เงา ตอนที่ 12
เช้าวันนี้ เจริญขวัญกำลังหิ้วข้าวของประเภทกล่องดินสอสี กระดาษ ใส่ในย่ามวางลงในตะกร้าหน้าจักรยาน อิศราเดินออกมาจากในบ้าน อ้าปากหาว ยืดเส้นยืดสาย ยังมีริ้วรอยเจ็บหลังอยู่ เจริญขวัญหันมาเห็นยิ้มทัก
“พี่อิศ”
อิศราเดินมาหา “ขวัญจะไปไหน ไปไร่เหรอ”
เจริญขวัญส่ายหน้า “วันนี้ขวัญนัดพวกเด็กๆ ไว้ค่ะ”
“พี่ไปด้วย” อิศราบอก เดินเข้าจับจักรยานทันที
“อย่าดีกว่าค่ะ พี่อิศยังเจ็บอยู่”
“หายแล้ว” อิศราขึ้นคร่อมจักยาน “น่า ขึ้นมาเถอะ อยู่บ้านเฉยๆ พี่เบื่อ”
เจริญขวัญเป็นห่วง สีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
เสียงรถกระบะดวงแก้วแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน เป็นพุดที่ขับมา
“คุณขวัญครับ คุณขวัญ” พุดร้องถามขณะลงมา “ไปไหนครับ”
“ขวัญจะไปศาลาค่ะ”
“งั้นก็ขึ้นรถเลยครับ ผมไปส่ง”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ”
เจริญขวัญยิ้ม หยิบย่ามเดินไป อิศราจำใจปล่อยจักรยานไว้ เดินตาม ตาพุดยิ้มๆ
รถแล่นมาจอดหน้าศาลาในไร่ เจริญขวัญลงก่อน อิศรา ลงตามหลัง เด็กๆ กรูมาหาไหว้ทัก
“พี่ขวัญ สวัสดีค่า” / “พี่ขวัญ สวัสดีครับ”
เจริญขวัญยิ้มทัก “สวัสดีจ้า”
อิศราตามมายืนใกล้เจริญขวัญ
“เอ้า ทุกคน สวัสดีพี่อิศ พี่ชายของพี่ขวัญก่อน”
เด็กๆ ไหว้ ท่าทีเขินๆ คนแปลกหน้า “สวัสดีค่า” / “สวัสดีครับ”
“นี่น่ะเหรอนักเรียนของขวัญ”
“ค่ะ” เจริญขวัญแนะนำ “นายคนนี้ชื่อจ๊อดค่ะ นี่ จุ๊บ แจง จ๊อด เป็นพี่น้องกัน แล้วก็นี่ ไข่หวาน กับ นุ้ย ส่วนคนนี้ กวนที่สุดชื่อนายกล้วยน้ำว้าค่ะ”
อิศราไม่คุ้ยเคยกับการเล่นกับเด็ก ยกมือทักเก้กัง
“ไง เด็กๆ” อิศราหัวเราะขัน ”จะจำชื่อหมดไหมเนี่ย”
เด็กๆ ไม่คุ้นเคยกับอิศรา หลบมาด้านหลังเจริญขวัญ
แจงกอดเอวเจริญขวัญอยู่ ลอบมองอิศรา จ๊อดขยับมาใกล้ ดึงเสื้อเจริญขวัญถามหาอรุณ
“พี่อรุณล่ะครับ”
เจริญขวัญชะงักไปนิด ยิ้ม “พี่อรุณ ไปกรุงเทพฯแล้วมั้งจ้ะ”
อิศราลอบมอง เห็นสีหน้าเจริญขวัญหมองไป
พุดจอดรถใต้ร่มไม้ วิ่งเข้ามาพร้อมกระติกน้ำในมือ วางกระติกลงแล้วไปปัดแคร่ ปูผ้าขาวม้า อิศราชะงัก มองงง
“อ้าว ลุงพุดไม่ต้องไปทำงานที่ไร่เหรอครับ”
“ไม่เป็นไงครับ สั่งงานไว้หมดแล้ว วันนี้ ผมจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณขวัญ กับคุณอิศไงครับ ตามสบายนะครับ” พุดลงนอน “ผมอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ไปไหน เรียกใช้ได้เสมอครับ”
ตาพุดนอนกอดอก อิศราขัดใจ อดทำซีนหวาน
อิศรานั่งมองเจริญขวัญ ที่กำลังสอนเด็กๆ พับนกกะเรียน ชักเริ่มเบื่อ และร้อนด้วย แล้วต้องสะดุ้งกับเสียงกรนของพุดที่มาพร้อมกับจังหวะที่เขาปิดปากหาว
อิศราหันไปบนแคร่เดียวกัน ตาพุดนอนหลับแต่ลืมตา กรนสนั่น อิศราค่อยๆ ลุกออกไป
เจริญขวัญ กำลังสอนเด็กๆ พับนกอยู่อีกแคร่หนึ่ง
อิศราเดินมาหยุดยืนทางเบื้องหลัง เอียงคอมองเพลิน เพราะเห็นเจริญขวัญน่ารักสดใสท่ามกลางเด็กๆ อิศราเผลอมองการพับนกของเจริญขวัญอย่างไม่ตั้งใจ
“นี่ พับแบบนี้ก่อน แล้วพับมุมอย่างนี้ พี่เคยสอนแล้วไงจ้ะ นั่นไง จ๊อดทำได้ด้วย เก่งมาก พวกเราปรบมือ”
เจริญขวัญกับเด็กๆ ปรบมือให้จ๊อดที่ชูนกกระดาษอวดผลงาน
อิศราอดยิ้มไม่ได้สีหน้าเหมือนจะอ่อนโยนขึ้น แต่แล้วเสียงท่านชายก็แว่วมาในความคิด
จังหวะนี้คำพูดท่านชายดังก้องขึ้นในหัวอิศรา “แล้วถ้าไม่มีบ้านหลังนั้นเป็นตัวล่อ เธอมีจะมีใจให้คุณเจริญขวัญเขาแค่ไหน เคยถามตัวเองดูแล้วหรือยัง อิศรา”
อิศราหน้าเครียด ขรึมลง ตอบตัวเองไม่ถูก
สุดท้ายสลัดความคิด แล้วเดินออกไป
ขณะที่เจริญขวัญกำลังก้มหน้าสอนเด็กๆ อยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาหันไปทางที่อิศรายืนอยู่ แล้วต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงรถสตาร์ท เป็นอิศราที่ขับรถกระบะออกไปทางหน้า เจริญขวัญงง
พุดงัวเงียลุกขึ้นมามอง “อ้าว คุณอิศเอารถไปไหนครับ”
เจริญขวัญส่ายหน้า งงอิศราไปไหนไม่บอก
อิศราพาตัวเองมาอยู่ที่ร้านขายของจิปาถะ ในตลาดละแวกไร่ เห็นพวกของเล่นเด็กราคาไม่แพงแขวนโชว์ ทุกชิ้นอยู่ในซองพลาสติก ปืนสำหรับเด็กชาย ตุ๊กตาสำหรับเด็กหญิงก็มี อิศราหยิบของเล่นขึ้นมา หันไปหาคนขาย
“ผมเอาไอ้นี่” เขาหันไปหยิบของส่งให้คนขายทีละชิ้น “แล้วก็นี่ นี่ แล้วก็นี่ด้วยครับ อ้อ นี่ด้วย ใส่ถุงรวมกันเลยนะครับ”
เห็นอิศราหายไปนาน เจริญขวัญมองไปยังทางเข้าไร่อย่างเป็นห่วง ในขณะที่พุดเอาขันเล็กตักน้ำในกระติกล้างหน้า
“หรือแกจะกลับบ้านครับ แดดร้อนๆ แกคงเบื่อ เอ้อ ไม่เหมือนคุณอรุณนะครับ เล่นกับคุณขวัญได้เป็นวันๆ”
เจริญขวัญชะงัก พุดทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เสียงรถแล่นเข้ามา เจริญขวัญหันไปมอง เห็นรถกระบะแม่ที่อิศราขับแล่นเข้ากลับมา
อิศราจอดรถหน้าศาลา เปิดประตูลงมาแล้วไปหยิบถุงหลายถุงท้ายรถ เดินยิ้มเผล่เข้ามา เจริญขวัญมองถุงต่างๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจ พุดไปช่วย
“โห ซื้ออะไรมาครับนี่ มากมายก่ายกองครับ มาๆ ผมช่วย”
“ของฝากเด็กๆ ครับลุงพุด”
ตาพุดช่วยหิ้วของเดินมาหาเจริญขวัญและเด็กๆ
“เอ้า เด็กๆ มานี่เลย พี่ซื้อของมาฝาก”
เด็กๆ ลงจากแคร่ เจริญขวัญหันไปมอง เด็กๆ กรูมาหาอิศราที่เปิดถุงหยิบของเล่น และ ขนมให้
“เอ้า ดูสิชิ้นไหนของใคร ปืนนี่ ของใครดีน๊า”
จ๊อดยกมือ “ผมครับ ผมๆ”
นกกระดาษตกลงพื้นไป เด็กหมดความสนใจ
เจริญขวัญอึ้ง มองอิศราที่ใช้เงินซื้อวัตถุ มาแจกเด็กๆ ยิ้มไม่ค่อยออก
อิศราหยิบของให้ทีละคน ตุ๊กตาบ้าง ของเล่นอื่นๆบ้าง หัวเราะเบิกบานกับเด็กๆ
พุดเปิดอีกถุง มีขนมก็หยิบมาแกะห่อกินไปด้วย
อิศราหันมามองพุด ทำเอาพุดอ้าปากค้าง ขนมคาปากอยู่ พุดทำตาปริบๆ
“อร่อยดีนะครับ”
อิศราหัวเราะ หยิบถุงขนมจากถุงในมือพุด เอามาแจกให้เด็กๆ ต่อ
“เอ๊า แล้วก็มี ขนมด้วย”
“เย้” เด็กๆ กระโดดโลดเต้นดีใจ
อิศราเฮฮาถูกเด็กรายล้อม
เจริญขวัญมองอยู่ อิศราเงยหน้ามาเห็น สบตายิ้มกว้างให้ แต่เจริญขวัญกลับแค่ยิ้มขรึมๆ
ตาพุดนั่งกินขนมอยู่กับเด็กๆ บนแคร่ เด็กกินบ้าง เล่นของเล่นบ้าง นกกระดาษ กระดาษวาดรูปถูกวางเกลื่อนแคร่ โดยไม่มีใครสนใจอีก อิศราแหย่เล่นกับจ๊อดอยู่ก่อนหันมามองหาเจริญขวัญ
เจริญขวัญยืนกอดอก เดินห่างออกมา อิศราเดินมาหาหัวเราะเบิกบาน
“เด็กๆ สนุกกันใหญ่”
“ซื้อของมาทำไมเยอะแยะคะ เปลืองเงินแย่”
“อ้าว เป็นงั้นไป พี่อยากให้เด็กๆ ดีใจ เฮ้อ...กลายเป็นไม่ดีอีก”
เจริญขวัญยิ้ม “นานๆ ทีก็ดีหรอกค่ะ แต่ขวัญไม่อยากสอนให้เด็กๆ ติดกับแค่วัตถุ ของเล่นซื้อมา เดี๋ยวก็พัง แล้วต่อไปถ้าเขาไปเห็นคนอื่นมีแล้วพวกแกไม่มี จะรู้สึกยังไงคะ”
อิศราอึ้งไป ไม่เคยคิดอะไรแบบนี้สักน้อย
“พ่อกับแม่สอนขวัญ ให้มองเห็นความสวยงามรอบๆตัว ความสุขที่เราหาได้ง่ายๆ ไม่ใช่แค่ยึดกับวัตถุสิ่งของเท่านั้น บ้านเราเลยมีความสุข แม้ว่า เราอาจจะไม่ได้มีมากเหมือนคนอื่นๆ แต่เราก็ไม่จำเป็น ที่ต้องไปเปรียบเทียบกับใครๆ”
อิศรามองด้วยแววตาประทับใจลึกๆ เจริญขวัญยิ้มบางๆ สบตากับอิศราที่อึ้ง นิ่งงันไป
ไม่นานต่อมา อิศรากลับเข้าห้อง เอนนอนเท้าแขนหนุนหลังศีรษะ สีหน้าครุ่นคิด ถึงคำพูดเจริญขวัญ
“พ่อกับแม่สอนขวัญ ให้มองความสวยงามรอบๆ ตัว ความสุขที่เราหาได้ง่ายๆ ไม่ใช่แค่ยึดกับวัตถุสิ่งของเท่านั้น บ้านเราเลยมีความสุข แม้ว่า เราอาจจะไม่ได้มีมากเหมือนคนอื่นๆ”
อิศราถอนหายใจเฮือกใหญ่ แววตาสับสน หน้าเคร่งขรึม นึกไปถึงภาพย่าอุ่นที่เคยพูดกรอกหูว่า
“จำไว้นะอิศรา เงิน คืออำนาจ คือทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้คนเคารพกราบไหว้”
อิศราเจ็บปวด กับปมด้อยที่ฝังรากลึกในใจ
มือถือที่วางข้างเตียงดังขึ้น อิศราหยิบมาดูชื่อ กดรับสาย ยังอยู่ในอารมณ์ขรึม
“ว่าไงคุณ”
ชาลินีอยู่ในชุดสวยเตรียมจะออกจากบ้าน ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่าน
“อยู่ไหนเนี่ย อยู่กับท่านชายหรือเปล่า”
“ผมอยู่ บ้านไร่ของขวัญน่ะ”
“อ้อ ถ่อไปตามแม่ยาหยีนี่เอง”
“โทร.มามีอะไร”
“อีตาทนายเขามาบอกว่า ถึงเวลาต้องทำเรื่องโอนมรดกแล้วนะ”
อิศราชะงักไป
เสียงชาลินีลอดออกมาอีกว่า “นี่จะกลับเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้ แค่นี้นะ” อิศรากดวางสายไปเลย
เสียงชาลินีร้อง ดังลอดออกมาอีก “อ้าว เดี๋ยวสิ”
อิศราวางมือถือทาบอก สีหน้าหงุดหงิด ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ทางด้านชาลินีคว้ากระเป๋าถือใบสวยบนโต๊ะ หยิบมือถือใส่กระเป๋า แล้วชะงัก ล้วงหยิบพระสมเด็จ ที่พ่อเคยให้ไว้ออกมาดู กำพระด้วยสีหน้ากังวล คล้ายหาความมั่นใจ ก่อนจะหย่อนพระลงกระเป๋าปิด แล้วเดินปร๋อออกจากบ้านไป
ขณะเดียวกัน อรอนงค์มาดักรอท่านวสวัต เวลานี้นั่งอยู่คนเดียวในร้านไวน์บนยอดตึกสูง เหลียวมองไปรอบๆ แล้วหยุดมองนาฬิกาข้อมือ ไม่รอแล้ว
“คงไม่มาแล้วล่ะมั้ง คืนนี้”
อรอนงค์ยกมือเรียกบริกรจ่ายเงินค่าเครื่องดื่ม
ลิฟท์หน้าร้านเปิดออกพอดี ชาลินีก้าวออกมาพร้อมกระเป๋าใบเดิมที่ในนั้นมีพระ พอเดินมาทางบาร์ไวน์ แล้วต้องชะงัก ตัวชา เห็นบริการเดินจากไป ในขณะที่อรอนงค์ลุก คว้ากระเป๋าก้าวออกมา แต่ชะงักเมื่อเห็นชาลินีเช่นกัน
ชาลินีใจหล่นวูบ เหลียวแลรอบว่าท่านชายอยู่ไหม
อรอนงค์ตั้งสติได้ก่อน เดินมาหยุดตรงหน้าชาลินี แล้วเหยียดยิ้มอ่านรังเกียจ จะเดินผ่านไป
“เดี๋ยว! เธอ มาที่นี่ ทำไม”
อรอนงค์หยุด “อ้าว ทำไมจะมาไม่ได้ล่ะ” แล้วนึกสนุก แกล้งยิ้มยั่ว “ฉันก็...อยากเจอกับใครบางคนที่นี่น่ะสิ”
ชาลินีตะลึง ขยับเข้าหา “ใคร...เธออยากเจอใคร”
อรอนงค์เห็นจุดอ่อนชาลินีทันที ยิ้ม แกล้งต่อ
“อุ้ยตาย ทำไมหน้าซีด มือสั่นอย่างนั้นล่ะ ชาลินี ทำไมเหรอ เธอกลัว ว่าชั้นจะเจอ ใคร...เหรอ” อรอนงค์หัวเราะเยาะ “ท่านชายวสวัตงั้นสิ”
ชาลินีคุมสติได้ โกรธ ตาวาววับราวกับแม่เสือ ชาลินีขยับก้าวเข้าใกล้เท้าอรอนงค์ เอื้อมจับข้อมืออรอนงค์กดจิกและบิดข้อมืออย่างแรง อรอนงค์เจ็บร้องโอดโอย ชาลินีพูดแรงแบบกดเสียงเข้มต่ำไม่ให้ดังนัก
“อย่ามายุ่งกับท่านชายวสวัตของชั้น”
อรอนงค์เจ็บ สู้บ้าง ยกอีกมือจับมือชาลินีจิกอย่างแรงเช่นกัน ชาลินีสะดุ้งแต่กลั้นความเจ็บ
“ของเธอ ผู้ชายทั้งโลกต้องเป็นของๆ เธอหมดหรือไง นังแพศยา”
ชาลินีโกรธ มือที่บิดข้อมืออรอนงค์บิดแรงขึ้น
อรอนงค์ร้อง “โอย”
“เมื่อไหร่จะเลิกตามตอชั้นซะที อยากตายตามเอกดนัยไปอีกคนใช่มั้ย”
อรอนงค์เจ็บจนน้ำตาคลอ แต่ยังพยายามสู้
“เธอคิดว่าชั้นจะกลัวเธองั้นเหรอ คนเลวๆ แบบเธอ สักวัน ฉันจะเหยียบเธอให้จมดิน โอย”
“อ๋อ งั้นเหรอ” ชาลินีสะบัดมือข้างที่อรอนงค์จับบิดออกมาได้ มาบีบคางอรอนงค์ที่เจ็บจนน้ำตาคลอ ชาลินียิ้มดุ เหนือกว่า
“น้ำหน้าอย่างเธอน่ะจะทำอะไรได้ ฉันเตือนเธอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ ถ้าไม่เลิกตามาราวีชั้น...เธอ กับยัยสองคนนั่นตายแน่ ชั้นจะไม่ปล่อยอีกแล้วนะ”
ชาลินีจ้องอรอนงค์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ อรอนงค์ทั้งเจ็บทั้งแค้นใจ น้ำตาคลอหน่วย
สายตาชาลินีเห็นบริกร เดินผ่านหลังของอรอนงค์ จึงไม่อยากให้เป็นเรื่อง สะบัดมือออก
อรอนงค์เจ็บ จ้องหน้าชาลินีอย่างสุดแสนแค้น ปากสั่นระริก
ชาลินีจ้องตอบ ขู่อีก “จะเอาอีกงั้นเหรอ”
อรอนงค์เม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง กลั้นน้ำตาแห่งเจ็บปวดและอับอาย ก่อนจะสะบัดตัวเดินเข้าลิฟท์ไป
พอพ้นสายตาอรอนงค์ สีหน้าชาลินีที่โกรธเกรี้ยวและดุดัน กลับกลายเป็นแววกังวลเข้าแทนที่
อรอนงค์เข้าบ้านมา ถลาลงทรุดนั่งในห้องโถง ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บใจ
“พี่ทำอะไรมันไม่ได้เลย เอก”
อรอนงค์มองมือตัวเองที่ถูกชาลินีจิกและบีบบิด พบว่าข้อมือมีรอยแดงและรอยเล็บจิก อรอนงค์สะอื้นไห้ เจ็บแค้นในใจ
“เอก ดูมันทำพี่สิ”
ผีเอกดนัย สีหน้าขรึมเคร่งดุดัน เคลื่อนเข้ามองพี่สาวด้วยความสงสาร
อรอนงค์สะอึกสะอื้น หยิบรูปน้องชายมาดูผีเอกดนัยลงทรุดนั่งข้างมองหน้าพี่สาว
สองพี่น้องคล้ายกำลังมองหน้ากันอยู่
“เอกจ๋า เอก น้องพี่อยู่ไหน”
“พี่อร…”
อรอนงค์ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างรุนแรง “พี่มันอ่อนแอเกินไป พี่ขอโทษ”
ผีเอกดนัยพูดด้วยเสียงราบเรียบ “พี่อ่อนแอ เกินไป จริงๆ”
อรอนงค์ลงนอนพิงพนักเก้าอี้ ร้องไห้กอดรูปน้องชายแนบอกด้วยความคิดถึง
ผีเอกดนัยมองพี่สาวด้วยความสงสาร และยิ่งเคียดแค้นชิงชังชาลินีทบทวี
อ่านต่อหน้า 2
เงา ตอนที่ 12 (ต่อ)
หลังมื้อเช้าไม่นานนัก ปลั่งและพุดช่วยกันยกกระเป๋าสัมภาระของดวงแก้วและเจริญขวัญออกมาจากบ้านเพื่อไปใส่รถ มีดวงแก้วเดินคุยมาด้วยกัน ในขณะที่อิศราออกมาหยุดรอเจริญขวัญใส่กุญแจบ้านหน้าบ้านอยู่
“แก้วฝากไร่ด้วยนะ ถ้ามีอะไร โทร.ได้ตลอดนะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ คุณแก้ว”
“ไปเที่ยวนี้ไปนานไหมคะ” ปลั่งถาม
“ก็ยังไม่รู้เลย แต่ คงไปๆมาๆ น่ะนะ” ดวงแก้วบอก
สามคนเดินไปที่รถ
อิศรายืนรอเจริญขวัญที่กำลังปิดประตูใส่กุญแจบ้าน ก่อนจะหันตัวเดินมา
เจริญขวัญมองเลยร่างอิศราไปที่แคร่และบนต้นไม้ พบว่าเวลานี้มีลูกโป่งสีสด ผูกติดไว้ โดดเด่นและดูเดียวดาย เจริญขวัญชะงักรู้ทันที เธอเหลียวมองหาอรุณ
อิศราฉงน “ลืมอะไรเหรอจ๊ะ”
เจริญขวัญยิ้มเศร้า “เปล่าค่ะ” พลางเดินตามอิศราไป
อรุณโผล่ออกมาด้านหลังสองคน แอบมองตาม ใบหน้าหมองจัด
ค่ำนั้น ชาลินีนั่งขรึมเดียวดายอยู่ลำพังที่บาร์ จมอยู่ในความคิดตัวเอง หล่อนยกไวน์ดื่ม กระเป๋าถือใบสวยที่ใส่พระสมเด็จไว้วางบนเคาน์เตอร์ข้างตัว โดยไม่รู้ว่าผีเอกดนัยนั่งอยู่ข้างๆ นั่นเอง
“คนเรา ถ้ามันลบอดีตได้เหมือนเอายางลบมาลบหรือฉีกให้ขาดเป็นจุณเหมือนฉีกกระดาษ ก็คงดีสินะ” ชาลินียกไวน์ดื่ม
ผีเอกดนัยหันมองมา “เธอคงอยากลบชั้นทิ้งไปจากหัวสมองเธอเต็มทีแล้วสินะ ชาลินี เธอใจดำมาก”
พูดจบผีเอกดนัยก็หายตัวจากที่นั่งอยู่ มาโผล่ด้านหลังชาลินีที่นั่งดื่มไวน์ไม่รู้เรื่อง
ผีเอกดนัยมองจ้องทั้งรักทั้งแค้น เอื้อมมือมาหมายจะบีบคอชาลินี
“ชา...ลิ..นี...”
ทันใดนั้นมือชาลินีเอื้อมไปหยิบกระเป๋า เปิดออกพอดี แสงสีทองจากกระเป๋าสว่างเรืองออกมา โดยที่เจ้าหล่อนไม่เห็น
ผีเอกดนัยถดกายถอยหนีอย่างตกใจ ชาลินีหยิบตลับแป้งออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดดูเช็คความสวยตัวเอง
ผีเอกดนัยยืนคลั่งแค้นอยู่เบื้องหลัง ชาลินีเก็บตลับแป้งใส่กระเป๋าแล้วปิดวาง แสงสีทองหายไป /เอกดนัยยิ้มเหี้ยม ขยับเข้าหาใหม่
พลันเสียงอันทรงอำนาจก็อุบัติขึ้นว่า “นั่นเจ้าจะทำอะไร”
ท่านชายในชุดพญามาร เดินเข้ามาอย่างดุดัน เบื้องหลังเป็นภุมมะ ท่านชายจ้องผีเอกดนัยที่หันขวับมา
ผีร้ายกับพระยายมราชกำลังเข่นเขี้ยวกันอยู่ ส่วนชาลินีนั้นเล่า ไม่เห็นเหตุการณ์ใดๆ หล่อนดื่มด่ำอยู่กับรสไวน์
ท่านชายจ้องอย่างดุดัน ก้าวเข้ามาใกล้ แผดเสียงใส่
“เจ้าสัมภเวสี เจ้ากล้าจะก่อกรรมทำบาปต่อหน้าข้างั้นรึ!”
น้ำเสียงอันทรงอำนาจ ทำให้ผีเอกดนัยอดกลัวไม่ได้ ขยับถอย
“ท่าน! ได้โปรดเถอะ มันเป็นเรื่องของผมกับเธอ”
ท่านชายตวาด “ไม่ได้”
ผีเอกดนัยแค้นจัดมองท่านชาย และไปหยุดสายตาที่ชาลินีก่อนถอย หายวับไป
ท่านชายพยักหน้ากับภุมมะเป็นเชิงสั่ง ภุมมะคำนับ หายแว่บตามไป
ท่านชายหงุดหงิด เดินต่อมา อยู่ในชุดปกติ ชาลินีหันมาเห็น สีหน้าปีติดีใจล้นพ้น ลุกยืนยิ้มหวาน
“ท่านชาย”
ท่านชายทักตอบด้วยสีหน้าขรึมเคร่ง
ถัดมาไม่นาน บริกรวางแก้วไวน์ให้ชาลินีที่นั่งตรงข้ามท่านชายวสวัต สีหน้าท่านชายยังขรึมเคร่ง คล้ายขุ่นมัวไม่กลาง ดวงหน้างามเกือบจะเป็นดุ
น้ำเสียงท่านชายที่สนทนากับชาลินีต่างกันโดยสิ้นเชิงเวลาพูดกับเจริญขวัญ บริกรเดินออกไป
“ชามาที่ร้านหลายครั้งก็ไม่เจอท่านชาย ติดต่อก็ไม่ได้ ทุกครั้งที่อิศราไม่อยู่ ชาไม่เคยเจอท่านชายเลย” หล่อนประดิษฐ์น้ำคำทำเสียงน้อยใจ “อย่างกับว่าท่านชายไม่อยากพบชางั้นแหละ”
“ผู้หญิงนี่คิดมาก” ท่านชายยิ้มนิดเดียวตามมารยาท “นี่ไง เธอเจอฉันแล้ว มีอะไรหรือเปล่า”
“ก็...” ชาลินีคิดหาคำ “ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่...ชาน่ะมีพวกขี้อิจฉาแต่งเรื่องโกหกใส่ไฟชาอยู่เรื่อยๆ ถ้าใครมาพูดอะไร ชาไม่อยากให้ท่านชายไปใส่ใจค่ะ”
“ฉันไม่จำเป็นต้องฟังเรื่องนินทากันหรอก เพราะความจริง ก็ต้องเป็นความจริงอยู่วันยันค่ำ”
“ใช่ค่ะ ใช่” ชาลินียิ้มหวาน ลุกไปนั่งข้างเดียวกับท่านชาย สีหน้าท่าทางยวนยั่ว
“ชาเป็นยังไง ท่านชายย่อมรู้จิตใจชาอยู่แล้ว จริงมั้ยคะ” หล่อนทิ้งท้ายด้วยยิ้มหวานใส่เสน่ห์
ท่านชายหันปรายมอง ยิ้มมุมปาก แต่หน้าชาเย็น
“ใช่”
ชาลินีฟิน ยิ้มหัวใจพองโต ไม่รู้ใจท่านชายสักน้อย ทำท่าจะขยับเข้าหา เสียงมือถือดังขัด ชาลินีรับสาย
“ว่าไงพ่อพระเอก กลับมาแล้วหรือ ทายสิว่าฉันอยู่กับใคร”
อิศรามาถึงกรุงเทพฯ แล้ว และเวลานี้พูดมือถืออยู่มุมหนึ่งในบ้าน
ด้วยสีหน้าฉงน เลิกคิ้ว แซวไปว่า “กับท่านชายวสวัต”
“ถูก” ชาลินีปรายยิ้มมองท่านชาย
“ดีเลย ฝากเรียนชวนท่านด้วยว่า พรุ่งนี้ เจ้ากรกับเจ้าสมชายจะชวนไปวัด”
“ไปวัด ไปทำไม” ชาลินีขำ
“มันว่า มันอยากไปรดน้ำมนต์ล้างลูกตา ที่ท่านชายเคยสะกดจิตให้พวกมันเห็นอะไรแปลกๆ” อิศราหัวเราะ “ท่านชายนั่นแหละ ตัวต้นเหตุ ต้องให้ไปด้วยให้ได้นะ”
ชาลินียิ้มมีเลศนัย “ได้ เดี๋ยวฉันจัดการให้”
ชาลินีวางสายหันมาทางท่านชาย
“ตาอิศบอกชา” หล่อนเยื้อนยิ้มโกหกตามวิสัย “ให้พาท่านชายไปเจอกันที่วัดพรุ่งนี้กับพวกเพื่อนๆค่ะ ชาไปรับท่านชายที่วังนะคะ”
ท่านชายมองชาลินีรู้ทัน หัวเราะเบาๆ “ไปวัด คน...ชอบไปวัดเพื่อขอโน่นขอนี่ ทั้งๆ ที่การทำบุญ ง่ายนิดเดียว แค่ถือศีล เช่น ข้อ มุสา”
ชาลินียิ้มค้าง อึ้งไป ไม่มั่นใจว่าท่านชายกัดหล่อนหรือไม่ ด้วยท่านชายยิ้มตอนท้ายคำนั้น
อีกฟากหนึ่ง ผีเอกดนัยซึ่งหายตัวมา ปรากฏร่างวิ่งหนีเข้ามามุหนึ่ง มีควันดำลอยตามมาจากเบื้องหลังพุ่งผ่านหน้ามาหยุดรวมตัวกลายเป็นร่างของภุมมะ
“เจ้าสัมภเวสี”
ผีเอกดนัย ชะงัก นึกเกรงในชั้นแรก
“ข้าเคยเตือนเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง เจ้ายังไม่หยุด”
ผีเอกดนัยหน้าตายิ่งน่ากลัวหนักขึ้นไปอีก
“ไม่ใช่เรื่องของแก ไม่ต้องมายุ่ง”
“เมื่อเตือนแล้วไม่ฟัง ก็จะไม่ปราณีกันอีก”
ภุมมะโมโห พุ่งพรวดไปหมายจะรวบตัวผีเอกดนัย คว้าคอหมับ แต่ผีร้ายปัดหลุด พุ่งหายมาอีกทาง
ภุมมะพุ่งตามมาขวางหน้า สะบัดมือตบ ผีเอกดนัยล้มแล้วลุกเด้งขึ้นยืนหยัด โกรธมากขึ้นคำรามไม่เป็นภาษา
ภุมมะชะงัก เมื่อเห็นว่าตอนนี้ผีเอกดนัยมีฤทธิ์เดชมากขึ้น จากความแค้นในใจ
ภุมมะพนมมือกลางอก รูหนอนสู่นรกภูมิปรากฏขึ้น ผีเอกดนัยหันไปมองอย่างหวั่นเกรง
“ข้าปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้แล้ว ไปถูกจองจำในที่คุมขังในอเวจีก็แล้วกัน”
ภุมมะพุ่งไปด้านหลัง รวบร่างผีเอกดนัย ดึงมาจนเข้าใกล้รูหนอน ผีเอกดนัยแข็งขืนดิ้นสู้ ร้องมาตลอดทาง ดวงตาแดงก่ำ รวบพลังครั้งสุดท้าย สลัดมือ ร่างหลุดจากภุมมะ
“กู...ม่าย..ปาย...”
ร่างภุมมะผงะออกตามแรงที่ถูกผลัก
ผีเอกดนัยหันมา หน้าตาเปลี่ยนไป ขอบตาแดง ส่งเสียงออกมาอย่างน่ากลัวมากขึ้น
“อย่ามายุ่งกับกู!”
ผีเอกดนัยทะยานไปทางหนึ่ง แล้วแว่บหายไป ภุมมะมองตาม ทั้งโกรธและกังวล
พอสิริรู้เรื่องหันมาดุภุมมะ “อะไรกัน แค่สัมภเวสีตนเดียว”
ภุมมะก้มหน้า
ท่านชายหันมาหา
“แรงอาฆาต พยาบาท ทำให้จิตของมันกล้าแข็งขึ้น และยิ่งถ้ามันก่อเวรก่อกรรมเพิ่ม แรงพยาบาทก็จะเพิ่มพลัง” พญามารระบายลมหายใจออกมา “น่าสมเพช แม้ตายก็ยังตัดกิเลศไม่พ้น กรรม”
“กระหม่อม จะพยายามตามจับมันให้ได้ เจ้าข้า”
ภุมมะ และ สิริ น้อมหัวลง เบื้องหน้าสีหน้าอันเคร่งขรึมของท่านชาย
อ่านต่อตอนต่อไป
ตอนสายวันถัดมา นิกร สมชาย พร้อมแฟนสาวสองนางที่เคยไปร่วมท้าผีด้วยกัน พากันมารดน้ำมนต์ที่วัดตามนัด อิศรา ชาลินี ดวงแก้ว และเจริญขวัญมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน
ท่านชายแยกมายืนมือไพล่หลังแหงนมองหลังคาโบสถ์อย่างเคารพศรัทธา
ดวงแก้วมองท่านชายอย่างเคลือบแคลง อิศรา เจริญขวัญ ชาลินี เข้ามาสมทบ
เจริญขวัญถือกำดอกไม้ อิศราถือถังสังฆทาน
“อาดวงแก้วรู้จักวัดนี้ได้ยังไงครับ”
ดวงแก้วหลุดจากภวังค์หันมายิ้ม
“อาพายายขวัญมาทำบุญที่นี่ ครั้งที่แล้วค่ะ”
“วัดนี้ไม่มีใครอยู่หรือไง เงียบจัง” ชาลินีพูดส่งๆ ไม่สนใจการมาวัดสักน้อย
“เออ เราลืมไปว่ะ มาวัดไม่ได้ติดดอกไม้มาสักกำ” นิกรหัวเราะ
“อ่ะน่า ถวายแบงค์นี่แหละวะ เป็นปัจจัยเหมือนกัน” สมชายว่า
นิกร สมชายหัวเราะ
ท่านชายปรายมองเหยียดหยันบรรดาคน ที่มาวัดโดยไม่ได้ศรัทธา
“นี่ดีนะ อาดวงแก้วให้แวะซื้อ ไม่งั้นเราก็ลืมเหมือนกัน” อิศราบอก
ชาลินีหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าพัดตัวเองอยู่ หงุดหงิดเล็กๆ “จะมารดน้ำมนต์เท่านั้นไม่ใช่เหรอ รีบๆเถอะ ร้อนจะตายอยู่แล้ว” พลางเดินหาท่านชาย “ท่านชายร้อนไหมคะ เอ๊ะ”
ท่านชายหันมายิ้มบาง
ชาลินีหัวเราะ “คนอื่นเหงื่อแตกกันท่วม ท่านชายไม่มีเหงื่อเลย”
ดวงแก้วลอบมอง
“ฉันคุ้นเคยกับ อากาศร้อน”
นิกรเหลียวหา จนเห็นพระรูปหนึ่ง ยืนกวาดใบไม้หันหลังให้
“นั่น มีพระอยู่องค์”
“ท่านจะรดน้ำมนต์ได้หรือเปล่าว้า” สมชายถาม
“พระเหมือนกัน องค์ไหนๆ ก็รดได้น่า น้ำมนต์เหมือนกันแหละ”
นิกร สมชาย เดินไปทางพระรูปนั้น
พระที่หันหลังให้อยู่ นิกร กะ สมชายเดินไปหา อ้อมไปพูดด้านหน้าของพระไหว้ลกๆ
“คุณโยม” พระละงานในมือ ทักตอบอย่างสำรวม ที่แท้ท่านเป็นหลวงพี่สุธรรม นั่นเอง
“คือ พวกเราจะมาขอรดน้ำมนต์น่ะครับ” นิกรบอก
“คือ อยากจะล้างซวยน่ะครับ”
“เฮ่ย” นิกรกระทุ้งเพื่อน
“ท่านเจ้าอาวาสรับนิมนต์ข้างนอก ยังไม่กลับ” หลวงพี่บอก
“ท่านก็ได้ครับ”
พระสุธรรมอึกอัก “อาตมาไม่เคยรดน้ำมนต์ให้ใคร”
“โธ่ ท่านคงพอมีน้ำมนต์อยู่บ้างน่า ใช่ไหมครับ” สมชายพยัก
“ก็พอหาได้ แต่ว่า...”
นิกรขัดขึ้น “โธ่ ขอร้องล่ะครับหลวงพ่อ พวกเรามากันเยอะ อย่าให้เสียท่าเลยครับ” พลางพยักเพยิดไปด้านหลังพระ
พระสุธรรมหันไปมองตาม เห็นคนทั้งกลุ่มยืนอยู่ โดยมีท่านชายหันหลังให้ไม่ไกลกัน พระสุธรรมมองนิ่งจนท่านชายวสวัตหันมาช้าๆ พระสุธรรมตะลึง หน้าเผือดลง เท้าหลวงพี่ขยับถอยก้าวหนึ่ง แล้วก็ได้สติ กุมไม้กวาดตั้งจิตให้สงบ เย็นลง
ท่านชายมองมาสีหน้าเรียบแต่ดูอ่อนโยน พระสุธรรม สงบ เย็นลง แผ่เมตตา
คนอื่นๆ นั่งเรียงกันอยู่บนศาลาแล้ว ดวงแก้ว เจริญขวัญ อิศรา ตามมาลงนั่งติดกัน ดวงแก้วหยิบถาด มาจัดของถวาย เจริญขวัญช่วยอย่างรู้หน้าที่ อิศราเก้ๆ กังๆ
“มาลูก จัดของก่อน”
“ค่ะแม่”
“ให้ผมช่วยมั้ยครับ”
“ช่วยหยิบที่กรวดน้ำมาเตรียมไว้ก็ได้ค่ะ”
อิศราหันหาที่กรวดน้ำ
คนอื่นๆ ยังยืนๆ เก้ๆกังๆ ท่านชายยืนห่างออกมา ชาลินีพัดตัวเองอยู่ มองอิศรากับเจริญขวัญ
“ดูสิคะท่านชาย คู่นั้น น่ารักน่าเอ็นดูเชียว” หล่อนยิ้มหัวอยู่คนเดียว
ท่านชายเหลือบมองสองคนสีหน้าท่านอ่อนโยนมีรอยยิ้มละไม
ชาลินีที่ยิ้มอยู่หันมองตามเห็น ชะงักกึก ไม่พอใจอย่างรุนแรง
พระสุธรรมแต่งกายใหม่ สวมสบงจีวรเรียบร้อย ดูน่าเลื่อมใสเดินออกมา ทุกคนขยับเข้านั่งที่ ยกเว้นท่านชายที่ยังยืนอยู่เบื้องหลังคนอื่นๆ
พระสุธรรมมองท่านชาย “เชิญประทับ...เอ้อ...เชิญนั่ง”
อิศราฉงน “เอ๊ะ ท่านรู้จักท่านชายเหรอครับ”
พระสุธรรมยืนมองท่านชาย ใบหน้าสงบ ดวงแก้วมองตามสายตาเริ่มสงสัย
“อาตมา... เคยพบ...ท่าน...มาแล้ว”
ท่านชายยิ้มบางๆ เอ่ยขึ้นแทน “ท่านเคยเป็นนายทหารคนสนิทของนายพลพินิจ”
“อาตมาโชคดี ที่ได้มีโอกาสได้พบท่าน ก่อนที่จะสายเกินไป”
ท่านชายหันมาตั้งใจไฟ พระสุธรรมในใบหน้าอันสงบเอ่ยขึ้นอีกว่า
“อาตมา เลยบวช ไม่คิดจะสึกอีกแล้ว...” หลวงพี่น้ำตาคลอ “ขอตายในผ้าเหลือง”
ท่านชายมองพระอย่างพิจารณา ร่างพระสุธรรมบัดนี้มีแสงสีทองอร่ามเริ่มปรากฏจางๆ กระจายรอบร่าง
ท่านชายทราบว่าพระพูดจากใจจริง ท่านชายคุกเข่าลงกับพื้นศาลา สีหน้าปิติลึกล้ำ ยกมือพนมอย่างงดงามแล้วก้มกราบ พระสุธรรมหรุบตาต่ำ ก้มศีรษะนิ่งมองท่านชายที่ก้มกราบหนึ่งครั้งแล้วเงยขึ้น
“สาธุ...ขออนุโมทนาด้วย”
พระสุธรรมก้มหน้านิ่ง ดวงแก้วมองทั้งสองท่าน สงสัยในใจครามครัน
สักครู่พระสุธรรม ยกบาตรน้ำมนต์มา ลงนั่ง วางบาตรตรงหน้า ทุกคน ที่นั่งพนมมือ ท่านชายแยกห่างออกมา ยืนไพล่หลังหันมองไปนอกหน้าต่าง
“น้ำมนต์นี้ อาตมาแบ่งมาจากหน้าพระประธานในโบสถ์ ไม่ได้มีคุณวิเศษทางใด เพราะ...” พระเหลียวมองไปทางท่านชายแล้วหันมามองทุกคน “กรรม เป็นเรื่องของบุคคล จะหมดสิ้นเพียงแค่เอาน้ำชำระไม่ได้”
ดวงแก้ว เจริญขวัญฟังอย่างซาบซึ้ง คนอื่นๆ นิกร สมชาย พากันอ้าปากหาว อิศราพยายามฟังตาม ชาลินีทั้งเบื่อทั้งเซ็ง
“ใครทำกรรมเวรสิ่งไรไว้” หลวงพี่เทศนาต่อ
ชาลินีชะงักกึก ตัวชา
“กรรม ย่อมย้อนมาตอบสนองตนเอง สิ่งเดียวที่จะล่วงพ้นกรรมได้คือพยายาม สะสม คุณงามความดี”
มือชาลินีที่พนมอยู่ สั่นระริก หล่อนพยายามสงบสติอย่างหนักหน่วง
ดวงแก้วยิ้มพนมมือจรดหน้าผาก เจริญขวัญทำตาม
“สาธุ ถูกที่สุดเจ้าค่ะ พระคุณเจ้า”
“ยังไงก็ได้ครับ ขอให้ท่านสวดให้เยอะๆ ขอให้น้ำมนต์นี่ล้าง” สมชายมองไปทางท่านชายอย่างเกรงใจ “ภาพที่ติดหูติดตาพวกเราด้วย”
ท่านชายยิ้มเหยียด
“แล้ว...น้ำมนต์นี่ จะช่วยป้องกัน..เอ้อ ผี ได้ไหมคะ” ชาลินีเอ่ยขึ้น
อิศราแปลกใจ “ชาลินี เชื่อเรื่องผีกับเขาด้วยเหรอ”
“เปล่าหรอก ก็แค่ถาม”
พระสุธรรมเอ่ยขึ้น “โยม สิ่งที่จะเป็นเกราะป้องกันจากความไม่ดีทั้งปวง คือ...”
ทุกคนขยับฟังอย่างตั้งใจ
“การทำความดี รักษาศีล อย่างน้อยก็ศีลห้า” หลวงพี่ยิ้มบางๆ “ความไม่ดีทั้งหลาย ก็เกิดขึ้นจากตัวเราเอง ถ้าเราทำไม่ดี น้ำมนต์กี่วัดกี่วาก็ช่วยไม่ได้”
คนอื่นๆเซ็ง ดวงแก้วยิ้มพนมไหว้อีก แล้วบอกทุกคน
“มาร่วมกันถวายของนะคะ”
ทุกคนมาจับตัวดวงแก้ว อิศราไปยกถังสังฆทานกับเจริญขวัญ ชาลินีไม่ไปจับด้วย เหลียวมองท่านชาย เห็นท่านยืนนิ่ง
“อาราธนาศีลพร้อมกันนะ...นะโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ”
ท่านชายยืนหลับตานิ่งฟัง
ทุกคนสวดตาม “นะโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ”
พระสุธรรม สวดศีลห้า และคนอื่นๆ สวดรับตาม มีเพียงชาลินีที่นิ่งสงบไม่ได้สวดด้วย
“พูทธัง สะระณัง คัจฉามิ...
....สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ”
ในขณะที่พระสุธรรมพนมมือสวดนั้น หลวงพี่ลอบมองมาทางท่านชาย แลเห็นคนเดียว ว่ามีแสงทองสว่างเรืองรอง จับร่างท่านชายที่เงยหน้ารับฟังอย่างปีติยินดี
พระสุธรรมองคนอื่นๆ อย่างระวัง ว่าจะมีใครหันไปเห็น โล่งใจที่ไม่มีใครเห็นด้วย ท่านชายหันหน้ามามองพระสุธรรม ร่างอร่ามด้วยรังสีขาวกระจ่างนั้น ท่านชายยิ้มให้ ใบหน้าสง่างามเปี่ยมล้นด้วยเมตตา
ต่อมา พระสุธรรมจุ่มน้ำในบาตรน้ำมนต์ แล้วรดน้ำมนต์ให้ทุกคน ท่านชายขยับถอยห่างออกมา
“ใครมีทุกข์ก็ขอให้พ้นทุกข์ มีโศกให้พ้นโศก ทีโรคให้พ้นโรค และมีภัยให้พ้นภัย โดยเฉพาะ ภัยมรณะใกล้ๆ นี้”
ท่านชายยิ้มขำ
“เอาล่ะ เรียบร้อย” หลวงพี่บอก
“เอ๊า เสร็จพิธี เรากลับกันเลยมั้ย” นิกรว่า
สมชายบอก “อยู่ทำไมล่ะ”
เจริญขวัญหันมาบอกกับดวงแก้ว “เดี๋ยวเราเดินไปไหว้พระในโบสถ์ก่อนมั้ยคะแม่”
ดวงแก้วพยักหน้ารับ ยื่นน้ำที่กรวดแล้วให้ลูกสาว “งั้นหนูเอาไปฝากไปเทที่ต้นไม้ใหญ่ก่อนนะ”
“ค่ะแม่”
อิศราแย่งรับมา “พี่ถือให้”
ทุกคนกราบลาพระสุธรรม
ชาลินี นิกร สมชาย และสองสาว เดินออกมา เจริญขวัญ อิศราถือที่กรวดน้ำเดินตามออกไป
ดวงแก้วที่พับถุงพลาสิก เก็บ ทำความสะอาด เห็นพระสุธรรมมองท่านชายนิ่ง
เงา ตอนที่ 12 (ต่อ)
ระหว่างนี้หนิง ภรรยาพระสุธรรม ถือของขึ้นมาที่บันไดด้านหน้าศาลา สวนกับทุกคนที่เดินลง
ดวงแก้วรีรอขยับจะลุก หนิงเดินเข้ามาถึงทรุดนั่งกราบพระสุธรรม
“ไม่ทราบว่ามีแขกมาหาค่ะ”
“ไม่เป็นไร จำ ท่านชายวสวัตที่อาตมาเคยเล่าให้ฟังก่อนบวชได้ไหม ท่านมา”
พระสุธรรมปรายมองไปทางท่านชายวสวัต หนิงหันไปมองตามเห็นท่านชาย ถึงสะดุ้งสุดตัว ผวาสั่น
ดวงแก้วเห็นเหตุการณ์ ตกใจ ระคนประหลาดใจ
“แต่ท่าน...ท่านคงไม่”
ท่านชายหันมามอง หนิงยกมือพนมกร ตัวสั่นก้มกราบ
“กรุณาอย่าเพิ่ง...อย่าเพิ่งเอาไปเลย”
ท่านชายยิ้มเมตตา “ฉันมากับพวกเขา เท่านั้นเอง”
“ทำไมคุณจะต้องกลัว” พระสุธรรมบอกด้วยท่าทีสงบว่า “การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา ถ้าถึงเวลา มรณะจริงๆ ใครก็ห้ามไม่ได้”
ท่านชายยิ้มก้มศีรษะ แล้วลุกเดินออกไป หนิงขยับไปหาพระสุธรรม พนมมือถาม
“หวังว่า ท่านคงไม่ได้มา เพื่อ...อย่างอื่นนะคะ”
ดวงแก้วได้ยินสงสัยหนัก “ขอประทานโทษเจ้าค่ะ ที่ท่านพูด ที่คุณเขากลัวท่านชาย คืออะไรเจ้าคะ”
พระสุธรรมมองดวงแก้วอย่างชั่งใจ หนิงพูดไม่ออก ได้แต่หลบตาลง
“คุณโยม อาตมาคงบอกได้เพียงว่า สิ่งใดที่เราไม่รู้ ก็จงอย่าประมาท ขอให้ตั้งมั่นในความดี ก็จะได้เป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา”
“แล้วทำไม ท่านต้องพูดถึงเรื่อง มรณะ” ดวงแก้วทักท้วง
“มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอคุณโยม นรก สวรรค์ แม้จะพิสูจน์ไม่ได้ด้วยตาเปล่า แต่เราก็ต้องทำมรณานุสติไว้ ระลึกถึงความตายเสมอ เพื่อจะได้ไม่ประมาท คุณโยมเอง..ก็พยายาม...มองให้กว้างๆไว้ บางที คุณโยมก็อาจได้รู้ได้เห็น อะไรที่คิดว่า จะได้พบ
ดวงแก้ว เคลือบแคลงระแวงท่านชายวสวัตมากขึ้น
เจริญขวัญยอบตัวรดน้ำที่กรวดกับต้นไม้ อิศรายืนมองคว้าที่กรวดน้ำมา
“เดี๋ยวพี่ไปคืนข้างบนให้เอง ขวัญรออยู่นี่แหละ”
“ขอบคุณค่ะ”
อิศราเดินไปทางศาลา เจริญขวัญเดินมองต้นไม้รอบๆ สีหน้าอิ่มบุญ ดอกไม้ดอกหนึ่งร่วงจากต้นตกลงมาบนศีรษะเจริญขวัญช้าๆ
เจริญขวัญชะงักจะเอื้อมมือหยิบ จู่ๆ มือท่านชายยื่นมาหยิบดอกไม้บนศีรษะเจริญขวัญอย่างแผ่วเบาเจริญขวัญหันมอง สบตาท่านชาย ที่ทอดยิ้มละไมมาให้ ท่านชาย ถือดอกไม้ มองเจริญขวัญนิ่งนาน
ฝ่ายชาลินียืนเป็นอีบ้ามองหาท่านชายไปทั่ว แต่ไม่เห็น ดวงแก้วลงบันไดมา ในขณะที่อิศราเดินเร็วๆ ตรงมา
ชาลินีถามเสียงขุ่น “อิศ เห็นท่านชายไหม”
“ไม่เห็น ท่านไปเดินเที่ยวข้างในหรือเปล่า”
ชาลินีพยักหน้า เดินออกไปทางหนึ่ง
อิศราหันมาบอกดวงแก้ว “น้องขวัญอยู่ทางโน้นน่ะครับ เดี๋ยวผมตามไป”
“ค่ะ”
อิศราเดินกลับขึ้นศาลา ดวงแก้วเดินไปตามทางที่อิศราบอก
บริเวณลานวัด ใต้ต้นไม้กำลังออกดอกสะพรั่ง เจริญขวัญยืนประหม่าอยู่อย่างนั้น ท่านชายยิ้มนุ่มนวล ส่งดอกไม้ให้
“ดูเหมือนดอกไม้ จะเป็นของคู่กันกับเธอ”
“บังเอิญมากกว่ามั้งคะ”
“ไม่ได้พบกันนาน เธอเป็นยังไงบ้าง”
นำเสียงนุ่มนวลแสนเสนาะหูนั้น เจริญขวัญก้มหน้ายิ้มขรึม
ท่านชายก้มมอง “กังวลใจอะไรอยู่ใช่ไหม”
“วันแรกที่เราพบกัน ท่านชายเคยสอนขวัญว่า อย่าตัดสินคนที่รูปภายนอก”
“เธอจำได้”
“ค่ะ”
“เธอคงมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ”
“ก็ไม่เชิงค่ะ” เจริญขวัญอึดอัดไปชั่วขณะ แล้วเสยิ้ม “ช่างเถอะค่ะ ไม่มีอะไร”
เจริญขวัญก้มหน้า ท่านชายมองมาอย่าง เมตตา และสงสาร ท่านใช้นิ้วชี้แตะปลายคางเชยใบหน้าเจริญขวัญ ให้เงยหน้ามองท่าน เจริญขวัญสบตานิ่ง ท่านชายยิ้มบางๆ
“ผู้หญิง มักใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ให้เวลา เป็นเครื่องพิสูจน์คน ความจริง ย่อมแสดงออกมาให้เธอได้รู้”
ดวงแก้วเดินออกมามองหาเจริญขวัญ จนมองไปเห็นลูกสาวยืนอยู่กับท่านชายที่กำลังเอามือเชยปลายคางเจริญขวัญขึ้น ดวงแก้วจะขยับเข้าไปแล้วชะงัก เบิกตากว้าง
เมื่อแลเห็นร่างท่านชายต้องแสงแดดที่สาดส่องอยู่ แต่ร่างท่านชายโปร่งใสจนมองทะลุรางๆ ไปเห็นต้นไม้ด้านหลัง ดวงแก้วตะลึงแล กระพริบตาอีกที ร่างของท่านชายกลับเป็นปกติดังเดิม ดวงแก้วมองเขม้นให้แน่ใจอีกครั้ง
ด้านชาลินีเดินออกมาอย่างหงุดหงิด เหลียวแลหาท่านชาย จนเห็นที่อีกมุมหนึ่ง ว่าท่านชายกำลังเอานิ้วแตะคางเจริญขวัญอยู่พอดี ชาลินีตะลึง ร่างสะท้าน มือสั่นกำแน่นจนเกร็งไปหมด
ท่านชายเหมือนรู้สึกได้ถึงรังสีริษยาและความอำมหิตในจิตใจของชาลินี สีหน้าจึงขรึมลง ปล่อยมือจากเจริญขวัญและยิ้มเศร้า
“ฉันอยากช่วยเธอ เอ้อ...ช่วยแนะนำเธอให้มากกว่านี้ แต่ก็” ท่านชายถอนใจแล้วยิ้มให้
“ไม่เป็นไรค่ะ ขวัญก็พูดอะไรเรื่อยเปื่อยไปได้ ขอโทษนะคะ”
ท่านชายมองยิ้มเศร้า
ดวงแก้วยืนตะลึงอยู่ อิศราวิ่งมาทางด้านหลัง “อาแก้ว เห็นขวัญหรือยังครับ”
ดวงแก้วรีบปรับสีหน้า “ค่ะ”
อิศราเดินเข้ามาพร้อมกับดวงแก้ว
ท่านชายและเจริญขวัญยังมองกันอยู่ ขณะดวงแก้วและอิศราเดินเข้ามาหา ดวงแก้วนั้นได้ข่มใจ ควบคุมความหวาดระแวง
“เรียบร้อย ไปกันหรือยังครับ” อิศราถาม
ท่านชายยิ้ม
ชาลินีเดินเข้ามาสมทบ ควบคุมความริษยาในอก ขณะมองความชิดเชื้อระหว่างท่านชายและเจริญขวัญ เจริญขวัญหันมองมา ชาลินียิ้มอย่างเสียไม่ได้
ทั้งหมดเดินมายังลานจอดรถ อิศราเดินนำมากับชาลินี ดวงแก้วเกาะแขนเจริญขวัญตามมาทางด้านหลัง คอยมองไปข้างหลังที่มีท่านชายเดินตามเป็นคนสุดท้าย
“ท่านชายกลับกับชาใช่ไหม” อิศราถาม
“ชั้นไปรับท่านมา ก็ต้องรับผิดชอบพาท่านไปส่งสิ ยกเว้นท่านไม่อยากไปกับฉัน”
อิศราฉงน “อ้าว งอนอะไร”
ชาลินีหันมองข้างหลัง กระซิบบอก “เธอมันตาบอด หรือโง่กันแน่ อิศ ถึงไม่คิดอะไรบ้างเลย”
“หมายความว่าไง”
อิศรางงไม่หาย
ดวงแก้ว เจริญขวัญ และท่านชาย ตามมาพอดี ชาลินีเลยหยุดพูด
“งั้นผมลาเลยนะครับท่านชาย”
เจริญขวัญหันไปไหว้ลา
“แล้วพบกัน” ท่านชายบอก
ดวงแก้วลอบมองท่านชายยิ้มไม่ออก ท่านชายมองดวงแก้วนิดๆ ยิ้มน้อยๆ ก้มศีรษะให้ อิศราพาดวงแก้ว และ เจริญขวัญเดินออกไปที่รถ
ชาลินียิ้ม “ท่านชายดูเมตตาแม่ลูกคู่นั้นอยู่มากนะคะ แหม ชาชักอิจฉา”
“ฉันมากับเธอและกำลังจะกลับกับเธอ เธอต้องอิจฉาใครทำไม”
ชาลินียิ้มออก ท่านชายไม่ได้ยิ้มด้วยมากนัก ออกเดินนำไป ชาลินีรีบตาม
ค่ำนั้น แลเห็นสารพัดผีสัมภเวสี ทั้งผีขุนศึกชาวพม่าโบราณ และผีชาวบ้านแต่งกายคล้ายคนโบราณราว 5-6 ตน เดินเตร็ดกันเตร่อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ในวัดโบราณร้างแห่งนี้ ไม่ไกลกันนัก ผีเอกดนัย นั่งอยู่มุมหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศแสนวังเวง
หน้าตาผีเอกดนัยตอนนี้ น่ากลัว ประหลาดผิดใบหน้ามนุษย์มากขึ้นทุกที เสื้อผ้าดูขาดวิ่น ดวงตาผีหรุบมองต่ำเหลือบตามองซ้าย แลขวา ร่างไปผุดโผล่ ทางนั้นที ทางนี้ที ตามฤทธิ์เดชและความร้ายกาจที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ผีเอกดนัยโผล่มานั่งชันเข่าอยู่อีกมุม แยกเขี้ยวแสยะยิ้ม น่าขุนลุกขนชันเหลือประมาณ
เงา ตอนที่ 12 (ต่อ)
ตอนค่ำวันนี้ เจริญขวัญในชุดนอนเดินครุ่นคิดอยู่ที่ริมสระนํ้ามาสักระยะแล้ว จนไปหยุดมองเงาตัวเองในนํ้านิ่งนึก เงาสะท้อนในสระนํ้าเกิดเป็นภาพอรุณตอนเขาผูกลูกโป่งไว้หน้าบ้าน และเอ่ยคำขอโทษ ตามมาด้วยคำพูดของอรุณที่เตือนสติว่า
“ขวัญ! ขวัญมองเขาด้านเดียว มองเขาแต่ด้านดี เชื่อเขาไปหมดระวังเถอะ สักวันขวัญจะเสียใจ”
เสียงอรุณขาดหาย กลายเป็นภาพอิศราที่จับมือถือแขนเจริญขวัญในห้องนอนที่บ้านไร่ซ้อนเข้ามาแทน
เจริญขวัญทอดถอนหายใจ แล้วหันตัวจะเดินกลับเข้าบ้าน แต่ต้องตกใจ เมื่อเห็นอิศรายืนเอามือล้วงกระเป๋าก้มหน้าอยู่ เงยหน้ามามองเจริญขวัญ นัยน์ตาวับวาว
เจริญขวัญออกอาการขัดเขิน อิศราเดินมาหาช้าๆ
“คิดอะไรอยู่” อิศราก้มมอง จ้องลึกในตาเจริญอย่างค้นหา
เจริญขวัญเลี่ยงถาม “อิศ หิวหรือเปล่า อยากทานอะไรหรือเปล่าคะ”
อิศราหัวเราะ “เห็นพี่เป็นตัวตะกละไปแล้วเหรอ เห็นหน้าเป็นต้องหิว”
เจริญขวัญยิ้มเขิน “ขวัญขอไปนอนก่อนนะคะ”
เจริญขวัญขยับตัวออกเดิน มืออิศรายื่นมาจับมือเจริญขวัญ เมื่อเธอเดินจะผ่านตัวเขา เจริญขวัญชะงัก
อิศราทอดเสียงนุ่ม ไม่มองหน้า “จะหนีหน้าพี่เหรอ เหม็นหน้าพี่เบื่อหน้าพี่เต็มทนแล้วเหรอ”
เจริญขวัญ เสหัวเราะ “เปล่าสักหน่อยค่ะ”
เจริญขวัญจะดึงมือกลับแต่อิศราหันมาจับมือเธอไว้ อีกทั้งยังเอาอีกมือมารวบจับอย่างอ่อนโยน
“ขวัญ...ได้คำตอบ ที่พี่ถามหรือยัง”
เจริญขวัญแกล้งจำไม่ได้ “เอ้อ...เรื่องไหนเหรอคะ”
อิศรามองเจริญขวัญแว่บหนึ่ง แกล้งทำสายตาผิดหวัง เจริญขวัญขัดเขินไม่กล้าสบตา
สุดท้ายอิศรายอมปล่อยมือจากเจริญขวัญ หัวเราะหึๆ หันหน้าหนีเอามือล้วงกระเป๋า เสียงเศร้าพูดตัดพ้อ
“เรื่องของพี่ มันไม่สำคัญสำหรับขวัญเลยจริงๆ ช่างเถอะจ้ะลืมมันไปแล้วกัน”
อิศราลุ้นระทึกว่า เจริญขวัญทางเบื้องหลังจะคล้อยตามเกมเขาไหมที่แกล้งทำเป็นเศร้า
สุดท้ายเจริญขวัญคล้อยตามที่เห็นอิศรเศร้า ขยับเข้ามาหา
“พี่อิศคะ อย่าคิดอย่างนั้นสิคะ”
อิศราคลี่ยิ้ม สีหน้าลิงโลดสาสมใจ แต่ยังไม่หันไป
“คือ...ขวัญ...” หญิงสาวสับสน ขัดเขินไปหมด ตัดสินใจไม่ถูก
ดวงแก้วโผล่มาจากในบ้าน เปิดประตูกระจกออกมา
“ขวัญ ทำอะไรอยู่น่ะลูก”
อิศราเซ็งแกมผิดหวัง ปรับสีหน้าแล้วหันมายิ้มๆ กับดวงแก้ว ที่เดินตรงมา
“อ้าว คุยกับคุณอิศอยู่ แต่ นี่มันก็ดึกแล้ว พักผ่อนดีไหมลูก”
“ค่ะแม่”
เจริญขวัญเลี่ยงหลบแม่ เดินกลับเข้าบ้านไป อิศราอยากเตะตัวเองที่พลาดโอกาสสำคัญ แต่เมื่อดวงแก้วหันมามอง อิศราก็ยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ ดวงแก้วยิ้มขรึมๆ เดินกลับ
อิศราเซ็งตัวเอง “เฮ่ย”
เจริญขวัญเข้าห้องนอนมา ลงนั่งบนเตียง รู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะ พยายามสูดลมหายใจลึก ยาว หยิบยามากินแล้วดื่มนํ้าตาม ดวงแก้วเปิดประตูเข้ามา เจริญขวัญรีบซ่อนสีหน้า
“ขวัญ ที่วัด หนูคุยอะไรกับท่านชายน่ะลูก”
“ก็คุยอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ”
ดวงแก้วมานั่งใกล้นัยน์ตาเคลือบแคลง
“แม่ ว่าท่านแปลกน่ะ คนอื่นรดนํ้ามนต์แต่ท่านไปยืนเสียห่าง แล้วก็...”
แว่บหนึ่งดวงแก้วนึกถึงเหตุการณ์ในวัด ตอนมองเห็นร่างท่านชายโปร่งใส แต่พอกระพริบตาก็เป็นปกติ
แววตาดวงแก้ว ทั้งสงสัยและเคลือบแคลงไม่หาย
เจริญขวัญมองแม่ที่นิ่งไปนาน
“แล้วก็อะไรคะ อย่าบอกนะคะว่าแม่ติดใจที่รูปเขียนนั่น หน้าคล้ายท่านชาย”
“หนูว่าแปลกไหมล่ะ ที่รูปเขียนหน้าคล้ายท่านชาย และหนูว่าตอนแสดงที่วัง ท่านก็แสดงเป็น พญายมไม่ใช่เหรอ”
“แม่คะ แม่เชื่อจริงๆ เหรอคะ ว่า..พญายม จะอยู่ร่วมบนโลกกับคนแบบเราๆ”
ดวงแก้วอึ้งไป แล้วเสหัวเราะ
“นั่นสินะ...มันจะเป็นไปได้ยังไง มันเหลือเชื่อจริงๆ”
เจริญขวัญยิ้มเศร้า เสพูดทีเล่นทีจริง “ถ้าท่านชายเป็นพญายมจริงๆก็ดีนะคะ ขวัญจะได้ขอร้องท่าน ให้ขวัญอยู่กับแม่นานๆ” หญิงสาวขยับมากอดแม่หัวเราะ “จนแม่เบื่อหน้าขวัญไปเลย”
ผู้เป็นมารดากอดร่างลูกสาวที่แนบกับอกอย่างยังไม่คลายกังวลใจนัก
“จัดการเรื่องบ้านคุณย่าแล้ว แม่ว่าเราไปอยู่บ้านเรา ให้คุณอิศอยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่ต้องไปๆ มาๆ บ่อยๆอีกแล้วนะลูก”
เจริญขวัญซ่อนสีหน้าอันแสนสับสนเรื่องความรู้สึกที่มีต่ออิศรา
วันหนึ่ง ชาลินีเดินไปเดินมาอยู่ในโถงบ้าน ท่าทางหงุดหงิดใจ ครู่หนึ่งอิศราเดินเข้ามา มีสาวใช้ตามหลังมาคอยดูแล
“โทรไปตามมาแต่เช้า มีอะไรด่วนนักหนา” อิศราหันไปบอกกับสาวใช้ “ขอกาแฟดำแก่ๆ ถ้วยนะ”
พอสาวใช้ลับกายไป ชาลินีมองอิศราตาขุ่นเสียงเขียว
“เรื่องของเธอกับเด็กนั่นไปถึงไหนแล้ว”
อิศราชะงัก ยักไหล่พรืด “ก็ดี”
“เมื่อไหร่จะแต่งงาน หรือได้ๆ กันไปซะที”
“เฮ่ย!” อิศราตกใจว่าชาลินีถามตรงอะไรขนาดนี้ ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “เฮอะ ไม่ใช่ปลากัดนี่ จะได้มองๆ แล้วท้องได้”
ชาลินีมองตาดุ “เธอมันมัวแต่ชะล่าใจ อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานทำบุญครบร้อยวันคุณย่า อีตาทนายก็คงจัดการเรื่องโอน” ชาลินีแค่นยิ้มมองมา พูดถากถางเพื่อกระตุ้นอิศรา “ถึงเวลานั้น เขาจะเฉดหัวเธอออกจากบ้าน หรือเอาบ้านไปเร่ขาย เธอก็หมดโอกาส”
อิศราหงุดหงิดคิดตาม ชาลินีลงนั่งข้าง “เธอมันไม่มีนํ้ายา”
อิศราชักฉุน “เรียกมานี่ จะมาด่ายํ้า ซํ้าเติมกันแค่นี้นะ”
“ใช่ ก็เธอมันอ้อยสร้อยเหลือเกิน” ชาลินียํ้าด้วยแรงริษยา “แล้วก็ตาบอดสิ้นดี ที่ไม่เคยเห็นเลยว่าแม่นั่นของเธอ ให้ท่าท่านชายตลอดเวลา”
อิศราไม่พอใจ “บ้า! เธอน่ะหวงท่านชายจนหาเรื่องคนเขาไปทั่ว”
ชาลินียิ้มหยัน ใส่ไฟต่อ “เธอนี่...โง่จริงๆ นึกว่าเสือผู้หญิง ที่แท้ ก็แค่แมวแถมอีกหน่อย จะกลายเป็นแมวจรจัด ไร้ที่อยู่ซะด้วย”
อิศราฉุน ลุกพรวด เป็นฝ่ายย้อนกลับ “เรียกมาปั่นหัวแต่เช้าเลยนะ นี่ ก่อนที่จะไประแวงคนอื่น ถามตัวเองหรือเปล่าว่าเรื่องของคุณกับท่านชาย คืบหน้าจริงเหรอ”
ชาลินีโกรธแต่ทำเป็นยิ้มหลอกตัวเอง “ท่านชายมีใจให้ฉันแค่ไหน เธอก็รู้ ถึงตอนนี้ท่านอาจจะไขว้เขวไปบ้าง เพราะ...” หล่อนหันมาสบตาอิศราแล้วเปลี่ยนคำ “แม่คนตีหน้าซื่อ แต่ให้ท่าท่านชายริกๆอย่างนั้น”
คราวนี้อิศราโกรธจริง เสียงเขียวใส่ “หยุดพูดถึงคนอื่นด้วยนํ้าเสียงน่าเกลียดอย่างนี้ซะที”
ชาลินีชะงัก ตาลุกวาว หัวเราะเยาะ
“ต๊าย นี่เธอดันหลงเสน่ห์สาวบ้านนอกเอาเข้าจริงๆ”
อิศราหงุดหงิด ฉุนสุดขีด เดินออกไปเลย สวนกับสาวใช้ที่เอาถ้วยกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ ยืนเก้กังอยู่
ชาลินีตวาด “จะไปไหนก็ไป ไป๊”
สาวใช้รีบลนลานเข้าครัวไป
ชาลินีร้อนรุ่มในใจ ด้วยไฟรักอยากได้ท่านชายช่างสุมทรวงจนระอุไปหมดสิ้น
ไม่นานต่อมา อิศราพาตัวเองเดินดุ่มๆ เข้ามาในตึกวังท่านชาย ท่าทางหงุดหงิดมาก
“ท่านชายอยู่ไหมครับ” ชายหนุ่มเท้าเอวมองรอบ “ไม่มีใครอยู่เลยหรือไง”
เสียงท่านชายดังมาจากห้องหนึ่ง “อิศราเหรอ...เข้ามาในนี้สิ”
อิศราหันตามเสียง เดินเข้าไปในห้องทำงาน
ในห้องนั้น ท่านชายยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าโต๊ะ มีสิริยืนอยู่ด้วย กำลังใช้ผ้าสีขาวทำความสะอาดบางอย่างในมือ
“สวัสดีครับ ท่านชาย”
ท่านชายหันมาโปรยยิ้ม ในมือมีนาฬิกาเก่าเรือนหนึ่ง ส่วนบนโต๊ะมีผ้ากำมะหยี่สีนํ้าเงินวาง ปูรอง และบนนั้นยังมีนาฬิกาข้อมือ นาฬิกาพก วางเรียงราย
อิศราเดินเข้ามามองอย่างประหลาดใจ
“โอ้โห เปิดกรุสมบัติอีกแล้วหรือครับ” อิศรามองเห็นอีกเรือนหนึ่งที่วางอยู่กับเรือนอื่นๆ ร้องขึ้น “ว้าว นาฬิการุ่น henry graves เลยเหรอครับนี่”
“รู้เรื่องนาฬิกาเหมือนกันนี่ เรือนนี้เป็นรุ่นแรกที่ผลิตขึ้น มีเหลืออยู่ 4 เรือนในโลก เคยมีคนประมูลขาย 11 ล้าน” ท่านชายยิ้มเน้นคำท้ายว่า “ดอลล่าร์”
“วาว” อิศราสุดทึ่ง
ท่านชายยิ้ม
อิศรามองฉงน “เอ๊ะ แต่ว่า ไม่มีนาฬิกาเรือนไหนเดินเลยนี่ครับ”
ท่านชายหัวเราะ “ของที่อยู่กับชั้น มักเป็นของตายเสมอ” แล้วเสยิ้มกลบเกลื่อน “เก็บสะสมไว้ นานๆ ที ก็ต้องเอามาเช็ดถู ไขลานกันซะทีให้เดิน”
ต่อมา สองหนุ่มย้ายมานั่งที่ริมสระในวัง สิริรินไวน์แดงในแก้วให้อิศรา ที่นั่งเหยียดขาพิงพนักเก้าอี้ ก่อนเดินออกไป อิศราถอนใจหนักๆ ยกแก้วดื่ม
ท่านชายมองนิ่งอยู่อย่างค้นหา อิศรามองแก้วไวน์ในมือเอ่ยขึ้นว่า
“ผมจะขอเจริญขวัญแต่งงาน”
ท่านชายนิ่ง อิศราแค่นยิ้ม สีหน้ากังวล
“ก็เป็นแผนของเธอแต่แรกอยู่แล้วนี่ ปัญหาคืออะไร”
“ผมไม่แน่ใจว่าเธอจะตกลง แล้วขวัญก็จะมองผม เป็นไอ้บ้าตัวหนึ่งเท่านั้น”
ท่านชายหัวเราะ “ที่เธอกลุ้ม เพราะกลัวว่า คุณเจริญขวัญจะไม่รับรักหรือว่า” พญามารในคราบมนุษย์มองหน้า “กลัวจะอดได้บ้าน ผ่านการขอแต่งงาน” แล้วท่านก็ไหวไหล่หัวเราะเสียดสีกลายๆ เมื่อพูดคำท้าย “จอมปลอม”
“ก็..ทั้งสองอย่างล่ะครับ”
“เอาให้แน่ อิศรา ระหว่าง คุณเจริญขวัญ กับตึกนั่น อย่างไหนมีนํ้าหนักมากกว่ากัน”
อิศรานิ่งคิด ท่านชายมองอย่างอยากให้อิศราค้นหาใจตัวเอง
อิศราดูเคร่งเครียดเอามากๆ พูดเสียงเศร้าเบาหวิว อย่างดูแคลนตัวเอง “งั้นก็คง...เป็นเรื่องบ้าน มั้งครับ”
ท่านชายชะงักไป ผิดหวังวูบหนึ่งที่อิศรายังไม่กลับใจ แล้วเสหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้น ให้ฉันช่วยเธอแก้ปัญหาที่มันหนักอกเธออยู่ไหม”
อิศรามองเป็นเครื่องมายคำถาม ท่านชายหันไปทางหนึ่ง
สิริ เดินถือถาดเงินมีผ้ากำมะหยี่วางรองและมีนาฬิกาข้อมือเรือนที่พูดถึงวางอยู่ด้านบน สิริมาวางถาดที่โต๊ะเล็กข้างสองหนุ่ม แล้วถอยกลับออกไป
ท่านชายปรายยิ้ม “รับไปสิ อิศรา”
สีหน้าอิศรา ทั้งประหลาดใจ และตื่นเต้นยิ่งยวด “ท่านชาย นี่มันนาฬิกาที่ท่านชายว่าราคา...”
ท่านชายสวนออกมา “สิบเอ็ดล้านดอลล่าร์ อ้อ เป็นราคาเมื่อปี คศ 1999 นะ”
“แล้ว ท่านชายจะให้ผม”
“ใช่ เพื่อช่วยแก้ความทุกข์ของเธอไง อิศรา”
อิศรามองท่านชายด้วยสายตาเป็นคำถามอีก
ท่านชายวสวัต โน้มกายมาวางข้อศอกบนเข่า พูดกับอิศรา น้ำเสียงจริงจังแต่สีหน้าเปื้อนยิ้ม
“ถ้าเธอคิดว่าบ้าน สำคัญกับเธอมาก เธอก็รับนาฬิกานี้ไป แล้วเธอจะไปขายยังไงก็ได้ คงได้เงินมากพอที่จะให้เธอปลูกบ้านหลังใหญ่แค่ไหนก็ได้อย่างที่เธอฝัน แถมรถสวยๆ สักคัน หรือไม่ก็เรือยอร์ชอีกสักลำ เป็นไง”
อิศราคราง “ท่านชาย นี่มันไม่ใช่สามล้าน หรือสามสิบล้านนะครับ...แต่นี่...” อิศราพูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “สามร้อยล้าน”
“ฉันบริจาคการกุศลทั่วโลกปีๆ หนึ่งเป็นร้อยล้านอยู่แล้ว แล้ว...เธอ” ท่านชายยิ้มเสียดสีในหน้า “คือเพื่อน ทำไมฉันจะให้ไม่ได้”
อิศราหยิบนาฬิกามาดู สีหน้าตื่นเต้น ประหลาดใจไม่คลาย
ท่านชายเยื้อนยิ้ม เหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ
“เธอจะได้ไม่ต้องมาคอยกลุ้มว่าจะไม่มีบ้าน” ท่านชายเหลือบมองพลางเอ่ยคำตามมาว่า “เพราะคุณเจริญขวัญจะไม่แต่งงานกับเธอไง”
อิศราชะงัก เริ่มฟังท่านชายอย่างตั้งสติ
“แต่เธอ ปล่อยเรื่องบ้านและ...” ท่านชายเว้นวรรคอักที ยิ้มเจ้าเล่ห์ เสียงจริงจัง “คุณเจริญขวัญ ไปซะ”
อิศราชะงักกึก
ท่านชายเยื้อนยิ้ม “ก็เอานาฬิกาเรือนนี้ไปเลย”
สองชายมองหน้ากัน วัดใจกัน ท่านชายเยื้อนยิ้ม อิศราอึ้ง ในใจยามนี้ลุกเป็นไฟ
ครู่หนึ่ง อิศราถอนหายใจ วางนาฬิกาลงที่เดิม ยิ้มมุมปากก่อนช้อนตามองท่านชาย
“ท่านชายจะช่วยผม หรือจะซื้อผม เพื่อให้ไปให้พ้นทางจากเจริญขวัญกันแน่ครับ”
อิศรามองค้นหา ท่านชายนิ่งมองตรงไปเบื้องหน้า ยิ้ม ทรงอำนาจ
“เมื่อเธอเห็นค่าในวัตถุ แล้วเธอจะแคร์อะไรกับแค่ ผู้หญิงคนเดียว” ท่านชายแสร้งยิ้มเหมือนจริงใจ
อิศราอึ้ง นิ่งงัน มองนาฬิกา แล้วหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น ไม่กล้ามองหน้าท่านชาย
“แต่ก็เป็นผู้หญิงที่ท่านชายเห็นว่ามีค่ามาก” ชายหนุ่มแค่นยิ้มขณะเอ่ยออกมาว่า “จนจะซื้อผมให้ไปให้พ้นจากเธอตั้ง..สามร้อยล้าน”
ท่านชายลุกยืน น้ำเสียงเข้ม “ตัดสินใจซะสิ อิศรา เพราะถ้าเธอเลือกแล้วเธอจะกลับคำไม่ได้ ฉันมีงานต้องทำ ขอตัวก่อน”
ท่านชายวสวัตเดินเข้าตึกไปเลย อิศราอึ้ง ขรึมเศร้า มองนาฬิกาเรือนงามที่วางตรงหน้าปลงไม่ตก คิดไม่ออก
อิศราอึ้งอยู่อย่างนั้น แต่ตระหนักชัดในใจว่าท่านชายวสวัตคงชอบเจริญขวัญเป็นแน่
อ่านต่อตอนที่ 13