xs
xsm
sm
md
lg

ชาวคลองเปียะรวมตัวขึ้นกรุงยื่นหนังสือถึงนายกฯ หลังถูกคณะกรรมการกลุ่มออมทรัพย์ยักยอกเงิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ชาวคลองเปียะ อ.จะนะ จ.สงขลา รวมตัวขึ้นกรุงยื่นหนังสือถึงนายกฯ ช่วยตรวจสอบ และทวงเงินคืนกว่า 100 ล้าน หลังถูกคณะกรรมการกลุ่มออมทรัพย์ตำบลคลองเปียะ ซึ่งเป็นต้นแบบของกลุ่มออมทรัพย์ทั่วประเทศ ยักยอกเงินจนล่มไม่เป็นท่า

วันนี้ (17 เม.ย.) ตัวแทนชาวบ้านที่เป็นสมาชิกของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อสวัสดิการและการผลิตตำบลคลองเปียะ หรือกลุ่มออมทรัพย์ตำบลคลองเปียะ อ.จะนะ จ.สงขลา จำนวนกว่า 30 คน ได้รวมตัวกันออกเดินทางไปยังกรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้เข้ามาช่วยตรวจสอบคณะกรรมการของกลุ่มออมทรัพย์ตำบลคลองเปียะ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดกว่า 40 คน หลังไม่สามรถจ่ายเงินปันผลให้แก่สมาชิก และพบปัญหาการยักยอกเงินไปกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเวลาล่วงเลยมา 1 ปี และไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากหน่วยงานภาครัฐ

นางเสาวคนธ์ บุญแก้ว ตัวแทนชาวบ้าน เผยว่า กลุ่มออมทรัพย์ตำบลคบองเปียะ ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2523 โดยมี นายอัมพร ด้วงปาน เป็นประธาน โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 30 คน และยึดหลักคุณธรรม 5 ประการในการบริหารจัดการ คือ ซื่อสัตย์ เสียสละ รับผิดชอบ เห็นอกเห็นใจ และไว้ใจ จนเป็นที่ยอมรับ และไว้ใจของชาวบ้าน ซึ่งปัจจุบัน นายอัมพร ด้วงปาน ได้เกษียณอายุ และทำหน้าที่เป็นกรรมการที่ปรึกษา โดยมีการคัดเลือกให้ นายเฉลิม ทองพรม เป็นประธานคนใหม่ (ประธานคณะกรรมการกลาง) โดยมีสมาชิกรวมกว่า 8,000 คน ทั้งใน ต.คลองเปียะ 8 หมู่บ้าน ต.ป่าชิง 1 หมู่บ้าน และ ต.ทุ่งหวัง 1 หมู่บ้าน และมีเงินทุนหมุนเวียนในระบบกว่า 300 ล้านบาท โดยมีการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 10 เป็นการชักจูงใจ
 

 
ส่วนชนวนปัญหาเริ่มเกิดขึ้นใน มี.ค.58 ซึ่งเป็นเดือนที่ทางกลุ่มออมทรัพย์จะต้องจ่ายเงินปันผลให้แก่สมาชิกทุกคน แต่กลับมาสมาชิกในพื้นที่ ม.1 บ้านป่าพลู ต.คลองเปียะ จำนวนประมาณ 200 คน ไม่ได้รับเงินปันผล ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกจึงได้มีการสอบถามไปยังประธาน และคณะกรรมการประจำกลุ่มกลุ่มย่อยของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง แต่ก็ไม่สามารถนำเงินปันผลมาจ่ายให้แก่สมาชิกได้ รวมทั้งไม่มีคำชี้แจงถึงสาเหตุที่แน่ชัด ส่วนคณะกรรมการกลางก็ไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆ

จึงทำให้สมาชิกเกิดความไม่พอใจ และรวมตัวกันเพื่อลาออกจากการเป็นสมาชิกเพื่อเอาเงินที่ฝากกลับคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อชาวบ้านในหมู่บ้านอื่นๆ เมื่อทราบเรื่องความไม่โปร่งใสดังกล่าวจึงมีการทวงถามเงินฝากของตนไปยังคณะกรรมการกลุ่มย่อยประจำหมู่บ้าน และคณะกรรมการกลาง ก็พบว่า มีเงินฝากหายโดยไม่ทราบที่ไปรวมทั้งสิ้นกว่า 100 ล้านบาท และต้องหยุดการทำธุรกรรมทั้งฝาก และถอนทุกประเภทในขณะนี้

นางเสาวคนธ์ เผยอีกว่า หลังเกิดปัญหาได้ขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานภาครัฐ 3 หน่วย ทั้ง ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสงขลา ตำรวจ สภ.ควนมีด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ แต่ยังไม่มีความคืบหน้า โดยในส่วนของศูนย์ดำรงธรรม ได้ส่งเรื่องมายังอำเภอจะนะ ให้พัฒนากรและปลัดอำเภอเข้ามาฟื้นฟู และตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาทำงานแทน แต่ชาวบ้านหมดความศรัทธา และไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาดังกล่าวอีกหรือไม่ ขณะที่ทางคดีที่ สภ.ควนมีด เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีได้ถูกโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น และไม่ได้มีการเรียกตัวกลับมา หรือแต่งตั้งคนใหม่ให้เข้ามาทำคดีแทน ส่วนดีเอสไอ ขณะนี้ยังไม่มีการตอบกลับมาว่า จะรับเรื่องราวความเดือดร้อนดังกล่าวเป็นคดีพิเศษหรือไม่
 

 
ด้าน นายกฤษฉาย คงทอง ตัวแทนชาวบ้านอีกราย กล่าวว่า อยากให้ทางรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้าน ทั้งในส่วนของการตรวจสอบบัญชี รวมทั้งทวงคืนเงินฝากของชาวบ้าน พร้อมนำตัวคณะกรรมการกลาง และคณะกรรมการกลุ่มย่อยที่ทำผิดยักยอกเงินของชาวบ้านมาลงโทษ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวสวนยางพารา และชาวนานั้น ต้องการออมเงินเอาไว้เป็นทุนการศึกษาสำหรับบุตรหลาน และเอาไว้ใช้จ่ายในยามแก่ชรา แต่กลับถูกกลุ่มคนที่กุมอำนาจในระบบยักยอกเงินเอาไปใช้กันเอง และเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง

ทั้งนี้ กลุ่มออมทรัพย์ตำบลคลองเปียะ ก็รับรูปแบบการออมมาจากกรมพัฒนาชุมชน ซึ่งได้คิดค้น และริเริ่มให้นำมาใช้ในปี 2517 เนื่องจากจากต้องการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งพื้นที่นำร่อง และพื้นที่อื่นๆ ในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ ส่วนใหญ่จะล้มละลายไม่เป็นท่าในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากการบริหารงานที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม และไม่สามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งยังไม่สามารถจดทะเบียนได้ด้วย แต่กลุ่มออมทรัพย์ตำบลคลองเปียะ กลับเป็นกลุ่มออมทรัพย์เดียวที่สามารถยืนหยัดมาได้อย่างยาวนานที่สุดกว่า 35 ปี และเป็นแบบอย่างให้แก่กลุ่มออมทรัพย์อื่นๆ ทั่วประเทศมาศึกษาดูงาน ครั้งนี้ก็คงถึงคราวล่มสลายไม่เป็นท่าจากการบริการที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าวเช่นเดียวกัน จึงอยากให้ทางรัฐบาลซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายได้เข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามใหญ่โต จนกลายเป็นปัญหาความร้าวฉาน และความแตกแยกของคนในชุมชน และสังคม
 

 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น