คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
------------------------------------------------------------------------
“คสช.” หรือ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” กำลังจะแถลงผลงาน 2 ปีที่เข้ามา “ปฏิรูป” ประเทศไทย หลังจากที่เกิดความแตกแยกครั้งใหญ่ของคนในชาติ ซึ่งล้วนมีผลมาจาก “ความเหลวแหลก” ของ “นักการเมือง” ที่บริหารบ้านเมืองโดยตั้งอยู่บนฐานการ “ทุจริต-คอร์รัปชัน” ซึ่งนอกจากปล่อยให้นักการเมือง “กอบโกยผลประโยชน์” อย่างเพลิดเพลินแล้ว ยังปล่อยปละให้ “ข้าราชการ” ทำการ “ฉ้อราษฎร์-บังหลวง” อย่างมหาศาล เพราะเมื่อ “หัวส่าย” ก็ยอมที่ “หางกระดิก” ตามไปด้วย
การเข้ามาของ คสช.จึงเป็น “ความคาดหวัง” ของคนส่วนใหญ่ แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด โดยเชื่อว่าการใช้ “ความเด็ดขาด” เข้ามา “ปักกวาดสิ่งโสโครก” ทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอรัปชัน และการปฏิรูปหน่วยงานทุกหน่วยที่ต่างอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วย “มอด-ปลวก”
หมายรวมถึง “ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้” ด้วย เพราะนับตั้งแต่ปี 2547 ที่เกิดความรุนแรงระลอกใหม่บนแผ่นดินปลายด้ามขวาน มีการพยายามที่จะ “ดับไฟใต้” จากทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น “รัฐบาลทักษิณ” หรือ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” หรือ “รัฐบาลสมชาย” หรือ “รัฐบาลสมัคร” และรวมทั้ง “รัฐบาลสุรยุทธ์” ด้วย
แต่ “ไฟใต้” ก็ยังคง “โชนแสง” และ “โชว์พลัง” ให้เห็นถึงความเข้มแข็งของ “บีอาร์เอ็นฯ” ที่ยังคงยึดครองพื้นที่ และสร้าง “แนวร่วม” ในการสร้างความสูญเสียให้แก่ชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 6,000 คน บาดเจ็บกว่า 10,000 คน ทรัพย์สินของประชาชน และราชการอีกนับไม่ถ้วน
ที่สำคัญคือ มีการใช้จ่าย “งบประมาณ” เพื่อการดับไฟใต้ไปแล้วกว่า 300,000 ล้านบาท ซึ่งเป็น “เม็ดเงิน” ที่ถูกนำมา “ทับถม” ลงไปในพื้นที่ท่ามกลางความ “ท้อแท้” และ “หมดหวัง” ของคนชายแดนใต้ ซึ่งอยากจะเห็น “สันติสุข” ของแผ่นดินปลายด้ามขวานแห่งนี้
2 ปีของ คสช.กับ “นโยบายการดับไฟใต้” เริ่มต้นที่การ “จัดการ” เพื่อสร้าง “เอกภาพ” ภายในหน่วยงานของรัฐ นั่นคือการให้พักการใช้ “พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ “พ.ร.บ.ศอ.บต.” เอาไว้ แล้วให้ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ “ศอ.บต.” เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อ “กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน” หรือ “กอ.รมน.”
โดยให้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ซึ่งมี “แม่ทัพภาคที่ 4” นั่งเป็น “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เป็นผู้มีอำนาจ และใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดในการนำนโยบายของ “กองทัพ” ของ “รัฐบาล” มาใช้ในการ “บริหารจัดการ” กับ “ขยะใต้พรม” และความไม่ลงรอย ความไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันของผู้นำ กระทรวงทบวงกรมต่างๆ
2 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้การบริหารจัดการของ คสช.ยังไม่สามารถที่จะทำให้ปัญหาความไม่สงบลดลงแบบที่บอกแก่ประชาชนได้อย่าง “น่าพอใจ” เพราะความรุนแรงในพื้นที่ยังคงเป็นไปแบบ “ขึ้นๆ ลงๆ” คือความรุนแรงอาจจะหยุดลงระยะหนึ่ง แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งความรุนแรงก็กลับมาปะทุอีกครั้ง
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ไม่ได้ถูกปราบปรามให้ “ง่อยเปลี้ยเสียขา” จนอยู่ในสภาพของผู้ที่ “เพลี่ยงพล้ำ” แต่อย่างใด แต่บีอาร์เอ็นใช้ “แผนรุก” และ “แผนถอย” ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตามแบบฉบับของ “สงครามกองโจร” หรือเป็นการทำ “สงครามอสมมาตร” ที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนทุกประเทศมีความช่ำชอง
วันนี้ฝ่ายก่อความไม่สงบของบีอาร์เอ็นยังยึดมั่น และเดินหน้าใน “ยุทธศาสตร์” ของการสร้าง “เอกราชปัตตานี” ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยใช้ “ยุทธวิธี” ทั้งทาง “การเมือง” และ “การทหาร” ควบคู่กันไปตามสถานการณ์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การ “ฉกฉวย” เอา “เงื่อนไข” ที่เกิดจากความ “ผิดพลาด” ของฝ่ายรัฐ ที่ไม่ว่าจะเป็นความ “ประมาท” หรือการ “จงใจ”
อย่างเช่นในขณะนี้ที่บีอาร์เอ็นอาศัยเงื่อนไข “ที่ดินวากัฟ” ของ “ปอเนาะญีฮาด” รุกทางการเมือง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อระดมความช่วยเหลือ และเพื่อชี้ให้เห็นว่า “ถูกรังแก” จากรัฐบาลไทย รวมทั้งการอาศัย “โต๊ะเจราจา” ในเรื่องการ “พูดคุยสันติสุข” เป็นการ “ซื้อเวลา” และให้เป็นประโยชน์ต่อขบวนการใน “เวทีโลก”
วันนี้ บีอาร์เอ็นยังคงเดินหน้าในการสร้าง “แนวร่วมใหม่” อย่างเต็มที่ และมีการเตรียมพร้อมของ “แนวร่วมปฏิบัติการ” เพื่อ “ก่อเหตุร้าย” ได้ทันที ถ้ามีพื้นที่ให้เคลื่อนไหว หรือมี “ช่วงว่าง” ในพื้นที่เกิดขึ้น
จึงต้องยอมรับว่า 2 ปีที่ผ่านมาของ คสช.ได้พยายามอย่างยิ่งในการที่จะลดความรุนแรงในพื้นที่ให้ได้ สังเกตจากการเดินทางของ “ผบ.ทบ.” ที่นับตั้งแต่ “พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร” จนมาถึง “พล.อ.ธีรชัย นาควานิช” ที่ลงพื้นที่ติดตามปัญหาของการดับไฟใต้อย่าง “ใส่ใจ” มาโดยตลอด
แต่สิ่งที่เห็นอยู่ว่าทำได้ในขณะนี้คือ การป้องกัน “เมืองชั้นใน” ไว้ให้พ้นจากการก่อเหตุได้ แต่ไม่สามารถป้องกันพื้นที่ใน “อำเภอรอบนอก” ให้พ้นจากการก่อเหตุของแนวร่วมได้ จนมีคำถามว่า ทำไม่ชีวิตของ “คนเมือง” และ “ทรัพย์สินของคนเมือง” จึง “มีค่า” กว่าคนในอำเภอรอบนอก ทั้งที่เป็น “คนไทย” เหมือนกัน
ในวันนี้ที่เหตุการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดลดน้อยลงไม่ได้หมายความว่า บีอาร์เอ็นเปลี่ยนนโยบายจากการใช้การทหารในการสู้รบกับเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เป็นเพราะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ส่งกำลังทหารเข้าไปตรึงพื้นที่ใน “หมู่บ้านเป้าหมาย” เอาไว้ เพื่อเป็นการ “จำกัดเสรีภาพ” ของกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งวิธีการนี้ถ้า กอ.รมน.ทำได้ตลอดรอดฝั่งก็จะเป็นผลดีต่อการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
เหตุที่มีการใช้วิธีการเช่นนี้เป็นเพราะ “ข่าวลับ” ที่มีการแจ้งเตือนว่าใน “เดือนรอมฎอน” ซึ่งจะเริ่มต้นก่อนวันที่ 10 มิถุนายนนี้ บีอาร์เอ็น และ “พันธมิตร” มีแผนที่จะก่อความรุนแรงให้เกิดขึ้นเหมือนกับห้วงเวลาเดียวกันของทุกปีที่ผ่านๆ มา
หากในเดือนรอมฎอนของปีนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า สามารถที่จะ “จำกัดพื้นที่” ทั้ง “รอบนอก” และ “รอบใน” มิให้แนวร่วมก่อเหตุได้ ก็อาจจะเป็น “ปีแรก” ในรอบ 12 ปีที่การป้องกันการก่อเหตุในเดือนรอมฎอนได้ผล ซึ่งจะเป็นผลกระทบต่อขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นอย่างมาก
อีกอย่างคือ กองกำลังของบีอาร์เอ็นที่เข้าไปก่อเหตุร้ายในเมืองนั้น ส่วนหนึ่งมาจากนอกเมือง ไม่ว่าจะเป็น “อาร์เคเค” หรือการลำเลียงส่ง “อาวุธยุทโธปกรณ์” ถ้า กอ.รมน.สามารถที่จะทำให้นอกเมืองไม่เป็นที่ “ซ่องสุมกำลัง” และหมู่บ้านต่างๆ ไม่เป็น “หลังพิง” ให้แก่แนวร่วมได้ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะตราบใดที่ป้องกันตัวเมืองไว้ได้ โดยปล่อยให้นอกเมืองเป็นที่ซ่องสุมกำลังของแนวร่วม ในเมืองก็จะไม่มีวันที่จะปลอดจากอันตราย
สรุปคือ 2 ปีของ คสช.อาจจะไม่ “เสียเปล่า” สำหรับการแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ว่าในการ “ยุติไฟใต้” ด้วยการ “พูดคุย” จะไม่ได้ผล แต่กับ “การพูดคุยเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่บีอาร์เอ็นมากเกินไป” การหยุดชะงักเพื่อเริ่มต้นใหม่ก็เป็นสิ่งที่ต้องกระทำ
ดังนั้น อีก 1 ปีก่อนที่จะมีการเลือกตั้งตามโรดแมป ถ้าเป็นจริงสิ่งที่ คสช.ต้องดำเนินการให้เป็นมรรคเป็นผลให้มากกว่านี้คือ หนึ่ง ต้องแก้ปัญหาเรื่อง “ที่ดินวากัฟ” ที่เป็นเหมือน “กับระเบิด” ให้ได้โดยเร็ว และสอง คือ การแก้โจทย์ “มลายู-อิสลาม-ปัตตานี” ซึ่งเป็น “เครื่องมือ” หากินของบีอาร์เอ็นให้ได้
เพราะสถานการณ์ความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้มีจุดเริ่มต้นมาจากตรงนี้ เมื่อยังไม่มีการ “ตอบโต้วาทกรรม” ที่ถูกสร้างขึ้น และถูกนำไปเป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกดินแดนอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ และหากปล่อยสถานการณ์ไฟใต้ให้ยังเป็นอย่างที่เห็น การเข้ามาของ คสช.อาจจะเป็นได้เพียง “ยาสามัญประจำบ้าน” ซึ่งไม่ได้แตกต่างอย่างไรกับ “ทุกรัฐบาล” ที่ผ่านมา
สิ่งนี้ก็จะเป็นบทพิสูจน์ว่า “ม.44” หาได้เป็น “ดาบอาญาสิทธิ์” ไม่ แต่เป็นได้เพียง “มีดทื่อ” ในมือของ “หมอ” ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น