xs
xsm
sm
md
lg

“ประพันธ์” เตือน “ธาริต” ระวังไม่มีแผ่นดินอยู่ หากคล้อยตามไม่ฟ้อง “ฟิลลิป มอร์ริส”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ประพันธ์” ชี้อัยการสั่งไม่ฟ้อง “ฟิลลิป มอร์ริส” โยนเผืกร้อนกลับไปยัง “ธาริต” หากเห็นคล้อยตามอีกคนถือว่าคดียุติ แนะหากอธิบดีดีเอสไอเห็นแก่ประเทศชาติ ควรทำความเห็นแย้งเพื่อส่งเรื่องให้ศาลพิจารณา เชื่อ “ธาริต” เป็นคนมีคุณธรรมพอ หวังว่าจะไม่ตกเป็นเครื่องมือนักการเมือง ไม่อย่างนั้นระวังไม่มีแผ่นดินอยู่


 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายประพันธ์ คูณมี”  

วันนี้ (12 มี.ค.) นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวบนเวทีว่า เพื่อจะได้ให้พี่น้องประชาชนเข้าใจว่านายอภิสิทธิ์นี่เป็นนายกฯ ที่นอกจากจะขายแผ่นดินแล้ว ยังโกงภาษีช่วยต่างชาติ จากกรณีฟิลลิป มอร์ริส  ตนจึงขอทบทวนเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง

นายประพันธ์กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2546-2552 ฟิลลิป มอร์ริส ทำประเทศไทยขาดรายได้ 68,881 ล้านบาท เมื่อเป็นอย่างนี้ ดีเอสไอ และงานอัยการชุดนั้นจึงมีคำสั่งให้ฟ้องฟิลิป มอร์ริส และพวกเป็นจำเลย รวมทั้งสิ้น 14 คน  และส่งสำนวนมาให้อัยการสูงสุดเพื่อมีการสั่งพิจารณาคดีต่อไป แต่ปรากฎข้อเท็จจริงว่า เมื่อ 2 ก.ย. 2553 วันเดียวกันกับที่ดีเอสไอมีคำสั่งให้ฟ้องฟิลลิป มอร์ริส สำนักเลขาธิการนายกฯมีหนังสือด่วนที่สุด โดยนายกฯให้เรียกหน่วยงานต่าง ๆ คือสำนักงานอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต มาทบทวนคดีดังกล่าว นายกฯ จึงหนีจากปัญหานี้ได้ยาก  การกระทำของนายกฯนี้ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 255 คือเข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการเพื่อประโยชน์ของตัวเองหรือผู้อื่นโดยไม่ชอบ

เอกสารหนังสือที่เรียกหน่วยงานต่างๆ มาทบทวนเรื่องฟิลลิป มอร์ริส หัวเรื่องระบุเลยว่า “ข้อพิพาทกรณีการนำเข้าบุหรี่จากฟิลิปปินส์ ภายใต้องค์การการค้าโลก”  อ้างผลกระทบภาพลักษณ์ประเทศ  นายกฯจึงได้มีบัญชามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปศึกษาและทบทวนผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เมื่อสรุปแล้วให้รายงานไปยังนายเกียรติ สิทธีอมร ให้รายงานไปยังลูกน้องตัวเอง เป็นคนที่ตัวเองแต่ตั้ง นี่คือหลักฐานชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์แทรกแซงสั่งการด้วยตัวเอง เหตุดังกล่าวคณะกรรมการอัยการจะทำสำนวนสั่งฟ้องแต่ต้องเลื่อนมาตลอด จนกระทั่ง 4 มี.ค. นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์  อัยการพิเศษฝ่ายคดี อ้างว่าได้พิจารณาสำนวน และข้อกล่าวหาแล้ว อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องฟิลลิป มอร์ริส และพวก เนื่องจากข้อกล่าวหา และหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่ามีการสำแดงราคาเท็จ และได้ส่งสำนวนกลับไปให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้ว หากสำนักงานสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วมีความเห็นตามอัยการ คดีก็เป็นอันยุติ แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ต้องทำความเห็นแย้งมายังอัยการสูงสุดพิจารณา

นายฟระพันธ์กล่าวอีกว่า สรุปคือสำนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องฟิลลิป มอร์ริส ก็เพราะนายกฯมีคำสั่งเรียกมาทบทวน และโยนเผือกร้อนมายังนายธาริต ตนขอเตือนนายธาริตว่า แม้ว่าจะมาจากอัยการเก่า แต่เท่าที่ดูเกียรติประวัติการทำงาน ถือว่าเป็นอธิบดีกรมสอบสวนดคีพิเศษ ที่มีความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ แต่วันนี้เมื่อฝ่ายการเมืองกดดันจนอัยการสั่งไม่ฟ้อง และโยนกลับมาที่นายธาริต อยู่ที่นายธาริตจะทำอย่างไร จึงอยากแนะนำว่า ถ้าทำตามฝ่ายการเมือง ยุติไม่ทำความเห็นแย้ง ถ้าสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับอัยการ ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ และลูกหลานครอบครัวจะต้องเอาปี๊บคุมหัว

สอง แม้นายธาริตตามใจนักการเมือง เชื่อเลยนักการเมืองก็จะเห็นคุณไม่มีความหมาย เพราะสั่งได้ซ้ายหันได้ขวาหันได้ ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนตัวอธิบดีดีเอสไอได้ทุกเมื่อ ตนรู้มาว่าตอนนี้มีรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนหนึ่งที่เป็นคนใต้ ชอบดำเนินคดีพันธมิตรฯ กำลังเลียแข้งเลียขานายสุเทพ วิ่งเต้นขอเป็นอธิบดีดีเอสไอแทนนายธาริต และอาสาตัวว่าถ้าได้เป็นจะสนองอำนาจทุกอย่างให้สมกับเป็นทรราชจรกา

“วันนี้คุณธาริต คำสั่งไม่ฟ้องของอัยการนั้น มันแย้งกับคำสั่งดีเอสไอ และผลประโยชน์ประเทศชาติอย่างเห็นได้ชัด  กรณีนี้จะผิดจะถูกอย่างไร ควรปล่อยไปตามอำนาจศาลพิจารณา และกฎหมายประเทศไทย เชื่อแน่ว่าถ้าแย้งคำสั่งกลับไปยังอัยการว่ายืนยันสั่งฟ้องฟิลลิป มอร์ริส เพื่อปกป้องผลประโยชน์ประเทศไทย จะเป็นการตบหน้าสำนักอัยการ นายกฯ และฝ่ายการเมือง และจะได้ใจได้ความถูกต้องเป็นเกาะกำบัง พี่น้องประชาชนจะออกมาปกป้องคุณ ถ้าโดนปลดประชาชนจะร่วมสู้ อยากฝากอธิบดีดีเอสไอ ต้องตัดสินเรื่องนี้โดยยึดมั่นในความถูกต้อง ถ้าไม่ยืนหยัดก็แสดงว่าไม่เคยเชื่อมั่นหน่วยงานตัวเองเลย ยิ่งทำให้ตัวเองตกต่ำลงไปอีก การที่ธาริตจะตัดสินอย่างไรคนทั้งประเทศกำลังจับตาดูอยู่ หวังว่าจะทำเหมือนคดีก่อน เรื่องทุจริตของปลัดกระทรวงคนแรกที่ตั้งมา ทุจริตเรื่องคอมพิวเตอร์ มีขาใหญ่ประชาธิปัตย์ ผู้จัดการรัฐบาล โทรขู่ไม่ให้ดำเนินเรื่องนี้ นายธาริตก็รีบสรุปสำนวนส่งปปช. แล้วก็บอกว่าไม่ทันแล้ว คุณก็มีกลยุทธ์ที่ดี และหวังว่าคราวนี้ก็มีวิธีเอาตัวรอดจากการเป็นเหยื่อของนักการเมืองเช่นกัน” นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์ยังกล่าวอีกว่า ที่เห็นมาทั้งหมดทุกคนพยายามปกป้องผลประโยชน์ประเทศไทย เรียกร้องเอาภาษีจากต่างชาติ แต่คนที่ช่วยต่างชาติ กลับกลายเป็นนายอภิสิทธิ์ และนายเกียรติ จดจำสองคนนี้เอาไว้ และนี่คือข้อเท็จจริง หลักฐาน ที่จะเป็นบทพิสูจน์ว่าอภิสิทธิ์เลวกว่านายกฯทุกคน เพียงเรื่องเดียวก็สรุปได้แล้ว ที่ต้องทำลำดับของคดีนี้เพราะจะนำไปเป็นลำดับข้อกล่าวโทษ กล่าวหาเอาผิด นายอภิสิทธิ์ นายเกียรติ และอัยการทั้งหมดที่สั่งไม่ฟ้อง เรื่องนี้เลยรวบรวมมอบให้ทนายสุวัตร นายปานเทพ ไปช่วยกันดำเนินการเอาผิด

สุดท้ายนี้เรามาชุมนุมที่นี่นอกจากจะปกป้องแผ่นดินแล้ว อะไรที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ของชาติเราก็จะสู้เพื่อประชาชนด้วย นอกจากเรื่องฟิลลิป มอร์ริส อีกเรื่องที่ตนจะเอาผิดคือกรณีที่ดิน ส.ป.ก.ที่เอาไปทำโรงไฟฟ้า พลังงานลม พลังงานทดแทน  เรื่องนั้นก็จะทำเรื่องร้องไปป.ป.ช. จึงเห็นได้ว่าการชุมนุมเรามีเนื้อหาสาระ มีประโยชน์อย่างยิ่ง ใครคิดสลายการชุมนุมพันธมิตรฯขอให้ตกนรกร้อยชาติไม่ได้ผุดได้เกิด ขอให้ครอบครัว อนาคตการเมืองวิบัติ ฉิบหาย ขอให้กรรมตามสนอง

คำต่อคำ “ประพันธ์ คูณมี”ปราศรัย

“สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักครับ สวัสดีพี่น้องทางบ้าน พี่น้องคนไทยที่อยู่ต่างประเทศทุกท่านนะครับ ขอเสียงปรบมือทักทายด้วยครับ และขอเสียงปรบมือดังๆ ให้กำลังใจไปถึงคุณวีระ และคุณราตรี ด้วยครับ ถ้าจะทักทายดังๆ อีกทีหนึ่ง ก็ขอสวัสดีพ่อแม่พี่น้องคนเสื้อแดงที่มาเป็นเพื่อนบ้านของเราด้วยนะครับ อุตส่าห์มาอยู่ใกล้ๆ กัน

พี่น้องที่เคารพรักครับ การชุมนุมและการต่อสู้ของพวกเรา ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและแน่วแน่ ไม่มีโยกคลอน ไม่มีสั่นไหว เป้าหมายของเราที่เรามาชุมนุมวันนี้ชัดเจนอยู่แล้วว่า เรามาชุมนุมเพื่อรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และทวงเอาแผ่นดินของเรา ที่ถูกกัมพูชารุกรานคืนมาทั้งหมดทุกตารางมิลลิเมตร ไม่เอาตารางนิ้วแล้ว เอาทุกตารางมิลลิเมตร เราไม่เคยเปลี่ยนแปลงจุดยืนของเรา ไม่ว่ารัฐบาล ไม่ว่าคนที่ไม่เห็นด้วย หรือไม่ว่าจะมีคนคัดค้าน มีความคิดเห็นแตกต่างก็ตามแต่ จะเห็นได้ว่า ในช่วงเวลาที่เราชุมนุมครั้งแรกๆ ก็มีคนค่อนแคะค่อนขอดพวกเรามาโดยตลอดว่า พันธมิตรฯ ปลายแผ่วบ้าง พันธมิตรฯ ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมบ้าง พันธมิตรฯ แตกคอบ้าง แต่ในที่สุดครับพี่น้องครับ ด้วยการยืนหยัดของพวกเรา พลังที่เห็นด้วยและสนับสนุนพวกเรา ถ้าจะประเมินกันจริงๆ แล้ววันนี้ ที่เรามายืนหยัดต่อสู้กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น เรามีมิตร มีแนวร่วม มีผู้สนับสนุนมากกว่าครั้งที่ต่อสู้กับทักษิณอีกครับพี่น้อง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ

จากที่คนบอกว่าเราคงจะไม่มีพลัง ทำไมหรือครับ ก็ต้องยอมรับว่า อภิสิทธิ์เขาบริหารประเทศเก่งมากครับ คือสามัคคีทุกฝ่ายจนไม่มีมิตรเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียวครับพี่น้อง ด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ด้วยความที่จะเล่นเกมทางการเมือง ด้วยการหวังแต่จะเอาตำแหน่ง เอาผลประโยชน์ทางการเมือง ก็ไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึก และประโยชน์ของส่วนรวมและของพี่น้องประชาชน นายอภิสิทธิ์ วันนี้ไม่ต้องคิดอะไรครับ คิดเรื่องเดียว 1.ทำอย่างไรจะยังสามารถรักกาาเก้าอี้ตำแหน่งนายกฯ อยู่ได้ นี่ประการที่ 1 ครับ ประการที่ 2 ก็คือ ถ้าครบกำหนดมีการยุบสภาฯ แล้ว ทำอย่างไรจะสามารถกลับมาเป็นนายกฯ ได้อีกครั้งหนึ่ง อันที่ 3 ที่คิดอยู่ทุกวันนี้ก็คือ จะทำอย่างไรไม่ให้ประชาชนไล่ ไม่ถูกทหารปฏิวัติ นี่คืออันที่สาม นายอภิสิทธิ์ไม่ได้คิดอะไรเลย ทั้งๆ ที่ขณะนี้ประเทศชาติบ้านเมืองมีปัญหามากมาย

ขอเสียงปรบมือต้อนรับพี่น้องเราด้วยครับ นี่มาจากที่ไหนครับ พอเขาบอกว่าจะมาสลาย เราแทบไม่ต้องเป่านกหวีดเลย พี่น้องก็มากันเองโดยไม่ได้นัดหมายเลยนะครับ ขอเสียงปรบมือต้อนรับพี่น้องประชาชนเราที่หลั่งไหลมาร่วมชุมนุมกับพี่น้องเราที่ปักหลักอยู่ที่มัฆวานฯ นะครับ สงสัยจะมาจากชลบุรีหรือเปล่า อ๋อ พี่น้องครับ มาจากชมรมกระเทยรักชาติ นี่มาได้เวลาเลย พอรู้ว่าคุณประพันธ์ขึ้นเวทีมาเลย ขอเสียงปรบมือ มาจากชลบุรีหรือจากกรุงเทพฯ ครับ กระเทยรักชาติมาแล้ว กรุงเทพฯ นะ เดี๋ยวจะได้ส่งไปจัดการนายกฯ เอาละพี่น้องครับปรบมือต้อนรับพี่น้องที่มาร่วมชุมนุมกับพวกเรา ก็ถือว่าทุกเพศ ทุกวัย ปัญหาของชาติบ้านเมือง ปัญหาของแผ่นดิน ถือว่าเป็นหน้าที่ของพี่น้องคนไทยทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยนะครับ ทุกคนมีสิทธิ์แสดงออกซึ่งความรักชาติได้ครับ เรามาคุยกันต่อ

พี่น้องครับ เมื่อคืนคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้คุยกับพี่น้องไปแล้ว ความจริงเป็นปัญหาเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่จะเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่า นายกฯ อภิสิทธิ์นั้น เป็นนักการเมือง เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีปัญหาเรื่องจุดยืน อุดมการณ์ ความรับผิดชอบทางการเมือง อย่างยิ่งครับ เป็นนักการเมืองที่ยังมีปัญหา ไม่สามารถจะแยกออกระหว่างดีกับชั่ว ระหว่างรักชาติกับขายชาติ ระหว่างปกป้องเอกราชอธิปไตยของแผ่นดิน ของชาติ กับการขายชาติขายอธิปไตย ปัญหาความมีคุณธรรม ความมีจริยธรรมของท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์นั้น ผมคิดว่ามาถึงวันนี้ เป็นปัญหาที่ใหญ่มากครับ เพราะความเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เรื่องที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ ปกป้องดินแดน เอกราช และอธิปไตยของประเทศ และคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนนั้น ต้องถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของคนเป็นนายกรัฐมนตรีครับพี่น้องครับ ความกล้าหาญ ความเสียสละ และพร้อมทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีกับประชาชนไทย และเยาวชนหรือคนในประเทศชาติ เป็นตัวอย่างของความกล้าหาญ ของความเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมนั้น ต้องเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของนายกรัฐมนตรี แต่วันนี้ถือได้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เหลือคุณสมบัติของความเป็นนายกรัฐมนตรีเหลืออยู่แม้แต่ข้อเดียวครับพี่น้องครับ แม้ว่านายอภิสิทธิ์จะแสดงความคิดความอ่าน แสดงบทปาฐกถา ปราศรัย อภิปราย แสดงความคิดเห็น พูดและเขียนในหนังสือของเขากี่สิบเล่มร้อยเล่มก็ตามครับ แต่วันนี้ได้พิสูจน์แล้วก็คือว่า นายอภิสิทธิ์ไม่เคยกระทำตามสิ่งที่ตัวเองพูดแม้แต่เรื่องเดียวครับพี่น้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงเป็นบุคคลที่ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือแล้ว ส่วนครอบครัว นายศิริโชค โสภา และตัวนายศิริโชค โสภา ซึ่งเป็นคนสนิทของนายอภิสิทธิ์ ก็ล้มละลายทางเศรษฐกิจ ตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือหมดสิ้นแล้วครับ ผมจึงไม่เข้าใจว่า นายอภิสิทธิ์จะไปหาเสียงกับพี่น้องประชาชนว่าอย่างไร ถ้าหากคิดจะยุบสภาฯ ถ้าไปบอกว่า ผมจะมาแก้ไขปัญหาให้พ่อแม่พี่น้องประชาชน ให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ผมคิดว่าประชาชนคงเอาอุจจาระขว้างหน้าครับพี่น้องครับ คนจะถามว่า ก็เป็นนายกฯ มา 2 ปีจะ 3 ปีอยู่แล้ว ไม่เห็นจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประชาชนได้สักเรื่องเลยใช่ไหมครับพี่น้อง แล้วจะมาขอโอกาสทำอะไรอีก ส่วนปัญหาเรื่องอธิปไตย ดินแดน ปัญหากัมพูชา คุณจะอธิบายกับประชาชนว่าอย่างไร ถ้าคุณจะไปหาเสียงเลือกตั้ง คุณจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ส่วนปัญหาเรื่องการโกง การทุจริต การคอร์รัปชั่น ถ้านายอภิสิทธิ์ไปพูดที่ไหนมีใครเชื่อไหมครับ จะไปหาเสียงว่า ผมจะกวาดล้างการทุจริต ผมจะทำให้รัฐบาลของผมโปร่งใส ซื่อสัตย์สุจริต ผมว่าแม้แต่สุนัขยังต้องวิ่งหนีเลยครับ ใครจะไปเชื่อนายอภิสิทธิ์

เพราะฉะนั้นวันนี้ ผมถึงบอกไปแล้วเมื่อวานนี้ว่า การเลือกตั้งเป็นวิธีการที่ไร้สาระ เป็นวิธีการที่จะทำให้คนชั่ว คนโกงกลับมามีอำนาจ กระบวนการการเลือกตั้งของประเทศไทยมันหมดสิ้นและล้มเหลวแล้วครับ ไม่น่าเชื่อถือสำหรับประชาชนไทยแล้ว ประชาธิปไตยที่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์เอามาอ้าง มันก็เป็นประชาธิปไตยจอมปลอม ลวงหลอกและต้มตุ๋นประชาชนเท่านั้นเอง ไม่ใช่ทางเลือก ทางออกที่ดีสำหรับบ้านเมืองในขณะนี้ บ้านเมืองจะมีทางออกอย่างไร ส่วนหนึ่งท่านก็ฟังนักวิชาการ อ.ปราโมทย์ และคณะไปแล้ว ก็ช่วยกันคิดครับ แต่ผมก็คิดว่า พี่น้องและประชาชนไทยคงจะมองเห็นและช่วยกันคิดหาทางออกจนได้ ถึงบอกว่า เราจะเอาระบอบไหนก็ได้ ขอให้เป็นระบอบที่ทำให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง และประชาชนอยู่ดีกินดี ใช่ไหมครับพี่น้องครับ

ทีนี้เมื่อคืนผมติดค้างพี่น้องอยู่ ผาอยากให้พี่น้องได้ความรู้และมีพื้นฐานในการจะได้รับรู้ เพื่อจะได้เข้าใจว่า นายอภิสิทธิ์นั้นเป็นนายกฯ ที่ เขาเรียกว่า อยากให้พี่น้องให้คำนิยามแล้วกันว่า ในบรรดาความเลวทั้งหลายในโลกนี้ที่มีอยู่นั้น ถ้าฟังเรื่องนี้แล้วมันจะมีอะไรที่เลวมากกว่านี้ที่จะมาสาธยาย ผมไม่รู้จะสาธยายอย่างไรนะครับ เพราะว่าด่าไปมันก็หน้าด้าน เพราะฉะนั้นให้พี่น้องช่วยหาคำมาบรรยายคุณสมบัตินายอภิสิทธิ์แล้วกันนะครับ

พี่สนธิได้พูดไปเมื่อคืน ผมก็เลยถือโอกาสว่า วันนี้เอาเรื่องนี้ให้จบ เพื่อพี่น้องจะได้มีข้อมูล มีความรู้ร่วมกัน และเราจะได้รู้ว่า การบริหารบ้านเมืองของนายอภิสิทธิ์ในลักษณะแบบนี้ เขาสมควรที่จะอยู่ในตำแหน่ง หรือกลับมายืนอยู่บนถนนการเมืองต่อไปอีกหรือไม่ เพื่ออยากจะให้พ่อแม่พี่น้องมีความรู้เรื่องฟิลลิป มอร์ริส บริษัทฟิลลิป มอร์ริส เพราะว่ามีคนรวบรวมข้อมูลมาไว้ให้แล้ว และสั้น กระชับ เข้าใจง่าย ต่อไปเวลาพูดเรื่องนี้ท่านจะได้รับรู้กันหมดทุกคน แล้วสามารถอธิบายให้เพื่อนบ้านฟังได้ด้วยนะครับว่า นายอภิสิทธิ์นั้นโกงภาษีช่วยต่างชาติอย่างไรครับพี่น้อง นอกจากขายแผ่นดินให้ต่างชาติแล้วยังโกงภาษีช่วยต่างชาติอีกด้วยครับพี่น้องครับ ที่สำคัญคือบริษัทต่างชาติที่เอามะเร็งร้ายมาขายมาแจกให้กับคนไทยอีกต่างหากครับพี่น้อง เป็นบริษัทบาปอีกต่างหาก ไม่ใช่บริษัทสร้างคุณงามความดี และผลประโยชน์ให้ประเทศชาติบ้านเมืองของไทยเลยแม้แต่น้อย

พี่น้องครับ ผมจะสรุปปัญหาให้พี่น้องฟังสั้นๆ แล้วกันในวันนี้ อาจจะใช้เวลาสัก 15-20 นาทีก็พอดี คือในปี 2524 บริษัทบุหรี่ฟิลลิป มอร์ริส โดยนายอาร์เจเรโน บราวน์ แอนด์ วิลเลียมสัน ได้ร่วมกันก่อตั้งสมาคมผู้ส่งออกบุหรี่สหรัฐ ขึ้น ซึ่งสมาคมส่งออกบุหรี่สหรัฐนั้นมีอำนาจมาก มีอิทธิพลทางการเมือง ต่อนักการเมืองในอเมริกามาก สมาคมนี้สามารถกดดันผู้แทนทางการค้าของอเมริกาให้มากดดัน บีบบังคับบรรดาประเทศต่างๆ ในเอเชีย ให้ยกเลิกกฎหมายห้ามนำเข้าบุหรี่จากสหรัฐ จากนั้นรัฐบาลสหรัฐจะขู่คว่ำบาตรทางการค้า ถ้าประเทศไหนไม่ยอมให้บุหรี่ของบริษัทฟิลลิป มอร์ริส และสมาคมค้าบุหรี่ในอเมริกานำเข้าประเทศ นี่คืออิทธิพลของบริษัทนี้ ในที่สุดบริษัทนี้สามารถกดดันประเทศทั้งหลายในภูมิภาคเอเชีย ให้เปิดประตูการค้ารับสินค้าบุหรี่เข้ามาขายได้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ในการเจรจาทางการค้า ประเทศไทยถ้าจะใช้ข้อสงวน หรือต่อสู้ในประเด็นนี้ โดยเอาภาษีออกจากรายการสินค้าที่ควรจะได้รับการยกเว้นภาษี ก็สามารถต่อสู้ได้ แต่ประเทศไทยโง่และอ่อนแอเกินไป เพราะมีนายกฯ อย่างนายอภิสิทธิ์ ไม่มีปัญญาไปเจรจาต่อรองเขาในเรื่องนี้ ในที่สุดการนำเข้าบุหรี่สามารถนำเข้าประเทศไทยได้

ปี 2543 ตรงกับสมัยรัฐบาลนายกฯ ชวน หลีกภัย ครับ ประชาชนไทยมีการณรงค์เรื่องการนำเข้าบุหรี่ ต่อต้านบุหรี่อย่างหนัก พี่น้องคงได้เห็น ขบวนการของภาคประชาชนที่จำได้ มีกลุ่มหมอประกิต กลุ่มหมออุดมศิลป์ พวกเอ็นจีโอ ที่รณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ และการนำเข้าบุหรี่ และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยนำสินค้าบุหรี่ออกจากรายการที่ยกเว้นภาษี โดยให้เหตุผลว่า ถ้านำเข้าจะเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งหลายประเทศสามารถต่อสู้ในประเด็นนี้เป็นผลสำเร็จ แต่รัฐบาลไทยไม่ยอมทำ และไม่ยอมต่อสู้เรื่องนี้อย่างจริงจัง ท้ายที่สุด พี่น้องครับ ในปี 2543 เดี๋ยววันนี้ฟังเอาเป็นความรู้หน่อยนะครับ มีร้ายจำหน่ายบุหรี่ในประเทศไทยทั้งหมด 467,660 ร้านทั่วประเทศ ที่ได้รับอนุญาตจากกรมสรรพสามิตให้จำหน่ายบุหรี่ต่างประเทศ โดยร้านบุหรี่ 467,660 แห่ง เป็นร้านที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายบุหรี่ต่างประเทศ 40,000 แห่ง อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 22,000 แห่ง ที่เหลืออยู่ต่างจังหวัด

พี่น้องครับ บุหรี่ต่างประเทศที่นำเข้ามาเมื่อได้รับการยกเว้นภาษี หรือเปิดเสรีทางการค้า โดยไปรวมอยู่ในบทการเจรจาทางการค้า และอยู่ในหมวดที่ควรได้รับการยกเว้นภาษีแล้ว ก็ทำให้ภาษีและต้นทุนของบุหรี่ต่างประเทศ มีต้นทุนที่ใกล้เคียงกับบุหรี่ในประเทศไทย หลังจากนั้นบุหรี่นอกมาตีบุหรี่ในประเทศไทย จนกระทั่งโรงงานในขณะนี้ บุหรี่นอกขายเกลื่อน และขายง่ายซื้อง่าย

กันยายน ปี 2543 กรุงเทพฯ เลยต้องเรียกเก็บภาษีบุหรี่เพิ่ม ในนามภาษีบำรุงท้องที่ ส่งผลให้บุหรี่ในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นมวนละ 10 สตางค์ สามารถเทียบราคาบุหรี่ในต่างประเทศที่นำเข้า ดังนี้ กรองทิพย์ ราคา 31 บาท มาร์โบโรเซเว่นวินส์ตัน ราคา 47 บาท บุหรี่ไทเกอร์ ราคา 27 บาท แอลแอนด์เอ็มมอร์ ราคา 33 บาท โดยทั่วไปแล้ว บุหรี่จะเสียภาษีในหลายๆ ส่วน เช่น ภาษีบุหรี่ต่างประเทศจะเสียต่ำมาก ประมาณ 15-20% และลดลงไปเรื่อยๆ จนปี 44 เหลือเพียง 5% ทั้งนี้เป็นผลมาจากอาฟตา คือการค้าเสรี นอกจากมีภาษีสรรพสามิต โดยบุหรี่กรองทิพย์ เสียประมาณ 16 บาทต่อซอง วันนี้ผมมาให้ความรู้พวกสูบบุหรี่นะครับ ท่านที่สูบบุหรี่อย่าลืมนะ ที่ท่านซื้อราคา 50-60 บาท บุหรี่กรองทิพย์นี่ภาษี 16 บาท ไทเกอร์อาย เสียภาษีต่อซอง 12 บาท บุหรี่ต่างประเทศ เสียประมาณ 16-17 บาทต่อซอง และยังมีภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% โรงงานเหลือประมาณ 2 บาทกว่าต่อซอง นอกจากนั้นแล้ว ยังมีภาษีท้องถิ่น อบต. อบจ. ภาษีน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอีก สรุปแล้วบุหรี่มีภาษีรวมอยู่ในนั้นเยอะอย่างนั้นแล้วกันนะครับ ท่านจะได้มีความรู้ ถ้าเป็นบุหรี่ต่างประเทศ จะเสียภาษีเฉลี่ยประมาณ 20 บาทต่อซอง เพราะฉะนั้นภาษีที่คุณสูบบุหรี่จ่ายให้กับรัฐซองละ 20 บาท

พี่น้องครับ ธันวาคม 2548 ฟิลลิป มอร์ริส รุกเข้ามาในเอเชีย และจีน มาตั้งโรงงานผลิตบุหรี่มาร์โบโรขายในจีน พี่น้องลองคิดดูว่าขายในจีนได้มันจะรวยขนาดไหน เพราะประเทศจีนประชากรพันๆ ล้าน จากนั้นผมข้ามมาถึงประเทศไทยแล้วกันนะครับ มิถุนายน 48 ฟิลลิป มอร์ริส ประกาศผ่านสื่อว่า เขาเชื่อมั่นว่าศักยภาพบุหรี่นอกจะตีตลาดไทย และจะเป็น สินค้าหลักของเขาคือ มาร์โบโร จะสามารถตีตลาดบุหรี่ไทย และสามารถเจาะตลาดบุหรี่ผู้หญิงอีกด้วย คือจะดึงผู้หญิงมาสูบบุหรี่ให้มากขึ้น เห็นไหมครับนี่คือผลร้ายของบุหรี่ที่แพร่เข้ามาในประเทศไทย โดยบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส

เมื่อเป็นดังนี้ รัฐบาลจึงใช้มาตรการ 24 กันยายน 2548 ใช้มาตรการห้ามโฆษณาบุหรี่ ณ จุดที่ขาย พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2535 โดยมีผลให้ร้านค้าปลีกค้าส่ง ประมาณ 500,000 แห่ง ร้านค้าปลอดภาษีภายในประเทศจะต้องไม่มีโฆษณา อันนี้เป็นความก้าวหน้าในการที่เราต่อสู้เพื่อคัดค้านการเผยแพร่โฆษณา และดึงลูกค้าเข้าไปบริโภคบุหรี่ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ นายพอล ไลลีย์ เข้าพบกรรมาธิการสาธารณสุข สภาฯ พยายามวิ่งเต้นขอให้ทบทวนมาตรการดังกล่าวนี้ เนื่องจากกระทบต่อผู้ค้ารายปลีกของเขา และอ้างกฎหมายการค้าเสรี แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ กระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลไทย สามารถออกมาตรการควบคุมการโฆษณาบุหรี่ และห้ามโฆษณาในจุดที่ตั้ง ที่ขายอีกด้วย ถือว่านี่เป็นผลงานและความสำเร็จของรัฐบาลชุดก่อนๆ

ด้วยเหตุนี้ บุหรี่ บริษัทฟิลลิป มอร์ริส จึงออกมาเต้นแร้งเต้นกา ทำให้ตัวเองเสียประโยชน์ และคนที่เสียประโยชน์อีกคนหนึ่งคือใครครับ คือบริษัทเซเว่น-อีเลฟเว่น เพราะอะไรพี่น้องรู้ไหม ทุกจุดที่บริษัทฟิลลิป มอร์ริสไปตั้งบุหรี่ขายในเซเว่น-อีเลฟเว่นนั้น จะต้องจ่ายค่าตอบแทนจุดละ 30,000 บาทในการวางจำหน่าย วางขายต่อ 1 ปี ในเซเว่น-อีเลฟเว่น เห็นหรือยังว่าเขาลงทุนผลประโยชน์มหาศาลแค่ไหน อย่างไรก็ตาม การที่กระทรวงสาธารณสุขห้ามโฆษณาแล้ว ยังบังคับเขียนคำเตือนอันตรายบนหีบห่อ และแนะนำว่า ควรนำมาตรการดังกล่าวมาบังคับใช้เหมือนกับบุหรี่ทุกชนิดในประเทศไทย ปัจจุบันนี้มาตรการเขียนข้อห้าม อันตรายตักเตือนไว้บนซอง จึงได้ใช้มาโดยทั่วไป นี่ถือเป็นความสำเร็จของประเทศไทยและรัฐบาลไทยที่สู้มาโดยตลอดกับบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนเลิกบุหรี่ กระทรวงสาธารณสุขก็ดี หรือพี่น้องประชาชนก็พยายามรณรงค์ให้รัฐจัดเก็บภาษีเพิ่ม เพิ่มเพดานการจัดเก็บภาษีเป็น 79% หรือสูงสุดถึง 80% ในยาเส้นมวน ก็ต้องเก็บเพิ่มขึ้น เพื่อหาทางไม่ให้ประชาชนสูบบุหรี่

ที่ผมพูดมาทั้งหมดเพื่อชี้ให้เห็นว่า ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่คนอื่นเขาทำๆ มานั้น สุดท้ายนายอภิสิทธิ์ทำอะไร หลังรัฐบาลนำมาตรการลดการสูบบุหรี่มาใช้ เพื่อป้องกันผลร้ายต่อพี่น้องประชาชน ได้รับผลดีมาโดยลำดับ แม้กระทั่งการจะพิมพ์ซองว่าเป็นรสอ่อน ต่างประเทศเขาก็ฟ้อง ในประเทศเราก็พยายามต่อสู้คัดค้าน เรื่อยมาถึงปี 2549 สิงหาคม 2549 ถึงตอนนี้ กรมศุลกากรแจ้งให้บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ประเทศไทย) ผู้นำเข้าบุหรี่ยี่ห้อดังมาร์โบโร และแอลเอ็ม วางเงินค้ำประกันเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อซอง โดยปัจจุบันบริษัทสำแดงราคานำเข้าบุหรี่ ที่ 7.76 บาท ขายปลีกซองละ 65 บาท บุหรี่แอลแอน์เอ็ม ราคานำเข้าซองละ 5.88 บาท ขายปลีกซองละ 47 บาท พี่น้องดูเอาแล้วกันนะครับ ผมจะให้ข้อมูลเพื่อท่านจะได้เห็น ปี 2548 มีการนำเข้าบุหรี่มาร์โบโรมาขาย เฉพาะปี 48 ปีเดียว ถึง 72 ล้านซอง บุหรี่แอลแอนด์เอ็ม 368 ล้านซอง ครับพี่น้อง รวมกันแล้วประมาณ 440 ล้านซองโดยประมาณ

สิงหาคม 2549 กรมศุลกากร สรรพสามิต สรรพากร และอัยการสูงสุด เริ่มตรวจสอบคดีผู้ประกอบการนำเข้าบุหรี่รายใหญ่ ฟิลลิป มอร์ริส ที่สำแดงราคาต่ำ ปีนี้ 2549 เป็นปีที่เขาเริ่มตรวจสอบ พบว่ามีมูล เมื่อตรวจสอบแล้วพบมีมูล เขาจึงส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจการสำแดงการนำเข้าบุหรี่ของบริษัทดังกล่าวในประเทศแถบเอเชียทั้งหมด พบการสำแดงราคาแตกต่างกัน พอ 2 กุมภาพันธ์ 2550 กรมศุลกากรลดการค้ำประกันบุหรี่มาร์โบโร เหลือซองละ 8.19 บาท เพื่อให้ความเป็นธรรมกับบริษัทอื่นๆ อันนี้เป็นเรื่องของการปรับลดเงินค้ำประกัน ผมคิดว่าประเด็นนี้ข้ามไป มาถึงประเด็นที่เป็นประเด็นที่มีการตรวจสอบและพบความผิดแล้วกัน ปี 49 แล้วนะครับ

4 มีนาคม 2552 จุดที่จะมาถึงนายอภิสิทธิ์ สภานักธุรกิจสหรัฐ พี่น้องจำไว้นะครับ วันที่ 4 มีนาคม สภานักธุรกิจสหรัฐ เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยการเข้าพบครั้งนี้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งการสอบถามเกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า การลงทุน สิทธิประโยชน์ทางการค้า และนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล สำหรับสภานักธุรกิจสหรัฐ อาเซียน ที่เข้าพบในครั้งนี้ ประกอบด้วย พี่น้องฟังชื่อให้ดีนะ ประกอบด้วย บริษัทเชฟร่อน, ยูบีเอส, ฟอร์ด, โคคาโคล่า, ฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล, โคโนโค ไฟเบอร์ ไทน์วอล์เนอร์ และบริษัทผลิตอาหารอีกหลายบริษัท

30 มีนาคม ดีเอสไอและพนักงานอัยการร่วมพิเศษ มีมติร่วมกันให้ดำเนินคดีอาญา และมีหนังสือเรียกบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส ไทยแลนด์ลิมิเต็ด ผู้นำเข้าบุหรี่ตรามาร์โบโร และแอลแอนด์เอ็ม มารับทราบข้อกล่าวหาในความผิดต่อ พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 27, 99 ในวันที่ 9 เมษายน 2552 ที่เรียกมารับทราบข้อกล่าวหา คือข้อหาสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง และไม่ติดอากรแสตมป์ และทำผิด พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ตงอ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ ได้มีบันทึกถึงกรมศุลกากร กรมสรรพสามิต ให้กำหนดราคาศุลกากร และประเมินภาษีตาม พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 11 ทวิ ใหม่ นี่เขาตรวจสอบมีมติดำเนินคดี และให้มีการประเมินภาษีใหม่ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และอัยการ ร่วมสอบสวนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 จำไว้นะครับอัยการที่สั่งไม่ฟ้องวันนี้ ร่วมสอบสวนเรื่องนี้มาตั้งแต่สิงหาคม 2549 โดยตั้งผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากกระทรวงการคลัง อัยการผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านภาษี อาทิ นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ ขณะนี้เป็นโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และเป็นญาติกับ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นอธิบดีอัยการฝ่ายเศรษฐกิจ และมี นายโกวิทย์ เกิดศิริรักษ์ อัยการอาวุโส นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการพิเศษคดีพิเศษ 4 นายสมชัย อภิวัฒนพร อดีตรองอธิบดีกรมสรรพสามิต นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร ที่ปรึกษาคดีพิเศษจากหน่วยงานของรัฐ และเอกชนทั้งในและต่างประเทศ

ในการสืบสวนสอบสวนคดีฟิลลิป มอร์ริส มีการเดินทางไปหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับราคาต้นทุนที่ประเทศต้นกำเนิด พบว่าผู้นำเข้ารายดังกล่าวมีพฤติกรรมไม่น่าเชื่อว่ามีการค้าขายกันจริง หมายความว่า ที่โอนบุหรี่เข้ามาในประเทศไทยให้ฟิลลิป มอร์ริส พบว่าไม่ใช่เป็นการขายกันจริง เพราะบริษัทผู้ขายถือหุ้นในบริษัทผู้ซื้อ พูดง่ายๆ ทั้งบริษัทผู้ซื้อและบริษัทผู้ขายถือหุ้นด้วยกัน ชุดเดียวกัน 100% มันจึงเป็นบริษัทเจ้าของเดียวกันนั่นเอง เพราะฉะนั้นการสำแดงราคาที่นำเข้ามานั้นจากประเทศอินโดนีเซียก็ดี หรือจากประเทศฟิลิปปินส์ก็ดี ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2546 - ธันวาคม 2549 นั้น เขาจึงพบว่ามีการกระทำความผิด จึงได้ตั้งข้อหาเป็นคดีขึ้นมา 2 คดี คือ คดีที่นำมาจากอินโดนีเซีย กับคดีที่นำเข้ามาจากฟิลิปปินส์ ข้อเท็จจริงเรื่องนำเข้ามาแจ้งเท่าไหร่ ราคาเท่าไหร่ ความเป็นจริงต่ำอย่างไรก็ข้ามไป แต่สรุปแล้วตลอดเวลาตั้งแต่ปี 46-52 ทำให้รัฐบาลไทยขาดรายได้เป็นภาษีเงินได้ทั้งหมด 68,881 ล้านบาท

ผมข้ามมาถึงตรงนี้แล้วกันว่า เมื่อเป็นดั่งนี้ สำนักงานดีเอสไอ และอัยการชุดนั้นจึงได้มีคำสั่งให้ฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส และพวก เป็นจำเลยรวมทั้งสิ้น 14 คน และส่งสำนวนมาให้สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อสั่งพิจารณาคดีต่อไป แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2553 พี่น้องครับ วันเดียวกันกับที่ สำนักงานดีเอสไอมีคำสั่งให้ฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส วันที่ 2 กันยายน 2553 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีหนังสือด่วนที่สุดที่ นร.0412/ว9267 โดยนายกฯ ได้เรียกหน่วยงานต่างๆ คือ สำนักงานอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต มาทบทวนคดีดังกล่าวครับ เรื่องนี้มันจึงเป็นเรื่องที่นายกฯ จะหนี้จากปัญหานี้ยาก เพราะเป็นคนออกหนังสือโดยสำนักงานเลขาธิการนายกฯ เรียกเจ้าหน้าที่เหล่านี้ที่มีคำสั่งฟ้องไปแล้ว ให้มาทบทวนคำสั่งในการสั่งคดีดังกล่าว ด้วยสำนักนายกฯ และด้วยตัวนายกฯ เองครับพี่น้องครับ การกระทำดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีจึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 255 คือ เข้าไปแทรกแซง ก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ราชการของข้าราชการปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ

เอกสารที่มีหนังสือไปเรียกคนต่างๆ มาประชุมที่สำนักนายกฯ นั้นมีทั้งสิ้น 2 ฉบับ ฉบับแรกคือ สำเนาหนังสือสำนักเลขาธิการนายกฯ เลขที่ นร.0412/ว9267 ลงวันที่ 9 กันยายน 2553 ตัวหนังสือเขียนว่าอย่างไรผมจะอ่านให้พี่น้องฟังไปด้วยเลย ถือว่าวันนี้มาเอาความรู้ มาเอาข้อมูลเต็มๆ เวลาพูดถึงเรื่องนี้พี่น้องจะได้เข้าใจหมดเลยว่า นายอภิสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายอย่างไร

หนังสือเขียนว่า ระบุเรื่องไปเลยนะครับว่า เรื่องข้อพิพาทกรณีการนำเข้าบุหรี่จากฟิลิปปินส์ ภายใต้องค์การการค้าโลก เห็นไปมครับหัวเรื่องหนังสือก็จำเพาะเจาะจงว่าเรียกให้มาพิจารณาหารือ ประชุมเรื่องข้อพิพาทกรณีนำเข้าบุหรี่จากฟิลิปปิส์โดยเฉพาะเลยครับพี่น้องครับ ไม่ใช่เรื่องอื่นเลย"เรียนอธิบดีกรมศุลกากร ตามที่ฟิลิปปินส์ได้ฟ้องไทยภายใต้กลไกระงับข้อพิพาทองค์การการค้าโลก (WTO) ช่วงเดือนสิงหาคม 53 คณะผู้พิจารณาคดีได้รายงานผลการพิจารณาเบื้องต้นแล้ว เนื่องจากเรื่องดังกล่าวมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ" นี่อ้างผลกระทบภาพลักษณ์นะครับ "และความสัมพันธ์กับฟิลิปปินส์ นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง" เห็นหรือยังครับ"ได้แก่ กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต สำนักงานอัยการสูงสุด กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กราสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานผู้แทนการค้าไทย" สำนักงานผู้แทนการค้าไทย ก็คือ สำนักงานของนายเกียรติ สิทธีอมร นั่นแหละครับพี่น้อง "ศึกษาและทบทวนความถูกต้องทุกประเด็นในรายละเอียด ถี่ถ้วน ประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไทย พร้อมทั้งเสนอแนวทางที่จะดำเนินการต่อไป และขอสรุปให้ประธานผู้แทนการค้าทราบโดยเร็ว" ลงชื่อ นายพงษ์ศักดิ์ เสมสันต์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พี่น้องครับ

สรุปแล้วก็คือ สำนักเลขาธิการฯ ออกหนังสือเรียกทุกหน่วยงานที่เคยทำความเห็น มีความเห็นสอบสวน และลงความเห็นฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส มาแล้วให้มาประชุมที่สำนักงานทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือเรื่อง กรณีข้อพิพาทเรื่องการนำเข้าบุหรี่จากฟิลิปปินส์โดยเฉพาะ เมื่อประเมิน ศึกษาได้ข้อสรุปแล้ว ให้สรุปและรายงานให้นายเกียรติ สิทธีอมร ครับพี่น้อง สรุปแล้วก็คือ นายกฯ แทรกแซงสั่งข้าราชการประจำให้มาประชุมเพื่อทบทวนคำสั่ง สรุปได้ความเห็นอย่างไรแล้วให้รายงานนายเกียรติ คือรายงานลูกน้องของตัวเอง ที่ตัวเองเป็นคนสั่งแต่งตั้งเป็นผู้แทนการค้าประเทศไทย ครับพี่น้องครับ นี่มันคือหลักฐานชัดเจนว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ เข้ามาก้าวก่ายและแทรกแซง โดยอ้างเป็นบัญชาของนายกฯ ที่เรียกให้มาประชุมอย่างนี้

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ครับพี่น้อง ต่อมานะครับ คณะกรรมการอัยการ จึงได้มีคำสั่งหนังสือทั้ง 2 ฉบับนี้มีการออก 2 ครั้ง อันนี้ผมข้ามไปนะครับ อย่างไรความเห็นของคณะกรรมการเขาเห็นว่า ควรดำเนินคดี และควรสั่งฟ้องไปแล้ว ทีนี้ สำนักงานอัยการสูงสุด ฝ่ายคดี เตรียมจะสรุปสำนวนคดีนี้เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 14 คนแล้ว แต่ต้องเลื่อนมาโดยตลอดครับ เลื่อนไปเลื่อนมา เลื่อนมาเลื่อนไป จนกระทั่งวันที่ 4 มีนาคม นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดี กล่าวว่า ได้พิจารณาสำนวนและข้อกล่าวหาแล้ว อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องบริษัทฟิลลิป กับพวก เนื่องจากพิจารณาข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานแล้ว ยังฟังไม่ได้ว่า พวกผู้ถูกกล่าวหาสำแดงเท็จ จึงมีคำสั่งไม่ฟ้อง และได้ส่งสำนวนและความเห็น ไปให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้ว ถ้าเห็นด้วยกับอัยการ ก็ถือว่าคดีเป็นอันยุติ ถ้าไม่เห็นด้วยกับอัยการ ก็ต้องทำความเห็นแย้งมาส่งให้กับอัยการสูงสุดพิจารณา ครับพี่น้องนี่ไงครับ

ที่ผมเรียงลำดับขั้นตอนมาทั้งหมด วันเวลานั้น ก็เพื่อจะสรุปให้พี่น้องเข้าใจว่า เรื่องนี้ที่สุดท้ายกลายเป็นว่า สำนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนั้น ก็เป็นผลอันเนื่องมาจากการที่นายกฯ มีบัญชาเรียกมาให้ทบทวนคำสั่งนั่นเองครับพี่น้อง ขณะนี้เผือกร้อนจึงโยนกลับมาที่อธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์ ผมจึงอยากจะเตือนท่านอธิบดีธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่เคารพรัก ผมก็รู้ว่าท่านก็มาจากอัยการเก่า แต่เท่าที่ดูเกียรติประวัติการทำงานของท่านนั้น พี่น้องครับ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ ถือได้ว่าเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มีความรู้ความสามารถ และก็มีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่พอสมควร เท่าที่ติดตามมา แต่วันนี้เมื่อฝ่ายการเมืองกดดันจนกระทั่งอัยการสั่งไม่ฟ้องและโยนสำนวนกลับมาหาธาริต เพ็งดิษฐ์ ปัญหามันจึงอยู่ว่า ธาริต เพ็งดิษฐ์ จะทำความเห็นอย่างไร ขณะนี้ฝ่ายการเมือง ทั้งนายกฯ ทั้งรองนายกฯ ทั้งใครต่อใคร กดดันธาริตตลอดพี่น้องครับ ผมจึงอยากจะแนะนำคุณธาริตว่า ถ้าคุณทำตามความต้องการของฝ่ายการเมือง คือสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกัน หรือยุติไม่ทำความเห็นแย้ง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ จะไม่มีแผ่นดินเดิน ไม่มีแผ่นดินอยู่ และลูกหลานครอบครัว ไม่รู้จะเอาปี๊บไปคลุมหัว จะยืนอยู่ในสังคมไทย ประเทศไทยได้หรือไม่ และ 2 แม้ว่าคุณตามใจนักการเมือง คุณเชื่อผมเลยนะครับว่า วันหนึ่งนักการเมืองมันก็เห็นคุณไม่มีความหมาย เพราะคุณเป็นคนที่สั่งได้ซ้ายหันขวาหันได้ เพราะฉะนั้นได้เมื่อเขาสั่งคุณได้ วันนี้คุณทำตาม วันรุ่งขึ้นเขาก็พร้อมจะเปลี่ยนอธิบดีดีเอสไอ เมื่อไหร่ก็ได้ ใช่ไหมครับพี่น้อง และขณะนี้ผมก็รู้ว่า มีรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนหนึ่ง ที่เป็นนายตำรวจ และเป็นคนใต้ และเป็นคนที่ชอบดำเนินคดีกับพี่น้องพันธมิตรฯ มันกำลังเลียแข้งเลียขานายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะวิ่งมาขอเป็นอธิบดีดีเอสไอแทนธาริต เพ็งดิษฐ์ และอาสาตัวว่า ถ้าปลดธาริต เพ็งดิษฐ์ เขาขอมาเป็นอธิบดีและจะสนองรับใช้ทุกอย่างครับพี่น้องครับ ไม่ว่าคดีนี้ หรือรวมทั้งดำเนินคดีกับพันธมิตรฯ เพื่อสนองอำนาจของรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงให้สุดลิ่มทิ่มประตู ให้สมกับเป็นทรราชจรกาให้ได้ครับพี่น้องครับ

เพราะฉะนั้นวันนี้ คุณธาริตครับ คำสั่งไม่ฟ้องของอัยการนั้น มันแย้งกับคำสั่งของพวกคุณอธิบดีดีเอสไอ และมันแย้งกับผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างเห็นได้ชัด กรณีนี้จะผิดจะถูกอย่างไรควรให้เป็นอำนาจของศาลพิจารณาและมีคำพิพากษาให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และกระบวนการของกฎหมายประเทศไทย ใช่ไหมครับพี่น้องครับ ผมเชื่อแน่ว่า ถ้าวันนี้ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ แย้งคำสั่งกลับไปยังอัยการว่า ยืนยันว่าเห็นสมควรฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส เพื่อปกป้องผลประโยชน์ประเทศไทย เอาภาษี 68,000 ล้าน กลับมาเป็นของคนไทยนั้น จะเป็นการตบหน้าสำนักงานอัยการ ตบหน้านายกฯ และฝ่ายการเมือง และจะทำให้คุณได้ใจ ได้ความถูกต้องเป็นเกราะกำบังคุ้มครองคุณจากพี่น้องประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน ทั่วประเทศจะออกมาปกป้องคุ้มครองคุณ และถ้าฝ่ายการเมืองเขามาปลดคุณ ก็เชื่อแน่ว่า ประชาชนจะยืนอยู่ข้างคุณ และจะร่วมสู้กับคุณจนถึงที่สุด

วันนี้ที่ผมมาพูดเรื่องนี้ก็เพียงอยากจะฝากไปถึงท่านอธิบดีดีเอสไอว่า ท่านควรจะต้องตัดสินใจเรื่องนี้โดยยึดมั่นในความถูกต้องและหลักการ สำนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ทำความเห็นสั่งฟ้องมาแล้ว ถ้าคุณไม่ยืนหยัดก็แสดงว่า คุณเองก็ไม่เคยให้ความเคารพ เชื่อมั่นหน่วยงานของคุณเลย ยิ่งจะทำให้คุณตกต่ำหนักลงไปอีก เพราะฉะนั้นการที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ จะตัดสินใจอย่างไรในวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่คนไทยทั้งประเทศกำลังเฝ้ามองและจับตามองคุณอยู่ คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ ผมหวังว่าคุณคงจะทำเหมือนคดีก่อน คดีก่อน เรื่องทุจริตของปลัดกระทรวงคนแรกที่ตั้งมาและมีเรื่องทุจริตเรื่องคอมพิวเตอร์ หลายอย่าง และดีเอสไอสอบสวนอยู่ มีขาใหญ่จากพรรคประชาธิปัตย์ ผู้จัดการรัฐบาล โทรไปขู่คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ ว่าอย่าเดินหน้าเรื่องนี้ พยายามหาทางเขี่ย หาทางเตะลูกออก คุณธาริตรีบสรุปสำนวนส่งฟ้อง ป.ป.ช.เรียบร้อยเลยครับพี่น้อง แล้วก็บอกว่า มันไม่ทันเสียแล้ว ผมส่ง ป.ป.ช.ไปแล้ว และ ป.ป.ช.ก็ชี้มูลแล้ว คนนั้นเลยไม่ได้เป็นปลัดครับ คุณก็เคยมีกลยุทธ์ที่ดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงหวังว่า คราวนี้คุณคงมีวิธีเอาตัวรอดจากการเป็นเหยื่อของนักการเมืองนะครับ

แต่ที่สำคัญครับพี่น้อง ที่ผมต้องมาตอกย้ำประเด็นนี้ก็คือ ทั้งหมดถ้าพี่น้องเห็นมาโดยลำดับ ทุกคนที่เขาทำหน้าที่ เขาทำหน้าที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ประเทสไทย รักษาผลประโยชน์ของชาติ และเรียกร้องดำเนินคดีเพื่อจะเอาภาษีจากบริษัทต่างชาติ ที่มาทำมาหากิน ส่งบุหรี่มาขายปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 500 ล้านซอง - 1,000 ซองแล้วครับตอนนี้พี่น้อง 1,000 ล้านซองนะไม่ใช่ 1,000 ซอง มาเผาผลาญสุขภาพปอด ตับของประชาชนชาวไทย โดยที่ประเทศไทยไม่ได้ภาษีนั้นมันก็เป็นความอัปยศอยู่แล้ว แต่คนที่จะช่วยบริษัทต่างชาติ กลายเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายเกียรติ สิทธีอมร 2 คนครับพี่น้อง จึงอยากจะให้พี่น้องจดจำชื่อ 2 ชื่อนี้ และนี่คือข้อเท็จจริง ข้อมูลและหลักฐาน ที่จะเป็นบทพิสูจน์ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลวกว่านายกฯ ทุกคนครับพี่น้องครับ เพียงเรื่องเดียวก็บอกได้แล้วว่า เลวหาที่ติดไม่มี แล้วเรื่องทั้งหมดที่ผมลำดับมานี้ ที่เอามาเล่าให้พี่น้องฟัง เพราะจะนำไปเป็นลำดับข้อกล่าวโทษ กล่าวหานายอภิสิทธิ์ นายเกียรติ สิทธีอมร และอัยการทั้งหมดที่ทำความเห็นสั่งไม่ฟ้องครับ ก็เลยทำการบ้าน ให้ผู้รู้เขารวบรวมมาแล้ว ก็เลยถือโอกาสมาเล่าให้พี่น้องฟังซะก่อน ทั้งหมดนี้จะมอบให้ พี่สุวัตร อภัยภักดิ์ และ อ.ปานเทพ ไปช่วยกัน ผมจะช่วยอีกแรงหนึ่ง เพราะว่าคุณสนธิมอบหมายแล้ว ในการปราศรัยเมื่อวานนี้ บนเวทีนี้ใช่ไหมครับพี่น้อง

สุดท้ายจึงอยากจะกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพรักว่า เรามาชุมนุมที่นี่ นอกจากมาปกป้องแผ่นดินแล้ว อะไรที่เราเห็นว่าเป็นผลประโยชน์ของชาติ ผลประโยชน์ของประชาชน เราไม่เคยละเลยเพิกเฉย และจะทำหน้าที่อย่างถึงที่สุดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้องชาวไทยครับพี่น้องครับ นอกจากเรื่องเงินภาษี 68,000 ล้านแล้ว ผมยังทำอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่เขาเอาที่ดิน ส.ป.ก.ไปทำโรงไฟฟ้าพลังงานลม พลังงานทดแทน 4-5 หมื่นไร่ เรื่องนั้นก็จะทำเรื่องร้อง ป.ป.ช. เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ของประชาชนเกษตรกร เช่นเดียวกันครับพี่น้องครับ จึงเห็นได้ว่าการชุมนุมของเราเป็นการชุมนุมที่มีเนื้อหา มีสาระ มีประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง ใครที่คิดสลายการชุมนุมนี้ ขอให้มันตกนรกร้อยชาติอย่าได้ผุดได้เกิด ขอให้ชีวิตครอบครัวและอนาคตทางการเมืองของมันพบแต่ความวิบัติฉิบหาย ใครคิดมาทำลายพ่อแม่พี่น้องประชาชน ขอให้มันมีอันเป็นไป ขอให้กรรมตามสนองมัน ขอบคุณครับพี่น้องครับ”
กำลังโหลดความคิดเห็น