ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “กลุ่มมัคคุเทศก์ก้าวหน้า จ.สงขลา” สุดทนต่อระเบียบของนายทะเบียนท่องเที่ยวที่แข็งกระด้าง แถมยังถูกคนมีสีเล่นกลหาช่องเรียกรับผลประโยชน์ ขณะที่ผู้ใหญ่ก็เอาแต่เดินสายงานอีเวนต์ เผยเคยร้องหลายหน่วยงานรัฐแล้วไม่ได้ผล จึงหันมาพึ่งสื่อให้ช่วยเป็นกระบอกเสียง วาดหวังจะเห็นการสะสางปัญหาที่หมักหมมมานาน
วันนี้ (7 มี.ค.) นายจิระวัฒน์ นาวัง หัวหน้ากลุ่มมัคคุเทศก์ก้าวหน้า พร้อมด้วย นายวิทยา ลิ่ม อดีตประธานชมรมมัคคุเทศก์อาชีพ จ.สงขลา นายอนุวัฒน์ ชี และมัคคุเทศก์อาชีพอีกจำนวนหนึ่ง ได้เข้าร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชน นำโดย นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบวิชาชีพมัคคุเทศก์ในพื้นที่จำนวนมาก จากปัญหาที่หมักหมมมานาน พร้อมกันนี้ ได้นำเอกสารอันเป็นบัญชีรายชื่อของบรรดามัคคุเทศก์อาชีพใน จ.สงขลา จำนวน 44 คน เพื่อเป็นหลักฐานประกอบว่า กำลังมีปัญหาหนักต่อการประกอบวิชาชีพมัคคุเทศก์จริง
โดยบรรดาผู้ประกอบการมัคคุเทศก์ จ.สงขลา เปิดเผยว่า กลุ่มมัคคุเทศก์ก้าวหน้า ซึ่งมีรายชื่อตามเอกสารแนบดังกล่าว ได้รับความเดือดร้อนจากการปฏิบัติหน้าที่ของ นายอรุณสวัสดิ์ สุขเจริญ นิติกรสำนักงานธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์นำเที่ยว สาขาภาคใต้ เขต 1 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
นายจิระวัฒน์ กล่าวว่า ตนเองถูกจับกุมโดยไม่มีความเป็นธรรม ถูกกล่าวหาว่าละทิ้งนักท่องเที่ยว ทั้งที่ข้อเท็จจริงตนได้นำรถยนต์ไปรับนักท่องเที่ยวยังจุดนัดพบ โดยไปก่อนเวลานัดหมายในการขึ้นรถ 3 ชั่วโมง แต่นิติกรไม่ยอมรับฟังข้อเท็จจริง มีการตั้งข้อหาว่าตนเองละทิ้งหน้าที่ มีการใช้วาจาข่มขู่ให้ตนรับผิดชอบ และส่งไปเปรียบเทียบปรับ 2,000 บาท ที่ สภ.หาดใหญ่
ในขณะที่กลุ่มมัคคุเทศก์ผู้ร้องทุกข์ได้ร่วมกันกล่าวต่อไปว่า การทำหน้าที่ของนิติกรสำนักทะเบียนการท่องเที่ยว มีความเข้มงวดต่อมัคคุเทศก์แบบ “จับผิด” มีการจับกุมแม้กระทั่งมัคคุเทศก์ที่แขวนบัตรอนุญาตที่บัตรพลิกกลับหน้าหลัง มีการตรวจสอบเอกสารต่างๆ ทั้งใบอนุญาต ใบเสียภาษี และเอกสารอื่นๆ ทั้งที่ทุกคนเป็นมัคคุเทศก์ที่ทำหน้าที่มาเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะการที่ให้นักท่องเที่ยวต้องซื้อประกันภัยแบบหยุมหยิม ได้สร้างปัญหาให้แก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
“จึงอยากจะให้มีการประชุมวางกฎเกณฑ์การปฏิบัติให้กระจ่าง และให้รับฟังปัญหาของมัคคุเทศก์ด้วยว่าอะไรที่เป็นปัญหา อะไรที่ทำได้ และอะไรที่ต้องมีการแก้ไขร่วมกัน ไม่ใช่ใช้กฎระเบียบโดยไม่รับฟังข้อเท็จจริง และเป็นการปฏิบัติหน้าที่แบบไม่ให้เกียรติ เหมือนกับมัคคุเทศก์เป็นโจร ผู้ร้ายที่ทำร้ายนักท่องเที่ยว” หนึ่งในคณะมัคคุเทศก์ที่เข้าร้องเรียน กล่าว
รวมทั้งต้องการให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อการท่องเที่ยวที่ไม่มีการแก้ไข เช่น การเรียกรับเงินรายหัว การเรียกร้องค่าล่วงเวลาจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่ต้องมีการจ่ายค่าลวงเวลาตลอดเวลา เช่น ต้องจ่าย 400 บาทต่อ 1 คันรถ ต้องจ่ายใต้โต๊ะหัวละ 200 บาท รวมทั้งความล่าช้าในการตรวจคนเข้าเมืองโดยไม่มีการแก้ปัญหา ในช่วงเทศกาลวันหยุดที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจากประเทศมาเลเซียมากๆ มีการเปิดช่องทางให้บริการเพียงช่องทางเดียว ทั้งที่ช่องทางในการตรวจหนังสือเดินทางมีถึง 5-6 ช่อง ปัญหานี้มีการร้องเรียนกันมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นมีการแก้ไขแต่อย่างใด
นอกจากนั้น ระหว่างทางจากเขตแดนจนถึง อ.หาดใหญ่ มีด่านตรวจรถยนต์หลายด่าน ซึ่งแต่ละด่านตรวจจะพยายามที่จะจับผิดกับรถของนักท่องเที่ยว ทั้งที่เป็นของไทย และของชาวมาเลเซีย มีการเรียกร้องเงินเพื่อที่จะไม่เอาผิดในข้อหาเล็กๆ น้อยๆ เช่น รถรุ่นเก่าที่ไม่มีเข็มขัดนิรภัย ส่วนรถยนต์ส่วนตัวของชาวมาเลเซีย เมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบว่าผิดกฎหมาย ก็จะทำการขอเงิน 300-400 บาท เป็นค่าอำนวยความสะดวก
กลุ่มมัคคุเทศก์ที่ร้องเรียนเปิดเผยต่อไปว่า เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการท่องเที่ยว ตั้งแต่นายทะเบียน ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจประจำจุดตรวจ ต่างพยายามใช้ธุรกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดสงขลาเป็นช่องทางในการทำเงิน และสร้างผลงาน เป็นการซ้ำเติมธุรกิจการท่องเที่ยวที่กำลังทรุดหนักให้ทรุดตัวมากยิ่งขึ้น
“การเสริมสร้างธุรกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดสงขลา เป็นการส่งเสริมแบบกระจุก ที่ไม่มีการกระจายตัว เช่น การจัดงานต่างๆ ก็จัดซ้ำอยู่ที่เดิม ผู้คนที่ได้ประโยชน์ก็เป็นกลุ่มเดิมที่เป็นเจ้าของพื้นที่ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่เข้าถึงข้อเท็จจริง ฟังคนพูดอยู่เพียงไม่กี่คน และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นแบบ “ทำเอง ดูเอง” มากกว่าทำเพื่อให้คนอื่นดู” นายจิระวัฒน์ กล่าวและเสริมว่า
เรื่องที่ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม รวมทั้งเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น กลุ่มมัคคุเทศก์ก้าวหน้าได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยัง นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา แต่ยังไม่มีความคืบหน้า จึงได้ชวนกันมาเพื่อร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ปัญหาการท่องเที่ยว และผลกระทบที่มัคคุเทศก์ได้รับ เพื่อประโยชน์ของธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลาต่อไป
