ศูนย์ข่าวภาคใต้ - คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ (กป.อพช.ใต้) ออกแถลงการณ์ จี้ทหาร มทบ.42 หยุดจำกัดเสรีภาพของนักวิชาการเพื่อสังคม หลังทหารมีท่าทีคุกคามนักวิชาการ และวางตัวไม่เป็นกลางกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
วันนี้ (25 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ (กป.อพช.ใต้) ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง หยุดจำกัดเสรีภาพของนักวิชาการเพื่อสังคม โดยระบุว่า
ตามที่ พล.ต.วิรัชช์ กมลศิลป์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๔๒ ได้ออกหนังสือ กห ๐๔๘๔.๖๓/๑๑๑๓ ลงวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๙ ที่ส่งถึงอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เพื่อขอความร่วมมือในการทำความเข้าใจต่อบุคลากรของมหาวิทยาลัยที่เคลื่อนไหว และต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ไปนั้น คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ หรือ กป.อพช.ใต้ ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน (ngo) ที่ทำงานด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และสิทธิชุมชนในพื้นที่ภาคใต้กว่า 20 องค์กร มีความเห็นว่า
1.การทำหน้าที่ของนักวิชาการที่พยายามนำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริงต่อสังคม อย่างมีเหตุมีผล และมีรูปธรรมที่พิสูจน์ได้ ถือเป็นบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งที่สังคมในขณะนี้ โดยเฉพาะกรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ที่ถือว่าเป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ และจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนอย่างรุนแรงในอนาคตด้วยแล้ว จึงถือเป็นความกล้าหาญของนักวิชาการที่แสดงเหตุผลอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้เป็นทางเลือกของฝ่ายต่างๆ ได้
2.การทำหน้าที่ของนักวิชาการดังกล่าวนี้ เป็นความพยายามที่จะปกป้องฐานทรัพยากร และวิถีชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นอย่างเปิดเผย มิได้เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองแต่อย่างใด 3.การกระทำของฝ่ายทหารถือเป็นการปิดกั้นการแสดงออกทางวิชาการที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะลักษณะการออกหนังสือเพื่อขอความร่วมมือดังกล่าว ส่อเจตนาที่จะใช้อำนาจเกินขอบเขตของตนเองเพื่อให้มีการยับยั้งการแสดงออก หรือการจำกัดเสรีภาพทางวิชาการเพื่อสังคมโดยรวม
4.การก่อสร้างโรงไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงถ่านหิน มีข้อมูลเป็นที่ประจักษ์ว่า มีความเสี่ยง และอันตรายต่อประชาชนเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ ซึ่งเห็นได้จากความพยายามของหลายประเทศที่ต้องการยกเลิก หรือลดการใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม
และการที่นักวิชาการ หรือประชาชนในพื้นที่พยายามเสนอข้อมูล และเหตุผลต่างๆ นั้น ในสถานการณ์ทางการเมืองเช่นนี้ ทหารในพื้นที่ก็ควรใช้โอกาสนี้ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงจากนักวิชาการเหล่านี้ เพื่อนำเสนอให้รัฐส่วนกลางได้ประกอบตัดสินใจการดำเนินการทางนโยบายอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น ซึ่งจะเหมาะสมยิ่งกว่าการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแบบขาดเหตุผล และขาดข้อมูลอย่างรอบด้านเช่นนี้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงขอเสนอเพื่อให้ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 ดำเนินการดังนี้ 1.ขอให้ถอนหนังสือ ฉบับที่ กห ๐๔๘๔.๖๓/๑๑๑๓ ลงวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๙ ที่ส่งถึงอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เพื่อเป็นการเปิดพื้นที่ให้นักวิชาการได้ทำหน้าที่ในบทบาทของตนเองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในการปกป้องฐานทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และชุมชนท้องถิ่น ซึ่งไม่ใช่เหตุผลทางการเมือง 2.ทหารในพื้นที่ต้องวางตนให้เป็นกลางที่สุด ต่อเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน และควรสร้างบรรยากาศทางสังคม บ้านเมืองให้สุขสงบ และดำรงอยู่อย่างปกติที่สุด และควรเป็นหน่วยที่ต้องช่วยการสร้างทางออกที่ดีของสังคมในสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน มิใช่มาวางตนเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง
3.ทหารจะต้องทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง และต้องเปิดพื้นที่การสื่อสารเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ และเข้าใจถึงผลดี และผลเสียของโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรงในระยะยาว ทั้งนี้ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้มีสิทธิที่จะเลือกอนาคตของตนเองอย่างมีเหตุผลมากขึ้น
4.ทหารในพื้นที่ รวบรวมข้อมูลทางวิชาการที่มีอยู่ และรับฟังความเห็นของประชาชนทั้งหมด เพื่อนำเสนอให้แก่ผู้บังคับบัญชาส่วนกลางทราบ เพื่อรายงานให้แก่รัฐบาลต่อไป
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ เห็นว่า ทหารในพื้นที่คือ องค์ประกอบสำคัญที่จะส่งเสริมให้บรรยากาศทางสังคมภาคใต้ให้สุขสงบได้ในขณะนี้ และอยากเห็นการวางตนอย่างเหมาะสม เพื่อให้เป็นที่ไว้วางใจของประชาชนในพื้นที่ได้
ทั้งนี้ ได้เห็นถึงความสำคัญ และความจำเป็นของการทำหน้าที่ของนักวิชาการของทุกมหาวิทยาลัยที่ได้ออกมายืนยันถึงบทบาทของตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อร่วมกันปกป้องฐานทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่นทั้งภาคใต้โดยรวม และยืนยันว่า จะเดินหน้าร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคประชาชนอื่นๆ เพื่อการปกป้องการทำบทบาทหน้าที่นี้อย่างถึงที่สุดต่อไป