โดย..เงาศิลป์
(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
“ไปพูดยังไงเขาถึงได้ยอมให้เช่าบ้าน คนคนนี้ไม่เอาใครเลยนะ ใครๆ ก็กลัวแก”
คำถามคล้ายๆ กันนี้ และมีคำบอกเล่าอื่นๆ ตามมาจากคนบนเกาะที่รู้จักเรา โดยเฉพาะคนในครอบครัวของพฤกษาที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใย เมื่อเราขอย้ายออกจากบ้านเช่า และบอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน
อ่าวลึกคือที่ใหม่ที่เราจะย้ายไปอยู่ สวยงามไม่แพ้หาดใดบนเกาะ เพียงแต่เจ้าของหาดได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมโหด ไม่ไว้หน้าใคร ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถ้าใครมาทำให้บรรยากาศการพักผ่อนที่นั่นกระทบกระเทือนเป็นต้องเจอดี
กระท่อมเก่าๆ หลังนี้อยู่ในดงมะพร้าว ห่างจากชายหาดราวๆ 300 เมตร มันตั้งอยู่บนที่สูง บนลาดภูเขา ไม่ต้องเดินลงมาก็เห็นผิวน้ำทะเล เห็นคนนอนอาบแดดบนหาดทรายได้ ยามคลื่นสูงได้ยินเสียงคลื่นคำรามโครมครามน่ากลัว ฉันอยู่ที่นี่เป็นช่วงๆ ในแต่ละครั้งนานราวๆ 1-2 เดือน หรืออาจจะ 3 เดือน จึงจำได้ว่าในแต่ละฤดูกาลหาดทราย และผู้คนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
บ่อยครั้งที่มีเสียงหัวเราะ หลายครั้งที่มีเสียงสะอื้น และมีบางครั้งที่มีเสียงของความโกรธเกรี้ยวจากคนที่อยู่ที่นี่ และเขา.....ยังคงอยู่ที่นี่ น่าจะนานราวๆ 7 ปี จึงย้ายไปอยู่ที่อื่นอีกหลายที่ จนกระทั่งในปีที่ 20 กว่าๆ เขาย้ายไปยังหาดสุดท้ายแห่งนั้น โดยที่ฉันได้อยู่บนเกาะร่วมกับเขาเพียงแค่ 3 ปี เท่านั้นเอง
ฉันเลือกที่จะอยู่ที่นี่ เมื่อเบื่อๆ บ้านเช่ากลางหุบเขา เราจะมาพักที่บังกะโลที่ชายหาด หลังจากสอดส่ายสายตาพบว่ามีบ้านเก่าๆ ว่างและห่างจากชายหาดอยู่หลังหนึ่ง เราจึงเอ่ยปากขอเช่า ลุงทำท่าทางลังเลครุ่นคิด มองหน้าเราสองคนอย่างพินิจ แล้วเอ่ยปากว่า “ได้” สั้นๆ ราคาค่าเช่า 700 บาทต่อเดือน มีน้ำฝนเก็บจากชายคาในปล่องสูงราวๆ 3 เมตร ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ ไม่มีเครื่องปั่นไฟ เพราะที่บังกะโลก็ไม่มี
ไม่รีรอที่จะย้ายเข้ามาอยู่ ทรัพย์สินไม่มีอะไรมาก นอกจากเครื่องมือทำงานของเขา ส่วนฉันมีแค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด กับสมุดบันทึก และหนังสือเอาไว้อ่าน และทำงาน
นอกจากมุ้งหมอน ที่พิเศษน่าจะเป็นเครื่องครัว นอกจากเตาน้ำมันก๊าดที่ซื้อมาจากตลาดวรจักรแล้วก็มีหม้อทองเหลืองสำหรับหุงข้าว ซื้อมาจากแม่สาย ที่เราหอบหิ้วไปใช้งานในทุกที่ๆ เดินทางไกล ส่วนที่ไม่ต้องหอบหิ้วออกมาจากบ้านหลังเก่าคือ ถ้วยชาม เอาทิ้งได้เลย เพราะมันคือกะลามะพร้าวที่คนทำมะพร้าวแห้งทิ้งไว้เป็นกองใหญ่ๆ เลือกขนาดได้ตามใจชอบ ทั้งใส่ข้าว ใส่แกง หรือทำถ้วยกาแฟ
ก่อนการใช้งาน เราแค่ขูดๆ ให้เกลี้ยงเกลาทั้งนอกใน และจากประสบการณ์สอนเราว่าอย่าใช้ใส่อาหารสลับกับกาแฟ เพราะจะได้กลิ่นกาแฟผสมกลิ่นแกง และหลังจากล้างเสร็จอย่าตากแดดจัดๆเพราะมันจะแตก
ชีวิตฉันช่วงนั้นเลื่อนลอยเหมือนวิญญาณไร้ทางไป ทั้งๆ ที่ดูเหมือนจะมีพื้นที่สำหรับพักผ่อนกายใจ แต่หัวใจยังผูกพันกับป่าดงมากกว่าทะเล
ข่าวครูประเวียน บุญหนัก นักต่อสู้ปกป้องทรัพยากรและสิทธิชุมชนแห่งบ้านผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ถูกสังหารโหด และจับฆาตกรไม่ได้ หัวใจฉันปวดแปลบ น้ำตาฉันไหลเงียบๆ ซึ่งเขาไม่มีวันจะเข้าใจว่าทำไมฉันต้องทุรนทุรายกับข่าวร้ายเช่นนี้
เพื่อนทางอีสานส่งข่าวฝากมากับเพื่อนที่กรุงเทพฯ ว่า ถ้ามีเวลาให้ช่วยทำงานเก็บข้อมูลพื้นฐานหมู่บ้านต้นน้ำพองที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของภูกระดึงให้หน่อย เพราะว่าเป็นพื้นที่สำคัญในการอนุรักษ์ป่าและน้ำ รวมทั้งเพื่อนอีกคนฝากความส่งต่อกันมาว่า อาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่งต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ อยากให้ฉันไปดูแลโครงการของท่านแทน เป็นงานเกี่ยวกับผู้ตัดเชื้อเอชไอวี งานหลังนี้ฉันบอกปฏิเสธไป เพราะใจไม่อาจทำงานแบบนี้ได้จริงๆ แต่งานแรกฉันตกลงรับทำงาน
การย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ฉันจึงได้อยู่กับเขาจริงๆ จังๆ ไม่เกิน 10 วัน เมื่อฉันบอกว่าต้องกลับไปทำงานที่อีสาน เขาได้แต่พยักหน้ารับรู้
ฉันกลับมาอีสาน ได้ไปร่วมงานฝังศพครูประเวียนด้วย และเตรียมตัวเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านป่าหลังภูกระดึง ตามกำหนดแล้วจะเป็นช่วงต้นปีที่อากาศหนาวเย็นทีเดียว
(อ่านต่อตอนที่ 12)
(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
“ไปพูดยังไงเขาถึงได้ยอมให้เช่าบ้าน คนคนนี้ไม่เอาใครเลยนะ ใครๆ ก็กลัวแก”
คำถามคล้ายๆ กันนี้ และมีคำบอกเล่าอื่นๆ ตามมาจากคนบนเกาะที่รู้จักเรา โดยเฉพาะคนในครอบครัวของพฤกษาที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใย เมื่อเราขอย้ายออกจากบ้านเช่า และบอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน
อ่าวลึกคือที่ใหม่ที่เราจะย้ายไปอยู่ สวยงามไม่แพ้หาดใดบนเกาะ เพียงแต่เจ้าของหาดได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมโหด ไม่ไว้หน้าใคร ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถ้าใครมาทำให้บรรยากาศการพักผ่อนที่นั่นกระทบกระเทือนเป็นต้องเจอดี
กระท่อมเก่าๆ หลังนี้อยู่ในดงมะพร้าว ห่างจากชายหาดราวๆ 300 เมตร มันตั้งอยู่บนที่สูง บนลาดภูเขา ไม่ต้องเดินลงมาก็เห็นผิวน้ำทะเล เห็นคนนอนอาบแดดบนหาดทรายได้ ยามคลื่นสูงได้ยินเสียงคลื่นคำรามโครมครามน่ากลัว ฉันอยู่ที่นี่เป็นช่วงๆ ในแต่ละครั้งนานราวๆ 1-2 เดือน หรืออาจจะ 3 เดือน จึงจำได้ว่าในแต่ละฤดูกาลหาดทราย และผู้คนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
บ่อยครั้งที่มีเสียงหัวเราะ หลายครั้งที่มีเสียงสะอื้น และมีบางครั้งที่มีเสียงของความโกรธเกรี้ยวจากคนที่อยู่ที่นี่ และเขา.....ยังคงอยู่ที่นี่ น่าจะนานราวๆ 7 ปี จึงย้ายไปอยู่ที่อื่นอีกหลายที่ จนกระทั่งในปีที่ 20 กว่าๆ เขาย้ายไปยังหาดสุดท้ายแห่งนั้น โดยที่ฉันได้อยู่บนเกาะร่วมกับเขาเพียงแค่ 3 ปี เท่านั้นเอง
ฉันเลือกที่จะอยู่ที่นี่ เมื่อเบื่อๆ บ้านเช่ากลางหุบเขา เราจะมาพักที่บังกะโลที่ชายหาด หลังจากสอดส่ายสายตาพบว่ามีบ้านเก่าๆ ว่างและห่างจากชายหาดอยู่หลังหนึ่ง เราจึงเอ่ยปากขอเช่า ลุงทำท่าทางลังเลครุ่นคิด มองหน้าเราสองคนอย่างพินิจ แล้วเอ่ยปากว่า “ได้” สั้นๆ ราคาค่าเช่า 700 บาทต่อเดือน มีน้ำฝนเก็บจากชายคาในปล่องสูงราวๆ 3 เมตร ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ ไม่มีเครื่องปั่นไฟ เพราะที่บังกะโลก็ไม่มี
ไม่รีรอที่จะย้ายเข้ามาอยู่ ทรัพย์สินไม่มีอะไรมาก นอกจากเครื่องมือทำงานของเขา ส่วนฉันมีแค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด กับสมุดบันทึก และหนังสือเอาไว้อ่าน และทำงาน
นอกจากมุ้งหมอน ที่พิเศษน่าจะเป็นเครื่องครัว นอกจากเตาน้ำมันก๊าดที่ซื้อมาจากตลาดวรจักรแล้วก็มีหม้อทองเหลืองสำหรับหุงข้าว ซื้อมาจากแม่สาย ที่เราหอบหิ้วไปใช้งานในทุกที่ๆ เดินทางไกล ส่วนที่ไม่ต้องหอบหิ้วออกมาจากบ้านหลังเก่าคือ ถ้วยชาม เอาทิ้งได้เลย เพราะมันคือกะลามะพร้าวที่คนทำมะพร้าวแห้งทิ้งไว้เป็นกองใหญ่ๆ เลือกขนาดได้ตามใจชอบ ทั้งใส่ข้าว ใส่แกง หรือทำถ้วยกาแฟ
ก่อนการใช้งาน เราแค่ขูดๆ ให้เกลี้ยงเกลาทั้งนอกใน และจากประสบการณ์สอนเราว่าอย่าใช้ใส่อาหารสลับกับกาแฟ เพราะจะได้กลิ่นกาแฟผสมกลิ่นแกง และหลังจากล้างเสร็จอย่าตากแดดจัดๆเพราะมันจะแตก
ชีวิตฉันช่วงนั้นเลื่อนลอยเหมือนวิญญาณไร้ทางไป ทั้งๆ ที่ดูเหมือนจะมีพื้นที่สำหรับพักผ่อนกายใจ แต่หัวใจยังผูกพันกับป่าดงมากกว่าทะเล
ข่าวครูประเวียน บุญหนัก นักต่อสู้ปกป้องทรัพยากรและสิทธิชุมชนแห่งบ้านผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ถูกสังหารโหด และจับฆาตกรไม่ได้ หัวใจฉันปวดแปลบ น้ำตาฉันไหลเงียบๆ ซึ่งเขาไม่มีวันจะเข้าใจว่าทำไมฉันต้องทุรนทุรายกับข่าวร้ายเช่นนี้
เพื่อนทางอีสานส่งข่าวฝากมากับเพื่อนที่กรุงเทพฯ ว่า ถ้ามีเวลาให้ช่วยทำงานเก็บข้อมูลพื้นฐานหมู่บ้านต้นน้ำพองที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของภูกระดึงให้หน่อย เพราะว่าเป็นพื้นที่สำคัญในการอนุรักษ์ป่าและน้ำ รวมทั้งเพื่อนอีกคนฝากความส่งต่อกันมาว่า อาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่งต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ อยากให้ฉันไปดูแลโครงการของท่านแทน เป็นงานเกี่ยวกับผู้ตัดเชื้อเอชไอวี งานหลังนี้ฉันบอกปฏิเสธไป เพราะใจไม่อาจทำงานแบบนี้ได้จริงๆ แต่งานแรกฉันตกลงรับทำงาน
การย้ายมาอยู่ที่ใหม่ ฉันจึงได้อยู่กับเขาจริงๆ จังๆ ไม่เกิน 10 วัน เมื่อฉันบอกว่าต้องกลับไปทำงานที่อีสาน เขาได้แต่พยักหน้ารับรู้
ฉันกลับมาอีสาน ได้ไปร่วมงานฝังศพครูประเวียนด้วย และเตรียมตัวเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านป่าหลังภูกระดึง ตามกำหนดแล้วจะเป็นช่วงต้นปีที่อากาศหนาวเย็นทีเดียว
(อ่านต่อตอนที่ 12)