่านได้มีมติเป็นเอกฉันท์ข้างต้นแล้ว ก็ได้วินิจฉัยต่อไปว่ามีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปหลายประการ จนทำให้หุ้นชินคอร์ปมีมูลค่าสูงขึ้นเป็นอันมาก มูลค่านี้จึงเป็นทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และภริยาได้มาโดยมิสมควรสืบเนื่องจากตำแหน่งหน้าที่ จึงพร้อมกันพิพากษาให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน
คำวินิจฉัยข้างต้นที่ว่าหุ้นชินคอร์ปยังเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และภริยาอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนี้ถือเป็นที่สุด และมีผลผูกพัน นางสาวยิ่งลักษณ์ และพวก ที่ล้วนเข้าไปเป็นตัวความในคดียึดทรัพย์นี้ด้วย ซึ่งในทางกฎหมายวิธีพิจารณาความนั้น หากบุคคลเหล่านี้ต้องคดีใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติการณ์ซุกหุ้นนี้อีก ศาลในคดีนั้นๆ จะต้องถือข้อเท็จจริงในคดีฟังเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์นี้ทุกคดีไป โดยนางสาวยิ่งลักษณ์และพวก จะไม่มีสิทธิต่อสู้คดีปฏิเสธต่อศาลว่าตนได้ซื้อหุ้นจากพ.ต.ท.ทักษิณ ได้อีกเลย
ดังตัวอย่างในคดีที่กรมสรรพากรได้ฟ้องเรียกภาษีเงินได้จากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป จากนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทานั้น ศาลในคดีภาษีดังกล่าวก็ได้ยกฟ้องกรมสรรพากร โดยวินิจฉัยว่าเงินได้มิใช่ของจำเลยทั้งสอง เพราะข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์ไปแล้วว่า หุ้นชินคอร์ปเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นต้น
ความผิดข้างเคียงที่สืบเนื่องจากคดียึดทรัพย์
เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติเด็ดขาดผูกพันนางสาวยิ่งลักษณ์ และพวกแล้วว่าซุกหุ้นจริงเช่นนี้ ข้าพเจ้า (นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงาน คนท. ผู้กล่าวโทษคนแรกและผู้รับมอบอำนาจจากผู้กล่าวโทษอื่น) ได้สืบค้นข้อมูลต่อไปจนได้ข้อยุติว่า นางสาวยิ่งลักษณ์และพวกจะต้องมีความผิดอย่างแน่นอน ดังต่อไปนี้
- ความผิดตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 278 และ 302 ฐานแจ้งธุรกรรมขายและซื้อหุ้นชินคอร์ปเป็นเท็จ หลายกรรมหลายวาระด้วยกัน
- ความผิดฐานให้ข้อมูลการถือครองหุ้นอันเป็นเท็จ ต่อ คตส. ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 133
- ความผิดฐานเบิกความในข้อมูลการถือครองหุ้นอันเป็นเท็จต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177
กล่าวเฉพาะในส่วนนางสาวยิ่งลักษณ์นั้น มีพฤติการณ์กระทำผิดในฐานความผิดทั้งสาม ดังนี้
1. ได้ร่วมสมคบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2543 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขายหุ้นชินคอร์ป 2 ล้านหุ้น ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ แล้ว
2. ได้ร่วมสมคบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกมีหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ เมื่อ 23 มกราคม 2549 ว่า ตนได้ขายหุ้นชินคอร์ป 20 ล้านหุ้น ให้แก่กลุ่มทุนเทมาเส็ค แล้ว
3. ได้ร่วมสมคบกับ พ.ต.ท.ทักษิณและพวก มีหนังสือชี้ชวนเสนอขายหลักทรัพย์ บมจ.ชินคอร์ป มีผลบังคับใช้วันที่ 27 มีนาคม 2545 แสดงโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นเท็จ
4. ได้ให้ปากคำอันเป็นเท็จ ต่ออนุกรรมการไต่สวนของ คตส. เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550 ยืนยันว่าตนได้ซื้อหุ้นชินคอร์ปจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และนำเงินปันผลที่ได้มา มาผ่อนชำระค่าหุ้นจนหมดแล้ว โดย คตส.ที่เป็นผู้ไต่สวนปากคำนางสาวยิ่งลักษณ์ คือ นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ และ นายสัก กอแสงเรือง
5. ได้เบิกความเป็นเท็จต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2552 ยืนยันว่าตนได้ซื้อหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และได้เงินปันผลมา 97 ล้านบาท ชำระค่าหุ้นคืนให้พี่ชาย 20 ล้านบาท ที่เหลือตนนำมาใช้ปรับปรุงบ้าน ซื้อทองคำ เครื่องเพชร และเหตุที่ส่งเงินปันผลคืนให้เกินไป 2.5ล้านบาทนั้น ก็เป็นการชำระหนี้ค่าค่าฝากซื้อนาฬิกา ทั้งหมดนี้ศาลเห็นว่าเลื่อนลอยเป็นเท็จไม่มีหลักฐานสนับสนุนแม้แต่น้อยเลย ดังคำพิพากษากลางหน้า 99
คำกล่าวโทษ
โดยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ข้าพเจ้าได้อ้างอิงมาทั้งหมด ผู้ประสานงาน คนท.ฯ จึงขอกล่าวโทษต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดังนี้
1. กล่าวโทษนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ากระทำความผิดสำเร็จลุล่วงแล้วเป็นสี่กระทงด้วยกัน ตามข้อ 1 - 5 ข้างต้น โดยสามกระทงแรกเป็นความผิดทางเศรษฐกิจที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยตรง อีกสองกระทงเป็นความผิดข้างเคียงที่ขอให้รับเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับสองคดีแรก และผู้ถูกกล่าวโทษเป็นผู้มีอิทธิพล
คดีทั้งสี่นี้หากได้ความว่านางสาวยิ่งลักษณ์ให้ข้อมูลต่างๆ ตรงตามที่กล่าวหาแล้ว ท่านก็ต้องสั่งสำนวนส่งให้พนักงานอัยการดำเนินคดีทันที เพราะประเด็นที่ว่าเป็นข้อมูลเท็จหรือไม่นั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่มีสิทธิต่อสู้ใดๆเลย ต้องฟังเป็นที่ยุติเด็ดขาดตามคำพิพากษาศาลฎีกาไปแล้ว
2. ขอให้ท่านสอบสวนเพิ่มเติมแล้วขยายผลต่อไปยังพวกพ้องของนางยิ่งลักษณ์ ตามข้อหาต่างๆนั้น อีกส่วนหนึ่งด้วย
3. ขอให้ท่านสอบสวนเพิ่มเติม ขยายผลไปยังผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยว่า เหตุใดจึงไม่มีการกล่าวโทษนางสาวยิ่งลักษณ์ และพวกเลยทั้งๆ ที่ศาลฎีกาได้ตัดสินคดียุติเด็ดขาดมาเนิ่นนานแล้ว บุคคลที่ต้องให้คำอธิบายนี้ ได้แก่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะแทน คตส., อัยการสูงสุดและอัยการกองคดีพิเศษ, เลขานุการคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้กำกับดูแล กลต.
ในวันที่ 21 มิถุนายนนี้ คนท.ยังจะยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. อัยการสูงสุด และ กลต. โดยเป็นคำขอให้รับผิดชอบรวบรวมหลักฐานที่ครอบครองอยู่ มากล่าวโทษคนเหล่านี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีกชั้นหนึ่ง โดย ฐานความผิดที่ขอให้มีการกล่าวโทษนั้น ในส่วนของ ป.ป.ช.และอัยการ ต้องรับผิดชอบเรื่องที่นางสาวยิ่งลักษณ์ และพวก ให้ข้อมูลเท็จต่อ คตส.และ ศาล ส่วน กลต. เป็นฐานความผิดต่อตลาดหลักทรัพย์ ในการกล่าวโทษครั้งนี้ คนท. ได้ชี้ช่องหลักฐานสำคัญในหนังสือที่ยื่นต่อดีเอสไอ ป.ป.ช.และอัยการสูงสุด โดยแนบคำชี้ช่องให้ทราบว่าหลักฐานในสำนวน คตส. ที่ ป.ป.ช.และอัยการ ครอบครองอยู่นั้น มีหลายรายการที่อัยการในคดีมิได้นำสืบต่อศาลให้ชัดเจน ทั้งๆ ที่เป็นหลักฐานสำคัญมัดตัวยิ่งลักษณ์ ว่าเบิกความเท็จต่อศาลอย่างดิ้นไม่หลุด
การเคลื่อนไหวของ คนท. มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อต่อต้านการนิรโทษกรรมทักษิณ ซึ่งล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า เขาหวังจะกลับประเทศไทยเพื่อจะมาร่วมงานแต่งงานลูกสาว คือ นางสาวพินทองทา ชินวัตร ในเดือนธันวาคม 2554 นี้ (อ่านข้อมูลประกอบใน “พินทองทา เจ้าสาวหมื่นล้าน”) ซึ่งความเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ได้สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงใกล้โค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ที่จะถึงนี้
นอกเหนือจากการรวมพลังกระทุ้งกระบวนการยุติธรรมให้ดำเนินคดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์และพวก ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ก่อนหน้านี้ คนท. ยังยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องทุจริตและสริมสร้างธรรมภิบาล วุฒิสภา เพื่อให้ช่วยติดตามความคืบหน้าในคดีต่างๆ ที่คตส.ได้ดำเนินคดีไว้กว่าสิบคดี รวมทั้งคดีที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ด้วย โดยทุกวันนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบเลยว่า ทางป.ป.ช. อัยการสูงสุด หรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการคืบหน้าไปเพียงใด หรือไม่ (อ่านข้อมูลในข่าวประกอบ “ค่าเสียหายจากคอรัปชั่นระบอบทักษิณในคดี คตส. 12 คดี”)
สำหรับเฉพาะคดีที่ คนท.ติดตามอยู่และขอให้คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องทุจริตฯ ติดตามเป็นการเฉพาะกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยว่า เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ชี้ขาดในคดียึดทรัพย์ ตามคำพิพากษาที่ อม.1/2553 ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ หลีกเลี่ยงกฎหมายโดยใช้ชื่อบุตรและน้องสาวถือหุ้นชินคอร์ปแทนตนนั้น คดีข้างเคียงต่อไปนี้ ได้มีการดำเนินการไปแล้วหรือไม่ เพียงใด ประกอบด้วย 1.คดี พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งบัญชีทรัพย์สิน เป็นเท็จ ถาม ป.ป.ช.
2.คดี ภริยา,บุตร,และน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้การเท็จต่อ คตส. และเบิก ความเท็จต่อศาลฎีกา ถาม ป.ป.ช.และอัยการสูงสุด 3.คดีแจ้งข้อมูลธุรกรรมหุ้นชินคอร์ปเป็นเท็จต่อตลาดหลักทรัพย์ ถามคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ และ 4.คดีพนักงานเจ้าหน้าที่ ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจชินคอร์ป 5 ประการ ถาม ป.ป.ช. และกระทรวงไอซีที