คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
“อุบล อยู่หว้า” ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน รู้สึกแปลกใจเมื่อรู้ว่าทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล คสช.จะเอาเงินลงไปแจกจ่ายในกองทนหมู่บ้านอีกกว่า 5.9 หมื่นล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมา กองทุนหมู่บ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผล มีหมู่บ้านน้อยมากที่เข้มแข็งพอจะใช้เงิน 1 ล้านบาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปัจจุบัน หมู่บ้านที่เข้มแข็งช่วยเหลือตัวเองได้ก็ไม่ต้องการกู้ยืมเงินในลักษณะแบบนี้อีก ส่วนหมู่บ้าน หรือชุมชนที่มีปัญหาส่วนใหญ่เป็นหนี้กองทุนไม่สามารถหาเงินต้นมาใช้คืนได้ ต้องกู้ยืมเงินมาหมุนเวียนเพื่อให้ดูเหมือนว่าบัญชีของกองทุนหมู่บ้านนั้นยังดูดีอยู่
“สงสัยอยู่ว่ามีชาวบ้านเยอะแค่ไหนที่ไปเรียกร้องเงินกองทุน เพราะเวลานี้กลุ่มได้ประโยชน์มี 2 พวก คือ พวกนายทุนเงินกู้ หรือกรรมการหมู่บ้านที่หารายได้จากการปล่อยดอกร้อยละ 3 ต่อเดือนให้ชาวบ้านกู้มาเติมในกองทุน ทำให้ดูเหมือนใช้เงินคืนแล้วกู้ใหม่ แต่จริงๆ เป็นแค่จ่ายดอกเบี้ยเท่านั้น ส่วนอีกพวกหนึ่งคือ พวกบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค เพราะเงินก้อนใหม่หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท อาจทำให้ชาวบ้านได้เงินก้อนจริง แต่แบ่งกันแล้วเหลือไม่กี่หมื่นบาท ทำได้แค่จับจ่ายซื้อของในห้าง หรือซูเปอร์มาร์เกต สุดท้ายเงินก้อนนี้กลุ่มได้ประโยชน์เต็มๆ คือพวกบริษัทยักษ์ใหญ่ขายของกินของใช้ เงินไม่ได้ถูกเอาไปทำรวมกลุ่มกิจกรรมทำเกษตรยั่งยืน หรือพัฒนาอาชีพคนในชุมชนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้”
ตัวแทนเกษตรกรข้างต้นเสนอความเห็นว่า การจ่ายเงินแบบเหมาเข่งให้เท่าๆ กันเป็นการใช้เงินแบบไม่คิดเยอะ ทั้งที่รัฐบาลควรทำการบ้านสำรวจว่าแต่ละชมชนมีความต้องการใช้เงินแตกต่างกันอย่างไร มีประสิทธิภาพในการดูแลเงินก้อนใหม่มากน้อยแค่ไหน
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการด้านนโยบายเศรษฐกิจส่วนรวม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แสดงความเห็นถึงการกำหนดไม่ให้นำเงินกองทุนหมู่บ้านก้อนใหม่ไปรีไฟแนนซ์ หรือใช้ชำระหนี้สินเดิมนั้น เป็นไปได้ยากมาก เพราะส่วนใหญ่ชาวบ้านยังเป็นหนี้สิน การหมุนเงินใช้คืนหนี้เก่าเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะเงินกู้นอกระบบที่ดอกเบี้ยสูง
“ที่ผ่านมา ปัญหาสำคัญที่ไม่ค่อยมีการพูดถึงคือ การทำบัญชีของชาวบ้าน แม้เป็นเงินกู้จำนวนไม่กี่หมื่นบาท แต่ถ้าไม่มีการทำงบการเงิน หรือบัญชีครัวเรือนก็เกิดปัญหาการชำระหนี้ไม่ได้อีก จุดประสงค์ของกองทุนหมู่บ้านที่ผ่านมาคือ การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอาชีพ สร้างงานยั่งยืน เงินก้อนใหม่นี้ควรกำหนดให้ความรู้ควบคู่ไปกับการให้เงิน” (ทีมข่าวรายงานพิเศษ นสพ.คมชัดลึก. 2558 : 3)
ปัญหาด้านองค์กร คือ เกษตรกรยังไม่เห็นความสำคัญในการรวมกลุ่ม และกลุ่มองค์กรยังขาดความรู้ในการบริหารจัดการ เนื่องจากชาวบ้านขาดประสบการณ์ในการทำงานเป็นกลุ่ม การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ การแสดงความคิดเห็น หรือระดมความคิดเห็นในที่ประชุม และการทำงานเป็นทีม ภาระในการบริหารจัดการจึงตกอยู่ที่ประธาน รองประธาน และเลขานุการของกลุ่ม
กลุ่มที่มีบทบาท และเป็นจริงมากที่สุดมีไม่กี่กลุ่ม เช่น กลุ่มกองทุนสวัสดิการชุมชน หรือกลุ่มสัจจะวันละบาท ซึ่งเน้นสร้างวินัยในการออมและการจัดสวัสดิการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตั้งอยู่บนหลักการพึ่งตนเองของคนในชุมชน เนื่องจากชาวบ้านเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เข้าไม่ถึงระบบสวัสดิการของรัฐ จึงมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือกันตั้งแต่เกิดจนตาย ด้วยการสมทบเงินวันละบาทหรือปีละ 365 บาท จัดตั้งเป็นกองทุนสวัสดิการชุมชนระดับตำบล จนเป็นนโยบายรัฐบาลในปี 2553 โดยรัฐบาลร่วมสมทบทุนจำนวน 365 บาท/คน/ปีด้วย
กองทนสวัสดิการชมชนเป็นกองทนของชาวบ้าน ชาวบ้านเป็นผู้คิด ผู้บริหารจัดการสมทบ และรับประโยชน์ เป็นทั้งผู้ให้ที่มีคุณค่า และเป็นผู้รับที่มีศักดิ์ศรี เพราะเป็นเงินที่ตัวเองร่วมสมทบด้วย นอกจากจะจัดสวัสดิการสมาชิกแล้ว ยังจัดสรรเงินส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือสังคมในยามยาก เช่น ภัยพิบัติ ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ ให้เข้าถึงสวัสดิการชุมชนเหมือนคนอื่นๆ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง สร้างสังคมคุณธรรมอย่างเป็นรูปธรรม เพราะชาวบ้านเป็นผู้คิด ผู้กำหนดระเบียบ โดยสร้างระบบบริหารเองทั้งหมด เป็นแนวคิดของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และเสริมต่อด้วย ครูชบ ยอดแก้ว
กลุ่มกองทุนหมู่บ้านเน้นเรื่องเงินทุนหมุนเวียน หมู่บ้านที่มีกิจกรรมการรวมกลุ่มที่โดดเด่นที่สุด คือ หมู่ที่ 2 บ้านหนองถ้วย หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้การบริหารจัดการของ ผู้ใหญ่บ้านไพฑูรย์ หนูจีน และสมาชิก อบต.สายใจ จีนพานิชย์ และทีมงาน ส่วนใหญ่จะมีเครือข่ายภายนอกชมชนที่กว้างขวางสามารถจะดึงงบประมาณเข้าสู่หมู่บ้าน ล่าสุด กำลังดำเนินการจัดทำโครงการโรงสีชุมชน โครงการเสียงตามสาย และโครงการทำเหมืองฝายในวงเงินไม่เกิน 1,000,000 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีโครงการปลูกข้าวอินทรีย์เพื่อบริโภคเองในชุมชน เป็นต้น
กลุ่มที่มีบทบาททางการเมืองส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเครือญาติ ทั้งเครือญาติเกลอ ดอง และเครือญาติที่สืบสายโลหิต และกลุ่มพรรคพวกเพื่อนฝูง ส่วนกลุ่มอาชีพจะไม่ค่อยมีผลทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม แต่อาจจะมีผลบ้างในบางหมู่บ้านกับผู้นำบางคน เช่น กรณีบ้านหนองถ้วย ที่ทั้งผู้ใหญ่บ้าน และ ส.อบต.มีบทบาทโดดเด่นในการบริหารจัดการกลุ่มในชุมชน แต่โดยทั่วไปกลุ่มเครือญาติ และพรรคพวกจะหนักแน่น และชัดเจนกว่า
“กลุ่มเครือญาติที่เข้มแข็งที่สุดของตะเครียะคือ ตระกูลช่วยแท่น และตระกูลแกล้วทนงค์” (สุจิตต์ คงชู)