ASTVผู้จัดการรายวัน-"มาร์ค"ทำมึน หลังสื่อจี้ถามเรื่องช่วย 7 คนไทยไม่คืบ โยนบัวแก้วชี้แจงอ้างป้องกันความสับสน พร้อมกลบเกลื่อนเรื่อง "ฮุนเซน" ไม่รับสาย "กษิต"แจงครม. ศาลเขมรตัดสินอาทิตย์นี้ พร้อมปูดเงื่อนไขแลกเปลี่ยนนักโทษ 5 ต่อ 4 คน "วีระ-ราตรี" อ่วม เจอศาลเขมรแจ้งข้อหาจารกรรมเพิ่ม ด้านประธานเจบีซีไทย-เขมร ถกวันนี้ หา 25 หลักเขตแดน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรับมนตรี (ครม.) วานนี้ (11 ม.ค.) ถึงความความคืบหน้าในการช่วยเหลือ 7 คนไทย ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุม โดยตั้งข้อหารุกล้ำดินแดน ว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานให้ทราบถึงการทำงาน ทั้งในเรื่องของคดี และการช่วยดูแล อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ การให้ข่าวเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น
ส่วนกรณีที่ทางการกัมพูชาได้มีการตั้งข้อหาจารกรรมเพิ่มต่อนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ 2 ใน 7 คนไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมนั้น วันนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องนี้ในที่ประชุมครม.
ทั้งนี้ ในกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอให้นายกรัฐมนตรีต่อสายคุยกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชานั้น นายกฯ กล่าวว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจง เมื่อถามว่านายกฯ มองท่าทีของสมเด็จฮุนเซนอย่างไร ในการออกมาพูดในลักษณะที่แข็งกร้าว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้ อันนี้คือสิ่งที่ได้คุยกันเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
เมื่อถามต่อว่า แนวทางการต่อสู้หลังจากนี้ของกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นอย่างไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นผู้ชี้แจง เมื่อถามอีกว่าแล้วเรื่องนี้จะชี้แจงต่อประชาชนอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ดำเนินการให้ข่าวทั้งหมด อันนี้เป็นสิ่งที่ได้คุยกันแล้ว และคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะผู้นำประเทศยืนยันในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ยืนยันอย่างนี้ว่า เรื่องทั้งหมดอยู่ในระหว่างรัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือ 7 คน เราทำภายใต้นโยบายรัฐบาล เรามีหน้าที่ 3 อย่าง คือ ดูแลประชาชนคนไทยทุกคน เมื่อมีคนของเราถูกจับกุมไป 7 คน ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด เรามีหน้าที่รักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รักษาสัมพันธ์ที่ดี เพื่อที่จะให้ประชาชน 2 ประเทศ หรือประเทศใดก็ตาม สามารถได้ประโยชน์และอยู่ร่วมกันได้อย่างดี และเรามีหน้าที่รักษาอธิปไตย และสิทธิของประเทศของเรา และประชาชนของเรา ทั้งหมดนี้คือเป้าหมาย ไม่อยากพูดอะไรเพิ่มเติม สถานการณ์ขณะนี้มีการรายงานคำพูดต่างๆ ออกไป ที่ผ่านมาหลายครั้งปรากกฎว่า ถ่ายทอดไปแล้วมีการเข้าใจไปอีกอย่าง ก็จะกระทบกระเทือน เพราะฉะนั้นก็เลยบอกว่า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ให้กระทรวงการต่างประเทศให้ข้อมูลกับประชาชนเพียงจุดเดียว เนื่องจากว่า รมว.ต่างประเทศกับตน พูดคุยกันตลอดอยู่แล้ว หน่วยงานอื่นๆ มีอะไรก็ต้องพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศ
***เฉไฉเรื่องต่อสายตรงหา"ฮุนเซน"
ส่วนที่นายกฯ ฮุนเซนระบุว่า มีการต่อสายจากสายจากนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เข้ามาที่โทรศัพท์ กว่า 10 สายนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ ก็โทรศัพท์ของนายกฯ ฮุนเซน ตนก็ไม่ทราบ และไม่ได้เห็น เมื่อถามว่า สะท้อนอะไรหรือไม่ เมื่อมีโทรศัพท์เข้าไปยังเครื่องของนายกฯ ฮุนเซน แต่ไม่มีการรับสาย เหมือนมีเจตนาที่จะไม่รับสาย นายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบครับ ตนไปตอบไม่ได้ ใครโทรศัพท์ถึงใครบ้าง
เมื่อถามว่า นายกฯ ได้ให้เบอร์โทรศัพท์นายกฯ ฮุนเซน กับนายพนิช วิกิตเศรษฐ ส.ส.ปชป.หรือไม่ เพราะมีสมเด็จฮุนเซน ระบุด้วยว่า มีการโทรจากคุกด้วย นายกฯ กล่าวว่า ประเด็นอย่างนี้แหละครับที่จะให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นคนชี้แจง
เมื่อถามว่าแต่วันนั้นนายกฯ เป็นคนสั่งเอง ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นคนประสานนำ 7 คนไทยกลับ และไม่ขึ้นกระบวนการศาล แล้วนายกฯ จะบอกว่าไม่ทราบได้อย่างไร อย่างน้อยรัฐมนตรีต่างประเทศ ต้องติดต่อกับยังนายกฯฮุนเซน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนมีหน้าที่ในการมอบนโยบาย และก็มอบตามนั้น และได้บอกกับพวกเราตามนั้น การประสานรายละเอียดเป็นอย่างไร ตนไม่ทราบ
เมื่อถามว่า นายกฯได้ให้เบอร์โทรศัพท์ของนายกฯฮุนเซน กับนายกษิต หรือเปล่า นายกฯ หัวเราะโดยไม่ได้ตอบคำถาม เมื่อถามต่อว่าถือว่าความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชา ล้มเหลวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ก็ไม่มีอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อนายกฯ บอกว่ามอบนโยบาย แล้วนายกฯ ได้มีการติดตามนโนบายที่มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการ มีความคืบหน้าหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนติดตามนโยบาย แต่ตนไม่จำเป็นต้องถามวิธีการที่เขาทำงานทุกขั้นตอนเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า แต่การที่สมเด็จฮุนเซน ออกมาพูดในลักษณะนี้ เป็นการสะท้อนอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวเพียงว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจง
เมื่อถามต่อว่า ท่าทีของนายกฯ วันแรกบอกให้กัมพูชาปล่อยตัว 7 คนไทยในทันที นายกฯ ย้ำหลายรอบมาก มาวันนี้ไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ เหมือนนายกฯฮุนเซนไม่ค่อยพอใจกับคำพูดคำนี้ นายกฯ จะชี้แจงอย่างไร นายกฯ กล่าวเพียงว่า ไม่ต้องพูดซ้ำแล้วนะครับ
เมื่อถามว่า การที่ต้องมาถามนายกฯ เพราะความคืบหน้าจากกระทรวงการต่างประเทศไม่มีเลย นายกฯ กล่าวว่า ไม่หรอกครับ เพราะจากที่ได้มีการหารือกันแล้ว และมีการซักซ้อมในครม.แล้ว ฉะนั้นกระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ชี้แจงมากขึ้น เดี๋ยวถามรัฐมนตรีกษิตได้ ขณะนี้ทุกคนทำกันเต็มที่
** แลกผู้ต้องหาไทย 5 คน เขมร 4 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครม.เมื่อวานนี้ หลังเสร็จสิ้นการพิจารณาตามระเบียบวาระการประชุมแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ขอให้นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ รายงานสถานการณ์และความคืบหน้าในการหาทางช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกจับกุม ซึ่งนายกษิต รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศได้พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คน โดยได้อำนวยความสะดวกในการพาญาติเข้าไปเยี่ยมเป็นระยะๆ รวมทั้งการตั้งทนายความให้ 2 คน และรวบรวมสนับสนุนประเด็นที่จะใช้ต่อสู้ในชั้นศาล
ส่วนเรื่องการจะตั้งที่ปรึกษาทางกฎหมาย ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของผู้ต้องหาแต่ละราย ซึ่งการดำเนินการนั้น คงต้องเป็นไปตามขั้นตอน เพราะขณะนี้คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลแล้ว และทราบว่า ทางศาลกัมพูชาจะตัดสินคดีในอาทิตย์นี้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศ ก็พยายามแก้ปัญหากันไปตามขั้นตอน เพราะตอนนี้คงจะไปทำอะไรยาก เนื่องจากเรื่องอยู่ในชั้นศาลแล้ว
นายกษิตยังได้รายงานในครม.ด้วยว่า เรื่องพื้นที่บริเวณที่เป็นปัญหา ตามที่มีประชาชนร้องเรียนมานั้น เท่าที่ตรวจสอบพบว่า เป็นพื้นที่ที่มีประชาชนไทยอาศัยอยู่ทำกิน โดยมีเอกสารสิทธิ์มา 30 ปีแล้ว ซึ่งพื้นที่ตรงนี้ ก็อยู่ในฝั่งไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายกัมพูชา ก็มีข้อแลกเปลี่ยนกับฝ่ายไทยมาเรื่อยๆ โดยการขอแลกเปลี่ยนตัวนักโทษ โดยฝ่ายกัมพูชา ตกลงจะปล่อยตัวนักโทษชาวไทยกลับมาให้เรา 5 คน ส่วนประเทศไทย ตกลงจะส่งกลับนักโทษชาวกัมพูชากลับไปให้ 4 คน แต่ติดขัดที่การดำเนินการของเราล่าช้า เพิ่งส่งตัวนักโทษของเขาไปให้เพียง 1 คน และกำลังจะส่งอีก 1 คน ซึ่งเขาก็ทวงเรามาเรื่อย ทั้งนี้ในวันนี้ทางตม.ของไทย ก็จะปล่อยแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาอีก 60 คน
นายกษิตยังได้เน้นย้ำต่อครม.ว่า กระทรวงการต่างประเทศพยายามเร่งรัดเต็มที่ในการประสานงานให้ความช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คน แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า ตอนนี้ยิ่งมีคนที่ไม่ได้รับผิดชอบโดยตรง และไม่ได้รู้ข้อเท็จจริง แต่ยิ่งไปพูดไปให้สัมภาษณ์ ก็จะยิ่งยุ่ง ทำให้เกิดความสับสน ยิ่งกระทบ ทำให้การทำงานของกระทรวงการต่างประเทศยากมากขึ้น ดังนั้น อยากจะขอเลยว่าขอให้ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้อง อย่าออกมาพูดให้ความเห็นเรื่องนี้ เพราะทุกครั้งที่มีความเห็นออกไปก็จะมีปัญหาทุกที
ขณะที่นายกรัฐมนตรี ก็สนับสนุนให้กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คนเพียงผู้เดียว อย่าให้คนอื่นออกไปให้ข่าวแสดงความคิดเห็น เพราะกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่ารู้ข้อมูลดีที่สุด และเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ใครที่ไม่รู้ข้อมูล ก็อย่าไปให้ความเห็น
*** อนุมัติงบลับให้ทหารรับมือข้อพิพาท
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังเลิกการประชุมครม.แล้ว นายกรัฐมนตรี ยังได้เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ มาหารือนอกรอบกันอีกครั้ง
ทั้งนี้ การหารือในที่ประชุมครม.ครั้งนี้ นายกฯ ได้กำชับทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ห้ามเผยแพร่ประเด็นที่มีการหารือกันในที่ประชุมครม. ออกไปภายนอก อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครม.ครั้งนี้ ที่ประชุมครม.ยังได้มีมติอนุมัติงบลับให้กับกระทรวงกลาโหม เพื่อใช้ในการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร เป็นจำนวนเงินถึง 517,594,423 บาทด้วย
**"กษิต"รายงานความคืบหน้านายกฯ
เมื่อเวลา 17.00 น. ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจพบกับคณะกรรมการญาติวีชนพฤษภา 35 และครอบครัววีรชนพฤษภา 35 ที่ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ได้เดินออกจากห้องสีฟ้า และเข้าพบกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ซึ่งนายกษิตได้ไปนั่งรอนายกฯ อยู่ในห้องดังกล่าว ภายหลังเสร็จสิ้นจากการบันทึกเทปรายการเจาะลึกครม. ที่จะออกอากาศในคืนวันที่ 11 ม.ค. ทางช่อง 11 เพื่อเป็นการชี้แจงแนวทางการช่วยเหลือ 7 คนไทย
ทั้งนี้ การพบกันของนายกฯ และนายกษิต ยังมีนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศ และใช้เวลาในการพูดคุยกันประมาณ 10 นาที
จากนั้นนายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ส่วนนายกษิต ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ตนมารายงานนายกรัฐมนตรี ถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือ 7 คนไทย ซึ่งล่าสุดเรายังต้องรอความชัดเจนในกระบวนการของศาลกัมพูชาวันที่ 12 ม.ค. อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่ามีสัญญาณจากกัมพูชาดีขึ้นหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า เราก็มีการประสานพูดจากับกัมพูชาตลอดเวลา ซึ่งตนจะชี้แจงความเป็นมาของปัญหาทั้งหมดในรายการ เจาะลึก ครม. ที่จะออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ในช่วงค่ำวันที่ 11 ม.ค. อีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ นายกษิต ภิรมย์ ได้กล่าวในรายการ "เจาะลึก ครม." ออกอากาศทางช่อง NBT ค่ำวันเดียวกัน ว่า ความคืบหน้าในการช่วยเหลือ 7 คนไทย เรื่องคดีมีการตั้งข้อหาเพิ่มนายวีระ และผู้ต้องหาหญิง 1 ราย ว่าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของกัมพูชา ซึ่งทนายของทั้ง 7 คน ได้ยื่นขอประกันตัว และศาลกัมพูชารับทราบแล้ว ต้องรอการพิจารณาซึ่งอาจจะทำควบคู่ไปกับการพิพากษาตัดสินจะทราบผลภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งสถานทูตไทยก็ได้เร่งให้ดำเนินกระบวนการยุติธรรมให้สิ้นสุดโดยเร็ว ซึ่งถ้ายืดเยื้อ แต่ละฝ่ายก็จะถูกกดดันจากภายในประเทศซึ่งทำให้เป็นปัญหาโดยใช่เหตุ ส่วนกรณีของนายวีระก็ต้องดูว่ามีข้อกล่าวหาอย่างไร นายวีระจะให้ความร่วมมืออย่างไร
*** ลุ้นประกัน-ขอพระราชทานอภัยโทษ
นายชวนนท์ โกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า วันนี้ (12 ม.ค.) ศาลกัมพูชาน่าจะมีความชัดเจนเรื่องการขอประกันตัว 7 คนไทย ที่ยื่นคำร้องไปเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศ ยอมรับว่า การขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นแนวทาง 1 ในการช่วยเหลือ 7 คนไทยกลับประเทศ เหมือนที่เคยดำเนินการกับคดีคนไทยในกัมพูชาที่ผ่านๆ มา แต่คงต้องหารือกับฝ่ายกฎหมายอีกครั้งว่า แนวทางใดจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้
นอกจากเรื่องความคืบหน้าของคดีแล้ว นายชวนนท์ กล่าวว่า ที่ประชุมครม. ยังหารือกันถึงเรื่องการตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อช่วยเหลือ 7 คนไทยด้วย เป็นการกำหนดแนวทางการทำงานให้ชัดเจนว่า เรื่องนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบในภาพรวมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจงให้ข่าวแก่สื่อที่มีกรมสารนิเทศดูแลอยู่ การประสานความช่วยเหลือและติดต่อกับญาติของ 7 คนไทยก็เป็นหน้าที่ของกรมการกงสุล ส่วนการประสานเรื่องคดี ก็เป็นหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ
*** แจ้งข้อหา"วีระ-ราตรี" เพิ่ม
นายชวนนท์กล่าวว่า ล่าสุดอัยการกัมพูชาได้แจ้งข้อหาเพิ่มกับนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ฐาน “พยายามประมวลข่าวสาร ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศ ตาม มาตรา 27 และ มาตรา 446 ของกฎหมายกัมพูชา” โดยศาลนัดไต่สวนเพิ่มเติมเฉพาะ 2 คนนี้ ในเช้าวันนี้ (12 ม.ค.) ซึ่งการเพิ่มข้อหาครั้งนี้ จะทำให้การช่วยเหลือบุคคลทั้งสอง ทำได้ยากมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องการประกันตัว
ส่วนอีก 5 คน ที่มีแค่ข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และเข้าเขตทหารโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลกัมพูชา ยังไม่ได้มีคำสั่งว่าจะดำเนินการอย่างไร ดังนั้นคงต้องรอดูความชัดเจนจากศาลก่อนว่า จะนัดพิจารณาคดีเลยหรืออนุญาตให้ประกันตัว
ในวันเดียวกันนี้ ที่กระทรวงการต่างประเทศ กลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติได้มาชุมนุมหน้ากระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยประกาศไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา พร้อมกับเรียกร้องให้นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และ นายชวนนท์ ลาออก
*** เชื่อ 7 คนไทยไม่เจตนาล้ำเขตแดน
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ขณะนี้ตนมีข้อมูลอยู่มาก เพราะต่างฝ่ายต่างให้ข้อมูลมา ทั้งนี้ ตนขอให้มั่นใจและเชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินการต่างๆ ว่า จะดำเนินการบนผลประโยชน์ของคนไทย และรักษาผลประโยชน์ของชาติไว้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าทั้ง 7 คนไทย ไม่ได้มีเจตนาที่ต้องการรุกล้ำ เพราะไม่มีอาวุธ
ขณะนี้ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มีหลายจุดที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดน และมีหลายหลักเขตที่ยังไม่สามารถหาพบ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมา จากศึกสงครามของประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น จึงมีบางพื้นที่ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นของใครทั้งสิ้น รวมทั้งในพื้นที่ที่เกิดปัญหาก็เช่นเดียวกัน ที่ยังไม่มีใครได้ใครเสียเรื่องดินแดน ซึ่งขอให้เชื่อตน จนกว่าจะมีการปักปันเขตแดนตามข้อตกลงของทั้งฝ่ายที่ทำกันไว้เสร็จสิ้น ถึงจะชัดเจน
"เมื่อไม่มีความชัดเจนเรื่องเขตแดน ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ ก็ต้องมีการตกลงว่าจะยึดถืออะไร และที่ผ่านมาผู้บริหารประเทศระดับสูงทั้งสองประเทศได้ตกลงกันไว้ว่า หากมีการพลัดหลงในพื้นที่ชายแดนที่ไม่มีความชัดเจน ก็ขอให้ยกเว้นในส่วนการดำเนินคดีทางศาล เพราะจะมีปัญหามาก แต่ทั้งนี้ คิดว่ากัมพูชาคงเห็นว่า ทั้ง 7 คนไทย มีเจตนาที่จะรุกล้ำ จึงส่งเรื่องไปถึงศาล"
เมื่อถามถึงการเตรียมข้อมูลอะไรในการสู้คดีกับทางกัมพูชา นายถวิล กล่าวว่า ทางฝ่ายทนาย และผู้ที่เกี่ยวข้อง กระทรวงต่างประเทศ ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
***13ม.ค.กองทัพธรรมชุมนุมหน้าสถานทูตกัมพูชา
ท่านสมณะโพธิรักษ์แห่งสันติอโศก กล่าวว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 13 ม.ค.นี้ จะมีการชุมนุมหน้าสถานทูตกัมพูชา ในกรณีที่ควบคุม 7 คนไทย พร้อมเรียกร้องให้ทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปัตย์(พธม.)มาร่วมชุมนุม เนื่องจากรอถึงวันที่ 25 ม.ค.นี้ คงไม่ทันการ
***จวกสถานทูตไทยกีดกัน
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ และ มล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของเครือข่ายฯ ที่เดินทางไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเยี่ยมและให้ข้อแนะนำทางกฎหมายกับ 7 คนไทย ที่ถูกกัมพูชาจับกุมข้อหารุกล้ำดินแดน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553 และศาลกัมพูชากำลังไต่สวนความผิด ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้า
นายไชยวัฒน์กล่าวว่า ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของเครือข่ายฯ ที่นำโดยนายการุณ ใสงาม ได้เดินทางไปยังกรุงพนมเปญ เพื่อขอพบ 7 คนไทย แต่สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญไม่ให้ความร่วมมือ และทำให้เรื่องนี้บานปลาย โดยคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายฯ เดินทางกลับไทยเพื่อวางแนวทางการสู้คดีใหม่ และจะกลับไปกรุงพนมเปญในวันที่ 12 ม.ค. โดยพฤติกรรมของนายประสาท ปราสาทวินิจฉัย เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญนั้น แสดงท่าทีกีดกัน คณะที่ปรึกษาฯ ในการต่อสู้คดี
“คำพูดของนายประสาท ที่หลุดออกมานั้น คือ หากเคลื่อนไหวมากๆ พื้นที่ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว จะตกเป็นของกัมพูชา เรื่องนี้มีใบสั่งจากรัฐบาลไทยไปยังนายประสาทในการปิดกั้นความจริงเรื่องนี้” นายไชยวัฒน์ กล่าว
มล.วัลย์วิภากล่าวว่า ตนร่วมเดินทางไปกับคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายฯ เพื่อเตรียมสู้คดี แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือ นโยบายรัฐบาลพยายามไม่ปกป้องสิทธิของคนไทยที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ มันประจักษ์ชัดว่า กระทรวงการต่างประเทศรับนโยบายรัฐบาล และสั่งไปยังสถานทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ตนขอประณาม นายประสาท เพราะพื้นฐานเดิมของนายประสาท ในการแก้ไขปัญหาแนวชายแดนไทย-กัมพูชานั้น พยายามใช้แผนที่ 1:2 แสน ตร.กม. สิ่งใดที่เกี่ยวกับชายแดนนั้น นายประสาทจะไม่เข้าไปรับผิดชอบ ข้อหาที่ 7 คนไทยโดนจับกุมนั้น เป็นการข้ามแดนโดยไม่มีพาสปอร์ตเท่านั้น และคนไทยบางส่วนในกลุ่มนี้ รู้ความจริงนี้ดีว่า คนไทย 7 คนยังอยู่ในดินแดนไทย แต่ทหารกัมพูชาที่พกอาวุธ ล้ำแดนเข้ามาในดินแดนไทย
***ชุมนุมไล่ กษิต-ชวนนท์-ประสาท
นายไชยวัฒน์ กล่าวเสริมว่า คณะที่ปรึกษาฯ ยืนยันว่า พื้นที่เกิดเหตุนั้น เป็นพื้นที่ของประเทศไทย แต่ทางจ.สระแก้ว และคนในพื้นที่ยืนยันว่า เป็นพื้นที่กัมพูชานั้น กลไกเรื่องนี้ทำให้ไม่ตระหนักถึงความจริง และรัฐบาลสั่งปิดกั้นความจริง และเรื่องนี้ไปโผล่แล้วที่กรุงพนมเปญ พวกตนจึงจะไล่ล่าความจริง และขอให้คนพวกนี้ออกมารับผิดชอบ และวันนี้ เวลา 13.00 น. เครือข่ายฯจะไปกดดันนายกษิต นายชวนนท์ รวมทั้งนายประสาท ให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพราะไปยกดินแดนไทยให้กัมพูชา หากยังไม่ลาออก พวกตนจะกดดันนายกฯ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมให้ลาออก
"วันนี้ชัดเจนว่า ผู้ใหญ่ในรัฐบาลไทยบางคนสมคบกับ สมเด็จฮุนเซน ดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องระหว่างประเทศที่ใหญ่โต และที่รัฐบาลไทยประโคมข่าวว่า การเคลื่อนไหวของเครือข่ายฯทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ยืนยันว่าประชาชนของสองประเทศ ต่างเข้าใจกัน เพราะชาวกัมพูชาให้กำลังใจกับเครือข่ายฯ"
นายไชยวัฒน์ กล่าวยืนยันว่า พื้นที่ที่ 7 คนไทยโดยจับนั้น เป็นพื้นที่ของไทยตามสนธิสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องส่งให้องค์กรกลางรับผิดชอบ เพราะเมื่อปี 2518 องค์การสหประชาชาติสร้างแคมป์อพยพผู้ลี้ภัยสงครามในกัมพูชาในพื้นที่นี้ และเครือข่ายฯ กำลังประสานกับเลขาธิการองค์การประชาชาติ ให้รับเรื่องนี้ไปพิจารณาต่อไป
*** “ปานเทพ”ซัด“ศิริโชค”เบี่ยงประเด็น
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์ ผ่านรายการยามเช้าริมเจ้าพระยา ออกอากาศทางสถานี ASTV ทีวีของประชาชน ถึงกรณีที่ นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโต้คำพูดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผ่านเฟซบุ๊ก ที่บอกว่า “แคมป์เขมร หรือศูนย์ช่วยเหลือเขมรอพยพบริเวณชายแดน บ้านหนองจาน อยู่ในพื้นที่กัมพูชา” นั้น เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน ตามแผนที่ UNHCR และ UNBRO เขียนถึงบริเวณที่ดูแล เป็นจุดสามเหลี่ยม รวมถึงเขาล้าน หนองจาน ซึ่งเป็นพื้นที่ของไทย ส่วนที่รัฐบาลนำมาเสนอ เป็นที่ตั้งของทหารกองกำลังเขมรสามฝ่าย ซึ่งต้องอยู่ฝั่งกัมพูชาอยู่แล้ว เอกสารที่นายเทพมนตรี นำมาเสนอต้องการสื่อให้เห็นว่า ไม่ว่าจะ UNHCR ช่วยเหลือ และ กระจายอาหารโดย UNBRO แต่ทั้งหมดกระทำขึ้นในพื้นที่หนองจาน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ไทย หากถามทำไม แผนที่ไม่เหมือนกัน เนื่องจากแผนผังที่นายศิริโชค นำมาแสดงเป็นพื้นที่การตั้งศูนย์ทหารของเขมรสามฝ่าย ส่วนแผนผังที่นายเทพมนตรีเป็นพื้นที่ของผู้ลี้ภัยที่ไทยให้การช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดี เวลานี้สิ่งที่ไทยควรทำ คือ 1.ต้องยืนยันว่า สระน้ำตามกูเกิลเอิร์ธ ที่ขุดขึ้นตามยูเอ็น เป็นพื้นที่ไทย เพราะองค์การประชาชาติ จะไปขุดสระน้ำในประเทศที่เขาไม่อนุญาตไม่ได้ กรณีสระน้ำนี้ เรายังมีพยานยุคคลที่ยังมีชีวิตยืนยันได้ว่าอยู่ว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย เพราะเขาเป็นเจ้าของพื้นที่ เคยใช้ทำมาหากิน ที่สำคัญไม่ว่าองค์การสหประชาชาติ เข้ามาช่วยเหลือผ่าน UNHCR หรือ UNBRO ก็ไม่สำคัญเท่ากับพื้นที่ตั้งศูนย์อพยพ อยู่ในพื้นของไทย
2.มีความเป็นไปได้ในช่วงที่กัมพูชา อยู่ในพื้นที่ขณะที่ไม่มีคนไทยอยู่ ประกอบกับเป็นแท่งคอนกรีต ที่เป็นหลักเขตุแดนสามารถเคลื่อนย้ายเข้ามาฝั่งไทยได้ จึงอาจมีการเคลื่อนย้ายหลักเขตแดนก็เป็นได้ เพราะรายงานในเรื่องหลักเขตของกองกำลังบูรพา กับ ตำรวจตระเวนชายแดน มีการวางจุดเขตแดนต่างกัน ประกอบกับหลักเขตแดนก็ยังตกลงกันไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐบาลไม่ควรประกาศออกมาว่า 7 คนไทยล้ำเขตแดนเขมร
“เมื่อปี 2522 เขมรทะลักเข้าไทย แต่ไทยไม่สามารถต้านทานได้ ต่อมายูเอ็นร้องขอไทยจึงได้ตัดสินใจส่งการช่วยเหลือด้านอาหาร และยา ตั้งค่ายชั่วคราวในจังหวัดสระแก้ว วันที่ 3 ธ.ค.2522 มีการลงนามระหว่างข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติกับรัฐบาลไทย ให้การช่วยเหลือชาวกัมพูชาสามแสนคน โดยมีการกำหนดขอบเขตงานและงบประมาณไว้อย่างชัดเจน ตรงนี้ก็แสดงให้เห็นว่าพื้นที่บ้านหนองจานเป็นของไทย” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ได้รับรายงานมาว่า กระทรวงการต่างประเทศ หรือนักการเมืองพยายามพูด เพื่อให้ 7 คนไทยยอมรับว่า ล้ำที่เขมรจริง เพื่อให้คดียุติ แล้วขอพระราชทานอภัยโทษ จะทำให้ได้ออกมาโดยเร็วที่สุดนั้น หลักการแบบนี้เหมือนเป็นการไปตายเอาดาบหน้า เมื่อไม่ต่อสู้ในข้อเท็จจริง สารภาพแล้วจะมีหลักประกันอะไรว่า จะขอพระราชทานอภัยโทษได้ หรือถ้าหากได้รับอภัยโทษแล้วจะปล่อยทั้ง 7 คนหรือไม่ ตนวิตกว่าจะมีความอาฆาตแค้นเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะ นายวีระ สมความคิด
***กกต.ยังไม่ได้รับคำตอบจาก"บัวแก้ว"
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. กล่าวว่า สำนักงานกกต. ยังไม่ได้รับหนังสือตอบกลับจากกระทรวงการต่างประเทศ กรณีที่ทำหนังสือไปเมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา ขอข้อเท็จจริงและหารือประเด็นนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัวอยู่ในเรือนจำในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นเหตุให้สิ้นสุดความเป็นส.ส.หรือไม่ อีกทั้งขณะนี้ทราบว่าในการพิจารณาของศาลกัมพูชายังอีกยาวกว่าจะมีคำพิพากษา ดังนั้นคงเป็นไปได้ว่าทางกระทรวงการต่างประเทศจะตอบกลับมายังสำนักงานกกต.ได้หลังทราบผลคำพิพากษาของศาลแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นทางสำนักงานกกต.คงได้ทราบข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาว่านายพนิชจะมีเหตุให้สิ้นสุดความเป็นส.ส.หรือไม่
***"ประยุทธ์-เทือก"ลงพื้นที่กันทรลักษณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 12 ม.ค.นี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก จะเดินทางลงพื้นที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งห่างจากปราสาทเขาพระวิหาร 35 กิโลเมตร ทั้งนี้ เพี่อเยี่ยมเยียน และพบปะราษฎรเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ อีกทั้งไปตรวจดูความคืบหน้าโครงการสร้างฝายรับน้ำตามโครงการพระราชดำริ นอกจากนั้น ยังมีกำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยม และให้กำลังใจกำลังพลที่ กองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์
***"อัษฎา" เยือนเขมร เดินหน้าหา 25 หลักเขต
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ เปิดเผยรายงานข่าวของสำนักข่าวต้นมะขามของกัมพูชารายงานวันนี้ ( 11 ม.ค.) ว่า ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนฝ่ายกัมพูชา นายวาร์ คิมฮง พบกับประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนฝ่ายไทย นายอัษฎา ชัยนาม เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ในช่วงเช้าวันนี้ ที่สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้หารือเกี่ยวกับการเริ่มต้นการเจรจาและจัดทำหลักเขตแดนที่ชะงักงันเนื่องจากการพิพาทเขตแดนระหว่างสองประเทศในช่วงสองปีที่ผ่านมา
นายวาร์ คิมฮง บอกกับผู้สื่อข่าวว่า การหารือมีเนื้อหาสำคัญอยู่ที่การส่งผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคเขตแดนไปค้นหาหลักเขตที่ 1 และหลักเขตที่ 25 ที่อำเภอจอมสะงำ จังหวัดพระวิหาร เขาเปิดเผยว่าฝ่ายไทยได้บอกกับตนว่าการทำงานเขตแดนลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องมีการรับรองของรัฐสภาไทยเหมือนข้อตกลงเขตแดนอื่น
ขณะเดียวกัน นายอัษฎา ชัยนาม กล่าวว่ารัฐสภาไทยอยู่ระหว่างการอภิปรายข้อตกลงเขตแดนทั้ง 3 ฉบับ โดยระบุว่าอีก 30 วัน ข้อตกลงจะถูกส่งไปขอการรับรองจากศาลรัฐธรรมนูญ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรับมนตรี (ครม.) วานนี้ (11 ม.ค.) ถึงความความคืบหน้าในการช่วยเหลือ 7 คนไทย ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุม โดยตั้งข้อหารุกล้ำดินแดน ว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานให้ทราบถึงการทำงาน ทั้งในเรื่องของคดี และการช่วยดูแล อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ การให้ข่าวเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น
ส่วนกรณีที่ทางการกัมพูชาได้มีการตั้งข้อหาจารกรรมเพิ่มต่อนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ 2 ใน 7 คนไทยที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมนั้น วันนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องนี้ในที่ประชุมครม.
ทั้งนี้ ในกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอให้นายกรัฐมนตรีต่อสายคุยกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชานั้น นายกฯ กล่าวว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจง เมื่อถามว่านายกฯ มองท่าทีของสมเด็จฮุนเซนอย่างไร ในการออกมาพูดในลักษณะที่แข็งกร้าว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้ อันนี้คือสิ่งที่ได้คุยกันเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
เมื่อถามต่อว่า แนวทางการต่อสู้หลังจากนี้ของกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นอย่างไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นผู้ชี้แจง เมื่อถามอีกว่าแล้วเรื่องนี้จะชี้แจงต่อประชาชนอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ดำเนินการให้ข่าวทั้งหมด อันนี้เป็นสิ่งที่ได้คุยกันแล้ว และคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะผู้นำประเทศยืนยันในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ยืนยันอย่างนี้ว่า เรื่องทั้งหมดอยู่ในระหว่างรัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือ 7 คน เราทำภายใต้นโยบายรัฐบาล เรามีหน้าที่ 3 อย่าง คือ ดูแลประชาชนคนไทยทุกคน เมื่อมีคนของเราถูกจับกุมไป 7 คน ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด เรามีหน้าที่รักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รักษาสัมพันธ์ที่ดี เพื่อที่จะให้ประชาชน 2 ประเทศ หรือประเทศใดก็ตาม สามารถได้ประโยชน์และอยู่ร่วมกันได้อย่างดี และเรามีหน้าที่รักษาอธิปไตย และสิทธิของประเทศของเรา และประชาชนของเรา ทั้งหมดนี้คือเป้าหมาย ไม่อยากพูดอะไรเพิ่มเติม สถานการณ์ขณะนี้มีการรายงานคำพูดต่างๆ ออกไป ที่ผ่านมาหลายครั้งปรากกฎว่า ถ่ายทอดไปแล้วมีการเข้าใจไปอีกอย่าง ก็จะกระทบกระเทือน เพราะฉะนั้นก็เลยบอกว่า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ให้กระทรวงการต่างประเทศให้ข้อมูลกับประชาชนเพียงจุดเดียว เนื่องจากว่า รมว.ต่างประเทศกับตน พูดคุยกันตลอดอยู่แล้ว หน่วยงานอื่นๆ มีอะไรก็ต้องพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศ
***เฉไฉเรื่องต่อสายตรงหา"ฮุนเซน"
ส่วนที่นายกฯ ฮุนเซนระบุว่า มีการต่อสายจากสายจากนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เข้ามาที่โทรศัพท์ กว่า 10 สายนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ ก็โทรศัพท์ของนายกฯ ฮุนเซน ตนก็ไม่ทราบ และไม่ได้เห็น เมื่อถามว่า สะท้อนอะไรหรือไม่ เมื่อมีโทรศัพท์เข้าไปยังเครื่องของนายกฯ ฮุนเซน แต่ไม่มีการรับสาย เหมือนมีเจตนาที่จะไม่รับสาย นายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบครับ ตนไปตอบไม่ได้ ใครโทรศัพท์ถึงใครบ้าง
เมื่อถามว่า นายกฯ ได้ให้เบอร์โทรศัพท์นายกฯ ฮุนเซน กับนายพนิช วิกิตเศรษฐ ส.ส.ปชป.หรือไม่ เพราะมีสมเด็จฮุนเซน ระบุด้วยว่า มีการโทรจากคุกด้วย นายกฯ กล่าวว่า ประเด็นอย่างนี้แหละครับที่จะให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นคนชี้แจง
เมื่อถามว่าแต่วันนั้นนายกฯ เป็นคนสั่งเอง ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นคนประสานนำ 7 คนไทยกลับ และไม่ขึ้นกระบวนการศาล แล้วนายกฯ จะบอกว่าไม่ทราบได้อย่างไร อย่างน้อยรัฐมนตรีต่างประเทศ ต้องติดต่อกับยังนายกฯฮุนเซน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนมีหน้าที่ในการมอบนโยบาย และก็มอบตามนั้น และได้บอกกับพวกเราตามนั้น การประสานรายละเอียดเป็นอย่างไร ตนไม่ทราบ
เมื่อถามว่า นายกฯได้ให้เบอร์โทรศัพท์ของนายกฯฮุนเซน กับนายกษิต หรือเปล่า นายกฯ หัวเราะโดยไม่ได้ตอบคำถาม เมื่อถามต่อว่าถือว่าความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชา ล้มเหลวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ก็ไม่มีอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อนายกฯ บอกว่ามอบนโยบาย แล้วนายกฯ ได้มีการติดตามนโนบายที่มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการ มีความคืบหน้าหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนติดตามนโยบาย แต่ตนไม่จำเป็นต้องถามวิธีการที่เขาทำงานทุกขั้นตอนเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า แต่การที่สมเด็จฮุนเซน ออกมาพูดในลักษณะนี้ เป็นการสะท้อนอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวเพียงว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจง
เมื่อถามต่อว่า ท่าทีของนายกฯ วันแรกบอกให้กัมพูชาปล่อยตัว 7 คนไทยในทันที นายกฯ ย้ำหลายรอบมาก มาวันนี้ไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ เหมือนนายกฯฮุนเซนไม่ค่อยพอใจกับคำพูดคำนี้ นายกฯ จะชี้แจงอย่างไร นายกฯ กล่าวเพียงว่า ไม่ต้องพูดซ้ำแล้วนะครับ
เมื่อถามว่า การที่ต้องมาถามนายกฯ เพราะความคืบหน้าจากกระทรวงการต่างประเทศไม่มีเลย นายกฯ กล่าวว่า ไม่หรอกครับ เพราะจากที่ได้มีการหารือกันแล้ว และมีการซักซ้อมในครม.แล้ว ฉะนั้นกระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ชี้แจงมากขึ้น เดี๋ยวถามรัฐมนตรีกษิตได้ ขณะนี้ทุกคนทำกันเต็มที่
** แลกผู้ต้องหาไทย 5 คน เขมร 4 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครม.เมื่อวานนี้ หลังเสร็จสิ้นการพิจารณาตามระเบียบวาระการประชุมแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ขอให้นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ รายงานสถานการณ์และความคืบหน้าในการหาทางช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกจับกุม ซึ่งนายกษิต รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศได้พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คน โดยได้อำนวยความสะดวกในการพาญาติเข้าไปเยี่ยมเป็นระยะๆ รวมทั้งการตั้งทนายความให้ 2 คน และรวบรวมสนับสนุนประเด็นที่จะใช้ต่อสู้ในชั้นศาล
ส่วนเรื่องการจะตั้งที่ปรึกษาทางกฎหมาย ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของผู้ต้องหาแต่ละราย ซึ่งการดำเนินการนั้น คงต้องเป็นไปตามขั้นตอน เพราะขณะนี้คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลแล้ว และทราบว่า ทางศาลกัมพูชาจะตัดสินคดีในอาทิตย์นี้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศ ก็พยายามแก้ปัญหากันไปตามขั้นตอน เพราะตอนนี้คงจะไปทำอะไรยาก เนื่องจากเรื่องอยู่ในชั้นศาลแล้ว
นายกษิตยังได้รายงานในครม.ด้วยว่า เรื่องพื้นที่บริเวณที่เป็นปัญหา ตามที่มีประชาชนร้องเรียนมานั้น เท่าที่ตรวจสอบพบว่า เป็นพื้นที่ที่มีประชาชนไทยอาศัยอยู่ทำกิน โดยมีเอกสารสิทธิ์มา 30 ปีแล้ว ซึ่งพื้นที่ตรงนี้ ก็อยู่ในฝั่งไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายกัมพูชา ก็มีข้อแลกเปลี่ยนกับฝ่ายไทยมาเรื่อยๆ โดยการขอแลกเปลี่ยนตัวนักโทษ โดยฝ่ายกัมพูชา ตกลงจะปล่อยตัวนักโทษชาวไทยกลับมาให้เรา 5 คน ส่วนประเทศไทย ตกลงจะส่งกลับนักโทษชาวกัมพูชากลับไปให้ 4 คน แต่ติดขัดที่การดำเนินการของเราล่าช้า เพิ่งส่งตัวนักโทษของเขาไปให้เพียง 1 คน และกำลังจะส่งอีก 1 คน ซึ่งเขาก็ทวงเรามาเรื่อย ทั้งนี้ในวันนี้ทางตม.ของไทย ก็จะปล่อยแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาอีก 60 คน
นายกษิตยังได้เน้นย้ำต่อครม.ว่า กระทรวงการต่างประเทศพยายามเร่งรัดเต็มที่ในการประสานงานให้ความช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คน แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า ตอนนี้ยิ่งมีคนที่ไม่ได้รับผิดชอบโดยตรง และไม่ได้รู้ข้อเท็จจริง แต่ยิ่งไปพูดไปให้สัมภาษณ์ ก็จะยิ่งยุ่ง ทำให้เกิดความสับสน ยิ่งกระทบ ทำให้การทำงานของกระทรวงการต่างประเทศยากมากขึ้น ดังนั้น อยากจะขอเลยว่าขอให้ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้อง อย่าออกมาพูดให้ความเห็นเรื่องนี้ เพราะทุกครั้งที่มีความเห็นออกไปก็จะมีปัญหาทุกที
ขณะที่นายกรัฐมนตรี ก็สนับสนุนให้กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คนเพียงผู้เดียว อย่าให้คนอื่นออกไปให้ข่าวแสดงความคิดเห็น เพราะกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่ารู้ข้อมูลดีที่สุด และเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ใครที่ไม่รู้ข้อมูล ก็อย่าไปให้ความเห็น
*** อนุมัติงบลับให้ทหารรับมือข้อพิพาท
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังเลิกการประชุมครม.แล้ว นายกรัฐมนตรี ยังได้เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ มาหารือนอกรอบกันอีกครั้ง
ทั้งนี้ การหารือในที่ประชุมครม.ครั้งนี้ นายกฯ ได้กำชับทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ห้ามเผยแพร่ประเด็นที่มีการหารือกันในที่ประชุมครม. ออกไปภายนอก อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครม.ครั้งนี้ ที่ประชุมครม.ยังได้มีมติอนุมัติงบลับให้กับกระทรวงกลาโหม เพื่อใช้ในการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร เป็นจำนวนเงินถึง 517,594,423 บาทด้วย
**"กษิต"รายงานความคืบหน้านายกฯ
เมื่อเวลา 17.00 น. ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจพบกับคณะกรรมการญาติวีชนพฤษภา 35 และครอบครัววีรชนพฤษภา 35 ที่ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ได้เดินออกจากห้องสีฟ้า และเข้าพบกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ซึ่งนายกษิตได้ไปนั่งรอนายกฯ อยู่ในห้องดังกล่าว ภายหลังเสร็จสิ้นจากการบันทึกเทปรายการเจาะลึกครม. ที่จะออกอากาศในคืนวันที่ 11 ม.ค. ทางช่อง 11 เพื่อเป็นการชี้แจงแนวทางการช่วยเหลือ 7 คนไทย
ทั้งนี้ การพบกันของนายกฯ และนายกษิต ยังมีนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศ และใช้เวลาในการพูดคุยกันประมาณ 10 นาที
จากนั้นนายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ส่วนนายกษิต ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ตนมารายงานนายกรัฐมนตรี ถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือ 7 คนไทย ซึ่งล่าสุดเรายังต้องรอความชัดเจนในกระบวนการของศาลกัมพูชาวันที่ 12 ม.ค. อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่ามีสัญญาณจากกัมพูชาดีขึ้นหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า เราก็มีการประสานพูดจากับกัมพูชาตลอดเวลา ซึ่งตนจะชี้แจงความเป็นมาของปัญหาทั้งหมดในรายการ เจาะลึก ครม. ที่จะออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ในช่วงค่ำวันที่ 11 ม.ค. อีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ นายกษิต ภิรมย์ ได้กล่าวในรายการ "เจาะลึก ครม." ออกอากาศทางช่อง NBT ค่ำวันเดียวกัน ว่า ความคืบหน้าในการช่วยเหลือ 7 คนไทย เรื่องคดีมีการตั้งข้อหาเพิ่มนายวีระ และผู้ต้องหาหญิง 1 ราย ว่าไปหาข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของกัมพูชา ซึ่งทนายของทั้ง 7 คน ได้ยื่นขอประกันตัว และศาลกัมพูชารับทราบแล้ว ต้องรอการพิจารณาซึ่งอาจจะทำควบคู่ไปกับการพิพากษาตัดสินจะทราบผลภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งสถานทูตไทยก็ได้เร่งให้ดำเนินกระบวนการยุติธรรมให้สิ้นสุดโดยเร็ว ซึ่งถ้ายืดเยื้อ แต่ละฝ่ายก็จะถูกกดดันจากภายในประเทศซึ่งทำให้เป็นปัญหาโดยใช่เหตุ ส่วนกรณีของนายวีระก็ต้องดูว่ามีข้อกล่าวหาอย่างไร นายวีระจะให้ความร่วมมืออย่างไร
*** ลุ้นประกัน-ขอพระราชทานอภัยโทษ
นายชวนนท์ โกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า วันนี้ (12 ม.ค.) ศาลกัมพูชาน่าจะมีความชัดเจนเรื่องการขอประกันตัว 7 คนไทย ที่ยื่นคำร้องไปเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศ ยอมรับว่า การขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นแนวทาง 1 ในการช่วยเหลือ 7 คนไทยกลับประเทศ เหมือนที่เคยดำเนินการกับคดีคนไทยในกัมพูชาที่ผ่านๆ มา แต่คงต้องหารือกับฝ่ายกฎหมายอีกครั้งว่า แนวทางใดจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้
นอกจากเรื่องความคืบหน้าของคดีแล้ว นายชวนนท์ กล่าวว่า ที่ประชุมครม. ยังหารือกันถึงเรื่องการตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อช่วยเหลือ 7 คนไทยด้วย เป็นการกำหนดแนวทางการทำงานให้ชัดเจนว่า เรื่องนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบในภาพรวมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจงให้ข่าวแก่สื่อที่มีกรมสารนิเทศดูแลอยู่ การประสานความช่วยเหลือและติดต่อกับญาติของ 7 คนไทยก็เป็นหน้าที่ของกรมการกงสุล ส่วนการประสานเรื่องคดี ก็เป็นหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ
*** แจ้งข้อหา"วีระ-ราตรี" เพิ่ม
นายชวนนท์กล่าวว่า ล่าสุดอัยการกัมพูชาได้แจ้งข้อหาเพิ่มกับนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ฐาน “พยายามประมวลข่าวสาร ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศ ตาม มาตรา 27 และ มาตรา 446 ของกฎหมายกัมพูชา” โดยศาลนัดไต่สวนเพิ่มเติมเฉพาะ 2 คนนี้ ในเช้าวันนี้ (12 ม.ค.) ซึ่งการเพิ่มข้อหาครั้งนี้ จะทำให้การช่วยเหลือบุคคลทั้งสอง ทำได้ยากมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องการประกันตัว
ส่วนอีก 5 คน ที่มีแค่ข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และเข้าเขตทหารโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลกัมพูชา ยังไม่ได้มีคำสั่งว่าจะดำเนินการอย่างไร ดังนั้นคงต้องรอดูความชัดเจนจากศาลก่อนว่า จะนัดพิจารณาคดีเลยหรืออนุญาตให้ประกันตัว
ในวันเดียวกันนี้ ที่กระทรวงการต่างประเทศ กลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติได้มาชุมนุมหน้ากระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยประกาศไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา พร้อมกับเรียกร้องให้นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และ นายชวนนท์ ลาออก
*** เชื่อ 7 คนไทยไม่เจตนาล้ำเขตแดน
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ขณะนี้ตนมีข้อมูลอยู่มาก เพราะต่างฝ่ายต่างให้ข้อมูลมา ทั้งนี้ ตนขอให้มั่นใจและเชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดำเนินการต่างๆ ว่า จะดำเนินการบนผลประโยชน์ของคนไทย และรักษาผลประโยชน์ของชาติไว้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าทั้ง 7 คนไทย ไม่ได้มีเจตนาที่ต้องการรุกล้ำ เพราะไม่มีอาวุธ
ขณะนี้ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มีหลายจุดที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดน และมีหลายหลักเขตที่ยังไม่สามารถหาพบ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมา จากศึกสงครามของประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น จึงมีบางพื้นที่ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นของใครทั้งสิ้น รวมทั้งในพื้นที่ที่เกิดปัญหาก็เช่นเดียวกัน ที่ยังไม่มีใครได้ใครเสียเรื่องดินแดน ซึ่งขอให้เชื่อตน จนกว่าจะมีการปักปันเขตแดนตามข้อตกลงของทั้งฝ่ายที่ทำกันไว้เสร็จสิ้น ถึงจะชัดเจน
"เมื่อไม่มีความชัดเจนเรื่องเขตแดน ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ ก็ต้องมีการตกลงว่าจะยึดถืออะไร และที่ผ่านมาผู้บริหารประเทศระดับสูงทั้งสองประเทศได้ตกลงกันไว้ว่า หากมีการพลัดหลงในพื้นที่ชายแดนที่ไม่มีความชัดเจน ก็ขอให้ยกเว้นในส่วนการดำเนินคดีทางศาล เพราะจะมีปัญหามาก แต่ทั้งนี้ คิดว่ากัมพูชาคงเห็นว่า ทั้ง 7 คนไทย มีเจตนาที่จะรุกล้ำ จึงส่งเรื่องไปถึงศาล"
เมื่อถามถึงการเตรียมข้อมูลอะไรในการสู้คดีกับทางกัมพูชา นายถวิล กล่าวว่า ทางฝ่ายทนาย และผู้ที่เกี่ยวข้อง กระทรวงต่างประเทศ ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
***13ม.ค.กองทัพธรรมชุมนุมหน้าสถานทูตกัมพูชา
ท่านสมณะโพธิรักษ์แห่งสันติอโศก กล่าวว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 13 ม.ค.นี้ จะมีการชุมนุมหน้าสถานทูตกัมพูชา ในกรณีที่ควบคุม 7 คนไทย พร้อมเรียกร้องให้ทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปัตย์(พธม.)มาร่วมชุมนุม เนื่องจากรอถึงวันที่ 25 ม.ค.นี้ คงไม่ทันการ
***จวกสถานทูตไทยกีดกัน
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ และ มล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของเครือข่ายฯ ที่เดินทางไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเยี่ยมและให้ข้อแนะนำทางกฎหมายกับ 7 คนไทย ที่ถูกกัมพูชาจับกุมข้อหารุกล้ำดินแดน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553 และศาลกัมพูชากำลังไต่สวนความผิด ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้า
นายไชยวัฒน์กล่าวว่า ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของเครือข่ายฯ ที่นำโดยนายการุณ ใสงาม ได้เดินทางไปยังกรุงพนมเปญ เพื่อขอพบ 7 คนไทย แต่สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญไม่ให้ความร่วมมือ และทำให้เรื่องนี้บานปลาย โดยคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายฯ เดินทางกลับไทยเพื่อวางแนวทางการสู้คดีใหม่ และจะกลับไปกรุงพนมเปญในวันที่ 12 ม.ค. โดยพฤติกรรมของนายประสาท ปราสาทวินิจฉัย เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญนั้น แสดงท่าทีกีดกัน คณะที่ปรึกษาฯ ในการต่อสู้คดี
“คำพูดของนายประสาท ที่หลุดออกมานั้น คือ หากเคลื่อนไหวมากๆ พื้นที่ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว จะตกเป็นของกัมพูชา เรื่องนี้มีใบสั่งจากรัฐบาลไทยไปยังนายประสาทในการปิดกั้นความจริงเรื่องนี้” นายไชยวัฒน์ กล่าว
มล.วัลย์วิภากล่าวว่า ตนร่วมเดินทางไปกับคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายฯ เพื่อเตรียมสู้คดี แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือ นโยบายรัฐบาลพยายามไม่ปกป้องสิทธิของคนไทยที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ มันประจักษ์ชัดว่า กระทรวงการต่างประเทศรับนโยบายรัฐบาล และสั่งไปยังสถานทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ตนขอประณาม นายประสาท เพราะพื้นฐานเดิมของนายประสาท ในการแก้ไขปัญหาแนวชายแดนไทย-กัมพูชานั้น พยายามใช้แผนที่ 1:2 แสน ตร.กม. สิ่งใดที่เกี่ยวกับชายแดนนั้น นายประสาทจะไม่เข้าไปรับผิดชอบ ข้อหาที่ 7 คนไทยโดนจับกุมนั้น เป็นการข้ามแดนโดยไม่มีพาสปอร์ตเท่านั้น และคนไทยบางส่วนในกลุ่มนี้ รู้ความจริงนี้ดีว่า คนไทย 7 คนยังอยู่ในดินแดนไทย แต่ทหารกัมพูชาที่พกอาวุธ ล้ำแดนเข้ามาในดินแดนไทย
***ชุมนุมไล่ กษิต-ชวนนท์-ประสาท
นายไชยวัฒน์ กล่าวเสริมว่า คณะที่ปรึกษาฯ ยืนยันว่า พื้นที่เกิดเหตุนั้น เป็นพื้นที่ของประเทศไทย แต่ทางจ.สระแก้ว และคนในพื้นที่ยืนยันว่า เป็นพื้นที่กัมพูชานั้น กลไกเรื่องนี้ทำให้ไม่ตระหนักถึงความจริง และรัฐบาลสั่งปิดกั้นความจริง และเรื่องนี้ไปโผล่แล้วที่กรุงพนมเปญ พวกตนจึงจะไล่ล่าความจริง และขอให้คนพวกนี้ออกมารับผิดชอบ และวันนี้ เวลา 13.00 น. เครือข่ายฯจะไปกดดันนายกษิต นายชวนนท์ รวมทั้งนายประสาท ให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพราะไปยกดินแดนไทยให้กัมพูชา หากยังไม่ลาออก พวกตนจะกดดันนายกฯ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมให้ลาออก
"วันนี้ชัดเจนว่า ผู้ใหญ่ในรัฐบาลไทยบางคนสมคบกับ สมเด็จฮุนเซน ดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องระหว่างประเทศที่ใหญ่โต และที่รัฐบาลไทยประโคมข่าวว่า การเคลื่อนไหวของเครือข่ายฯทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ยืนยันว่าประชาชนของสองประเทศ ต่างเข้าใจกัน เพราะชาวกัมพูชาให้กำลังใจกับเครือข่ายฯ"
นายไชยวัฒน์ กล่าวยืนยันว่า พื้นที่ที่ 7 คนไทยโดยจับนั้น เป็นพื้นที่ของไทยตามสนธิสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องส่งให้องค์กรกลางรับผิดชอบ เพราะเมื่อปี 2518 องค์การสหประชาชาติสร้างแคมป์อพยพผู้ลี้ภัยสงครามในกัมพูชาในพื้นที่นี้ และเครือข่ายฯ กำลังประสานกับเลขาธิการองค์การประชาชาติ ให้รับเรื่องนี้ไปพิจารณาต่อไป
*** “ปานเทพ”ซัด“ศิริโชค”เบี่ยงประเด็น
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์ ผ่านรายการยามเช้าริมเจ้าพระยา ออกอากาศทางสถานี ASTV ทีวีของประชาชน ถึงกรณีที่ นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโต้คำพูดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผ่านเฟซบุ๊ก ที่บอกว่า “แคมป์เขมร หรือศูนย์ช่วยเหลือเขมรอพยพบริเวณชายแดน บ้านหนองจาน อยู่ในพื้นที่กัมพูชา” นั้น เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน ตามแผนที่ UNHCR และ UNBRO เขียนถึงบริเวณที่ดูแล เป็นจุดสามเหลี่ยม รวมถึงเขาล้าน หนองจาน ซึ่งเป็นพื้นที่ของไทย ส่วนที่รัฐบาลนำมาเสนอ เป็นที่ตั้งของทหารกองกำลังเขมรสามฝ่าย ซึ่งต้องอยู่ฝั่งกัมพูชาอยู่แล้ว เอกสารที่นายเทพมนตรี นำมาเสนอต้องการสื่อให้เห็นว่า ไม่ว่าจะ UNHCR ช่วยเหลือ และ กระจายอาหารโดย UNBRO แต่ทั้งหมดกระทำขึ้นในพื้นที่หนองจาน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ไทย หากถามทำไม แผนที่ไม่เหมือนกัน เนื่องจากแผนผังที่นายศิริโชค นำมาแสดงเป็นพื้นที่การตั้งศูนย์ทหารของเขมรสามฝ่าย ส่วนแผนผังที่นายเทพมนตรีเป็นพื้นที่ของผู้ลี้ภัยที่ไทยให้การช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดี เวลานี้สิ่งที่ไทยควรทำ คือ 1.ต้องยืนยันว่า สระน้ำตามกูเกิลเอิร์ธ ที่ขุดขึ้นตามยูเอ็น เป็นพื้นที่ไทย เพราะองค์การประชาชาติ จะไปขุดสระน้ำในประเทศที่เขาไม่อนุญาตไม่ได้ กรณีสระน้ำนี้ เรายังมีพยานยุคคลที่ยังมีชีวิตยืนยันได้ว่าอยู่ว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย เพราะเขาเป็นเจ้าของพื้นที่ เคยใช้ทำมาหากิน ที่สำคัญไม่ว่าองค์การสหประชาชาติ เข้ามาช่วยเหลือผ่าน UNHCR หรือ UNBRO ก็ไม่สำคัญเท่ากับพื้นที่ตั้งศูนย์อพยพ อยู่ในพื้นของไทย
2.มีความเป็นไปได้ในช่วงที่กัมพูชา อยู่ในพื้นที่ขณะที่ไม่มีคนไทยอยู่ ประกอบกับเป็นแท่งคอนกรีต ที่เป็นหลักเขตุแดนสามารถเคลื่อนย้ายเข้ามาฝั่งไทยได้ จึงอาจมีการเคลื่อนย้ายหลักเขตแดนก็เป็นได้ เพราะรายงานในเรื่องหลักเขตของกองกำลังบูรพา กับ ตำรวจตระเวนชายแดน มีการวางจุดเขตแดนต่างกัน ประกอบกับหลักเขตแดนก็ยังตกลงกันไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐบาลไม่ควรประกาศออกมาว่า 7 คนไทยล้ำเขตแดนเขมร
“เมื่อปี 2522 เขมรทะลักเข้าไทย แต่ไทยไม่สามารถต้านทานได้ ต่อมายูเอ็นร้องขอไทยจึงได้ตัดสินใจส่งการช่วยเหลือด้านอาหาร และยา ตั้งค่ายชั่วคราวในจังหวัดสระแก้ว วันที่ 3 ธ.ค.2522 มีการลงนามระหว่างข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติกับรัฐบาลไทย ให้การช่วยเหลือชาวกัมพูชาสามแสนคน โดยมีการกำหนดขอบเขตงานและงบประมาณไว้อย่างชัดเจน ตรงนี้ก็แสดงให้เห็นว่าพื้นที่บ้านหนองจานเป็นของไทย” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ได้รับรายงานมาว่า กระทรวงการต่างประเทศ หรือนักการเมืองพยายามพูด เพื่อให้ 7 คนไทยยอมรับว่า ล้ำที่เขมรจริง เพื่อให้คดียุติ แล้วขอพระราชทานอภัยโทษ จะทำให้ได้ออกมาโดยเร็วที่สุดนั้น หลักการแบบนี้เหมือนเป็นการไปตายเอาดาบหน้า เมื่อไม่ต่อสู้ในข้อเท็จจริง สารภาพแล้วจะมีหลักประกันอะไรว่า จะขอพระราชทานอภัยโทษได้ หรือถ้าหากได้รับอภัยโทษแล้วจะปล่อยทั้ง 7 คนหรือไม่ ตนวิตกว่าจะมีความอาฆาตแค้นเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะ นายวีระ สมความคิด
***กกต.ยังไม่ได้รับคำตอบจาก"บัวแก้ว"
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. กล่าวว่า สำนักงานกกต. ยังไม่ได้รับหนังสือตอบกลับจากกระทรวงการต่างประเทศ กรณีที่ทำหนังสือไปเมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา ขอข้อเท็จจริงและหารือประเด็นนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัวอยู่ในเรือนจำในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นเหตุให้สิ้นสุดความเป็นส.ส.หรือไม่ อีกทั้งขณะนี้ทราบว่าในการพิจารณาของศาลกัมพูชายังอีกยาวกว่าจะมีคำพิพากษา ดังนั้นคงเป็นไปได้ว่าทางกระทรวงการต่างประเทศจะตอบกลับมายังสำนักงานกกต.ได้หลังทราบผลคำพิพากษาของศาลแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นทางสำนักงานกกต.คงได้ทราบข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาว่านายพนิชจะมีเหตุให้สิ้นสุดความเป็นส.ส.หรือไม่
***"ประยุทธ์-เทือก"ลงพื้นที่กันทรลักษณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 12 ม.ค.นี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก จะเดินทางลงพื้นที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งห่างจากปราสาทเขาพระวิหาร 35 กิโลเมตร ทั้งนี้ เพี่อเยี่ยมเยียน และพบปะราษฎรเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ อีกทั้งไปตรวจดูความคืบหน้าโครงการสร้างฝายรับน้ำตามโครงการพระราชดำริ นอกจากนั้น ยังมีกำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยม และให้กำลังใจกำลังพลที่ กองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์
***"อัษฎา" เยือนเขมร เดินหน้าหา 25 หลักเขต
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ เปิดเผยรายงานข่าวของสำนักข่าวต้นมะขามของกัมพูชารายงานวันนี้ ( 11 ม.ค.) ว่า ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนฝ่ายกัมพูชา นายวาร์ คิมฮง พบกับประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนฝ่ายไทย นายอัษฎา ชัยนาม เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ในช่วงเช้าวันนี้ ที่สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้หารือเกี่ยวกับการเริ่มต้นการเจรจาและจัดทำหลักเขตแดนที่ชะงักงันเนื่องจากการพิพาทเขตแดนระหว่างสองประเทศในช่วงสองปีที่ผ่านมา
นายวาร์ คิมฮง บอกกับผู้สื่อข่าวว่า การหารือมีเนื้อหาสำคัญอยู่ที่การส่งผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคเขตแดนไปค้นหาหลักเขตที่ 1 และหลักเขตที่ 25 ที่อำเภอจอมสะงำ จังหวัดพระวิหาร เขาเปิดเผยว่าฝ่ายไทยได้บอกกับตนว่าการทำงานเขตแดนลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องมีการรับรองของรัฐสภาไทยเหมือนข้อตกลงเขตแดนอื่น
ขณะเดียวกัน นายอัษฎา ชัยนาม กล่าวว่ารัฐสภาไทยอยู่ระหว่างการอภิปรายข้อตกลงเขตแดนทั้ง 3 ฉบับ โดยระบุว่าอีก 30 วัน ข้อตกลงจะถูกส่งไปขอการรับรองจากศาลรัฐธรรมนูญ