คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
การแสดงออกทางวัฒนธรรมในระบบการเมืองนอกสถาบัน และชีวิตประจำวัน ชุมชนตะเครียะ
จากการศึกษาของยงยุทธ ชูแว่น (2529 : 119) ศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมสมัยใหม่ในงานวิจัยเรื่อง “การเคลื่อนเปลี่ยนของคตินิยมในบริเวณสามจังหวัดรอบทะเลสบสงขลา พ.ศ.2504-2529 : ศึกษาจากวรรณกรรม” พบว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจ(และสังคม) แห่งชาติ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของชุมชน 3 จังหวัดรอบทะเลสาบสงขลาอย่างรวดเร็ว และผิดสัดส่วน ชาวบ้านขัดแย้ง และสับสนในวิถีชีวิต เกิดช่องว่างทางความคิด และทัศนคติระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวเริ่มเสื่อมถอย
การศึกษาเน้นให้รับรู้วิทยาการโลกสมัยใหม่ทำให้ประสบการณ์ของคนรุ่นเกาหมดความสำคัญ อุดมการณ์ในการศึกษาก็เพื่อประกอบอาชีพรับราชการ ค่านิยมความเป็นคนนักเลงเน้นการรักพวกรักพ้อง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และรักษาคำพูดอย่างเคร่งครัด คลี่คลายไปในทางที่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ระบบเงินตราทำให้ชาวบ้านต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของผลผลิต ผู้นำชุมชนซึ่งเคยเป็นที่ศรัทธา เพราะเป็นผู้ให้การพึ่งพิง คอยคุ้มครองความปลอดภัย และรักษาผลประโยชน์ของชุมชน กลายเป็นผู้ที่สร้างอิทธิพลเพื่อตนเอง หรือญาติพี่น้องเท่านั้น มีการสร้างสมบารมีเพื่อข่มขู่คู่แข่งขันทางธุรกิจ หรือปกป้องผู้ที่ทำประโยชน์ให้ตน
การเมืองเรื่องการต่อรองกับอำนาจรัฐ
โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาระโนด-กระแสสินธุ์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิต และระบบความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมของชาวนาทุ่งระโนด จากการผลิตแบบยังชีพ ทำนาเอาข้าวไว้กิน ทำบุญและแบ่งปันกันในยามขาดแคลนมาทำนาเพื่อขาย จากทำนาตามฤดูกาลปีละครั้ง หรือนาปี มาทำนาปี และนาปรังโดยอาศัยการสูบน้ำจากทะเลสาบสงขลาในหน้าแล้ง ที่มักจะเกิดความขัดแย้งระหว่างชาวนาด้วยกันที่มีพื้นที่นาอยู่ใกล้ และไกลชลประทานไม่เหมือนกัน ทำนาไม่พร้อมกัน เกิดการแย่งน้ำกันบ้าง นาที่อยู่ใกล้คลองส่งน้ำชลประทานไม่ยอมปล่อยน้ำให้นาที่อยู่ไกลบ้าง
อีกทั้งเกิดความขัดแย้งระหว่างชลประทานกับชาวนา กรณีที่น้ำเค็มเกินกำหนดชลประทานจะไม่สูบน้ำให้ชาวนา แต่ชาวนากลับต่อรองโดยผ่านการชุมนุมเรียกร้องภายใต้การนำของนักการเมืองท้องถิ่นให้ชลประทานสูบน้ำให้ แม้จะรู้ว่าเสี่ยงต่อการสูญเปล่าก็ตามที และความขัดแย้งที่มีมานานนับตั้งแต่มีปัญหาเรื่องน้ำเค็มรุกล้ำทะเลสาบสงขลาก็คือ การพยายามลดพื้นที่ทำนาปรังของชาวบ้านที่ชลประทาน ยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านตอบสนองนโยบายนี้ของรัฐบาลได้ เพราะชาวบ้านอ้างว่า ถ้าไม่ทำนาก็ไม่รู้จะไปทำอะไรกิน นอกจากไปเป็นโจร
การเมืองเรื่องของผู้นำทางสังคม
โรงเรียนขยายโอกาส และโรงเรียนมัธยมประจำตำบล “ตะเครียะวิทยาคม” ทำให้ลูกหลานของชาวบ้านมีทางเลือก และโอกาสในการศึกษาต่อในระดับสูงกว่าภาคบังคับมากขึ้น หลายคนประสบความสำเร็จ มีงานทำทั้งงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประกอบธุรกิจส่วนตัว แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้กลับมาอยู่ในหมู่บ้าน เพียงกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์บ้าง ช่วงเทศกาลวันสารทเดือนสิบบ้าง หรือไม่ก็กลับมาช่วยวัด ช่วยโรงเรียนเมื่อมีการทอดผ้าป่า หรือทอดกฐิน คนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการนำความรู้ ประสบการณ์ และสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในหมู่บ้าน
กำนันใจ แกล้วทนงค์ เป็นผู้ผลักดันให้เกิดการสร้างโรงเรียนตะเครียะวิทยาคม โรงเรียนมัธยมประจำตำบลตะเครียะโรงแรก และโรงเดียว แรกเริ่มสร้างเป็นอาคารชั่วคราวก่อน โดยกำนันชักชวนชาวบ้านไปขอไม้ในสวนของชาวบ้านศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง มาทำอาคารชั่วคราว ช่วยกันสร้างจนเสร็จทันเปิดเทอมตามกำหนด (เชือน ศิวิโรจน์.2557)
การเมืองเรื่องเครือข่าย
“ถนนพระ-ประชาทำ” สายหัวป่า-ไสกลิ้ง อันเป็นเส้นทางสายประวัติศาสตร์เชื่อมคาบสมุทรสทิงพระ กับฝั่งอันดามัน และฝั่งอ่าวไทย เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของพระครู 2 รูป เจ้าอาวาสวัดจาก เจ้าคณะอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา (พระครูศาสนการโกวิท หรือท่านเล็ก) และเจ้าอาวาสวัดป่าลิไลยก์ ตำบลลำปำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง (พระครูกิตติวราภรณ์ หรือ ดร.ทวี ฤทธิรัตน์ มรณภาพแล้ว) กับชาวบ้านในอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา และอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ถนนสายนี้สะท้อนถึงพลังของชาวบ้านที่พึ่งตนเองเป็นหลักในการสร้างถนน เพราะไม่ได้รับความร่วมมือ สนับสนุนจากทางราชการ และนักการเมืองที่พวกเขาสนับสนุนมาตลอด มิหนำซ้ำ ยังถูกขัดขวางต่างๆ นานากว่าจะประสบความสำเร็จ และสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนและประเทศชาติ ทั้งในด้านการคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยว
หากไม่มีพระทั้ง 2 รูปเป็นผู้จุดประกายความหวังให้แก่ชาวบ้าน เป็นดุจยอดนักสู้ นักพัฒนา นักปฏิบัติ ก็คงจะไม่มีถนนไว้ให้แก่ลูกหลานชาวไทย ด้วยหยาดเหงื่อแรงกายที่ไม่ย่อท้อ บากบั่นอดทนทั้งลมฟ้าแดดฝน…และความเสียสละของผู้มีจิตศรัทธารวมเกิดเป็นพลังความสามัคคี จึงสำเร็จเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน…มหาชน โดยการนำของพระ เพียรพยายามสร้างถนนสายนี้นานถึง 7 ปี จึงสำเร็จ แม้เทวดาก็กีดกันไม่ได้ (พระครูกิตติวราภรณ์ . 2544)