ชมรมข้าราชการบำนาญสงขลาห่วงสถานการณ์ภาคใต้ จัดวงเสวนารับทราบปัญหาเพื่อหาทางออก

 
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ชมรมข้าราชการบำนาญสงขลาจัดวงเสวนาสมาชิกชมรม พร้อมเชิญนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศ และที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า สรุปสถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชายแดนใต้

วันนี้ (5 มิ.ย.) ที่ห้องประชุมโรงแรมหาดใหญ่พาราไดร์ นายวิสุทธิ์ สิงห์ขจรวรกุล อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทยและอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศอ.บต.) ประธานชมรมข้าราชการบำนาญ ได้มีการประชุมสมาชิกชมรมฯ ซึ่งประกอบด้วย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด, รองผู้ว่าราชการจังหวัด และอื่น ๆ จากหลายจังหวัด เพื่อพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเชิญนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศ และที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า สรุปสถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันให้สมาชิกได้รับทราบ เพื่อเป็นข้อมูลและประโยชน์ในการร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ซึ่งนายไชยยงค์ ได้ให้ข้อสรุปของสถานการณ์ใน 2 ปี นับแต่การเข้ามาบริหารประเทศของ คสช. สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านบวกคือ วันนี้คนในพื้นที่รับรู้ข้อเท็จจริงว่า ผู้ก่อเหตุร้ายคือขบวนการบีอาร์เอ็น ซึ่งผิดกับในอดีตที่เมื่อมีเหตุก่อการร้ายเกิดขึ้น คนในพื้นที่ซึ่งเป็นมุสลิมส่วนใหญ่จะออกมาโจมตีว่าเจ้าหน้าที่รัฐสร้างสถานการณ์ รวมทั้งวันนี้หน่วยงานความมั่นคงได้รับความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ ในการแจ้งข่าวสารเบาะแสของการก่อการร้ายมากขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถป้องกันการก่อเหตุได้มากขึ้น

เช่น การปิดล้อมตรวจค้นและมีการปะทะกับ “อาร์เคเค” จนทำให้ผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต 4 ศพ มาจากการใช้นโยบายกดดันในพื้นที่สีแดง เพื่อให้แนวร่วมไม่สามารถอยู่ในหมู่บ้านเพื่อเตรียมก่อเหตุร้าย รวมทั้งมีการจัดชุดไล่ล่ากลุ่มติดอาวุธในพื้นที่เทือกเขาต่าง ๆ ที่อยู่หลังหมู่บ้าน จนทำให้กำลังติดอาวุธไม่สามารถเคลื่อนไหวอย่างสะดวกในการก่อเหตุร้าย โดยจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่สามารถป้องกันคาร์บอมบ์ในหัวเมืองเศรษฐกิจทั้ง 7 หัวเมืองอย่างได้ผล
 

 
แต่...สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงคือ สถานการณ์ที่เห็นว่าดีขึ้นนั้น ยังมีจากการใช้กำลังเข้ากดดัน เพื่อให้แนวร่วมก่อการร้ายได้ยากขึ้น และอาจจะหยุดการก่อการร้ายเพราะถูกกำลังเจ้าหน้าที่กดดันจนไม่สามารถเคลื่อนไหว หากกำลังเจ้าหน้าที่หยุดกดดันก็จะกลับมาก่อเหตุร้ายได้อีก

รวมทั้งยังเห็นว่า ในพื้นที่ยังมีความหวาดระแวงของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐสูงมาก แม้ว่าคนในพื้นที่จะเข้าใจแล้วว่าบีอาร์เอ็นมีอยู่จริง และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการสั่งการให้ก่อการร้าย แต่คนในพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่รัฐ ยังหวาดระแวง ยังมองรัฐไม่จริงใจในการแก้ปัญหา ในขณะที่สังคมในพื้นที่ความหวาดระแวงระหว่างไทยพุทธกับมุสลิมก็ยังเพิ่มมากขึ้น

ในขณะที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นนั้น 12 ปี ที่เกิดความไม่สงบละลอกใหม่ บีอาร์เอ็นยังคงยุทธศาสตร์การต่อสู้ที่ไม่เปลี่ยนแปล นั้นคือ “เอกราช” โดยการแบ่งแยกดินแดนเพื่อตั้งรัฐปาตานีดารุลสลาม และยังคงเคลื่อนไหวทั้งการทหารและการเมืองควบคู่กันไป

ซึ่งล่าสุด บีอาร์เอ็นได้ใช้เงื่อนไขของปอเนาะญีฮาดที่ถูกศาลแพ่งพิพากษาให้ยึดเป็นของรัฐ ในการปลุกระดมทั้งภายในประเทศและในโลกมุสลิม ให้เข้าใจผิดว่าถูกรัฐไทยรังแกและไม่เป็นธรรม เพราะที่ดินของโรงเรียนดังกล่าวเป็นที่ดินวากัฟ โดยบีอาร์เอ็นพยายามที่จะให้เรื่องการยึดที่ดินวากัฟเป็นเงื่อนไขของการทำสงครามจีฮัดหรือสงครามศาสนา ซึ่งเรื่องการยึดปอเนาะญีฮาดเป็นเหมือนกับระเบิดเวลาลูกใหม่ ที่รัฐบาลต้องเร่งถอดสลักก่อนที่จะเกิดระเบิดขึ้น
 

 
ในส่วนของการพูดคุยสันติสุขระหว่างกลุ่มมาราปาตานีกับตัวแทนของรัฐบาลไทย โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยการสะดวกนั้น นายไชยยงค์ กล่าวว่า เป็นการพูดคุย ทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีความจริงใจต่อกัน โดยฝ่ายรัฐไทยต้องการพูดคุยเพื่อหาข้อมูล หาตัวตนของขบวนการบีอาร์เอ็นให้มากที่สุด เพื่อความได้เปรียบในการต่อสู้ ในขณะที่บีอาร์เอ็นหรือมาราปาตานีนั้น ต้องการใช้เวลาของการพูดคุยเพื่อยกระดับของขบวนการบีอาร์เอ็นไปสู่การเป็นองค์การการก่อการร้ายสากล และมีบทบาทในองค์กรมุสลิมโลก หรือ โอไอซี 

ดังนั้นการพูดคุยด้วยความไม่จริงใจของทั้ง 2 ฝ่ายจึงไม่สามารถที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น จะเห็นว่า ข้อเสนอของทั้ง 2 ฝ่าย ล้วนเป็นข้อเสนอที่รู้ล่วงหน้าว่าไม่สามารถทำได้ ดังนั้นการที่นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้ทบทวนการพูดคุย เพื่อหาวิธีการพูดคุยที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ดี เพราะหากปล่อยให้การพูดคุยดำเนินไปในลักษณะที่ประเทศไทยเสียเปรียบ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ยอมรับว่าวิธีการแก้ปัญหาด้วยการพูดคุย เป็นวิธีการที่ดีที่สุด และหลายประเทศประสบความสำเร็จ แต่อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ใช้ได้กับประเทศไทย และยังมีวิธีการอื่นอีกมากที่จะยุติความรุนแรงได้ โดยไม่ต้องใช้การเจรจา

และสุดท้าย นายไชยยงค์ ยังเห็นว่า ปัญหาอุปสรรคของการดับไฟใต้ด้วยความล่าช้า คือความไม่จริงใจของหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ การร่วมมือกับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ปัญหา ซึ่งพบว่าเกือบทุกองค์กรยังคิดที่หวังผลประโยชน์จากงบประมาณในการดับไฟใต้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรเอกชน ศาสนา ท้องที่ ท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ในขณะที่หน่วยงานของรัฐยังแสวงหากำไรจากการทำโครงการต่าง ๆ โดยที่ได้ได้คำนึงว่าโครงการเหล่านั้น สามารถตอบโจทย์ของการดับไฟใต้หรือไม่
 

 
ร.ต.เลิศเกียรติ วงศ์โพธิพันธ์ อดีต รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่าเรื่องปอเนาะญีฮาดนั้น ตนเองได้เคยนำเสนอให้กับผู้ใหญ่ที่มีอำนาจได้รับทราบมาโดยตลอดว่า การใช้วิธีการยึดที่ดินวากัฟมาเป็นของรัฐ จะเป็นการเข้าทางของบีอาร์เอ็น แต่ไม่มีการรับฟัง ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้นทางออกจึงต้องดำเนินการยกที่ดินดังกล่าวให้กับหน่วยงานหรือองค์กรในพื้นที่ เช่น กรรมการอิสลามประจำจังหวัด หรืออื่น ๆ เพื่อเป็นการยุติปัญหาและต้องมีการสื่อสารข้อเท็จจริงให้กับองค์กรต่าง ๆ ได้รับทราบ

และนอกจากนั้น ยังพบว่า ในพื้นที่ยังมีความหวาดระแวงระหว่างกันสูงมาก รวมทั้งยังเกิดความเหลื่อมล้ำในการปฏิบัติระหว่างคนในพื้นที่ ซึ่งคนไทยพุทธและคนไทยเชื้อสายจีน ยังมองเห็นว่า ไม่มีความเท่าเทียมในการได้รับการดูแลจากรัฐทั้งในเรื่องของงบประมาณและการดูแล

แต่ก็ยอมรับว่านับตั้งแต่มี คสช.เข้ามา การทำงานของข้าราชการในพื้นที่มีประสิทธิภาพขึ้น เพราะกลัวการใช้ ม 44 จาก คสช. วันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ข้าราชการตำรวจ และอื่น ๆ ถูกจี้ให้ทำหน้าที่จากฝ่ายทหารอย่างเต็มที่ และมีการบี้ลงไปถึงผู้นำท้องที่ ทำให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อื่น ๆ ไม่สามารถลอยตัวอยู่เหนือปัญหาเหมือนเก่า จึงทำให้เห็นว่าสถานการณ์ดีขึ้น

ในขณะที่ นายบุญยสิทธิ์ สุวรรณรัตน์ อดีต ผวจ.ยะลา กล่าวว่า ตนเห็นว่าการแก้ปัญหาในรอบ 2 ปี ยังไม่ประสบความสำเร็จ การใช้สถิติของการเกิดเหตุมาเป็นตัวชี้วัด ไม่ใช่เรื่องที่เป็นจริง หลายเรื่องมองเผิน ๆ คือใช่ แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปคือภาพลวงตา การใช้กำลังเป็นจำนวนมากเข้าไปกดดันในพื้นที่ ทำให้สถานการณ์ดูดีขึ้นชั่วคราว แต่สุดท้ายความรุนแรงจะกลับมา โดยเฉพาะใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ยังเป็นพื้นที่เปราะบางที่น่าเป็นห่วง