คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ข้าพเจ้ามีโอกาสรู้จักผู้ว่าฯ ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนใต้มาสองสามคน ที่มีบุคลิกนิสัยใจคอแตกต่างกันไป แต่ก็เป็นที่เล่าขานของคนในสังคม ทั้งสรรเสริญ และนินทาสาปแช่ง
บางคนก็เป็นนักปราบปรามโจรผู้ร้าย โดยเฉพาะโจรผู้ร้ายในลุ่มทะเลสาบสงขลา ตั้งแต่สมัยขุนโจรเกาะนางคำอย่าง เสือเหลาะ เสือทอก เสือฮ่วนคลองรี หรือฮ่วน มะกาว (มาเก๊า) บางคนได้ชื่อว่าเป็นมือปราบอำมหิตยุคคอมมิวนิสต์แผ่ขยายลงมาในพื้นที่อำเภอฉวาง พิปูน นครศรีธรรมราช ถึงขนาดขุดหลุมข้างที่ว่าการอำเภอเอาสังกะสีปิดขังผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ไว้กลางแดดเดือนเมษายน
ผู้ว่าฯ บางคนก็เป็นสุภาพบุรุษคู่บารมีป๋าเปรม เป็นลูกป๋าที่เป็นที่รักของคนสงขลาจนปัจจุบัน ผู้ว่าฯ บางคนถึงลูกถึงคนตั้งแต่สมัยเป็นนายอำเภอ เมื่อได้เป็นผู้ว่าฯ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ยังทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย เป็นที่รักใครของประชาชน แม้จะรู้ว่าระบบราชการไทย “นายมักจะรักคนที่ชาวบ้านเกลียด และเกลียดคนที่ชาวบ้านรัก” แต่ผู้ว่าฯ เหล่านี้ก็ยังทำตัวให้เป็นที่รักของชาวบ้าน และเป็นที่ไว้วางใจของนายมาโดยตลอด
ยกเว้นผู้ว่าฯ 2 คน คือ อดีตผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราชนักปราบคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นคนสงขลา (ทราบว่าบ้านเกิดอยู่แถวท่าหิน อำเภอสทิงพระ) แต่ไปเกษียณราชการที่จังหวัดสุพรรณบุรี กับผู้ว่าฯ สงขลาคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นคนสงขลาเช่นเดียวกัน
ถ้าดูจากบุคลิกภายนอกแบบผิวเผิน ผู้ว่าฯ สงขลาคนปัจจุบันก็เป็นคนพูดจาโผงผาง ถึงลูกถึงคน เสียงดังฟังชัด ไม่กลัวนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งครองใจคนปักษ์ใต้มาหลายสมัย โดยเฉพาะแกนนำคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดสงขลา อุปนิสัยใจคอเป็นแบบฉบับนักเลงปักษ์ใต้เต็มรูปแบบ คือ สนิทสนมกับใครก็ด่าพ่อล่อแม่เป็นว่าเล่น มีความกล้าหาญในหลายเรื่องที่ผู้ว่าฯ คนอื่นไม่กล้า
แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ว่าฯ คนนี้ก็กลายเป้าโจมตีของคนที่มีความคิดความเห็นแบบสมัยใหม่ โดยเฉพาะกระบวนการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาในประเด็นสาธารณะต่างๆ เนื่องจากผู้ว่าฯ ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของประชาชน มิหนำซ้ำยังออกมาท้าทาย สวนกระแสต่อความต้องการของประชาชน ชอบพูดแดกดัน ประชดประชัน
อันเป็นบุคลิกที่หลายฝ่ายมองว่า “หลงยุค” หรือ “ผิดกาลเทศะ” ขาดวุฒิภาวะในการเป็นนักปกครองร่วมสมัย
ยิ่งใกล้วันเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ผู้ว่าฯ ยิ่งสร้างความบาดหมางให้เกิดขึ้นแก่พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดสงขลา จน ถึงขั้นฟ้องร้องศาลปกครองให้เข้ามาระงับยับยั้งการดำเนินการแก้ปัญหาการกัดเซาะชาดหาดสมิหลาอย่างผิดหลักวิชาการ โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของประชาชน แทนที่ผู้ว่าฯ จะอ่อนข้อให้แก่ชาวบ้าน กลับท้าทายต่างๆ นานา
ขณะที่หน่วยงานทางราชการที่เกี่ยวข้องต่อการพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมต่างเห็นดีเห็นงามไปตามผู้ว่าฯ ตามธรรมเนียมวัฒนธรรมข้าราชการไทย ประเภทที่เรียกกันว่า “ดีครับนาย ได้ครับผม เหมาะสมครับท่าน”
หลายคนเสียดายที่ผู้ว่าฯ คนสงขลา น่าจะทิ้งทวนชีวิตราชการ โดยการสร้างวีรกรรมให้เกิดความประทับใจในการแก้ปัญหาบางเรื่องของคนสงขลาที่ไม่เคยมีผู้ว่าฯ คนไหนทำได้ เช่น การพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา การยกเลิกการต่ออายุสัมปทานเขาคูหา อำเภอรัตภูมิ การพัฒนาสงขลาเป็นมาบตาพุดแหล่งที่ 2 โดยมีโครงการชุดต่างๆ มาลงในพื้นที่อันเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหาร และการท่องเที่ยวของภาคใต้ เป็นต้น
แต่ผู้ว่าฯ สงขลา กลับตัดสินใจทำในทางตรงกันข้าม จนสร้างความเคียดแค้นชิงชังให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนไปโดยไม่จำเป็น
ท่าทีที่ผู้ว่าฯ ใช้ในการเผชิญหน้าต่อความขัดแย้งทางความคิดที่เห็นต่างกันในการพัฒนาจังหวัดสงขลา และการแก้ปัญหาทรัพยากรหาดทราย อันเป็นทรัพยากรคู่บ้านคู่เมืองสงขลา เป็นท่าทีที่ขาดวุฒิภาวะอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อต้องมาเผชิญหน้าต่อเยาวชน ยิ่งสำแดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างนักปกครองในระบบอำนาจนิยม สังคมอุปถัมภ์ที่ใกล้เกษียณอายุราชการ กับเยาวชนที่มีพื้นฐานมาจากสังคมแห่งการเรียนรู้ และถูกปลูกฝังมาให้มีจิตสำนึกสาธารณะ โดยไม่เคยผ่านการทำหน้าที่รักษากฎหมาย และรับผิดชอบความเป็นอยู่ของประชาชนในสังคมโดยตรง แต่กลับมีวิสัยทัศน์ที่น่าศรัทธาเชื่อถือกว่านักปกครองอาวุโสหลายเท่า
นี่น่าจะเป็นภาพฟ้องถึงความล้มเหลวของระบบราชการไทย โดยเฉพาะราชการส่วนภูมิภาคอีกภาพหนึ่งอย่างปฏิเสธได้ยาก
ในความเป็นจริง คนสงขลา เป็นคนสุภาพเรียบร้อย มีเหตุผล ไม่ดื้อรั้นก้าวร้าว โดยเฉพาะกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่วางตัวได้อย่างเหมาะสม แม้ในสมัยก่อนจะมีนักปกครองเป็นคนต่างด้าวท้าวต่างแดน เช่น เจ้าเมืองที่เป็นมุสลิมนับถือศาสนาอิสลาม สมัยตั้งเมืองที่สงขลาเมืองเก่าหัวเขาแดง หรือสมัยเจ้าเมืองเป็นจีนเมื่อย้ายเมืองมายังสงขลาฝั่งบ่อยาง
แต่หากเจ้าเมือง หรือผู้มีอำนาจขาดความเป็นธรรม และไม่มีวุฒิภาวะในการนำ ชาวสงขลาก็พร้อมที่จะสั่งสอน หรือให้บทเรียนแก่นักปกครองเหล่านี้ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัฒนธรรมคนนักเลง หรือวัฒนธรรมโจร ดังที่เคยเกิดขึ้นในชุมชนต่างๆ ในลุ่มทะเลสาบสงขลา หรือชุมชนหัวเขาแดง ที่มักจะใช้วิธีดื้อแพ่งต่ออำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรม ดังที่นักปกครองทุกคน โดยเฉพาะระดับผู้ว่าฯ ที่มาดูแลจังหวัดสงขลาต่างก็ทราบดีอยู่แล้ว
ทราบมาว่า ชีวิตหลังเกษียณราชการของผู้ว่าฯ ท่านนี้คือ สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.สรรหา ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน แต่อาศัยความเห็นชอบของกรรมการสรรหาเป็นสำคัญ ดังนั้น ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง และเป็นไปได้ สิ่งที่น่าวิตกกว่าความขัดแย้งในวันนี้คือ ความยึดโยงระหว่างนักการเมืองกับประชาชนของเขาภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ของคนสงขลาน่าจะมีปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นเสียแล้ว