xs
xsm
sm
md
lg

ความตายในการเมืองท้องถิ่น : กรณีภาคใต้ / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 
คอลัมน์  :  คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ  หยูทอง-แสงอุทัย
--------------------------------------------------------------------------------
 
 
จากการศึกษาเรื่อง “รัฐศาสตร์ไม่ฆ่า” ของ ณัฐกร  วิทิตานนท์ (๒๕๕๓) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๓-๒๕๕๒  พบว่า  เกิดความรุนแรงในลักษณะการลอบสังหารในการเมืองท้องถิ่นทั่วประเทศทั้งหมด  ๔๘๑ ราย หรือ ๔๕๙  กรณี
 
กรณีมีการเสียชีวิตมากที่สุดคือ  กรณี นายมีลาภ เทพฉิม ประธานกรรมการบริหาร อบต.ปากแตระ อ.ระโนด จ.สงขลา โกรธที่ถูกรุมอภิปรายเรื่องการทุจริตงบประมาณโครงการจัดซื้อถังขยะ และเสาไฟฟ้าที่ตนรับผิดชอบ  ใช้อาวุธปืนขนาด ๑๑ มม. จ่อยิงประธานสภา และสมาชิกสภา อบต.ทีละคนเสียชีวิต ๓ ศพ เหตุเกิดกลางที่ประชุมสภา อบต. เมื่อวนัที่  ๑๓  ก.พ. ๒๕๔๔(ไทยรัฐ  ๑๕  ก.พ.๒๕๔๔)
 
ขณะเดียวกัน พื้นที่ที่เกิดความรุนแรงซ้ำซาก  ได้แก่  อบต.เกาะหมาก  อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง  นายก อบต.ถูกยิงตายในเวลา ๒ ปี ตาย ๓ คน  สาเหตุมาจากความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์เกี่ยวกับรังนกนางแอ่น  รองลงมา คือ ทต.ท่าแพ  อ.เมือง  จ.นครศรีธรรมราช  นายกเทศมนตรี ๒ คน ถูกยิงตาย  สาเหตุมาจากความขัดแย้งเรื่องการเมืองท้องถิ่น
 
ความถี่ของความรุนแรงใน ๑๐ อันดับแรก  ปรากฏว่า ภาคใต้ครองอันดับต้นๆ  ตามลำดับดังนี้  อันดับ ๑ นราธิวาส (๓๔ ราย)  อันดับ ๒ ปัตตานี (๓๑ ราย)  อันดับ ๓ พัทลุง (๓๐ ราย) อันดับ ๔ ยะลา (๒๔ ราย) อันดับ ๕ สงขลา (๒๐ ราย)  อันดับ ๖ นครศรีธรรมราช (๑๘ ราย)  อันดับ ๗ นครปฐม (๑๖ ราย) อันดับ ๘ เพชรบูรณ์ (๑๖ ราย) อันดับ ๙ นครราชสีมา (๑๓ ราย) และอันดับ ๑๐ สุพรรณบุรี (๑๒ ราย)
 
ภาคใต้เกิดความรนแรงในระดับ อบจ. (๑๔ ราย)  เป็นอันดับ ๒ ของประเทศ  รองจากภาคกลาง  และ อบต. (๑๖๗ ราย) เป็นอันดับ ๑ ของประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๔๘ ของประเทศ และเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุได้คิดเป็นสัดส่วนสูงสุดของประเทศถึงร้อยละ ๘๘
 
ปัจจัยที่เชื่อกันว่ามีอิทธิพลต่อความรุนแรงในช่วงเวลาที่ผ่านมา  ประกอบด้วย  ประการแรก  ระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๒-๒๕๔๓ มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นขนานใหญ่  รวมทั้งมีการตรากฎหมายใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการกระจายอำนาจอีกหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๔๒  เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ พร้อมกับกระทรวงมหาดไทย ยกเลิกการเข้าดำรงตำแหน่งของผู้ว่าราชการจังหวัดใน อบจ.  นายอำเภอในสุขาภิบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้านใน อบต.อย่างสิ้นเชิง
 
ประการที่สอง  พ.ศ.๒๕๔๖  คณะกรรมการการเลือกตั้งเริ่มเข้ามาควบคุมการดำเนินการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกประเภท แทนกระทรวงมหาดไทย ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๔๕
 
ประการที่สาม ในปี ๒๕๔๖  มีการเร่งรัดปรับปรุงโครงสร้างของ อปท.ทุกประเภทให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด  นั่นคือ รูปแบบนายกฯ-สภา ซึ่งกำหนดให้ผู้บริหารเข้มแข็ง  พร้อมทั้งทยอยยกเลิกคณะผู้บริหารที่มาจากมติของสภาท้องถิ่น ด้วยการกำหนดให้นายก อบจ. นายกเทศมนตรี ตลอดจนนายก อบต.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน  และกำหนดรายละเอียดกลไกความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหาร กับฝ่ายสภาให้มีความชัดเจนขึ้น  ตามมาด้วยการเลือกตั้งนายก อบจ.โดยตรงเป็นครั้งแรกพร้อมกัน ๗๔ จังหวัดทั่วประเทศ ในวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๗  ก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง อบต.ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ ๑๐ ปีพร้อมกัน ๓,๔๙๙  แห่ง เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม  ๒๕๔๘
 
ความเป็นไปทั้งหมดข้างต้น  น่าจะมีอิทธิพลต่อความรุนแรงในการเมืองท้องถิ่นแต่ละห้วงเวลา และที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงสถานภาพ และบทบาทของนักการเมืองระดับชาติตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐และ ๒๕๕๐  คือ  การแยกฝ่ายนิติบัญญัติออกจากฝ่ายบริหาร  โดยกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีในเวลาเดียวกันได้ เมื่อใครไปเป็นรัฐมนตรี หากมีการปรับ ครม.พ้นจากตำแหน่ง  ก็ไม่สามารถทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างแต่ก่อน
 
และปรากฏการณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ  การกระจายอำนาจ  หรือคืนอำนาจให้ท้องถิ่น  โดยเฉพาะงบประมาณ  ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนในระดับแกนนำของพรรคหันมาสนใจเป็นผู้บริหารท้องถิ่น  เพราะมีงบประมาณอยู่ในมือจำนวนมาก  เข้าลักษณะที่กล่าวกันในวงการเมืองว่า “เป็นหัวหมา ดีกว่าหางราชสีห์” นั่นคือ เป็นนายก อปท. แม้ว่าจะด้อยกว่า ส.ส.  แต่ก็มีศักดิ์ศรี และโอกาสในการทำมาหากิน  ไม่อดอยากปากแห้งอย่างฝ่ายค้านในรัฐสภา
 
ดังนั้น ยุคที่ผ่านมานักการเมืองระดับชาติหลายคน  หันมาสนใจ และลงสมัครเป็นผู้บริหารท้องถิ่น โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ๆ ของภาคใต้ เช่น นครหาดใหญ่  อบจ.สงขลา  อบจ.พัทลุง เป็นต้น
 
ประกอบกับคตินิยมความเป็นคนใต้ที่มีอัตลักษณ์ความเป็นคนนักเลง อันเป็นคตินิยมดั้งเดิมแต่โบราณ  และคตินิยมต่อต้านอำนาจรัฐ ผนวกกับอำนาจอิทธิพลผลประโยชน์ตามวิสัยของการเมืองยุค “ซื้อสิทธิขายเสียง” “เงินไม่มากาไม่เป็น”  การเมืองเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี แพ้ไม่เป็น  เมื่อมีปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้น และกฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถจะจับคนผิดมาลงโทษ หรือมือกฎหมายสาวไปไม่ถึงผู้บงการ  จับได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย
 
คนนักเลงอย่างคนใต้จึงใช้ระบบ “ศาลเตี้ย” เข้าจัดการความขัดแย้ง  เข้าลักษณะ “เลือดล้างด้วยเลือด  ปืนต่อปืน” แบบที่เคยชูคำขวัญในยุคนักเลงโบราณแบบอารยะขัดขืนสไตล์คนปักษ์ใต้ขนานแท้ และดั้งเดิมว่า “นายรักเหมือนเสือกอด หนีนายรอดเหมือนเสือหา” หรือในยุคการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์  พคท.และ ทปท.ภาคใต้ประกาศพันธกิจชูประเด็นไปทั่วภาคใต้  โดยเฉพาะแถบเทือกเขาบรรทัด ว่า “ไม่รบนายไม่หายจน”
 
กล่าวเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ครองอันดับความรุนแรงอันดับ ๑-๓ ของประเทศ  แน่นอนมีประเด็นปัญหาความขัดแย้ง และปัจจัยด้านอื่นๆ เข้ามาผสมโรงด้วย  แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้สถานการณ์ความรนแรงทั้งทางการเมือง และอื่นๆ ไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่ก็เพราะ “ร้อยละ ๘๘ ไม่สามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาลงโทษได้” นั่นเอง
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น