คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
--------------------------------------------------------------------------------
แม้ว่าในการแถลงผลงานของ ครม.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.นั่งหัวโต๊ะจะสรุปผลงานการ “ดับไฟใต้” ด้วยตัวเลขว่า เหตุร้ายในพื้นที่ลดลง 60% นั่นหมายถึงสถานการณ์ความรุนแรงและการก่อความไม่สงบในพื้นที่ลดน้อยถอยลง
แต่ในความรู้สึกของคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หมายรวมถึงคนทั่วไปด้วย กลับยังมองว่า สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ยังคงอยู่ เพราะ “เหตุร้ายรายวัน” ยังเกิดขึ้นเกือบจะทุกวัน ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แต่ถ้านำเอาเหตุร้ายทั้งหมดมารวมกันก็จะมีตัวเลขที่ชัดเจนว่า เหตุร้ายรายวันในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นวันละ 1- 2 เหตุการณ์เป็นอย่างน้อย
และถ้ามองด้วยความไม่ลำเอียง หรือมองแบบเข้าข้างฝ่ายไหน นั่นยังพบว่า เหตุร้ายหลายอย่างที่เคยหายไปนานวันมาแล้ว แต่กลับมาเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งในวันนี้ เช่น การก่อวินาศกรรมในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน การยึดโรงพยาบาล การวางระเบิดขบวนรถไฟ และการก่อวินาศกรรมโรงแรมในเมืองปัตตานี
ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ไม่ว่าฝ่ายบริหารจะอ้างสาเหตุว่า มาจากเรื่อง “การเมือง” หรือเรื่อง “ความขัดแย้ง” จากอะไรก็แล้วแต่ แต่ความจริงจากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ คนร้ายหรือโจรทั้งหมดที่เป็นผู้ก่อเหตุคือ “แนวร่วม” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” ทั้งหมด
ยิ่งถ้ามองในสายตาของ “นักการข่าว” ที่ติดตามพัฒนาการของขบวนการบีอาร์เอ็นก็ยิ่งพบว่า วันนี้บีอาร์เอ็นได้ทำการปรับโครงสร้างใหม่ มีการปรับเปลี่ยน “ยุทธศาศตร์” ในด้าน “การเมือง” หลายต่อหลายประการ ที่เด่นชัดคือ แผนการสร้างมวลชนด้วยการ “แทรกซึม” ในสถานศึกษา และการสร้างสมาชิกรุ่นใหม่ที่เป็น “สตรี” รวมทั้งการสร้างชุมชนใหม่ที่เป็นชุมชนพึ่งตนเอง เพื่อเป็นการทดลองการปกครองในรูปแบบของการอยู่ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาหน่วยงานของรัฐ
นักการข่าวที่เกาะติดการพัฒนาการของบีอาร์เอ็นมองว่า การก่อเหตุร้ายรายวัน รวมถึงการขยายพื้นที่ก่อเหตุ ล้วนเป็น “กุศโลบาย” ที่ต้องการใช้การก่อการร้ายเป็น “กับดัก” ให้หน่วยงานความมั่นคงตกอยู่ใน “วังวน” ของความรุนแรง แล้วทุ่มเทสรรพกำลังที่มีเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น จนมองไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนงาน “การเมือง” ของบีอาร์เอ็น
โดยบีอาร์เอ็นตั้งเป้าที่จะประสบความสำเร็จในด้าน “มวลชน” ใน 10-15 ปีข้างหน้า ซึ่งขบวนการนี้รอได้ เพราะที่ผ่านมาหลายสิบปีก็ไม่เคยสยบหรือท้อถอย แถมยังมีการพัฒนาขบวนการไปข้างหน้า ทั้งทางด้าน “การเมือง” และ “การทหาร” อยู่ตลอดเวลา
อาจจะเป็นเพราะฝ่ายความมั่นคงมองเห็นพัฒนาการของบีอาร์เอ็นที่ไม่รับไมตรีการ “พูดคุยสันติสุข” ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยในประเทศมาเลเซีย หรือการพูดคุยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งอาจจะมองเห็นความ “อืดอาด” ของสายงานบังคับบัญชาในของกระบวนการดับไฟใต้ ที่หลายต่อหลายครั้งเข้าตำรา “ถั่วสุกงาไหม้” อะไรทำนองนั้น
“ครม.ส่วนหน้า” จึงถูกนำมาเป็น “อาวุธ” เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเท่าที่เห็นภาพ ครม.พิเศษชุดนี้ก็จะมีอดีตนายทหารที่เคยเป็น “แม่ทัพภาคที่ 4” อย่าง พล.อ.สกล ชื่นตระกูล พล.อ.ปราการ ชลยุทธ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ และ นายภาณุ อุทัยรัตน์ ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการใน 30 กันยายนที่จะถึงเป็นกำลังหลัก
ซึ่งก็น่าจะเป็น “ครม.ย่อส่วน” ที่รับผิดชอบในงาน “เฉพาะกิจ” ของ 2 หน่วยงานในพื้นที่คือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ซึ่งลักษณะคงจะไม่คล้ายกับ กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) ที่เคยถูกตั้งขึ้นมาในอดีต มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการลดสายงานการสั่งการให้สั้นลง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และมีการยกเลิกไปก่อนที่จะปรับเป็น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรียังมีคำสั่งให้ “กอ.รนมน.” และ “ศอ.บต.” ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยมี “คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( คปต.)” เพื่อการบูรณาการในระดับแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ
และในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควร อาจจะแต่งตั้ง “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ที่มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เพื่อติดตามการปฏิบัติราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และประสานกับ กอ.รมน.และ ศอ.บต.
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือ “ความเปลี่ยนแปลง” ที่จะได้เห็นในวันที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ที่ผ่านมา “ภารกิจการดับไฟใต้” ของ คสช.และรัฐบาลยังไม่ประสบความสำเร็จ และนโยบายที่ใช้มาตลอด 2 ปีของ คสช.ยังไม่สามารถที่จะทำให้ไฟใต้มอดดับลงได้อย่างที่ต้องการ ผู้นำประเทศจึงต้องปรับ “นโยบายการดับไฟใต้” ใหม่ โดยหวังพึ่ง ครม.ส่วนหน้า เป็น “หัวหอก” ที่จะ “ปักตรึง” ยอดอกของบีอาร์เอ็น
ในขณะที่ในพื้นที่เองก็มีการปรับเปลี่ยนผู้นำคนสำคัญ นั่นคือ การได้แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ จากการที่ พล.ท.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ ผู้เป็น “ลูกหม้อ” ในพื้นที่จะเกษียณอายุราชการ โดยกองทัพได้แต่งตั้ง พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่
ในขณะที่ พล.ท.เรืองศักดิ์ สุวรรณนาคะ แม่ทัพน้อยที่ 4 ได้ อวยยศเป็น “พลเอก” และ พล.ต.ชินวัฒน์ แม้นเดช รองแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ที่เข้าใจบีอาร์เอ็นได้ดี แต่ไม่ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ได้อวยยศเป็น “พล.ท.” ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ และ พล.ต.วรวุฒิ หมอแก้ว ซึ่งมีพลังในพื้นที่ผลักดันให้เป็นแม่ทัพคนใหม่ ก็ได้อวยยศเป็น “พล.ท.” ในตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 4 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกมองว่า “เป็นยักษ์” ที่ไร้ “กระบอง”
ในส่วนของฝากฝ่าย “พลเรือน” ทุกภาคส่วนในพื้นที่ต่างผลักดันให้ นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ รองเลขาธิการ ศอ.บต.ได้ขยับขึ้นเป็น “เลขาธิการ ศอ.บต.” ท่ามกลาง “ความหวั่นไหว” เนื่องจาก “ข่าว” ที่ถูก “ปล่อย” เพื่อเป็นการ “โยนหินถามทาง” ว่า เลขาธิการ ศอ.บต.ต่อจากนายภาณุ อุทัยรัตน์ จะเป็น “สีเขียว”
แต่สุดท้ายเข้าใจว่า ฝ่ายบริหารคงดู “ทิศทางลม” และไม่กล้าที่จะ “ซ้ำเติม” ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ ตำแหน่งเลขาธิการ ศอ.บต.จึงเป็นของพลเรือน และการเลือกนายศุภณัฐนั่งเป็นเลขาธิการ ศอ.บต.ต่อจากนายภาณุ จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด ในฐานะที่นายศุภณัฐคือ “ลูกหม้อ” ที่มาจาก “มหาดไทย” ที่มีฝีมือที่ที่สำคัญคือ เป็น “คนดี” อย่างแน่นอน
ในส่วนของแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ ซึ่งเติบโตมาจากงาน “การข่าว” เป็นด้านหลัก และขึ้นมาเป็น “แม่ทัพ” ท่ามกลางเสียงกล่าวขานว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความ “อ่อนเยาว์” ในเรื่องของงานการข่าว ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้บริหารต้องการนายทหารที่เก่งในเรื่องของการข่าวมานั่งตำแหน่งนี้ เพื่ออุด “รูรั่ว” ของงานด้านการข่าวอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น วันนี้จึงไม่ควรมีการ “ติเรือทั้งโกลน” ว่าเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม หรือเพราะเป็น “พี่เป็นน้อง” กับ “ผบ.ทบ.” เพราะที่ผ่านมาคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ผู้ประสบกับชะตากรรมจากการแบ่งแยกดินแดนของ บีอาร์เอ็น ก็ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึง 12 ฝน ผ่านแม่ทัพที่มาจากภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และลูกหม้อภาคใต้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่มาแล้ว ได้ทั้งแม่ทัพ “นักรบ” และ “นักพัฒนา” ได้ทั้งแม่ทัพ “สายเหยี่ยว” และ “สายพิราบ” มาทำหน้าที่ดับไฟใต้มาแล้ว แต่ไฟใต้ก็ยังไม่ได้มอดดับอย่างที่วาดหวัง
ในวันที่คนภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด “เสี่ยง” ต่อการก่อการร้ายด้วยกันทั้งสิ้น วันนี้ชาวใต้จึงได้คนที่เก่งใน “งานการข่าว” มาเป็นแม่ทัพเพื่อสู้ศึกกับบีอาร์เอ็น ซึ่งสถานการณ์อาจจะ “พลิกผัน” ไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะวันนี้การได้ “ชัยชนะ” ในการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็น “สงครามประชาชน” “สงครามกองโจร” หรือกระทั่ง “สงครามเศรษฐกิจ” ผู้ที่กำชัยชนะเหนือคู่ต่อสู้ล้วนแต่มี “การข่าว” ที่เหนือกว่าทั้งสิ้น
ดังนั้นแม่ทัพภาคที่ 4 ที่มาจาก “ผอ.การข่าว” อาจจะเป็น “จุดเปลี่ยน” ของสงครามประชาชนที่ปลายด้ามขวานก็เป็นได้
สำหรับประชาชนในแผ่นดินปลายด้ามขวานแห่งนี้ จึงต้องไม่หวั่นไหวในการที่จะเป็น “หนูตะเภา” เนื่องจากวันเวลาย่างเข้าปีที่ 13 พวกเราต่างถูก “ลองยา” กันมาแล้วอย่าง “โชกโชน”
เราผ่านการมี ศอ.บต. การยุบ ศอบต. และการกลับมามี ศอ.บต.ที่มี พ.ร.บ.เป็นของตนเองรองรับ รวมถึงการให้ ศอ.บต.กลับไปเป็นส่วนหนึ่งของ กอ.รมน. เราก็ผ่านกันมาแล้ว
เราเคยมี พตท.43 ก่อนที่จะถูกยุบทิ้ง เรามี กอ.สสส.จชต. ที่ในยุคนั้นเห็นว่าเหมาะสมในภารกิจของการดับไฟใต้ และก็มีการยกเลิกก่อนที่จะมีอะไรต่ออะไรในชื่อต่างๆ อีกมากมาย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการนำความสงบกลีบคืนพื้นที่
จนสุดท้ายเรามี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มี ศอ.บต.ส่วนหน้า และจะมีอะไรต่อมีอะไรต่อมิอะไรที่เป็น “โมเดล” เกิดขึ้นมากมาก แต่สุดท้าย “ไฟใต้” ก็ยังดำรงอยู่พร้อมกับการ “บาดเจ็บ” และ “ล้มตาย” ของทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนที่เกิดขึ้นแบบ “รายวัน”
ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า “หนูตะเภา” อย่างคนในพื้นที่มีความพร้อมที่จะถูก “ลองยา” อีกกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร เพราะวันหนึ่งเราอาจจะได้ “ยาดี” ที่มีประสิทธิภาพในการ “ขจัดโรค” ที่ชื่อว่า “ไฟใต้” ก็ได้
ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำหน่วย และมีการจัดหน่วยงานใหม่เพื่อดับไฟใต้ คนในพื้นที่ต่างมีความหวังทุกครั้งว่า ผู้นำหน่วยคนใหม่และหน่วยงานใหม่คงจะมีความรู้ความสามารถในการทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้น
ครั้งนี้ก็คงเช่นนั้น จึงได้แต่หวังว่า “แม่ทัพใหม่” “เลขาธิการใหม่” และ “ครม.ส่วนหน้า” ชุดใหม่ที่ถูกตั้งขึ้นมา คงจะไม่ใช่ “ยาสามัญประจำบ้าน” แต่คงเป็น “แพทย์เฉพาะทาง” ที่สามารถทำให้โรคร้ายที่ชื่อว่าไฟใต้หายไปจากแผ่นดินปลายด้ามขวานได้เสียที