คำว่า“สองมาตรฐาน”ถือเป็นความเชื่อที่ฝังลึกอยู่ในหัวกะโหลกของ “ทักษิณ ชินวัตร” และข้าทาสเสื้อแดง ถึงขั้นนายใหญ่เคยพูดเข้าข้างตนเองว่า...(ผมไม่ผิด แต่กฎหมายเขียนไว้ผิด)...ทำให้เหล่าสาวกเสื้อแดงเชื่อสนิทใจว่า...นายใหญ่ของเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากศาล ทุกศาลในประเทศนี้
เริ่มจาก...ศาลรัฐธรรมนูญ ที่พิพากษาโทษยุบทิ้ง “พรรคไทยรักไทย ตามด้วย พลังประชาชน” และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคจาก 111 ศพ และ 109 ศพ ทำให้พลพรรคทักษิณถูกเว้นวรรคไร้เส้นทางเดินบนถนนการเมือง คนละ 5 ปี
ด้านศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิพากษาลงโทษจำคุก และตามด้วยยึดทรัพย์นายใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” ทำให้ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไร้ซึ่งแผ่นดินอยู่
จึงทำให้แผนทำลายความน่าเชื่อถือ“ศาลสถิตยุติธรรม” อยู่ในแผนการของทักษิณ และพลพรรคเพื่อไทย โดยล่าสุด 23 พ.ค.53 “ปลอดประสพ สุรัสวดี” รองหัวหน้าพรรค ถึงขั้นแถลงประกาศว่า “หากเพื่อไทยได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในจุดที่มีปัญหาต่อการบริหารจัดการประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาล องค์กรอิสระ กฎหมายสองมาตรฐานและความเท่าเทียมอื่นๆโดยจะเป็นการแก้ไขแบบยกเครื่องทั้งหมด”
เรื่องนิรโทษกรรม “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” เจ้าของฉายา “เป็ดเหลิม” ก็เคยพูดไว้เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2553 ว่า “หลังการเลือกตั้งทั่วไป หากพรรคเพื่อไทย ชนะได้เสียงเป็นอันดับ 1 จะประสานนายบรรหาร ศิลปอาชา เพื่อขอให้มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล 2 พรรค และหากพรรคเพื่อไทยไว้วางใจตนก็จะไปชวนนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ให้เข้ามาร่วมมือกันอีก แต่ถ้าแพ้พรรคประชาธิปัตย์ก็จะไม่หน้าด้านไปตั้งรัฐบาลแข่งแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากชนะเลือกตั้งแล้วไม่มีใครเป็นนายกฯ ตนก็พร้อมจะเป็นนายกฯ แค่เพียง 6 เดือน เพื่อทำเรื่องนิรโทษกรรมพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไทย แต่หากไม่ได้เป็นนายกฯ ก็จะนั่งเป็นรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย”
สำหรับบ่วงคดีของ “ทักษิณและคนในพรรคนักโทษ” ถือว่ามีจำนวนมากหน้าหลายตา และหนทางเดียวที่นายใหญ่ของเขาจะกลับประเทศไทยได้ ก็คือ รื้อระบบศาล-นิรโทษกรรม
“นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” เขาคือผู้ต้องโทษจำคุก 2 ปี จากทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ และถือเป็นคดีแรกที่สิ้นสุดไปแล้ว ทำให้ชื่อของ ทักษิณ ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ถูกพิพากษาจำคุกจากการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่
เมื่อทักษิณต้องหนีโทษจำคุกจากแผ่นดินไทย ส่งผลให้คดีทุจริตเกี่ยวเนื่อง ต้องหยุดชะงัก ศาลฎีกาฯต้องจำหน่ายคดีไว้เป็นการชั่วคราว และออกหมายจับ เพื่อรอนำตัวจำเลยกลับมาดำเนินคดีในไทย ประกอบด้วย
คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว “หวยบนดิน”
คดีทุจริตแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ-ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ป ทำให้รัฐเสียหายกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท
คดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ 4,000 ล้านบาท ให้กับรัฐบาลพม่า เพื่อดำเนินโครงการจัดซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคมจากบริษัทในเครือชินคอร์ป ของครอบครัวชินวัตร
คดีสำคัญของตระกูลชินวัตร ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท โดยไฮไลต์ของคดี อยู่ที่ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” (ผู้คัดค้านที่ 4)ในวันที่เขาขึ้นเบิกความต่อศาล (วันที่ 6 สิงหาคม 2552 )โดยเขายืนยันว่าซื้อหุ้นจากพี่ชายด้วยตัวเอง ไม่ได้ถือหุ้นแทน ขายหุ้นได้เงินไปลงทุนปล่อยกู้ สร้างบ้าน ไม่ได้คืนให้พี่ชาย แต่กลับถูก คตส.อายัด 337 ล้าน โดยช่วงท้ายเขาเบิกความด้วยน้ำเสียงสั่นเครือปนน้ำตาคลอเบ้าว่า...
“ตั้งแต่วันแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตัดสินใจเข้ารับใช้ชาติ พี่น้องในครอบครัวต่างคัดค้านไม่อยากให้ลงมาเล่นการเมือง เพราะมีความกดดันมาก แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังยืนยันทำเพื่อชาติ จนกระทั่งวันที่ 19 กันยายน 2549 ถูกทหารปฏิวัติ จากคนที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทุจริตคดโกง รวมไปถึงญาติพี่น้องไม่สามารถอยู่รวมกันได้อย่างอบอุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีแม้ที่อยู่ในประเทศ ตนไม่ใช่นักการเมืองยังถูกผลกระทบเล่นงาน นับตั้งแต่ที่พี่ชายและครอบครัวถูกกล่าวหา ก็มีหมายเรียกให้ตนไปเป็นพยาน แต่สิ่งที่ คตส.ทำแตกต่างกับคนอื่น ไม่ยอมให้คนครอบครัวชินวัตรนำทนายความเข้าร่วม ตนต้องถูกคน 7-8 คน รุมถามด้วยคำถามนำ อยู่นานถึง 9 ชั่วโมง หุ้นทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณ มีก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง และตนก็ซื้อหุ้นนั้นมาด้วยความสุจริต คตส.ไม่เปิดโอกาสให้พิสูจน์ทรัพย์ การพิสูจน์ทรัพย์จึงยังไม่สมบูรณ์หรือสิ้นสุด ขอศาลให้ความเป็นธรรมด้วย”
แต่สุดท้าย ผลการเบิกความโกหกช่วยเหลือพี่ชายในคอกพยานในวันนั้น กลับไม่เป็นผล เมื่อ(28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553)องค์คณะศาลฎีกานักการเมืองเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 ลงมติยึดทรัพย์ “ทักษิณ-ครอบครัว” 4.6 หมื่นล้านจาก 7.6 หมื่นล้านบาท โดยคดีนี้ ถือว่าเป็นอันคดียุติ!หลังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ค้านยึดทรัพย์ “ทักษิณ” ทำให้ทรัพย์สินต้องตกเป็นของแผ่นดิน เพิ่มความคับแค้นใจให้ก่ “ทักษิณและครอบครัว” ยิ่งนัก
จากนั้นมา ผลแห่งคดีนี้ทำให้เกิดการชุมนุมของคนเสื้อ จนนำไปสู่จุดแตกหัก วันเผาบ้านเผาเมือง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
ดังนั้น วันนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”...นารีหน้าเหลี่ยม บุคคลที่พี่ชายหน้าเหลี่ยมโคลนนิ่งวางตัวให้เขาเป็นผู้ท้าชิงนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศชูธงนิรโทษกรรมเพื่อนำพี่ชายกลับบ้านเกิด ส่วนประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่ อยู่ที่ดุลพินิจของแต่ละคนว่าจะเลือกเขาเข้ามาเป็นรัฐบาล เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ รื้อระบบศาล นิรโทษกรรมให้ “ทักษิณ” ก็เท่านั้นเอง!