คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
4.วัฒนธรรมทางการเมืองของไทย
พฤทธิสา ชุมพลให้ความเห็นเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยสรุปได้ว่าวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยเป็นวัฒนธรรมแบบผสมคือ แบบไพร่ฟ้า-มีส่วนร่วม มีลักษณะอิสระนิยมปนกับอำนาจนิยม ลักษณะอำนาจนิยมเป็นผลมาจากการขัดเกลาในครอบครัว ส่วนใหญ่มีอิทธิพลของพุทธศาสนาแทรกอยู่ แต่เมื่อบุคคลเติบโตขึ้นจนได้รับอิทธิพลจากสังคมโดยส่วนรวมซึ่งถูกครอบงำโดยระบบราชการที่ยังมีความเป็นศักดินาหรือความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูงขัดเกลาโดยผ่านระบบโรงเรียน ปลูกฝังการยอมรับในผู้มีอำนาจเหนือกว่า หรือวัฒนธรรมทางการเมืองแบบอำนาจนิยม ดังนั้น วัฒนธรรมทางการเมืองของคนไทยจึงไม่เอื้อต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก เพราะมีลักษณะอำนาจนิยมอยู่มาก1 ลักษณะอำนาจนิยมก่อให้เกิดพฤติกรรม 2 ลักษณะ คือ ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจยอมรับผู้มีอำนาจอย่างหนึ่ง กับผู้มีอำนาจชอบใช้อำนาจอีกอย่างหนึ่ง
ทินพันธ์ นาคะตะ ศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองและการกล่อมเกลาทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัย และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ ในช่วง 2-3 ปีก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 พบว่า นักศึกษาไทยมีทัศนคติทางการเมืองแบบผสมระหว่างแบบประชาธิปไตยกับแบบอำนาจนิยม และนักศึกษาเป็นกลุ่มชนที่มีความเชื่อในความสามารถของตนเองที่จะมีอิทธิพลต่อรัฐบาลสูงกว่าประชาชนทั่วไป แต่มีความไว้วางใจระบบการเมืองต่ำ
วัฒนธรรมทางการเมืองของคนไทยทำให้การมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนไทยอยู่ในระดับต่ำเพราะ 1) ประชาชนโดยทั่วไปมีความเชื่อว่าการเมือง หรือการบริหารประเทศเป็นเรื่องของผู้นำซึ่งเป็นคนจำนวนน้อย 2) ประชาชนเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่โจ่งแจ้งเกินไปจนเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก 3) ประชาชนยอมรับในอำนาจนิยม ตนเองไม่มีอำนาจ หรือความสามารถทางการเมือง แต่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการเป็นบุคคลที่มีอำนาจ และมีอิทธิพลบารมี
วัฒนธรรมทางการเมืองไทย หรือค่านิยมทางการเมืองของคนไทยส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นลูกตุ้มที่แกว่งจากจุดปลายสุดด้านหนึ่งคือ อิสรนิยมในระดับครอบครัวมายังปลายสุดอีกด้านหนึ่งคืออำนาจนิยมในระดับสังคมและการเมือง คนไทยชอบแสดงความเป็นคนมีหน้าใหญ่ใจโต ไม่คำนึงถึงฐานะของตน ชอบแต่งกาย และมีทรัพย์สินที่แสดงความภูมิฐาน เช่น มีรถยนต์ราคาแพง เที่ยวไนต์คลับชั้นสูง ใช้ของต่างประเทศ ฯลฯ
วัฒนธรรมทางการเมืองของไทยมีพื้นฐานอยู่บนอิสรนิยม-อำนาจนิยม ก่อให้เกิดปัญหาในการพัฒนาการเมืองหลายประการ เช่น ประการแรก เมื่อใดที่พลังแห่งอำนาจขาดหาย หรืออ่อนแรงไป ความเป็นอิสรนิยมจะเข้ามาแทนที่และมีอิทธิพลอย่างเห็นได้ชัด ประการที่สอง การพยายามสร้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ประชาธิปไตยจะสามารถหยั่งราก และเจริญงอกงามได้ในประเทศที่มีวัฒนธรรมการเมืองที่มีลักษณะสายกลางระหว่างอิสรนิยมกับอำนาจนิยม นั่นคือ ความรักเสรีภาพจะต้องควบคู่กับความรู้สึกในเรื่องหน้าที่ที่มีต่อกันโดยเฉพาะในระดับที่สูงกว่าส่วนตัว
ประการที่สาม มีปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม สังคมไทยเป็นสังคมฐานะนิยม แบ่งคนออกเป็นประเภทตามตำแหน่ง ความมั่งคั่ง ความรู้และอายุ ในทางการเมือง บุคคลบางประเภทถือตัวว่ามีฐานะทางสังคมสูงกว่าคนอื่นและต้องเป็นผู้นำทางธรรมชาติ การแบ่งคนเป็นฐานะ เป็นปัญหาในการพัฒนาการเมืองเพราะการพัฒนาการเมืองเป็นการนำไปสู่ระบบที่มีความเท่าเทียมกัน และการมีส่วนร่วม ความแตกต่างทางฐานะมีรากฐานเรื่องอำนาจคือ คนมีอำนาจแตกต่างกันย่อมมีฐานะแตกต่างกัน
ประการที่สี่ การขาดอุดมการณ์ และการนิยมผู้นำที่มีบารมี ทั้งสองอย่างมีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่ และเป็นผลมาจากวัฒนธรรมการเมืองแบบอิสระ-อำนาจนิยมซึ่งเป็นความรู้สึก หรือธรรมชาติที่ขัดกัน แต่สามารถแฝงอยู่ในสิ่งเดียวกันได้
ประการที่ห้า อำนาจนิยมในทัศนะของคนไทยเป็นเรื่องให้คุณให้โทษ ไม่ใช่อำนาจทางปัญญา หรืออำนาจแห่งความสัตย์ซื่อ อำนาจสำคัญของบุคคล ในทางบริหารสังคมไทยเป็นสังคมที่มีการทำงานจากเบื้องบน ประชาชนทั่วไปและข้าราชการชั้นผู้น้อยไม่มีโอกาสปฏิรูปงานความสัมพันธ์ระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่อยู่ในลักษณะเกรงกลัว และเชื่อฟังคำสั่ง ความคิดเห็นในสถาบันราชการมักจะมาจากผู้ใหญ่ฝ่ายเดียว ระบบสัมพันธภาพ และค่านิยมแบบนี้ไม่เอื้อต่อการเกิดอุดมการณ์ซึ่งเป็นค่านิยมที่ไม่ขึ้นกับบุคคล เมื่อใดก็ตามที่เหตุผล หรืออุดมการณ์ต้องเผชิญหน้าต่อบุคคล บุคคลจะเป็นฝ่ายมีชัยเสมอ ดังคำกล่าวที่ว่า “นโยบายอยู่เหนือเหตุผล”
ประการที่หก คือ ความรักอิสระมีค่านิยม “ยืดหยุ่น” เปลี่ยนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้ไม่ยากเลือกสนใจแต่สิ่งที่เป็นไปได้