ASTVผู้จัดการรายวัน - พันธมิตรฯ ยื่นจดหมายถึง ส.ส.-ส.ว.วันนี้ แจงเจบีซีหลัง “มาร์ค” บิดเบือนในสภา “ไชยวัฒน์” แฉเล่ห์รัฐบาล ให้ “พนิช” เป่าหู “วีระ” ในคุกให้ยอมรับถูกจับนอกเขตไทย อ้างหากบานปลายถึงขั้นยุบ ปชป. ส่วน “อินโดฯ” ร้อนตัวหลังเขมรออกแถลงการณ์แขวะ! ขณะที่ทูตไทยประจำเขมรพ้นหน้าที่ คาด “สมปอง” เสียบแทน
วานนี้ (27 มี.ค.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณารายงานผลการศึกษาบันทึกความเข้าใจคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี 3 ฉบับ ว่า ทางกลุ่มพันธมิตรฯมีมติว่าจะทำจดหมายถึง ส.ส. และ ส.ว. ทุกคน เพื่ออธิบายชี้แจงให้พวกเขาทราบว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ทำการชี้แจงเรื่องนี้ มีความคลาดเคลื่อนอย่างไรบ้าง และเพื่อที่จะได้ข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจด้วย ซึ่งในวันนี้(28 มี.ค.) หลังจากกลุ่มพันธมิตรฯ แถลงข่าวในช่วงเช้าเสร็จ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ จะนำจดหมายไปยื่นให้กับเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่อาคารรัฐสภา
นอกจากนี้ กลุ่มพันธมิตรจะทำใบปลิวชี้แจงเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจของประชาชน ไปแจกจ่ายบริเวณย่านธิรกิจการค้าทั่วกรุงเทพมหานครด้วย
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การประชุมรัฐสภาที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า มีองค์ประชุมไม่ครบ แต่ก็ยังมีการยืดเยื้อ เพื่อที่จะใฝห้มีการประชุมต่อไป ซึ่งตามปกติ หากการประชุมมีองค์ประชุมไม่ครบ ก็จะยุติการประชุมไปนานแล้ว
ส่วนกรณีการประกาศยุบสภา เพื่อที่จะมีการเลือกตั้งใหม่นั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะยุบสภาไปแล้ว แต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จะยังคงมีอยู่เช่นเดิม เพราะเป้าหมายในการชุมนุมครั้งนี้คือ การปกป้องดินแดนของประเทศไทย ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องการยุบสภา
ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่า แม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ แต่ก็ยังคงเป็นรูปแบบเดิมๆ คือการใช้เงินในการเลือกตั้ง พอเลือกเข้ามาได้ ก็ไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์ของประเทศ แม้กระทั่งประเทศจะเสียดินแดนก็ยังไม่ใส่ใจ แถมยังมีการโกงกินบ้านเมืองอย่างมหาศาลด้วย เพราะฉะนั้นกลุ่มพันธมิตรฯ จึงยังต้องอยู่เพื่อปกป้องดินแดนต่อไป
**จี้ทหาร-ปปช.ร่วมโหวตโน
ที่สะพานมัฆวานรังสรค์ พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจารักษ์ และ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ในฐานะตัวแทน 4 เหล่าทัพได้กล่าวบนเวทีเสวนาราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน ถึงกรณีรัฐบาลกำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหม่ โดยไม่ได้ใส่ใจต่อการบริหารชาติบ้านเมืองเท่าที่ควรจะเป็น แต่ยังอ้างว่า ทั่วโลกก็ใช้เวทีการเลือกตั้งซึ่งถือเป็นวิถีทางระบอบประชาธิปไตย เพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง แต่ไม่สามารถใช้ได้นักการเมืองไทยที่ขาดคุณธรรมและจริยธรรมในยุคนี้
พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินตามสมควร เพราะมัวแต่พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า จะนำบ้านเมืองนี้ไปสู่การเลือกตั้ง แต่พันธมิตรฯ เชื่อว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่ได้ แม้รัฐบาลจะดันทุรังให้เกิดขึ้น แต่เราก็จะพร้อมใจกันรณรงค์ให้มีการโนโหวต ไม่รับรองการเลือกตั้ง เพราะข้ออ้างในการเลือกตั้งของนัการเมืองเลว ถือเป็นวิธีการที่หนึ่งที่จะให้นักการเมืองพวกนี้ ผลัดกันเข้ามากอบโกยสมบัติชาติ วันนี้ 500 นักการเมืองในสภา ล้วนเป็นสีดำ บริหารล้มเหลวมาแล้วหลายด้าน แต่ที่หนักที่สุด คือ ทำให้ไทยต้องเสียอธิปไตย วันนี้การเมืองไทยอย่ามาอ้างการเลือกตั้งอีก เพราะหากยังนักการเมืองยังหน้าเดิมๆ ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็ล้วนจะเข้ามากอบโยกผลประโยชน์ชาติบ้านเมืองแน่นอน พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ กล่าวและว่า
“ไม่อยากเอ่ยชื่อ รมว.กลาโหม-ผบ.ทบ.-ผบ.ทอ.ในยุคนี้ ที่ระบุว่า กองทัพจะวางตัวเป็นกลาง หากมีการเลือกตั้ง ล้วนเป็นตรรกะที่ใช้อ้างทั่วไปในโลกนี้ แต่ใช้ไม่ได้กับนักการเมืองไทย หากกองทัพยังปล่อยให้มีจาบจ้วงสถาบัน มีความแตกแยกโดยมีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง การเมืองต้องแก้ด้วยการเมืองใช้ไม่ได้ ตั้งแต่ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้กองทัพเสียศักดิ์ศรีใส่เกียร์ว่าง นั้นคือ วางตัวเป็นกลางปล่อยให้ประชาชนต้องออกมาฆ่าฟันกันเอง ปล่อยให้ ตร.รับใช้นักการเมืองดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ แต่รัฐบาลกลับปล่อยตัวพวกเผาบ้านเผาบ้านเมือง การเมืองต้องแก้ด้วยการเมืองไม่ได้อีกต่อไป กองทัพจะต้องยึดความเป็นธรรม อย่าเป็นกลางแบบมีนัยยะ ปล่อยให้ความแตกแยกตอบโต้กันให้บ้านเมืองฉิบหาย โดยอาศัยจังหวะปฏิวัติรัฐประหาร ทหารเหมือนปลา ประชาชนเหมือนน้ำ ต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเจ้าของประเทศ
ด้าน พล.อ.ปรีชา กล่าวว่า ประเทศชาติกำลังถูกนักการเมืองบัดซบ รุมกระหน่ำ แต่มวลชนที่รักชาติกำลังลุกฮือต่อต้านกวาดล้างพวกนักการเมือง ข้าราชการ ทหารเลว ให้สิ้นซาก หมดเวลาเจรจากับคนชั่ว พันธมิตรฯ ต้องออกมาแสดงพลังเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน ชัยชนะอยู่ในกำมือแล้ว
“พี่น้องเราต้องพึ่งพาตัวเอง นโยบายประชานิยมล้วนแต่มอมเมา ทำให้เราเป็นตกขี้ข้าพวกนักการเมือง ที่โยนเศษกระดูกให้เราแทะ อย่าหวังอ้างระบอบประชาธิปไตยมาตอแหลหลอกลวงคนไทยอีก ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงระบอบเผด็จรัฐสภาเสียที” พล.อ.ปรีชา กล่าวทิ้งท้าย
**ไชยวัฒน์ แฉ พนิช เป่าหู วีระ ในคุก
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ แถลงถึงกรณี นายการุณ ใสงาม และ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ที่ปรึกษากฎหมายเครือข่ายฯ เดินทางเข้าพบ นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่เรือนจำกัมพูชา เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า นายวีระ ได้เล่ารายละเอียดต่างๆ ให้ นายการุณ และ ม.ล.วัลย์วิภา รับทราบ โดยเฉพาะช่วงที่ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยังติดคุกที่ประเทศกัมพูชาอยู่นั้น นายพนิช ได้พยายามโน้มน้าวให้ นายวีระ รับการต่อสู้คดีของรัฐบาลไทย โดยเป็นแนวทางที่ไม่ระบุว่า 7 คนไทยถูกจับกุมในดินแดนของประเทศอะไร แต่ให้นายวีระ รับว่าไม่มีเจตนารมณ์จะเข้าไปในราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อให้คดียุติเร็วที่สุดและจะได้กลับประเทศไทย
ในเรื่องนี้ นายวีระ ยอมรับไม่ได้ และถาม นายพนิช กลับไปว่า ทำไมถึงปฏิเสธว่า พื้นที่ถูกจับไม่ใช่แผ่นดินไทย ซึ่ง นายพนิช ก็ได้บอกว่า รัฐบาลยอมเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะจะทำปัญหาบานปลาย และส่งผลให้มีการยุบพรรค ปชป.เนื่องจากเคยไปเซ็นบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา พ.ศ.2543 (เอ็มโอยู 2543)
“จากการที่นายการุณเข้าพบนายวีระ ทำให้เชื่อได้ว่า รัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์ รู้เห็นกับรัฐบาลกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซ็น เพื่อจับนายวีระเข้าไปติดคุกเที่ยวนี้” นายไชยวัฒน์ กล่าว
ส่วนข้อเท็จจริงกรณีการขออภัยโทษของนายวีระ และ น.ส.ราตรีนั้นนายไชยวัฒน์เปิดเผยว่า บุคคลทั้งสองยืนยันว่าได้เซ็นขอถอนฎีกาที่นายการุณไปยื่นไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมกับเซ็นขอพระราชทานอภัยโทษไปจริง โดยทั้งสองให้เหตุผลว่าเป็นแนวทางของครอบครัว ที่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล ส่วนการตัดสินใจส่วนตัวของทั้งสองคน ยังยืนยันเจตนาเดิมว่า อยากให้นายการุณ หาวิธีต่อสู้คดีในทุกแง่ทุกมุมต่อไป โดยขณะนี้มีใบมอบอำนาจของ น.ส.ราตรี แต่ของนายวีระนั้น ทางเครือข่ายฯ จะสรุปเรื่องทั้งหมดพร้อมใบมอบอำนาจเป็น 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และกัมพูชา เพื่อเสนอเรื่องต่อนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผ่านทาง นายสุรพงษ์ ชัยนาม ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรงการต่างประเทศ ส่วนเรื่องอาการป่วยของ นายวีระ นั้น ขอยืนยันว่า มีอาการป่วยจริง แต่ไม่หนักหนาอย่างที่สังคมไทยรู้กัน แต่ขณะนี้ นายวีระร่างกายแข็งแรงดี รวมทั้ง น.ส.ราตรี ก็มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดีเช่นกัน
**อินโดฯ ร้อน เร่งเคลียร์เขมร
อีกด้าน ศูนย์ข่าวนครวัต รายงานว่า รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอินโดนีเซียได้ส่งหนังสือเป็นทางการหนึ่งฉบับ เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ถึงกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ยืนยันให้ทราบว่า กระทรวงต่างประเทศอินโดนีเซีย ได้รับหนังสือทางการจากรัฐบาลกัมพูชา เกี่ยวกับปัญหาผู้สังเกตการณ์ และการร่วมประชุมที่อินโดนีเซีย แต่อินโดนีเซียยังไม่ได้รับหนังสือตอบจากฝ่ายไทย
นายโกย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศบอกกับศูนย์ข่าวนครวัต ว่ากระทรวงต่างประเทศกัมพูชาได้รับหนังสือหนึ่งฉบับจากกระทรวงต่างประเทศเทศอินโดนีเซีย ซึ่งยืนยันให้ทราบว่า อินโดนีเซียได้รับหนังสือทางการจากรัฐบาลกัมพูชา ต่อกรณีการเห็นชอบให้มีผู้สังเกตการณ์และร่วมประชุมสำคัญ 3อย่าง ในวันที่ 7-8เม.ย.54ที่จะจัดขึ้นในเมืองบอกอร์ ประเทศอินโดนีเซีย คือ การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอย่างไม่เป็นทางการ (กัมพูชา อินโดนีเซีย และไทย)
กัมพูชาได้แสดงความพร้อมร่วมการประชุมที่เสนอขึ้นหลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เมื่อวันที่ 22 ก.พ.54 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ไปแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการตอบยืนยันเป็นทางการอะไรจากฝ่ายไทย นายโกย กวง กล่าวอีกว่าอินโดนีเซียกำลังรอหนังสือตอบเป็นทางการจากประเทศไทย
ประเทศอินโดนีเซียยังไม่กำหนดเวลาในการส่งผู้สังเกตการณ์ มาตรวจสอบการหยุดยิงบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหาร ในขณะที่ไทยยังไม่ตอบเป็นทางการเกี่ยวกับข้อเสนอของอินโดนีเซีย ที่ต้องการให้มีการประชุมร่วมกับกัมพูชาที่เมืองบอกอร์
**ทูตไทยประจำเขมร พ้นหน้าที่
สำนักข่าวฟิฟทีนมูฟ รายงานว่า มีการเผยแพร่ข่าวการเข้าพบอำลาหน้าที่ของนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ทูตไทยประจำพนมเปญ ต่อนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่24 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่านายซก อาน ได้กล่าวกับทูตไทยที่กำลังจะพ้นหน้าที่ในวันที่ 31 มี.ค.ที่จะถึงนี้ ว่า สองประเทศเพื่อนบ้านจำเป็นต้องเพิ่มความสัมพันธ์ทวิภาคีโดยทางออกทางการทูต เพื่อแก้ปัญหาเขตแดน ซึ่งหวังว่าจะเกิดขึ้นได้โดยเร็ว
“ไม่ช้าก็เร็วปัญหาจะต้องถูกแก้ไข” นายซก อาน กล่าว พร้อมทั้งได้แจ้งกับทูตว่ารัฐบาลกัมพูชายินดีต้อนรับการลงทุนจากไทยที่จะมีมากขึ้น รวมถึงจากกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (CP) หนึ่งในบริษัทผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของประเทศไทย “ประเทศของเราทั้งสองควรปรับปรุงความสัมพันธ์ทวิภาคี” นายซก อาน กล่าวระบุว่า กัมพูชามีศักยภาพที่ดีสำหรับการลงทุนเรื่องข้าว ได้ส่งออกข่าวส่วนเกินไปยังประเทศเวียดนามและไทย
นายซก อาน ได้บอกกับนายประศาสน์ว่า “มีหลายหนทางที่จะหลีกเลี่ยงการสู้รบ” โดยยืนยันว่าการเป็นตัวกลางของประเทศที่สามเป็นสิ่งจำเป็นต้อง “เราไม่มีความมั่นใจในการหารือทวิภาคี เพราะมันไม่นำไปสู่ทางออก” นายซก อาน ย้ำว่า การมีผู้สังเกตการณ์ทหารอินโดนีเซียมาตรวจสอบการหยุดยิงที่ชายแดน ซึ่งกำลังทหารจากทั้งสองประเทศปะทะกันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทั้งสองฝ่าย
ขณะที่ นครวัตนิวส์ รายงานว่านายสมปอง สงวนบรรพ์ เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศและอดีตกงศุลใหญ่ประเทศไทยประจำกรุงโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะมาเป็นเอกอัคราชทูตไทยประจำกัมพูชา แทนที่นายประศาสน์.
วานนี้ (27 มี.ค.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณารายงานผลการศึกษาบันทึกความเข้าใจคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี 3 ฉบับ ว่า ทางกลุ่มพันธมิตรฯมีมติว่าจะทำจดหมายถึง ส.ส. และ ส.ว. ทุกคน เพื่ออธิบายชี้แจงให้พวกเขาทราบว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ทำการชี้แจงเรื่องนี้ มีความคลาดเคลื่อนอย่างไรบ้าง และเพื่อที่จะได้ข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจด้วย ซึ่งในวันนี้(28 มี.ค.) หลังจากกลุ่มพันธมิตรฯ แถลงข่าวในช่วงเช้าเสร็จ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ จะนำจดหมายไปยื่นให้กับเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่อาคารรัฐสภา
นอกจากนี้ กลุ่มพันธมิตรจะทำใบปลิวชี้แจงเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจของประชาชน ไปแจกจ่ายบริเวณย่านธิรกิจการค้าทั่วกรุงเทพมหานครด้วย
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การประชุมรัฐสภาที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า มีองค์ประชุมไม่ครบ แต่ก็ยังมีการยืดเยื้อ เพื่อที่จะใฝห้มีการประชุมต่อไป ซึ่งตามปกติ หากการประชุมมีองค์ประชุมไม่ครบ ก็จะยุติการประชุมไปนานแล้ว
ส่วนกรณีการประกาศยุบสภา เพื่อที่จะมีการเลือกตั้งใหม่นั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะยุบสภาไปแล้ว แต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จะยังคงมีอยู่เช่นเดิม เพราะเป้าหมายในการชุมนุมครั้งนี้คือ การปกป้องดินแดนของประเทศไทย ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องการยุบสภา
ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่า แม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ แต่ก็ยังคงเป็นรูปแบบเดิมๆ คือการใช้เงินในการเลือกตั้ง พอเลือกเข้ามาได้ ก็ไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์ของประเทศ แม้กระทั่งประเทศจะเสียดินแดนก็ยังไม่ใส่ใจ แถมยังมีการโกงกินบ้านเมืองอย่างมหาศาลด้วย เพราะฉะนั้นกลุ่มพันธมิตรฯ จึงยังต้องอยู่เพื่อปกป้องดินแดนต่อไป
**จี้ทหาร-ปปช.ร่วมโหวตโน
ที่สะพานมัฆวานรังสรค์ พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจารักษ์ และ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ในฐานะตัวแทน 4 เหล่าทัพได้กล่าวบนเวทีเสวนาราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน ถึงกรณีรัฐบาลกำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหม่ โดยไม่ได้ใส่ใจต่อการบริหารชาติบ้านเมืองเท่าที่ควรจะเป็น แต่ยังอ้างว่า ทั่วโลกก็ใช้เวทีการเลือกตั้งซึ่งถือเป็นวิถีทางระบอบประชาธิปไตย เพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง แต่ไม่สามารถใช้ได้นักการเมืองไทยที่ขาดคุณธรรมและจริยธรรมในยุคนี้
พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินตามสมควร เพราะมัวแต่พูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า จะนำบ้านเมืองนี้ไปสู่การเลือกตั้ง แต่พันธมิตรฯ เชื่อว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่ได้ แม้รัฐบาลจะดันทุรังให้เกิดขึ้น แต่เราก็จะพร้อมใจกันรณรงค์ให้มีการโนโหวต ไม่รับรองการเลือกตั้ง เพราะข้ออ้างในการเลือกตั้งของนัการเมืองเลว ถือเป็นวิธีการที่หนึ่งที่จะให้นักการเมืองพวกนี้ ผลัดกันเข้ามากอบโกยสมบัติชาติ วันนี้ 500 นักการเมืองในสภา ล้วนเป็นสีดำ บริหารล้มเหลวมาแล้วหลายด้าน แต่ที่หนักที่สุด คือ ทำให้ไทยต้องเสียอธิปไตย วันนี้การเมืองไทยอย่ามาอ้างการเลือกตั้งอีก เพราะหากยังนักการเมืองยังหน้าเดิมๆ ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็ล้วนจะเข้ามากอบโยกผลประโยชน์ชาติบ้านเมืองแน่นอน พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ กล่าวและว่า
“ไม่อยากเอ่ยชื่อ รมว.กลาโหม-ผบ.ทบ.-ผบ.ทอ.ในยุคนี้ ที่ระบุว่า กองทัพจะวางตัวเป็นกลาง หากมีการเลือกตั้ง ล้วนเป็นตรรกะที่ใช้อ้างทั่วไปในโลกนี้ แต่ใช้ไม่ได้กับนักการเมืองไทย หากกองทัพยังปล่อยให้มีจาบจ้วงสถาบัน มีความแตกแยกโดยมีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง การเมืองต้องแก้ด้วยการเมืองใช้ไม่ได้ ตั้งแต่ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้กองทัพเสียศักดิ์ศรีใส่เกียร์ว่าง นั้นคือ วางตัวเป็นกลางปล่อยให้ประชาชนต้องออกมาฆ่าฟันกันเอง ปล่อยให้ ตร.รับใช้นักการเมืองดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ แต่รัฐบาลกลับปล่อยตัวพวกเผาบ้านเผาบ้านเมือง การเมืองต้องแก้ด้วยการเมืองไม่ได้อีกต่อไป กองทัพจะต้องยึดความเป็นธรรม อย่าเป็นกลางแบบมีนัยยะ ปล่อยให้ความแตกแยกตอบโต้กันให้บ้านเมืองฉิบหาย โดยอาศัยจังหวะปฏิวัติรัฐประหาร ทหารเหมือนปลา ประชาชนเหมือนน้ำ ต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเจ้าของประเทศ
ด้าน พล.อ.ปรีชา กล่าวว่า ประเทศชาติกำลังถูกนักการเมืองบัดซบ รุมกระหน่ำ แต่มวลชนที่รักชาติกำลังลุกฮือต่อต้านกวาดล้างพวกนักการเมือง ข้าราชการ ทหารเลว ให้สิ้นซาก หมดเวลาเจรจากับคนชั่ว พันธมิตรฯ ต้องออกมาแสดงพลังเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน ชัยชนะอยู่ในกำมือแล้ว
“พี่น้องเราต้องพึ่งพาตัวเอง นโยบายประชานิยมล้วนแต่มอมเมา ทำให้เราเป็นตกขี้ข้าพวกนักการเมือง ที่โยนเศษกระดูกให้เราแทะ อย่าหวังอ้างระบอบประชาธิปไตยมาตอแหลหลอกลวงคนไทยอีก ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงระบอบเผด็จรัฐสภาเสียที” พล.อ.ปรีชา กล่าวทิ้งท้าย
**ไชยวัฒน์ แฉ พนิช เป่าหู วีระ ในคุก
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ แถลงถึงกรณี นายการุณ ใสงาม และ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ที่ปรึกษากฎหมายเครือข่ายฯ เดินทางเข้าพบ นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่เรือนจำกัมพูชา เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า นายวีระ ได้เล่ารายละเอียดต่างๆ ให้ นายการุณ และ ม.ล.วัลย์วิภา รับทราบ โดยเฉพาะช่วงที่ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยังติดคุกที่ประเทศกัมพูชาอยู่นั้น นายพนิช ได้พยายามโน้มน้าวให้ นายวีระ รับการต่อสู้คดีของรัฐบาลไทย โดยเป็นแนวทางที่ไม่ระบุว่า 7 คนไทยถูกจับกุมในดินแดนของประเทศอะไร แต่ให้นายวีระ รับว่าไม่มีเจตนารมณ์จะเข้าไปในราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อให้คดียุติเร็วที่สุดและจะได้กลับประเทศไทย
ในเรื่องนี้ นายวีระ ยอมรับไม่ได้ และถาม นายพนิช กลับไปว่า ทำไมถึงปฏิเสธว่า พื้นที่ถูกจับไม่ใช่แผ่นดินไทย ซึ่ง นายพนิช ก็ได้บอกว่า รัฐบาลยอมเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะจะทำปัญหาบานปลาย และส่งผลให้มีการยุบพรรค ปชป.เนื่องจากเคยไปเซ็นบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา พ.ศ.2543 (เอ็มโอยู 2543)
“จากการที่นายการุณเข้าพบนายวีระ ทำให้เชื่อได้ว่า รัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์ รู้เห็นกับรัฐบาลกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซ็น เพื่อจับนายวีระเข้าไปติดคุกเที่ยวนี้” นายไชยวัฒน์ กล่าว
ส่วนข้อเท็จจริงกรณีการขออภัยโทษของนายวีระ และ น.ส.ราตรีนั้นนายไชยวัฒน์เปิดเผยว่า บุคคลทั้งสองยืนยันว่าได้เซ็นขอถอนฎีกาที่นายการุณไปยื่นไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมกับเซ็นขอพระราชทานอภัยโทษไปจริง โดยทั้งสองให้เหตุผลว่าเป็นแนวทางของครอบครัว ที่เชื่อมั่นต่อรัฐบาล ส่วนการตัดสินใจส่วนตัวของทั้งสองคน ยังยืนยันเจตนาเดิมว่า อยากให้นายการุณ หาวิธีต่อสู้คดีในทุกแง่ทุกมุมต่อไป โดยขณะนี้มีใบมอบอำนาจของ น.ส.ราตรี แต่ของนายวีระนั้น ทางเครือข่ายฯ จะสรุปเรื่องทั้งหมดพร้อมใบมอบอำนาจเป็น 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และกัมพูชา เพื่อเสนอเรื่องต่อนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผ่านทาง นายสุรพงษ์ ชัยนาม ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรงการต่างประเทศ ส่วนเรื่องอาการป่วยของ นายวีระ นั้น ขอยืนยันว่า มีอาการป่วยจริง แต่ไม่หนักหนาอย่างที่สังคมไทยรู้กัน แต่ขณะนี้ นายวีระร่างกายแข็งแรงดี รวมทั้ง น.ส.ราตรี ก็มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดีเช่นกัน
**อินโดฯ ร้อน เร่งเคลียร์เขมร
อีกด้าน ศูนย์ข่าวนครวัต รายงานว่า รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอินโดนีเซียได้ส่งหนังสือเป็นทางการหนึ่งฉบับ เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ถึงกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ยืนยันให้ทราบว่า กระทรวงต่างประเทศอินโดนีเซีย ได้รับหนังสือทางการจากรัฐบาลกัมพูชา เกี่ยวกับปัญหาผู้สังเกตการณ์ และการร่วมประชุมที่อินโดนีเซีย แต่อินโดนีเซียยังไม่ได้รับหนังสือตอบจากฝ่ายไทย
นายโกย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศบอกกับศูนย์ข่าวนครวัต ว่ากระทรวงต่างประเทศกัมพูชาได้รับหนังสือหนึ่งฉบับจากกระทรวงต่างประเทศเทศอินโดนีเซีย ซึ่งยืนยันให้ทราบว่า อินโดนีเซียได้รับหนังสือทางการจากรัฐบาลกัมพูชา ต่อกรณีการเห็นชอบให้มีผู้สังเกตการณ์และร่วมประชุมสำคัญ 3อย่าง ในวันที่ 7-8เม.ย.54ที่จะจัดขึ้นในเมืองบอกอร์ ประเทศอินโดนีเซีย คือ การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอย่างไม่เป็นทางการ (กัมพูชา อินโดนีเซีย และไทย)
กัมพูชาได้แสดงความพร้อมร่วมการประชุมที่เสนอขึ้นหลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เมื่อวันที่ 22 ก.พ.54 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ไปแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการตอบยืนยันเป็นทางการอะไรจากฝ่ายไทย นายโกย กวง กล่าวอีกว่าอินโดนีเซียกำลังรอหนังสือตอบเป็นทางการจากประเทศไทย
ประเทศอินโดนีเซียยังไม่กำหนดเวลาในการส่งผู้สังเกตการณ์ มาตรวจสอบการหยุดยิงบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหาร ในขณะที่ไทยยังไม่ตอบเป็นทางการเกี่ยวกับข้อเสนอของอินโดนีเซีย ที่ต้องการให้มีการประชุมร่วมกับกัมพูชาที่เมืองบอกอร์
**ทูตไทยประจำเขมร พ้นหน้าที่
สำนักข่าวฟิฟทีนมูฟ รายงานว่า มีการเผยแพร่ข่าวการเข้าพบอำลาหน้าที่ของนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ทูตไทยประจำพนมเปญ ต่อนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่24 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่านายซก อาน ได้กล่าวกับทูตไทยที่กำลังจะพ้นหน้าที่ในวันที่ 31 มี.ค.ที่จะถึงนี้ ว่า สองประเทศเพื่อนบ้านจำเป็นต้องเพิ่มความสัมพันธ์ทวิภาคีโดยทางออกทางการทูต เพื่อแก้ปัญหาเขตแดน ซึ่งหวังว่าจะเกิดขึ้นได้โดยเร็ว
“ไม่ช้าก็เร็วปัญหาจะต้องถูกแก้ไข” นายซก อาน กล่าว พร้อมทั้งได้แจ้งกับทูตว่ารัฐบาลกัมพูชายินดีต้อนรับการลงทุนจากไทยที่จะมีมากขึ้น รวมถึงจากกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (CP) หนึ่งในบริษัทผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของประเทศไทย “ประเทศของเราทั้งสองควรปรับปรุงความสัมพันธ์ทวิภาคี” นายซก อาน กล่าวระบุว่า กัมพูชามีศักยภาพที่ดีสำหรับการลงทุนเรื่องข้าว ได้ส่งออกข่าวส่วนเกินไปยังประเทศเวียดนามและไทย
นายซก อาน ได้บอกกับนายประศาสน์ว่า “มีหลายหนทางที่จะหลีกเลี่ยงการสู้รบ” โดยยืนยันว่าการเป็นตัวกลางของประเทศที่สามเป็นสิ่งจำเป็นต้อง “เราไม่มีความมั่นใจในการหารือทวิภาคี เพราะมันไม่นำไปสู่ทางออก” นายซก อาน ย้ำว่า การมีผู้สังเกตการณ์ทหารอินโดนีเซียมาตรวจสอบการหยุดยิงที่ชายแดน ซึ่งกำลังทหารจากทั้งสองประเทศปะทะกันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทั้งสองฝ่าย
ขณะที่ นครวัตนิวส์ รายงานว่านายสมปอง สงวนบรรพ์ เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศและอดีตกงศุลใหญ่ประเทศไทยประจำกรุงโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะมาเป็นเอกอัคราชทูตไทยประจำกัมพูชา แทนที่นายประศาสน์.