ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย” ออกแถลงการณ์ด่วน! หนุนรัฐบาลแก้ปัญหาเรือประมงพาณิชย์ผิดกฎหมาย พร้อมลุยจัดโครงการปันน้ำใจจากชาวประมงพื้นบ้านสู่ผู้บริโภคทุกจังหวัด ด้านราคาอาหารทะเลในสงขลา ทะยานขึ้นแล้วกว่า 40 บาท/กก.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.สงขลา วันนี้ (3 ก.ค.) นายสะมะแอ เจะมูดอ นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ด่วนเรื่อง “การประมงทำลายล้างจะต้องหมดไปจากประเทศไทย สินค้าสัตว์น้ำปลอดภัยจะเพิ่มขึ้น” ถือเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อควบคุมเรือประมงพาณิชย์ผิดกฎหมาย ทั้งเรืออวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟจับลูกปลา
ทั้งนี้ เนื่องจากได้มีการผ่อนปรนผันมากว่า 30 ปี และส่วนใหญ่เป็นการทำประมงแบบธุรกิจของกลุ่มนายทุน โดยใช้เครื่องมือประมงที่ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำ อีกทั้งยังลักลอบเข้ามาทำการประมงในเขต 3,000 เมตร หรือ 3 กิโลเมตรจากชายฝั่ง ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์และเป็นพื้นที่ทำการประมงของชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งหลายครั้งเกิดการกระทบกระทั่งกัน จนถึงขึ้นมีการทำร้ายชาวประมงพื้นบ้าน และไล่ยิงกันกลางทะเล
ในความเป็นจริงนั้น การทำประมงในทะเลไทย ชาวประมงพื้นบ้านซึ่งเป็นคนในชุมชนท้องถิ่นมีจำนวนมากถึง 85% ของชาวประมงทั้งหมด แต่จับปลาในทะเลรวมกันได้เพียงแค่ 23% เท่านั้น และทั้งหมดส่งขายให้แก่ประชาชนผู้บริโภค ส่วนปลาอีก 77% จับโดยนายทุนพาณิชย์ที่ใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ และทำแบบผิดกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่าหากสามารถยกเลิกการทำประมงเหล่านี้ได้ ประเทศไทยจะสามารถแก้ปัญหาการส่งออกสินค้าสัตว์น้ำไปสหภาพยุโรปได้
ขณะที่หลังจากวันที่ 4 ก.ค.นี้ ซึ่งเรือประมงพาณิชย์ใน จ.สงขลา และอีกหลายจังหวัด รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่อการประมงจะประกาศหยุดยาว และอาจทำให้สินค้าทะเลขาดแคลน รวมทั้งราคาสูงขึ้นนั้น ทางสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย จึงเห็นร่วมกันว่าจะเปิด “โครงการปันน้ำใจจากชาวประมงพื้นบ้านสู่ผู้บริโภคในภาวะสัตว์น้ำขาดตลาด” เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อสัตว์น้ำในราคาที่เป็นธรรม โดยประสานกับเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้าน และศูนย์ประสานงานในแต่ละจังหวัดได้โดยตรง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ในส่วนของผลพวงจากจากเรือประมงพาณิชย์ใน จ.สงขลา ที่เริ่มหยุดออกทำการประมงจากมาตรการควบคุมเรือประมงผิดกฎหมาย ซึ่งดำเนินการมาเป็นวันที่ 3 ก่อนที่จะดีเดย์หยุดยาวตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (4 ก.ค.) นั้น ขณะนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้านอาหารทะเล หรือร้านซีฟูดบริเวณชายหาดแหลมสมิหลา รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งอื่นๆ ของ จ.สงขลา
นายสาทิศ กลับทับลัง ผู้ดูแลร้านอาหารนายหวาน แหลมสมิหลา ซึ่งเป็นร้านอาหารชื่อดัง และมีเมนูเด็ดคือ ปูม้านึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และมาเลเซีย ขณะนี้วัตถุดิบอาหารทะเลเริ่มไม่เพียงพอ เพราะทางร้านต้องใช้สัตว์น้ำทะเลจากเรือประมงเป็นจำนวนมาก เช่น ปูม้า ปลาสำลี และปลาหมึก โดยต้องสั่งจากแม่ค้าที่ท่าเทียบเรือประมงสงขลาทุกวัน
แต่ขณะนี้ปริมาณสัตว์น้ำลดลง เนื่องจากเรือประมงพาณิชย์หยุดออกทะเล แต่ต้องใช้ของสดทุกวัน ซึ่งหากพรุ่งนี้เรือประมงหยุดทั้งหมดจะกระทบโดยตรงต่อทางร้าน เพราะสินค้าทั้งหมดสั่งจากเรือประมงที่ท่าเทียบเรือเป็นหลัก ส่วนสัตว์น้ำจากประมงพื้นบ้านนำมาใช้ไม่ได้ เพราะไม่ได้ขนาด โดยเฉพาะปูม้า และเชื่อว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งคงจะต้องปรับราคาขายขึ้นตามไปด้วย จึงอาจจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ขณะนี้ราคาอาหารทะเลเริ่มปรับตัวสูงขึ้นหลายชนิด บางชนิดเพิ่มขึ้นถึงกิโลกรัมละ 40 บาท เช่น ปูม้า จากราคากิโลกรัมละ 260 บาท ปรับขึ้นเป็น 300 บาท ปลาสำลี จากเดิมกิโลกรัมละ 260 บาท ปรับขึ้น 300 บาท และปลาหมึกกล้วยตัวใหญ่ จากกิโลกรัมละ 120 บาท ปรับขึ้นเป็น 160 บาท เป็นต้น