xs
xsm
sm
md
lg

ขออย่าให้ “ครม.ส่วนหน้า” เป็นแค่บำเหน็จ “คนเกษียณ” ที่ส่งไปคุมงบดับไฟใต้ / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
------------------------------------------------------------------------------------------
 
 
กับสถานการณ์การก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถ้ามองด้วยสายตาของความ “เป็นกลาง และมีใจที่ “เป็นธรรม ก็ต้องบอกว่า สถานการณ์ในพื้นที่ยังมีความรุนแรงเกิดขึ้นตลอดเวลา เหตุการณ์ล่าสุด คือ การระเบิดรถยนต์ และโจมตีด้วยอาวุธปืนของ “แนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กรงปีนัง จ.ยะลา ผลคือ 2 ชีวิตของตำรวจชั้นประทวนที่ต้อง “พลีชีพ” เพื่อแผ่นดิน เพื่อเซ่นความรุนแรงของสถานการณ์
 
ก่อนหน้านี้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ทำการปิดล้อมจับกุมแนวร่วมไปหลายราย รวมทั้งการ “วิสามัญ ผู้ต้องหาที่มีหมายจับในคดีความมั่นคงหลายคดีที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ก็ส่งผลให้แนวร่วมปฏิบัติการสังหาร “ชาวไทยพุทธทั้งในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา และ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี พร้อมทั้งทิ้ง “ใบปลิว ว่าเป็นการตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐที่จับกุม และวิสามัญ “คนมุสลิม
 
สรุปให้ง่ายเข้าคือ สถานการณ์การก่อการร้าย หรือการก่อความไม่สงบในพื้นที่ แม้ว่าจะผ่านวันเวลามานานถึง 12 ปี แต่วิธีการของทั้งฝ่ายรัฐ และฝ่ายขบวนการยังไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาไปในทิศทางที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นให้เห็น
 
แม้ว่าจะมีการพยายามใช้วิธีการ “พูดคุย เพื่อสร้างความเข้าใจ ทั้งการพูดคุยภายในพื้นที่ระหว่างกลุ่ม “ผู้เห็นต่าง จากรัฐ และการพูดคุยนอกพื้นที่ระหว่างตัวแทนของรัฐกับ “กลุ่มมาราปาตานี ที่เป็นตัวแทนของขบวนการแบ่งแยกดินแดน 4 กลุ่มหลัก
 
แต่การพูดคุยก็ไม่ได้ทำให้ความรุนแรงลดลง และแม้ว่าทั้งฝ่ายรัฐ และภาคประชาชนสังคมในพื้นที่จะพยายาม “เพรียกหาความปลอดภัย แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าจะมี “พื้นที่ปลอดภัยเกิดขึ้นอย่างแท้จริง เพราะวันนี้แม้แต่พื้นที่ของโรงเรียน โรงพยาบาล ศาสนสถาน ตลาดสด หรือสนามกีฬา ก็ไม่มีความปลอดภัย กลายเป็น “พื้นที่สังหาร ที่ฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดนพร้อมที่จะปฏิบัติการในทันทีถ้าเหยื่อ หรือเป้าหมายที่เป็น “คนของรัฐ” หรือประชาชนที่เป็น “ฝ่ายตรงข้าม” อยู่ในบริเวณนั้น
 
วันนี้ “คนไทยพุทธ” ยังคงกลายเป็นเครื่อง “เซ่นสรวง” ที่ถูกฆ่า หรือถูกทำร้ายทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่จับกุม หรือวิสามัญคนของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพื่อเป็นการ “แก้แค้น” ให้แก่คนของขบวนการ โดยที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถที่ “ปกป้อง” หรือ “คุ้มครอง” ความปลอดภัยให้แก่เหยื่อผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ จนถูกมองว่าเป็น “ชะตากรรม” ของผู้บริสุทธิ์ที่ต้องกลายเป็นเหยื่อของสถานการณ์
 
ถ้าถามว่า แล้วที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐได้ทำหน้าที่ในการ “ดับไฟใต้ และทำหน้าที่ในการปกป้อง และคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ไม่ได้เลยหรือ ก็ต้องตอบด้วยความ “เป็นกลางและ “เป็นจริง ว่า ที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานไหนที่ไม่ต้องการเห็นความสงบสุขเกิดขึ้นในพื้นที่ ทุกหน่วยงานทั้งทหาร ปกครอง ตำรวจ และอื่นๆ ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ของขีดความสามารถที่มีอยู่ หลายหน่วยงานทำหน้าที่ท่ามกลาง “ความจำกัด ของวัสดุ และงบประมาณ
 
แต่ก็ยอมรับว่า หลายหน่วยงานที่มีงบประมาณมากมาย แต่ก็  “กระจุก” อยู่กับตัวบุคคล อย่างเช่น งานด้าน “การข่าว” ที่รับรู้กันดีใน “วงใน” ว่างบการข่าวที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากำลังพล และยุทโธปกรณ์นั้นไปกระจุกอยู่ที่ไหน
 
ปัญหา “ภายใน ขององค์กรที่มีหน้าที่ในการดับไฟใต้ ซึ่งมี กอ.รมน.เป็นเจ้าภาพ คือ ปัญหาใหญ่ที่ทำให้การดับไฟใต้ยังไม่อาจส่งผลให้เป็นไปตามทิศทางที่กองทัพ รัฐบาล และ คสช. ต้องการ ดังนั้น การดับไฟใต้จึงต้องมีการ “ปรับโครงสร้าง ใหม่อีกครั้งด้วยการจัดตั้ง “ครม.ส่วนหน้า” เพื่อที่จะแก้ปัญหาให้ตรงจุด
 
สำหรับโฉมหน้าของ ครม.ส่วนหน้าเท่าที่มี “ข่าวกระเส็นกระสายออกมา รวมทั้งจาก “การสืบเสาะ” ของนักข่าวเอง ซึ่งมีชื่อของ พล.อ.ดุดมเดช สีตะบุตร รชม.กลาโหม และ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.กระทรวงศึกษา ติดโผว่าจะเป็น 2 รมช.ที่จะเป็นผู้มาทำหน้าที่ประจำใน ครม.ส่วนหน้า
 
รวมทั้งมีชื่อของ พล.อ.ปราการ ชลยุทธ อดีตแม่ทัพภาคที่ 4  รวมถึง “อดีตแม่ทัพภาค 4” อีกหลายนายที่ล้วนแต่ผ่านพื้นที่นี้มาแล้ว เพื่อที่จะมีร่วมคณะ ครม.ส่วนหน้า ในขณะที่คนในพื้นที่ก็คาดหวังว่า ภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) น่าจะเป็นอีกผู้หนึ่งที่หลังเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้ และในวันที่ 1 ตุลาคมน่าจะมีงานทำต่อในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในฐานะที่เป็น “ลูกหม้อมหาดไทย และเติบโตใน ศอ.บต.อย่างยาวนาน รู้จักปัญหา  รู้จักพื้นที่ รู้จักคน และรู้ว่าปัญหาแต่ละเรื่องควรจะแก้อย่างไร
 
ส่วนในเรื่องของ “การข่าว ที่ถือเป็น “จุดอ่อน ที่หลายฝ่ายได้กล่าวถึง โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม ได้พูดถึงเรื่องนี้หลายครั้ง โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุวางระเบิดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอบบน ซึ่งปรากฏว่า ด้านการข่าวไม่ได้ “แอะ เลยว่าจะมีการก่อวินาศกรรมนอกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา เกิดขึ้น
 
การก่อการร้ายที่ลุกลามไปทั่วโลก โดยเฉพาะการ “แตกตัว” ของ “กลุ่มรัฐอิสลาม” หรือ “ไอเอส” ที่มีผลกระทบอย่างสูงในพื้นที่ “อุษาคเนย์” อย่ามองว่าไทยไม่ใช่เป้าหมายของการก่อการร้ายจากกลุ่มไอเอส และอย่ามองว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือกระทั่ง “ภาคใต้” ไม่มีการเคลื่อนไหวของไอเอส ไทยอาจจะไม่ใช่เป้าหมายของไอเอส แต่เป้าหมายของไอเอส คือ “ต่างชาติ” ที่มีฐานการลงทุนอยู่ในไทย
 
งานด้านการข่าวจึงเป็นงานที่ต้องปรับปรุง และงบการข่าวต้องมีการ “กระจาย” เพื่อให้เป็นประโยชน์ในงานข่าวอย่างจริงจัง รวมทั้งการพัฒนาในเรื่องของการข่าวให้ทันสมัย ไม่ใช่เป็นงานที่ “ลอกข่าว” หรืองาน “จินตนาการ” เพื่อให้พ้นภาระไปแต่ละวัน หรือแต่ละเดือน
 
ซึ่งหลายฝ่ายคาดหวังว่า แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช ซึ่งเติบโตมาจากสายงานการข่าว เมื่อมาทำหน้าที่แก้ปัญหาในภารกิจดับไฟใต้ คงจะใช้ความรู้ความสามารถในการพัฒนางานด้านการข่าวให้ทันสมัย มีการ “กระจายงบ” อย่างเป็นธรรม เพื่อให้งานการข่าวสามารถ “เข้าถึงข่าว” และสามารถที่จะนำข่าวที่มีความชัดเจน และเป็นจริงมาป้องกันการก่อการร้าย และทำลายเครือข่ายของขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่างได้ผล
 
และประเด็นที่สำคัญที่ทั้งแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ และ ครม.ส่วนหน้าต้องให้ความสำคัญ คือ การเคลื่อนไหวของ “ขบวนการภาคประชาชน” ในพื้นที่ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมา ขบวนการภาคประชาชนพยายามเคลื่อนไหวเพื่อแสดงออกด้วยการเปิดเวทีเสวนาและอื่นๆ แต่ “ถูกสกัด” จากหน่วยงานความมั่นคงมาโดยตลอด จนเกิดความรู้สึก “ต่อต้าน ขึ้น สิ่งเหล่านี้แม่ทัพคนใหม่ และ ครม.ส่วนหน้าต้องให้ความสนใจ และบริหารจัดการให้เป็นธรรม เพราะปัญหาเล็กๆ เหล่านี้ถ้ามีการบริหารจัดการที่ไม่คำนึงถึง “ผลได้ ผลเสีย” อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ ในอนาคต
 
วันนี้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้จับตามอง ครม.ส่วนหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้นว่า จะเข้ามาทำหน้าที่ “ดับไฟใต้” ของแผ่นดิน และ “ดับไฟทุกข์” ในใจของคนในพื้นที่อย่างไร ซึ่ง ครม.ส่วนหน้า จะต้อง “ชัดเจน” ทั้ง นโยบาย และตัวบุคคล
 
ที่สำคัญเมื่อแต่งตั้งแล้วก็ควรต้องได้รับความ “เชื่อมั่น” และ “ศรัทธา” จากคนในพื้นที่ และข้อสำคัญอย่าให้ถูกมองว่า ครม.ส่วนหน้า คือ “บำเหน็จ” ของกลุ่มคนเกษียณอายุราชการซึ่งถูกส่งไปคุมงบประมาณในการดับไฟใต้ให้แก่รัฐบาลเท่านั้น
 
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น