xs
xsm
sm
md
lg

เวียดนาม : แผ่นดินหลังสงคราม (1) / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์  :  คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ  หยูทอง-แสงอุทัย 
--------------------------------------------------------------------------------
 
 
เช้ามืดวันที่  ๓๐  มีนาคม ผู้เขียน และเพื่อนร่วมทีมท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์อีก ๒๓ คน และผู้จัดการบริษัท THE  ONE  TREVEL คือ คุณกระต่าย ออกเดินทางโดยสายการบินนกแอร์  จากสนามบินดอนเมืองตั้งแต่หกโมงเช้า (แต่นัดหมายเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางตั้งแต่ตีสี่) มุ่งหน้าสู่สนามบินนอยไบ กรุงฮานอย  เวียดนามเหนือ  เป็นการเริ่มต้นทริปการท่องเที่ยว “เวียดนามเหนือ ฮานอย  ฮาลอง  ซาปา  ๕  วัน  ๔  คืน”
 
เมื่อถึงสนามบินนอยไบ  ก็ได้รับการต้อนรับจากไกด์ท้องถิ่นคือ นายตวน หรือ สันติ ชาวเวียดนามกลางที่เคยมาศึกษาภาษาไทย และการท่องเที่ยวอยู่ที่ภาคอีสานของไทย ด้วยอัธยาศัยไมตรีที่เป็นกันเอง และอบอุ่นยิ่ง  เป็นคนหนุ่มที่มีความรู้เรื่องบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง และได้รับการปลูกฝังให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองในการทำหน้าที่ของไกด์ท้องถิ่น คือ “ต้องทำให้นักท่องเที่ยวนำเงินมาใช้จ่ายในประเทศเวียดนามให้มากที่สุดด้วยควบคู่กับอาชีพไกด์ของตน”
 
สถานที่แห่งแรกที่คณะของเราได้สัมผัสหลังคำบอกเล่าของตวน หรือสันติ อย่างยืดยาว และยกย่อง คือ วัดเจดีย์เตริ่นกว็อก  เป็นวัดที่มีเจดีย์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม  ทั่วบริเวณมีบรรยากาศร่มรื่น  และมีต้นไม้แคระในกระถางเรียงรายมากมาย  มีแผ่นหินอายุตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๖๓๙  เจดีย์สีชมพูไล่ระดับเป็นชั้นๆ ขึ้นไปประมาณ  ๑๐  ชั้น  และมีชายคายื่นออกมาคลุมเจดีย์แต่ละชั้น  แต่ละชั้นมีพระพุทธรูปสีขาวประดิษฐานอยู่ในช่องรอบเจดีย์
 
จากนั้นตวน หรือสันติ นำเราไปยัง วัดแห่งวรรณกรรม หรือวัดโบราณที่มีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปี  นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก และเป็นสถานที่ใช้สอบจอหงวนในสมัยโบราณ  ภายในวัดประกอบด้วย ป้ายหินประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านเป็นจอหงวน และมีศาลเทพเจ้าขงจื้อ และสานุศิษย์  ปัจจุบัน เป็นวัดที่นักเรียนนักศึกษาเวียดนามมาขอพรในการสอบ  วันนั้นมีทั้งนักเรียนระดับประถมศึกษา และว่าที่บัณฑิตมาทำกิจกรรมในวัดอย่างคึกคัก ท่ามกลางการเอาใจใส่ดูแลของครูอาจารย์ และผู้ปกครอง มีนักท่องเที่ยวทั้งจากเอเชีย และยุโรปเดินกันขวักไขว่ไม่ขาดสาย
 
หลังอาหารเที่ยงในภัตตาคารเมืองฮานอย  คณะของเราออกเดินทางไกลมุ่งหน้าสู่ เมืองซาปา จังหวัดลาวไก โดยเส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์ที่เพิ่งเปิดให้สัญจรเมื่อปลายปีที่แล้ว  จากพื้นราบที่สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งนาที่กำลังมีต้นข้าวเขียวชอุ่มแทบไม่มีที่รกร้างว่างเปล่า  ในที่ราบน้ำขังก็จะเป็นนาข้าว ส่วนที่สูงขึ้นมาก็เป็นสวนผัก  แต่ไม่ค่อยมีไม้ผล หรือไม้ใหญ่อย่างบ้านเรา  ถามไกด์ก็ได้รับคำตอบว่า เป็นผลกระทบมาจากสงครามอันทารุณโหดร้ายของอเมริกา ที่ใช้ฝนเหลืองในการจำกัดการเจริญเติบโตของต้นไม้ เพื่อไม่ให้เวียดกงใช้เป็นที่กำบังหลบซ่อนจากการตรวจการทางอากาศของจีไอ
 
เส้นทางสู่เมืองซาปา จังหวัดลาวไก ต้องเดินทางผ่าน ขุนเขาหว่างเหลียนเซิน  เป็นเมืองที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นให้เป็นเมืองตากอากาศของชาวฝรั่งเศสสมัยที่เข้ามาปกครองเวียดนามแบบอาณานิคมในปี พ.ศ.๒๔๖๕  เนื่องจากเป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ ทำให้เมืองนี้มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี
 
ปัจจุบัน เมืองซาปา เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และในประเทศมากที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม  ใช้เวลาเดินทางประมาณ  ๕  ชั่วโมง จากเมืองฮานอยโดยรถบัสปรับอากาศจำกัดความเร็วไม่เกิน  ๖๐  กิโลเมตรต่อชั่วโมง  รถเวียดนามพวงมาลัยอยู่ทางซ้าย วิ่งชิดขวาเหมือนลาว  แต่ตรงข้ามกับรถเมืองไทย
 
ตลอดเส้นทางไกด์หยุดให้เราเข้าห้องน้ำสองสามแห่ง แต่ละแห่งสภาพห้องน้ำ และการให้บริการมีความแตกต่างกัน บางแห่งต้องเสียค่าบริการคนละ  ๒,๐๐๐  ด่องเวียดนาม หรือประมาณ  ๓  บาทไทย  แต่ที่สำคัญที่สุดคือ กลิ่น หรือความสะอาดสู้ห้องน้ำสถานีบริการของไทยไม่ได้  ทั้งเรื่องความสะอาด  การไม่มีการเก็บค่าบริการ  เพราะวัฒนธรรมของชาวเวียดนามประเทศที่ทำสงครามกับจีนนับพันปี  สู้รบตบมิกับชาติฝรั่ง ทั้งฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาอีกหลายสิบปี  ทำให้คนเวียดนามไม่นิยมให้คนอื่นมาเข้าห้องน้ำในบ้านของตนเอง เพราะเกรงว่าจะนำสิ่งไม่ดีไม่เป็นมงคลมาสู่ครอบครัว
 
ผิดกับคนไทยที่ถูกสอนมาว่า “ใครมาเยือนถึงเรือนชานต้องต้อนรับ”  อย่างที่คนใต้สอนว่า ถ้าแขกมาถึงบ้านต้องต้อนรับขนาดที่เรียกว่า “วานแท่งฟาก  ปากแท่งชาม” หมายถึง เมื่อหย่อนก้นนั่งก็ต้องได้กินอาหารหวานคาวนั่นเอง
 
เราถึงซาปาเมื่อค่อนดึก  เข้าพัก และรับประทานอาหารมื้อค่ำที่โรงแรม HOLIDAY  SAPA  HOTEL  ท่ามกลางความหนาวเย็น และหมอกหนาตา  เราพบฝรั่งตาน้ำข้าวเดินไปมาปะปนอยู่กับชาวเขาเผ่าต่างๆ ซึ่งเป็นประชากรของเวียดนาม ในจำนวนประชากรทั้งหมดกว่า  ๙๐  ล้านคน
 
การพบนักท่องเที่ยวชาวยุโรปมากๆ ทำให้ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า เมืองนี้ยังเหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หรือการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ  โดยเฉพาะเมืองในหุบเขาอย่างซาปา ที่เต็มไปด้วยร้านค้า และบริการสำหรับนักท่องเที่ยวประเภทกระเป๋าเป้เดินทาง สถานที่นวดตัว  นวดฝ่าเท้า  เสื้อผ้า  รองเท้าสำหรับเดินป่า  ฯลฯ
 
หลังอาหารเช้าในโรงแรม ไกด์ตวน หรือสันติ นำเราเดินเท้าลงจากเนินเขาระยะทางประมาณ  ๑.๕  กิโลเมตร  เข้าสู่ หมูบ้านชาวเขา Cat  Cat  Village  หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งดำ  ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่  ชมแปลงนาข้าวแบบขั้นบันได  ชมน้ำตก และการแสดงของชาวเขา  ขากลับต้องปีนกลับแทบขาลาก  ไกด์นำชม ทะเลหมอกบนบอดเขาฮัมรอง  สวนไม้ดอก และสวนหินที่สวยงาม
 
(มีต่อตอนต่อไป)
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น