xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

รบ.มาร์คสำลักภาษีบุหรี่นอก 6.8 หมื่นล้าน หน้าหล่อ=หน้าเหลี่ยม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในที่สุด “นายชัย ชิดชอบ” ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้เคาะวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เป็นวันที่ 15-17 มีนาคม และเปิดโอกาสให้ลงมติในวันที่ 18 มีนาคม โดยลดเวลาอภิปรายจาก 4 วัน เหลือ 3 วัน หลังการขบเหลี่ยมชิงความได้เปรียบทางการเมืองกันเล็กน้อยระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้าน ท่ามกลางเสียงโวยวายของบรรดาพรรคเพื่อไทย พร้อมกับเสียงปรามาสว่า เป็นวิชามารของรัฐบาลในการหลบเลี่ยงประวิงเวลาเพื่อหนีตายการซักฟอกออกไป

การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วัน พรรคเพื่อไทยได้พุ่งเป้าในการยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล โดยจะชี้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารงานล้มเหลว ไร้ภาวะผู้นำ เปิดช่องโกงกิน คอร์รัปชั่นกว่าทุกรัฐบาล เข้าสู่ตำแหน่งผิดทำนองคลองธรรม ถือ 2 สัญชาติ แทรกแซงแต่งตั้งข้าราชการ ปล่อยให้มีการซื้อขายตำแหน่ง แทรกแซงกิจการภายในประเทศเพื่อนบ้าน และก่อให้เกิดปัญหาปากท้อง สินค้าราคาแพง

เรียกว่าจองกฐินยาวเป็นหางว่าวทีเดียวสำหรับพรรคเพื่อไทยงวดนี้

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาประเด็นหรือหัวข้อที่พรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายทั้งหมด ประเด็นใหม่ล่าสุดที่สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งเห็นจะหนีไม่พ้นกรณีภาษีบุหรี่ 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งพรรคเพื่อไทยออกมาแฉความไม่ชอบมาพากลว่าคนใกล้ชิด นายกรัฐมนตรี อักษรย่อ "เสี่ย ก." ได้ล็อบบี้อัยการให้มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ยูไนเต็ด จำกัด กับพวกผู้บริหารรวม 14 คน ผู้ต้องหากระทำผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 และ พ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ.2509 ฐานร่วมกันแสดงราคานำเข้าบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร และแอลเอ็ม จากประเทศฟิลิปปินส์ ต่ำกว่าปกติ เพื่อชำระภาษีบุหรี่ต่อกรมสรรพสามิตน้อยกว่าความเป็นจริง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 68,881 ล้านบาท ซึ่งอัยการได้มีความเห็นไม่สั่งฟ้องไปเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2554

ทั้งนี้ เรื่องราวความเป็นมาที่พรรคเพื่อไทยได้ฉายหนังตัวอย่างก่อนศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเริ่มขึ้นมีอยู่ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้เข้าไปทำคดีดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี หลังกรมสรรพากรตรวจสอบพบว่าระหว่างปี 2546-2552 บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส ฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าบุหรี่หัวนอก 2 ยี่ห้อคือ มาร์ลโบโร และแอลเอ็ม สำแดงการนำเข้าสินค้าบุรี่จากประเทศฟิลิปปินส์เป็นความเท็จ โดยระบุราคานำเข้าต่ำกว่าราคาที่แท้จริงเพื่อเลี่ยงภาษี หากเปรียบเทียบกับผู้นำเข้าอิสระเจ้าอื่น 3รายคือ บริษัท สายการบินกรุงเทพ จำกัด บริษัท คิงส์เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ บริษัทอลิส อินเตอร์ จำกัด จะพบว่าต้องนำเข้าราคาสูงกว่า

กล่าวคือ ฟิลลิป มอร์ริส ฯ สำแดงราคานำเข้าบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร 7.76 บาทต่อซอง และบุหรี่ยี่ห้อแอลเอ็ม ราคา5.88 บาทต่อซอง แต่ในขณะที่ 3 บริษัทสำแดงนำเข้าบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร 27.46 บาทต่อซอง และบุหรี่ยี่ห้อแอลเอ็ม ราคา16.81 บาทต่อซอง ซึ่งรวมทั้งหมดแล้ว ฟิลลิป มอร์ริส ฯ สำแดงราคานำเข้าต่ำไปประมาณ 68,881 ล้านบาท

ส่วนที่จะโยงไปถึงความเกี่ยวข้องระหว่างฟิลลิป มอร์ริสฯ กับนายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยตรงเกิดขึ้นหลังดีเอสไอมีความเห็นสั่งฟ้องคดีต่ออัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2552 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้รายงานเรื่องนี้ให้นายกรัฐมนตรีทราบในวันต่อมา อีกทั้งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน นายพีระพันธุ์ยังได้ทำหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรีเรื่องการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของสินค้าสุราและยาสูบนำเข้าจากต่างประเทศ มีการสำแดงราคานำเข้าเป็นเท็จ ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยแจ้งนายกรัฐมนตรีว่า ได้ทำหนังสือแจ้งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอแนะแก้ไขกฎหมายการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตต่อ ครม.เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2552 แต่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้นำเรื่องมาพิจารณาและไม่ได้แจ้งให้ครม. พิจารณารับทราบแต่อย่างใด

นั่นหมายความว่านายอภิสิทธิ์มิอาจปฏิเสธความรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้

ทั้งนี้ หัวใจหลักที่พรรคเพื่อไทยหวังดิสเครดิตในเวทีสภาผู้แทนราษฎร คือเปิดเผยข้อมูลที่อ้างว่านายอภิสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต่อมาพบมีการออกหนังสือเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างกรมศุลกากรกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต สำนักงานอัยการสูงสุด กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานผู้แทนการค้าไทย เข้าหารือที่ทำเนียบรัฐบาลอย่างน้อย 3-4 ฉบับ โดยทุกครั้งมีการลงชื่อโดยที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ คือ “นายพงศ์ศักดิ์ เสมสันต์” โดยมีการหยิบยกคดีที่ดีเอสไอสั่งฟ้อง ฟิลลิป มอร์ริส เกี่ยวกับสำแดงภาษีนำเข้าเป็นเท็จขึ้นมาพิจารณา

ส่วนข้อสงสัยที่ว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของนายอภิสิทธิ์ ก็ตรงที่มีการเรียกอัยการสูงสุดเข้าประชุมทั้งที่เป็นผู้ชี้เป็นชี้ตายของคดี ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็คงต้องหาทางเอาตัวรอดในศึกซักฟอกว่าเหตุใดจึงมีหนังสือออกโดยสำนักเลขาธิการนายกฯ ซึ่งเนื้อหาในหนังสือระบุว่า เป็นบัญชาของนายกรัฐมนตรี และใช้ตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ประชุม

สำหรับข้อสงสัยในส่วนของ "เสี่ย ก."ตามข้อกล่าวอ้างของพรรคเพื่อไทย ที่นั่งเป็นประธานการประชุม ซึ่งในทางปฏิบัติไม่มีอำนาจอะไรที่จะเข้าไปนั่งเป็นประธาน เพราะไม่ปรากฏหนังสือแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันยังมีความสัมพันธ์ของตัวละครที่เกี่ยวโยงกันไปถึง "เสี่ย ก." ก็คือนายพงศ์ศักดิ์ เสมสันต์ ซึ่งเป็นผู้ลงนามในหนังสือเวียนในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

เพราะนายพงศ์ศักดิ์เคยดำรงตำแหน่งปลัดกรุงเทพมหานคร ในยุคที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ กทม. ขณะที่ตัวละครผู้ถูกพาดพิงในเรื่องนี้อีกคนหนึ่งคือนายเกียรติ สิทธีอมร ก็เคยเป็นที่ปรึกษานายอภิรักษ์ สมัยที่เป็นผู้ว่าฯ กทม.มาก่อนเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาก่อนที่หนังจะเริ่มฉายจริงในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยยังได้แสดงบทหมูไม่กลัวน้ำร้อน ด้วยการเปิดชื่อคณะทำงานของอัยการที่พิจารณาคดี จำนวน 6 คน แถมด้วย การปูดว่า เสี่ย ก. เป็นหน้างานในงานระดมทุนพรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุว่าเสี่ย ก.เป็นขุนพลคนสำคัญในการขายโต๊ะจีนให้พรรคประชาธิปัตย์ทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลที่ได้ออกมาแฉก็มาจากคนของพรรคประชาธิปัตย์เองด้วยซ้ำ

ตบท้ายด้วย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เจ้าเก่าที่เป็นคนแฉเรื่องนี้ออกมา ยังแฉเอกสารหลักฐานซ้ำด้วยการอ้างมีหนังสือสำนักเลขาธิการนายกฯ ซึ่งหนังสือดังกล่าวตั้งเรื่องขึ้นโดยสำนักงานผู้แทนการค้าไทย โดยมีเนื้อหาให้เชิญผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดร่วมหารือกับประธานผู้แทนการค้าไทย ที่สำคัญเป็นหลังจากที่ดีเอสไอได้สรุปสำนวนสั่งฟ้องจนมีผลให้อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีในเวลาต่อมา

ในขณะที่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกโรงปฏิเสธทุกข้อมูลที่ฝ่ายเพื่อไทยออกมาแฉความไม่ชอบมาพากลของการสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว รวมไปถึงการออกโรงปฏิเสธของนายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย ที่ได้ปัดทุกข้อกล่าวหาของพรรคเพื่อไทยว่าเป็นตัวละครสำคัญของการล็อบบี้สั่งไม่ฟ้องคดีในครั้งนี้ด้วยเช่นกันและได้เกทับพรรคเพื่อไทยว่าเป็นการขุดเรื่องเก่ามาขายซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสียด้วยซ้ำ ซึ่งสุดท้ายได้ฝากความหวังและเตรียมชงข้อมูลให้นายอภิสิทธิ์ ไปชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯแทน

กระนั้น คดีนี้ก็ยังมิได้จบสิ้นกระบวนความเสียทีเดียว โดย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชี้แจงว่า ดีเอสไอยังไม่สรุปความเห็นแย้งสำนวนคดีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง 14 ผู้บริหารบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ โดยภายหลังพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องได้ส่งความเห็นกลับมายังดีเอสไอเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กลุ่มงานความเห็นแย้ง ดำเนินการวิเคราะห์ว่าจะมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเหมือนกับอัยการหรือไม่ ส่วนจะสามารถสรุปความเห็นส่งอัยการได้เมื่อใดนั้นยังไม่สามารถบอกได้ ยืนยันว่าจะไม่กดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่หนังตัวอย่างซึ่งสุดท้ายแล้วคงต้องรอการฉายจริงโดยพรรคเพื่อไทย ในศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นในวันที่ 15-17 มีนาคมนี้ ว่าจะมีฝีมือในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านเพียงใดและจะสามารถสร้างบาดแผลให้นายอภิสิทธิ์ ได้มากน้อยแค่ไหนซึ่งคงต้องติดตามดูตอนฉายจริง

และสำหรับนายอภิสิทธิ์เองในฐานะนายกรัฐมนตรี คงต้องตอบข้อสงสัยทั้งหลายให้สังคมหมดความเคลือบแคลงให้ได้ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่จะมีขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้า

เนื่องเพราะเงินเดิมพันก้อนนี้สูงพอๆ กับคดียึดทรัพย์ นช.ทักษิณ ชินวัตร

เนื่องเพราะคดีนี้กำลังเดินไปในร่องเดียวกับการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กโดยไม่เสียภาษี

กำลังโหลดความคิดเห็น