xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องเล่าจากโรงพักช้างเผือก เชียงใหม่ : เราไม่ได้ขัดคำสั่ง คสช. / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์  :  คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ  หยูทอง-แสงอุทัย

๓๑ ต.ค.๒๕๕๘ พวกเราจากทั่วประเทศ ๗ จังหวัด ประชุมเสนองานวิจัยเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลงและกระบวนสร้างประชาธิปไตยในชนบทของประเทศไทย” ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากร่วมพิจารณารายงานการวิจัยเพื่อเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ เพื่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการผู้สนใจร่วมแสดงความคิดเห็นในวันที่ ๒๑-๒๒ พ.ย.ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน กทม.

แต่ทราบว่า วันที่ ๓ พ.ย. นายทหารคนหนึ่งในสังกัดหน่วยงานทหาร จ.เชียงใหม่ เข้าแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนโรงพักช้างเผือก เมืองเชียงใหม่ ให้ดำเนินคดีต่อพวกเรา ๘ คน ที่นั่งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนใน จ.เชียงใหม่  เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นเรื่อง “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย และแนวทางในการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยในสังคมที่กำลังเกิดความขัดแย้งแตกแยก  ให้เกิดความสงบสุขอย่างยั่งยืน  หลีกเลี่ยงการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเผด็จการ อันรังแต่จะสร้างความเกลียดชังทั้งระยะสั้น และระยะยาว

เราถูกข้อหา ร่วมกันมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมืองที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศ หรือคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ" ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

พนักงานตำรวจ สภ.ช้างเผือก ออกหมายเรียกผม และ อ.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ ในวันที่ ๑๑ พ.ย. หมายเรียกดังกล่าวส่งถึงผม และ อ.ณฐพงศ์ ในวันที่ ๒๐ พ.ย.ในช่วงบ่าย ขณะที่เราทั้ง ๓ คนรวมทั้ง อ.บุญเลิศ จันทระ ที่ยังไม่มีหมายเรียกกำลังออกเดินทางไปร่วมประชุมสัมมนาเสนอรายงานการวิจัยรอบสุดท้ายที่ กทม. ตามกำหนดการ จึงมีคนอื่นที่คณะมนุษยศาสตร์ฯ ม.ทักษิณรับหมายแทนเรา

ก่อนหน้านั้น พนักงานตำรวจส่งหมายไปที่อาจารย์ท่านหนึ่งที่ ม.ศิลปากร นครปฐม ซึ่งอาจารย์ท่านดังกล่าวไม่ได้ร่วมแถลงการณ์ในวันนั้น และ อ.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ผู้อ่านแถลงการณ์ ก็ออกมายืนยันว่า อาจารย์ท่านนี้ไม่ได้ร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าว

วันที่ ๒๑ พ.ย.นายตำรวจท่านหนึ่งออกมาให้ข่าวว่า ถ้าพวกเราไม่ไปรายงานตัวจะออกหมายจับ และถ้าใครไปโพสต์แสดงความคิดเห็นทางการเมือง อาจมีการตั้งคณะกรรมการสอบ และอาจจะตั้งข้อหาเพิ่มเติม

วันที่ ๒๒ พ.ย.หลังจากเสร็จการสัมมนา พวกเราหารือ และตกลงกันว่าจะไปรายงานตัวพร้อมกันในวันที่ ๒๔ พ.ย.ตามหมายของผมกับ อ.ณฐพงศ์ เพราะคนอื่นที่เหลือยังไม่มีใครได้รับหมาย (แม้แต่ อ.อรรถจักร์ และ อ.สมชาย ซึ่งที่งานอยู่ไม่ไกลจากโรงพัก)  เพียงแต่มีภาพถ่ายและรายชื่ออยู่ในมือเจ้าพนักงาน และมี ๒ คนที่เขาไม่ทราบชื่อ
 

 
วันที่ ๒๔ พ.ย. เวลา ๑๕.๐๐ น. พวกเรา ๖ คนทั้งที่มีหมาย และไม่มีหมายไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานโรงพักช้างเผือก เมืองเชียงใหม่  ท่ามกลางการต้อนรับ และการให้กำลังใจจากพี่น้องประชาชน และเพื่อนนักวิชาการผู้รักความเป็นธรรมในเชียงใหม่  (โดยไม่มีใครจัดตั้ง) และกลุ่มสื่อมวลชนทุกสาขา ข่าวได้ออกมั่ง ไม่ได้ออกมั่ง ตามสภาพความมีเสรีภาพ อิสรภาพของแต่ละสำนัก

พวกเราได้รับการต้อนรับ และคำแนะนำอย่างอบอุ่น และเป็นกันเองจากเจ้าพนักงาน สภ.ช้างเผือก ขอขอบคุณนายตำรวจทุกท่านไว้ในที่นี้ และเป็นที่สังเกตว่า เจ้าพนักงานที่มาร่วมรับการรายงานตัวของพวกเราในวันนั้น เป็นนายตำรวจระดับชั้นสัญญาบัตรระดับนายพันขึ้นไปแทบทั้งนั้น นับว่าเป็นการให้เกียรติพวกเราเป็นอย่างยิ่ง และทุกท่านมีสัมมาคารวะ สุภาพอ่อนโยน อยากให้ทุกท่านทำอย่างนี้กับทุกคน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชน คนยากคนจนครับ
 
หลังจากนี้ เราจะมีทนาย และคนกลางในการประสานงานด้านคดี โดยจะยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน ๓๐ วัน จึงขอขอบคุณทีมงานทนายความที่ไปช่วยเหลืออำนวยความสะดวก และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ยิ่งในวันนั้น และต้องทำหน้าที่ทนายความต่อไปจนคดีถึงที่สุด ขอขอบคุณพนักงานสอบสวนที่ปล่อยตัวพวกเราโดยไม่มีเงื่อนไข นอกจากถ้าเดินทางไปต่างประเทศต้องแจ้งเจ้าพนักงาน

ขอบคุณเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ให้กำลังใจ และร่วมลงชื่อคัดค้านการดำเนินคดีต่อพวกเรา สำหรับคนที่ยังติดปัญหา สงครามสี” ผมอยากให้เปลี่ยนแว่นใหม่  นี่คือการแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรแอบแฝง  ผมไม่มีสังกัดสีไหน และ ผมไม่เคยทำอะไรโดยไม่คิด แต่ผมก็ไม่ได้คิดมากเสียจนไม่ทำอะไรเลย” 

สำหรับผมอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ผมเอาด้วยทั้งนั้น ขณะเดียวกัน อะไรก็ตามที่เป็นอันตรายต่อสังคม ผมยอมรับไม่ได้ทั้งนั้น

หลายคนอาจสมน้ำหน้า เพราะเข้าใจว่าผมเป็นคน “กวักมือเรียกทหาร” หรือ “นิยมเผด็จการทหาร” เพียงเพราะผมไปร่วมชุมนุมกับพี่น้องมวลมหาประชาชนและขึ้นเวที “คปท.” ในช่วงปิด กทม. แล้วมาโดนข้อหาขัดคำสั่ง คสช. ซึ่งเป็นผลพวงมาจากครั้งนั้น
 
ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมไม่ได้ขับไล่เผด็จการพลเรือน และซุกแทบเท้าเผด็จการทหาร เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงไม่โดนข้อหานี้ในวันนี้ เพียงแต่ถ้าผมจะดีใจอยู่บ้างในวันนี้ก็คือว่า พี่น้องที่ชุมนุมก่อนวันที่ คสช.ยึดอำนาจจะไม่โดนฆ่าจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้นครับ

สำหรับพี่น้องที่เข้าใจว่าผมเป็นฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ คงเข้าใจแล้วนะครับว่าในสถานการณ์ของการเคลื่อนไหวไปสู่สังคมที่ดีงาม ที่มีความสงบสุข (ตามชื่อเต็มของ คสช.) ผมยืนเคียงข้างทุกฝ่ายที่แสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจ และมีจุดยืนเพื่อสันติสุขในสังคม

สำหรับ พวกเกาะรั้ว” หรือ “เสมอนอก” หรือเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยน้ำลาย กล้าหาญที่จะก่นด่าประณามคนอื่น และชี้กราดไปทุกคน แต่ไม่เคยเห็นว่าตัวเองได้สร้าง ทำ หรือต่อสู้กับอะไร แม้แต่สู้เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ลดความกล้าแบบนี้ลงไป แล้วไปเพิ่มความกล้าในการเริ่มต้นคิดอะไรและทำอะไร เพื่อให้พระที่มาสวดศพของตัวเอง และต้องปรารภธรรมในงานศพคืนสุดท้าย ได้ค้นหาความดีของผู้ตายขึ้นมายกย่องเป็นตัวอย่างได้โดยไม่ต้องผิดศีลข้อมุสา ก็น่าจะเป็นกุศลยิ่งแล้วครับ

ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ในยามนี้ โดยเฉพาะกัลยาณมิตรจากนอกหน่วยงานที่ผมและเพื่อนสังกัด ผมมีคนจากมหาวิทยาลัยที่ผมสังกัดถามข่าวน้อยมากอย่างน่าใจหาย อาจจะเพราะพวกเขาไม่รู้ข่าว หรือพวกเขาดีใจ หรือเสียใจจนพูดอะไรไม่ออก ผมวิเคราะห์ไม่ถูก และบอกไม่ได้ เช่นเดียวกับอนาคตของชาติบ้านเมืองของเราในขณะนี้ ผมก็บอกไม่ได้
 
ส่วนอนาคตของผม ผมบอกได้ว่าไม่มี เพราะผมมีแต่อดีตที่ผมภาคภูมิใจที่เกิดมาไม่เสียชาติเกิด แม้จะเกิดเป็นลูกของคนชนชั้นใต้ถุนสังคม และไม่มีตำแหน่งหน้าที่สูงส่งใหญ่โตมากไปกว่า นักวิชาการของชาวบ้าน”
 
จึงไม่แปลกที่วันนี้คนที่ทำให้ผมต้องน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจคือ “ชาวบ้าน” ที่ร่วมกันลงชื่อ และส่งกำลังใจให้ผม และเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม โดยเฉพาะพี่น้อง “คนไร้บ้าน” ภาคเหนือ ส่วน “คนมีบ้านและบ้านหลังใหญ่” ค่อนข้างน้อยครับ
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น