คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ก่อนที่จะเขียนถึงสถานการณ์ความรุนแรง และความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ครานี้ ต้องขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อสถานการณ์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิตหลายราย โดยเฉพาะ “ไทยพุทธ” ที่ยังคงสูญเสีย และกลายเป็นเหยื่อตลอดกาล ซึ่งถูก “แนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน” นำชีวิตไปเป็นเครื่องต่อรองกับเจ้าหน้าที่รัฐ
ล่าสุดของเหยื่อสถานการณ์คือ พ.ต.อ.องอาจ ทองมา อดีต สวญ.สภ.ยะรัง จ.ปัตตานี อายุกว่า 80 ปี ที่ถูกประกบยิงในขณะที่ปั่นรถจักรยาน ขณะที่ก่อนหน้านี้มีเหตุยิงแล้วเผาเกิดขึ้นในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งเหยื่อก็เป็น “ไทยพุทธ” เช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ที่นี่คงจะไม่ไปประณาม “แนวร่วม” ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุอันโหดเหี้ยม เพราะการประณามผู้ก่อการที่ “ไม่มีศาสนา” และ “ไม่มีความเป็นมนุษย์” น่าจะเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ
และประเด็นสำคัญการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่าย คือ เจ้าหน้าที่รัฐ กับขบวนการการแบ่งแยกดินแดน ฝ่าย “คนร้าย” ย่อมที่จะไม่เลือกวิธีการที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นความโหดร้ายไร้มนุษยธรรม เพราะคนร้าย “ต้องการให้ถึงเป้าหมาย” ที่วางไว้เท่านั้น
เป้าหมายของขบวนการแบ่งแยกดินแดน คือ การใช้ “ไทยพุทธ” เป็นเครื่องมือในการ “ข่มขู่” เจ้าหน้าที่รัฐมิให้ปฏิบัติการจับกุม “แกนนำ” และ ”แนวร่วม”รวมทั้งไม่ต้องการให้มีการตรวจค้นแหล่งซ่องสุม แหล่งกบดาน
ร่วมทั้งต้องการใช้วิธีการรุนแรงทุกรูปแบบเพื่อเป็นการ “ข่มขวัญ” ให้คนในพื้นที่ทั้ง “ไทยพุทธ” และ “มุสลิม” เกิดความเกรงกลัวต่อปฏิบัติการของขบวนการ เพื่อมิให้คนในพื้นที่ร่วมมือกับรัฐ และเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นการ “ควบคุมมวลชน” ในพื้นที่ให้อยู่ในอำนาจด้วยการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ
ต้องรับข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะนำสถานการณ์ไปสู่ “จุดเดือด” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้คือ การถูกกระทำของ “ไทยพุทธ” ที่เสียชีวิตด้วยการเป็นเหยื่อของสถานการณ์ และการกระทำด้วยความรุนแรงนั้นคือการ “ฆ่าแล้วเผา” ที่ถูกแนวร่วมนำกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งการออกมาปฏิบัติการอย่างเหี้ยมเกรียมครั้งนี้มองเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากขบวนการแบ่งแยกดินแดน “ตอบโต้” นโยบายในการเอาจริงต่อการเปิดเกมรุกทั้งในด้าน “การเมือง” และ “การทหาร” ต่อแกนนำ และแนวร่วมในพื้นที่ โดยเฉพาะการนำ “แผนประชารัฐ” มาใช้ในการบูรณาการด้านการพัฒนาพื้นที่
รวมทั้งการที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ใช้แผนในการรุกเข้าพื้นที่ “ไข่แดง” ในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ซ่องสุม เป็นที่หลบซ่อน และพื้นที่เคลื่อนไหวของขบวนการ ทำให้ขบวนการไม่สามารถที่จะนิ่งเฉย ต้องออกมา “รุกกลับ” โดยอาศัย “จุดอ่อน”ในพื้นที่ นั่นคือ “ชีวิต” ของคน “ไทยพุทธ” เป็นเครื่องมือข่มขู่ให้ กอ.รมน. ต้องถอยกลับที่ตั้ง
นี่คือ “กับดัก” ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของ “สงครามประชาชน” ที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนานของแผ่นดินปลายด้ามขวาน ที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถที่จะ “กวาดล้าง” แกนนำ และแนวร่วมให้ “ร่อยหรอ” ลงไปได้ตามที่ต้องการ
โดยเฉพาะในครั้งที่มีรัฐบาลพลเรือนเป็นผู้บริหารประเทศ หากสถานการณ์ในพื้นที่มีความรุนแรง และมีคน “ไทยพุทธ” กลายเป็นเหยื่ออย่างกับ “ใบไม้ร่วง” รัฐบาลจะสั่งให้กำลังเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ “ยุติ” การเปิดแผนรุกต่อแนวร่วมในพื้นที่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนรู้ถึง “จุดอ่อน” ของรัฐไทย
ดังนั้น เมื่อเผชิญต่อการเปิด “เกมรุก” ของ กอ.รมน.ครั้งใด ก็จะใช้แผนที่ใช้ความโหดเหี้ยมต่อ “ไทยพุทธ” ในพื้นที่เป็นการ “แก้ลำ” ทุกครั้งนี้
ถ้าวันนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบยังคงใช้นโยบายเดิมๆ ที่เคยใช้เพื่อหยุดความรุนแรง ก็คือ “ยอม” ที่จะให้กองกำลังในทุกพื้นที่อยู่เฉยๆ ทำหน้าที่แค่ลาดตระเวนคุ้มครองเส้นทาง คุ้มครองบุคคล คุ้มครองสถานที่รัฐ และถูก “หลอกล่อ” ให้เดินเข้าสู่ “สนามระเบิด” อย่างที่ผ่านมา เชื่อว่าความรุนแรงที่เกิดจากฝีมือของแนวร่วมจะลดน้อยลง และคน “ไทยพุทธ” ก็จะ “ไม่ตายอย่างใบไม้ร่วง”
แต่ต้องถามกลับว่า แล้วถ้าเป็นอย่างนี้การ “ดับไฟใต้” ที่คุยกันว่าใกล้จะสำเร็จ แล้วจะสำเร็จได้อย่างไร ในเมื่อพอ กอ.รมน.ภาค 4 เปิดเกมรุกเพื่อเข้าสู่ “ใจกลาง” ของปัญหา ก็ถูกขบวนการการใช้วิธีการดังกล่าวข่มขู่ให้ต้องยุติการปฏิบัติการเสียทุกครั้ง เพราะเราไม่เคยคิดที่จะหาแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ครั้งนี้ผู้บริการประเทศไม่ใช่รัฐบาลพลเรือน แต่เป็น “รัฐบาล คสช.” ดังนั้น จึงควรจะมีแนวทาง มีนโยบายในการที่จะไม่ยอมรับการใช้ชีวิตของคน “ไทยพุทธ” ในพื้นที่เพื่อ “ข่มขู่” ให้กองกำลังหยุดการปฏิบัติการเชิงรุกต่อขบวนการ
ส่วนจะใช้วิธีการใด หรือนโยบายแบบไหนในการเปิดเกมรุกต่อปฏิบัติการของแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนนั้น เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ต้องมียุทธวิธีใหม่ๆ เพื่อสร้างความสูญเสียให้แก่ขบวนการ หรือการกดดันมิให้กองกำลังของขบวนการเคลื่อนไหวได้อย่างมีอิสระ
รวมทั้ง “แผนการคุ้มครองป้องกันชาวไทยพุทธในพื้นที่” อย่าให้กลายเป็น “เหยื่อ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
โดยเฉพาะต้องมีแผนใหม่ๆ ในการป้องกัน “7 หัวเมืองเศรษฐกิจ” ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยจากการก่อเหตุ “คาร์บอมบ์” โดยเฉพาะเมืองชายแดนอย่าง อ.เบตง จ.ยะลา อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
สำหรับ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีจุดที่ “เปราะบาง” อย่างยิ่งต่อการตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย นั่นคือ จำนวน “ประชากรแฝง” ที่เป็นผู้อพยพมาจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องยอมรับว่า ส่วนใหญ่คือผู้ที่เดือดร้อนจากสถานการณ์ความรุนแรง จึงมีการโยกย้ายมาหาที่ทำกินในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ โดยเฉพาะในเขต “เทศบาลนครหาดใหญ่”
แต่ในจำนวน “คนดี” นับหมื่นคนที่โยกย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลานั้น ย่อมมี “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนปะปนอยู่อย่างแน่นอน โดยอาจจะอาศัยความเป็นญาติ เป็นเพื่อนฝูงที่เข้ามาทำมาหากินใน อ.หาดใหญ่เป็น “ช่องทาง” ในการก่อการร้าย ซึ่งมีวิธีการมากมายในการก่อเหตุเพื่อสร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้น
เนื่องเพราะการก่อการร้ายใน “หาดใหญ่” เพียงครั้งเดียวจะส่งผลของความสูญเสียมากกว่าการก่อการร้ายในพื้นที่อื่นๆ หลายสิบครั้ง
วันนี้วิธีการป้องกันเมืองหาดใหญ่ยังใช้วิธีการเดิมๆ นั่นคือใช้ “ความขยันของตำรวจและฝ่ายปกครอง” ในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดกว่า 30 จุดรอบๆ ทางเข้า-ออก และพื้นที่ต่างๆ ในตัวเมือง รวมทั้งการตรวจค้น “เป้าหมาย” แบบ “เดาสุ่ม” เช่น ห้องพัก ห้องเช่า เกสต์เฮาส์ รีสอร์ต และอื่นๆ
ซึ่งเรียกกันว่า “ยุทธการตีป่าให้เสือตื่น” ซึ่งหาก “เสือรู้ทาง” และ “เสือไม่ตื่น” เมื่อไหร่ นั่นย่อมหมายถึงอันตรายของเมืองหาดใหญ่
รวมทั้งการอาศัย “การข่าว” จาก “การสังเกต” และการตั้ง “ข้อสงสัย” ของภาคประชาชนที่เป็นสมาชิก “ตาสับปะรด” และ “วิทยุเครื่องแดง” ซึ่งเป็นหน่วยงานจิตอาสาที่เป็นภาคประชาชนทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้แก่เจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นไปแบบ “แข็งบ้าง อ่อนบ้าง” ตามแต่สถานการณ์
หากการป้องกันเมืองยังไม่มีวิธีการที่ใหม่ๆ โดยยังย่ำเท้าอยู่ในวิธีการเดิมๆ วันหนึ่ง “คาร์บอมบ์” ที่ห่างหายไปนานอาจจะกลับมาสร้างความสูญเสียให้แก่เมืองหาดใหญ่อีกครั้ง โดยเฉพาะในขณะที่เป็นห้วงเวลาที่ขบวนการกำลังเปิด “เกมรุก” เพื่อหยุดนโยบายการการดับไฟใต้ตามแผนงานของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
“หาดใหญ่” อาจจะเป็น “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้ในการ “ปิดเกม” เพื่อให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดน กับกองกำลังของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “ต่างคนต่างอยู่”
หากวิธีการข่มขู่แบบนี้ยังได้ผล คงจะบอกได้ประโยคเดียวว่า ความหวังที่จะเห็น “ไฟใต้มอดดับ” คงจะไม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม วันนี้ถ้าทุกฝ่ายต้องการเห็นการ “ดับไฟใต้” เกิดขึ้นได้จริง ทุกฝ่ายโดยเฉพาะ “ประชาชนในพื้นที่ต้องมั่นใจ” ต่อแนวทางในการแก้ปัญหาของรัฐบาลภายใต้ คสช. และต้องมั่นใจต่อการทำงานของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ภายใต้การนำของ พล.ท.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผ.อ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า