xs
xsm
sm
md
lg

เงา ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงา ตอนที่ 10

ในเวลาตอนเช้าตรู่ มองจากท้องฟ้าลงมา ณ ท้องทุ่งสีทอง ดินแดนบรรจบสวรรค์ แลเห็นเจริญขวัญเต้นรำกับท่านชายวสวัต ในท่วงท่าเดียวกับในงานเต้นรำที่วัง คืนนั้น

ท่านชายวสวัต มองเจริญขวัญด้วยสีหน้าอ่อนโยนและเศร้าหมอง
“ท่านชาย”
ท่านชายหรุบตาต่ำ ช้อนตาขึ้นมามอง เห็นเจริญขวัญมองอยู่
เจริญขวัญก้มมองตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในเครื่องทรงของเจ้าหญิง
“ทำไม...เราแต่งตัวแบบนี้”
เจริญขวัญเงยมอง
ท่านชายในชุดมองมายิ้มบางๆ
“สัญญา คือความจำได้ หมายรู้ กระแสจิตวิญญาณที่ผูกพันจากอดีต ยังคงหลงเหลืออยู่ ในจิตของเธอ”
เจริญขวัญรับฟัง อย่างงุนงง

ณ ท้องทุ่งแดนสรวง ท่านชายยืนไขว้หลัง และหันหลังให้อยู่ เจริญขวัญในชุดเจ้าหญิง ยืนมองอยู่ ก่อนจะกลายเป็นเจริญขวัญในชุดเดรสสั้นเสมอเข่า ขาวบาง เดินเข้ามาหาช้า
ท่านชายมองไปไกลลิบตา เจริญขวัญขยับเข้ามาใกล้ๆ มองท่านชาย พบว่าใบหน้าท่านชายดูหมองเศร้า เจริญขวัญเศร้าตาม น้ำตาไหลเป็นทาง หญิงสาวชะงักรู้สติ ยกนิ้วขึ้นแตะน้ำตา งงงันกับตัวเอง ก่อนเงยหน้าขึ้น ท่านชายเข้ามา มองเจริญขวัญ ยื่นมาเพียงใช้นิ้วโป้งสัมผัสกรีดน้ำตาข้างหนึ่งให้
เจริญขวัญหลับตารับสัมผัสอ่อนโยนนั้น ดวงตาท่านชายมองมาอย่างแสนรัก
“เราเข้าใกล้เจ้ามากที่สุดเพียงเท่านี้ และที่นี่เท่านั้น” ท่านชายยิ้มเศร้า “เจ้าหญิงฟ้ารุ่ง”
“ในความฝัน” เจริญขวัญน้ำตาไหล
“ฝัน...ที่เมื่อตื่น เธอก็จะลืมฉันและฝันนี้หมดสิ้น” ท่าชายยิ้มเศร้าอยู่อย่างนั้น “แต่แม้เพียงความฝัน ก็ขอให้เป็นความฝันที่มีความสุขเถิดนะ...เจ้าหญิงฟ้ารุ่ง...เจริญขวัญ”
เจริญขวัญยิ้มบางๆ น้ำตาไหลริน
ท่านชายระบายลมหายใจยิ้มเศร้า ขณะยื่นมือไปกรีดน้ำตาให้อีกครั้งอย่างอ่อนอุ่น
สองคนยืนมองกัน ณ ขอบฟ้าไกล

เจริญขวัญ และ ดวงแก้ว นอนหลับกันอยู่ในห้อง ดวงแก้วหลับสนิท เจริญขวัญนอนหลับตาพริ้ม ดวงหน้างาม ปรากฏรอยยิ้มบางๆ

เช้าวันนี้ คุณนมนอนซมอยู่ในห้องคนใช้ คุณหญิงเพ็ญนั่งข้างๆ เป็นห่วงมาก
“นม...นมต้องพยายามทานอาหารบ้างนะ จะได้แข็งแรง”
คุณนมยิ้มบางๆ พูดเพ้อ “คุณหนู สังขารนม...มันผุผัง หมดแล้ว”
“อย่าพูดอย่างนี้สินม หญิง ก็เหลือแต่นมเท่านั้นแล้วนะ”
นมยิ้มบางๆ หลับตาลง ชาลินีกอดอกมองอยู่ที่ประตู ถอนใจยาว อย่างรำคาญ

ชาลินียังยืนอยู่ที่ประตู คุณหญิงเดินออกมา ซับน้ำตา
“แม่คะ เอาคุณนมไปไว้โรงพยาบาลไม่ได้เหรอคะ เดี๋ยวเกิด..เป็นอะไรขึ้นมาในบ้าน ยุ่งเลย”
คุณหญิงกระซิบดุ “แม่ไม่ยอมให้นมต้องไปนอนโดดเดี่ยวที่อื่นหรอก”
ชาลินียักไหล่ “ก็ตามใจค่ะ”

อิศราเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน จนได้ยินเสียงแท๊กซี่แล่นเข้ามา อิศรารีบเดินมาหน้าประตู เห็นดวงแก้ว เจริญขวัญ ลงจากแท๊กซี่พร้อมกับข้าวผลไม้ที่ซื้อมา
“ไปไหนกันมาครับ น่าจะปลุกผม จะได้ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อาพายายขวัญไปทำบุญแล้วก็เลยแวะซื้อของนิดหน่อย ขวัญเอาไปไว้ในครัวลูก”
เจริญขวัญจะเดินไป อิศราเอ่ยถาม “ขวัญ หายปวดหัวหรือยัง”
“หายแล้วค่ะ” เจริญขวัญเดินเลี่ยงไปทางครัว
อิศรามองตาม ดวงแก้วเอ่ยขึ้น “คุณอิศคะ”
“ครับอาแก้ว”
“อาชักห่วงที่ไร่ ทิ้งมานาน คงต้องกลับไปดูแลสักหน่อย”
“อาอยากกลับวันไหนครับ ผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตาอรุณต้องกลับบ้านทุกวันศุกร์อยู่แล้ว อากับขวัญไปกับตาอรุณก็ได้”

อิศราอึ้งไปนิดที่ถูกตัดไมตรี ก่อนจะฝืนยิ้มให้

เจริญขวัญกำลังจัดของที่ซื้อมากับ สี และ วัน ดวงแก้วเข้าประตูมาช่วยดู อิศราตามมาทีหลัง ยืนพิงประตูมองมาที่เจริญขวัญ โดยที่เจริญขวัญไม่รู้ตัว

อิศรามองอย่างครุ่นคิดสับสน และเริ่มพึงใจ กอปรกับเริ่มรู้สึกผิดชอบชั่วดี
วันมองเห็นอิศรา ก็กระทุ้งสีให้มองอาการเจ้านาย
ดวงแก้วเห็นอาการวันและสี ก็หันหลังไปมองตามสายตา เห็นอิศรายืนอยู่
“คุณอิศ จะเอาอะไรคะ หรือว่าหิว”
“เอ้อ ก็...นิดหน่อยครับ...วันนี้จะทำอะไรครับ”
เจริญขวัญยิ้มบอก “ไข่พะโล้ค่ะพี่อิศ ของโปรดใช่มั้ยคะ”
อิศรายิ้ม รับเสียงนุ่ม “ใช่”
เจริญขวัญยิ้มแย้มกับอิศรา
ดวงแก้วลอบมอง แล้วมองมาทาง วันและสี ที่แอบกิ๊กกั๊กกัน ดวงแก้วเห็นแล้วไม่ค่อยสบายใจนัก

ขณะเดียวกันที่ห้องแถว สำนักคนทรง สมชายลงนั่งหน้าคนทรงพร้อมนิกร สมชายเอาซองเงินวางตรงหน้าอย่างเลื่อมใส นิกรไม่เชื่อถือตามเคย
“หมอ แม่นจริงๆครับ ผมเจอโฉนดของพ่อ แล้วจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เลยเอาของมาสมนาคุณ”
“คุณจัดการธุระของคุณได้ก็ดีแล้วครับ”
นิกรกลั้นหัวเราะ คนทรงเหลือบมอง
“เพื่อนของคุณ ท่าทางไม่เชื่อ”
“ไอ้หมอนี่ มันเชื่อคนยากอยู่สักหน่อยครับ”
“คนอยากลองดีกับหมอ เจอดีมาหลายคนแล้ว”
นิกรหัวเราะ “โห หมอครับ อย่ารังแกผมเลยครับ เก็บผมไว้สักคน”
“ผมไม่เคยทำร้ายใคร...แต่ส่วนใหญ่..แส่มาเอง”
“โอ้โห” นิกรหัวเราะร่า เห็นเป็นเรื่องขำๆ
คนทรงปรายตามองไป ยังนิกรที่นั่งหัวเราะอยู่ จู่ๆ ปรากฏหัวผีกุมาร โผล่ขึ้นเบื้องหลังนิกร แล้วยกสองแขนบีบขย้ำบ่านิกร โดยที่คอกุมาร ยังมีโซ่ล่ามจองจำอยู่
นิกรชะงักรู้สึกเหมือนมีแรงกดที่บ่ามีท่าทางเมื่อยบ่าคอ แต่ไม่เห็นผีเด็ก คนทรงลอบยิ้ม

ไม่นานนักนิกรและสมชาย สองคนเดินออกมาหน้าสำนักทรง
นิกรหัวเราะ ท่าทางยังเมื่อยคอ “นายนี่ แนบเนียนจริงๆนะ”
“จะต้องให้บอกกี่หนวะ ว่าเราไม่ได้เตี๊ยม”
“ไม่เชื่อ ใครจะไปรู้ขนาด เอาเก็บไว้ห้องไหน ในลิ้นชักไหน โม้แล้ว”
“แกนี่ ต้องให้พิสูจน์มั้ยวะ”
“เอาดี้ พิสูจน์เลย”

คืนนี้สองหนุ่มอยู่ที่บาร์เหล้า อิศรานั่งดื่มอยู่กับนิกรที่ข้างกายมีสาวเคลียคลอ อิศราคิดมาก หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเจริญขวัญ
“ข้าว่า ไอ้สมชายมันกะแกล้งข้า ข้าเลยพนันกับมันจะขอจับผิดคนทรงสักที ไปด้วยกันนะอิศ...เฮ้ย ฟังเราพูดอยู่รึเปล่าเนี่ย”
“ฟังสิ...พนันอะไรกันเพี้ยนๆ”
“ไปหรือเปล่าล่ะ”
ท่านชายวสวัตเดินมายืนใกล้อิศรา
“ไปไหนกัน”
นิกร อิศรา ยิ้มทักท่านชาย
“ไปจับผีครับ ท่านชายไปด้วยกันมั้ยครับ”
“ว่าแต่ท่านชาย เชื่อเรื่องผีไหมครับ”
คำถามของนิกร ทำให้ท่านชายมองหน้าสองคน หัวเราะออกมาเบาๆ

หลังจากนั้น อิศรายืนขรึมอยู่ ท่านชายตามมา
“แค่คุณเจริญขวัญกลับไร่ จะคิดมากทำไม”
“ผมรู้สึกว่า อาดวงแก้วแปลกไป เหมือนจะคอยกันท่า”
“เขาอาจจะรู้ทันความคิดเธอมั้ง ที่จะหลอกคุณเจริญขวัญเพื่อบ้าน”
“ไม่น่าจะใช่ครับ แต่แกคงหวงลูกสาว” อิศรามองหน้าท่านชาย “ว่าแต่ผมไม่เคยเห็นท่านชายเรียกใครว่าคุณ...ชัดๆ แบบนี้ ท่านชายคงจะชื่นชมเจริญขวัญมาก”
“ทำไม เธอคิดเองหรือว่ามีใครเอาความคิดนี้มายัดเยียด”
อิศราหัวเราะแม้สีหน้าจะไม่ร่าเริงนัก “ท่านชายเดาถูก ชาลินีเองก็หวั่นอยู่ว่าท่านชายจะชื่นชมเจริญขวัญเป็นพิเศษ”
ท่านชายยิ้มไม่ตอบ มองนิ่งออกไปนอกหน้าต่าง
“ท่านชายไม่คิด...พิเศษกับชาลินีมั่งหรือครับ พูดตรงๆ ผมไม่เคยเห็นชา ชอบใครมากอย่างเปิดเผยขนาดนี้มาก่อน”
ท่านชายหัวเราะ “เขายังไม่ รู้จัก ฉันจริงๆ น่ะสิ”
ชาลินีเดินเข้ามาตรงประตู เหลียวหา อิศราหันเห็น
“พูดถึงก็มา...ทีผมซื้อล๊อตตารี ไม่ยักถูก”
ชาลินีเดินเข้ามาใกล้
“แหม อิศ มาไม่เคยชวนเลยนะ ท่านชาย สวัสดีค่ะ”
ท่านชายยิ้มทักตอบ อิศราแกล้งหาว
“เธอมา ชั้นก็อยากจะกลับพอดี ท่านชาย ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“อ้าว ทำไมทิ้งกันแบบนี้ ชั้นไม่ได้เอารถมานะ”
อิศราเดินมาใกล้ กระซิบ “เปิดโอกาสให้ จะได้ไม่เป็นก้างขวางคอไง”

ชาลินีค้อนควัก ยิ้มอย่างรู้กัน

อิศรากลับไปสักพักใหญ่แล้ว ท่านชายวสวัตและชาลินีนั่งดื่มกันอยู่สองต่อสอง

“ชาไม่ทราบจะตอบแทนท่านชายได้ยังไง กับทุกสิ่งที่ท่านชายทำ”
“งานการกุศลไม่ใช่เหรอ ชั้นก็คงได้กุศลพอแล้ว”
“แต่การแสดงนั่น...”
“ทำไม”
“ไม่รู้สิคะ มันดูคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่นึกไม่ออก”
ท่านชายหัวเราะบางเบา สิริเดินมาหาท่านชาย ก้มกระซิบ
“จวนถึงเวลาแล้วเจ้าข้า”
ท่านชายลุก “ได้เวลาฉันต้องไปทำงานแล้ว”
“อะไรคะ งานอะไรตอนดึกขนาดนี้” ชาลินีกระเง้ากระงอด
“งานของชั้นเลือกเวลาเองไม่ได้ สุดแท้แต่ ผู้นัดหมายจะมาเวลาไหน” ท่านชายมองชาลินี “ไปสิ ฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน” แล้วหันมาทาง สิริ “ให้ตรงเวลา”
ชาลินียิ้มหวาน “ขอบคุณค่ะ”
ท่านชายเดินชาลินีเคียงคู่ สีหน้าเบิกบาน รู้สึกภาคภูมิใจ สิริมองตาม

ชาลินี เดินเข้ามาในห้องรับแขก พร้อมกับท่านชายวสวัต
“ทำไมมีรถอาหมอไพโรจน์อยู่ด้วย ใครเป็นอะไร”
คนใช้ 1 วิ่งหน้าตื่นมาหา “คุณชาลินีคะ คุณนมแย่แล้วค่ะ”
“อ้าว ทำไมไม่พาไปโรงพยาบาล”
“ตอนหัวค่ำไม่มีใครอยู่เลยค่ะ หนูละลายาลมให้กินแกก็นอนมารู้อีกทีตอบคุณหญิงไปดูก็เห็นแน่นิ่งไป คุณหญิงเลยโทรตามหมอมาค่ะ” สาวใช้รีบเดินไป
ชาลินีถอนใจ ไม่ตกใจเท่าไหร่ “นึกแล้วเชียว” พลางหันมาหาท่านชาย “ว่าจะเชิญท่านชายรับกาแฟสักแก้วก็ดันมีเรื่อง”
ท่านชายหน้าขรึมตวัดตามองชาลินีที่ไม่ค่อยมีน้ำใจกับนม
“ไม่เป็นไร ให้ฉันไปดูคุณนมหน่อย”
“เกรงใจท่านชายสิคะ นม...กำลังจะ…”
“อย่างน้อย ก็เคยพบกัน”
ท่านชายวสวัตก้าวเดินตามไปทางที่คนใช้ไปเลย ชาลินีรีบตาม

คุณหญิงเพ็ญนั่งสีหน้ากังวลใจมากอยู่ข้างเตียงคุณนม หมอไพโรจน์กำลังฟังหัวใจ ข้างตัวมีกระเป๋าเครื่องมือด้วย คุณนมนอนหัวใจแผ่วๆ คนรับใช้ยืนหน้าประตู มีเงาดำผ่านวูบวาบ คุณนมเห็นพูดเหมือนเพ้อออกมา
“มาแล้ว มากันแล้ว”
“อะไรจ๊ะนม ใครมา”
“คนจะมารับนม คนแต่งชุดดำๆ เขาเอารถมารับนม นม...จะลาคุณหนู...วันนี้”
“ไม่หรอกนม ไม่มีใครมารับ นมทำใจดีๆ ไว้นะ” คุณหญิงใจหาย
หมอไพโรจน์เอ่ยขึ้นเบาๆ “เดี๋ยวหมอจะฉีดยาบำรุงหัวใจให้นะครับ”
“ไม่...อย่าเลย...ไม่มี..ประโยชน์ นั่น เขามาแล้ว” คุณนมเสียงกระท่อนกระแท่นมากแล้ว
ท่านชายวสวัตก้าวเข้ามาที่ประตู คุณนมหันมอง ท่านชายทอดยิ้มบางๆ มีแสงรัศมีนวลรอบตัว
“งาม...งามเหลือเกิน”
คนอื่นไม่เห็นรัศมีเรืองรองนั้น
ท่านชายก้าวเข้ามา หมอไพโรจน์ คุณหญิงเงยหน้ามองฉงน ชาลินีเพิ่งตามทันก้าวเข้ามาในห้อง ตรงไปหามารดา
“ท่านชายมาส่งชาค่ะ เลยแวะมาเยี่ยมคุณนม”
“ขอบคุณนะคะ”
คุณนมหรี่ตามองท่านชาย เห็นร่างท่านชายที่มีรัศมีกระจ่างรอบตัวเดินมาหยุดที่ปลายเท้าอย่างนุ่มนวล และเบื้องหลังท่านชาย มี สิริ ภุมมะ ปรากฏร่าง
“ขอเวลา...อีกเดี๋ยวเถอะ” คุณนมบอกพญามาร
ท่านชายยิ้มขรึม ก้มศีรษะ คนอื่นไม่เห็น สิริ กับ ภุมมะ เห็นเพียงท่านชายยืนอยู่ปลายเตียง
“ท่านชายไงจ้ะนม ท่านชายมาเยี่ยม” คุณหญิงบอก ใจคอไม่ดี
“ท่าน เสด็จมาเอง ดูสิคะ...งามเหลือเกิน”
หมอไพโรจน์หันมองท่านชายเขม็ง ท่านชายไม่มองตอบ ยืนสงบคุณนมยกมือไขว่คว้า แต่อ่อนแรงเต็มทน คุณหญิงรีบกุมมือนม
“คุณหนู สัญญา กับนม...ว่า คุณหนู จะไม่ทำอะไรผิดๆ ไม่...ไม่อย่างนั้น” คุณนมสะดุด สะอึกซ้อนขึ้นมาเฮือกใหญ่
คุณหญิงใจหาย “นม”
“ชีพจรไม่ติดแล้ว อีกไม่นาน” หมอบอก
คุณหญิงกุมมือนมให้ประนมกร
“พระอรหัง จ้ะนม อรหัง..อรหัง”
สายตาคุณนมจ้องมายังท่านชายที่มีแสงรัศมีกระจ่าง ที่หันไปให้สัญญาณ สิริ ภุมมะ ทั้งคู่ขยับเข้าใกล้เตียงอย่างสุภาพ
คุณนมพยายามยกอีกมืออย่างอ่อนแรง “ไม่ถึง พระอรหัง...พระพุทโธ พระพุทโธ...” เสียงจางลงๆ “พระพุทโธ”
ปากคุณนมค้าง หลับตาหัวพับลงไป ตายอย่างสงบ
ร่างวิญาณของนมลุกออกจากร่าง ยิ้มสงบ สิริ ภุมมะ ค้อมหัวแล้วเข้าประคอง ทั้งสามจางหายไป
คุณหญิงตกใจ รวบมือนมลงบนอก
“สิ้นใจแล้วครับ”
ชาลินีหันหน้าออกจากร่างไร้วิญญาณ ด้วยความกลัว ไม่อยากมองศพ
คุณหญิงครวญ “โธ่...นม”

หมอไพโรจน์หันมองมา พบว่าท่านชายยืนนิ่ง ก้มศีรษะอย่างแช่มช้าเป็นพิธีการ ราวกับจะถวายความเคารพแก่ผู้สูงศักดิ์ หมอมองจ้องอย่างประหลาดใจ

ทุกคนออกมาหน้าห้องผู้วายชนม์แล้ว หมอไพโรจน์หันมาทางคุณหญิงเพ็ญ
“ผมจะเซ็นใบมรณบัตรให้นะครับพี่หญิง พรุ่งนี้เช้าให้ใครไปแจ้งทางการ แล้วผมก็จะมาฉีดฟอร์มาลีนให้คุณนม”
“อ้าว ไม่รีบพาศพไปโรงพยาบาลเหรอคะ จะตั้งทิ้งไว้บ้านทั้งคืนเหรอคะแม่” ชาลินีทักท้วง
คุณหญิงบอกทันที “เอาไว้ที่นี่แหละ”
“น่ากลัวออก” ชาลินีว่า
ท่านชายปรายตามองอย่างเดียดฉันท์ นายพลบัญชา เดินเร็วรี่เข้ามา
“คุณหญิง...คุณนม”
“เสียแล้วค่ะ”
ท่านนายพลใจหาย “แย่จริง ผมกลับมาไม่ทันได้ดูใจ”
คุณหญิงค้อนสามี “ก็ถ้า...” แต่ให้นึกเกรงใจท่านชาย “...เฮ้อ อย่าให้พูดเลย”
“ท่านชาย” บัญชาหันมาเห็นงงใหญ่ มาได้ไง “มาด้วยเหรอครับ”
“ท่านบังเอิญมาส่งชาค่ะ”
“เห็นจะต้องกลับเสียที เสร็จธุระแล้ว”
คุณหญิงยิ้มบางๆ “ขอบคุณมากนะคะ ท่านชาย”

ท่านชายเดินออกมาที่ห้องโถงกลางแล้ว พร้อมกับชาลินี
“ถ้าคุณแม่เอานมไปไว้โรงพยาบาลแต่แรกก็หมดเรื่อง ที่จริงคุณนมก็มีญาติหลายคนนะคะ แต่ไม่ยอมไป แกติดแม่แจเพราะว่าเลี้ยงกันมา พวกญาติๆ แกมาทีก็จะมาเอาแต่เงิน นี่ก็ทิ้งศพไว้ให้จัดการอีก”
ท่านชายซ่อนความไม่พอใจชาลินี
“คนบางคน กิเลสจับหนา จนไม่เข้าใจคุณค่าของความดี นอกจากความมักได้”
ชาลินีไม่รู้ตัว นึกว่าท่านชายพูดถึงญาติคุณนม “จริงค่ะ”
“สักวันหนึ่ง กิเลสเหล่านั้นจะถูกขัดเกลา ด้วยไฟนรก ที่จะแผดเผาความชั่วร้ายให้สิ้นไป และวิญญาณบางดวงก็จะบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้น แต่วิญญาณบางดวง” ท่านชายมองจ้องชาลินี “ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงก็มี แล้วสักวันหนึ่ง เขาก็จะได้รู้แจ้งเห็นจริง”
ชาลินีหัวเราะ “ท่านชายพูดเหมือนเรื่องราวของการแสดงคืนนั้น”
ท่านชายปรายมอง ยิ้มเสียดสีในที ชาลินีไม่มีทางรู้ตัว

ฝ่ายนายพลบัญชา เข้ามายกมือไหว้ศพที่คลุมผ้าทั้งร่างของคุณนม
“ขอให้ไปสู่สุขคตินะครับ นม...นมเป็นคนดี”
คุณหญิงซับน้ำตา ชาลินีเดินกลับมา แต่หยุดแค่หน้าประตู
“ท่านชายกลับแล้วเหรอ” คุณหญิงหันไปถาม
“ค่ะ”
“นี่สนิทกันมากขนาดไปมาหาสู่ถึงบ้านกันตอนดึกๆ เลยเหรอ” บัญชาไม่พอใจ
“หนูไปนอนก่อนนะคะ” ชาลินีแกล้งหาวแล้วเดินไปเลย
“อย่ามาทำเป็นหวงลูกสาวไปหน่อยเลยค่ะ หรือว่า...กลัวว่ากรรมจะตามทัน”

นายพลบัญชาหงุดหงิด ลุกเดินออกไป คุณหญิงค้อนตามหลังสามี

ณ แดนดินบรรจบสวรรค์ท้องทุ่งสีทอง ท้องฟ้ากระจ่างใส สิริ กับ ภุมมะ ยืนมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า ท่านชายก้าวเข้ามาทางเบื้องหลัง เอ่ยถาม

“เจ้าจัดการส่งให้เบื้องบน เรียบร้อยแล้วใช่ไหม สิริ ภุมมะ”
สิริ ภุมมะ หันมา “เจ้าข้า”
ท่านชายเดินผ่านสองคนไปยังเบื้องหน้า เงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงตามีน้ำตาคลอ ปีติล้น
“คนบาป จะอยู่ได้เพียงประตูสวรรค์ ชะเง้อ จ้องมองความสุขของผู้อื่นอย่างชื่นชม โดยที่ตัวเองไม่ได้ลิ้มรส...เราเป็นเช่นนั้น”
สิริ กับ ภุมมะ เงยหน้ามองท้องฟ้ารู้สึกลึกซึ้งเช่นกัน
“วันนี้ เป็นวันที่ข้าสบายใจอีกวันหนึ่ง ความหมดจดงดงามความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณบางดวง ทำให้ข้ารู้สึก ว่างานของข้า ไม่เลวทรามจนเกินไป”
ท่านชายมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน แลเห็นคล้ายเป็นเวียงวังรางๆ และยินเสียงแว่วดังจางๆ อันเป็นเสียงกริ่งกังสดาลสวรรค์แว่วมา สิริ ภุมมะ คุกเข่า นอบน้อมอย่างที่สุด
ท่านชายยังคงยืนนิ่ง แสงทองจับต้องใบหน้างาม น้ำตาคลอหน่วย ปีติเป็นที่สุด
“สักวันหนึ่ง ข้าจะชดใช้บาปเวรของข้าให้หมด แล้ววันที่ข้าจะได้ผ่านประตูสวรรค์ไป จะมาถึง...”
ครู่หนึ่งภาพสวรรค์จางหายไป แล้วท่านชายก็ผงาด เข้มแข็งขึ้นกับหน้าที่ ที่ต้องทำสั่งเสียงเฉียบ
“กลับกันเถอะ เรากลับไปยังที่ของเรา! สิริ ภุมมะ”
“เจ้าข้า”
ดวงตาของท่านชาย เห็นจุดไฟลุกลามจากดวงตาดำ จนขยายใหญ่เป็นดวงไฟมหึมาล้นตา

ร่างพญามารทะลุผืนดินดำดิ่งสู่นรกภูมิ ผ่านลาวาไฟนรก ปรากฏขึ้น ณ ลานตัดสินโทษ พร้อม สิริ กับ ภุมมะ เสียงดังกัมปนาท
“ตราบใดที่ความชั่ว ที่ต้องล้างด้วยไฟนรกยังไม่สิ้นสุดความชั่ว จากการผิดศีล จากการกระทำ ปิตุฆาต มาตุฆาต ยุแยกทำลายสงฆ์”
สัตว์นรกถูกลงทัณฑ์
“ตราบใดที่ความชั่ว ยังสัมฤทธิผล ตราบนั้น ข้า ไม่มีวันที่จะได้รับความสุขอันแท้จริง”
ใบหน้าท่านชาย ขรึม เขร่ง
เสียงรับกระหึ่มจากรอบทิศ “เสด็จแล้ว..เสด็จแล้ว”
เสียงภุมมะและสิริดังตามมา “วิญาณบาป รายต่อไป”
เปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นจากร่างท่านชาย พุ่งขึ้นเป็นหัวดวงเพลิง พร้อมเปล่งวาจาที่สัตว์นรกเกรงกลัวเป็นที่สุด
“ไสหัวไป ชดใช้กรรม”

ยามเช้า ดวงแก้ว เจริญขวัญ เดินกลับเข้าตึกมา มี สี กับวัน ที่ยังดูง่วงมาก ผูกผมแกละ ช่วยถือถาดที่เพิ่งตักบาตรเสร็จมาด้วย
“ได้รู้จักใส่บาตรกะเขาบ้าง ก็ตอนมีคุณดวงแก้วนี่แหละ ดีจังเลย ขอบคุณนะคะ” สีบอก
“สาธุ ต่อไปจะได้ดวงดีๆ ถูกหวยกะเขามั่ง ซื้อ17ออก18 เฮ้อ...” วันบ่นบ้าตามประสา
“แกนี่ ทำบุญหวังแค่ถูกหวย”
ดวงแก้วหัวเราะ “ก็ไม่แน่นะจ้ะ พระท่านว่าคนเราเริ่มไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ดวงก็เปลี่ยนแล้วนะ”
เจริญขวัญเอ่ยขึ้น “แม่คะ แม่เข้าบ้านก่อนนะคะ ขวัญขอเดินดูต้นไม้หน่อย”
สามคนเดินเข้าบ้านไป

เจริญขวัญเดินดูต้นไม้ใบหญ้า และมองผ่านสระน้ำไปที่ตัวบ้านอย่างครุ่นคิด
“อยู่ที่นี่ ก็คิดถึงบ้านไร่ พอกลับไปไร่ จะคิดถึงที่นี่มั้ยนะ”
เสียงอิศราดับเข้ามาก่อนตัว
“ถ้าไม่คิดถึงเสียเลย คนอยู่ที่นี่คงน้อยใจ”
เจริญขวัญยิ้มกว้าง “พี่อิศ ตื่นเช้าจังเลยค่ะ”
“พี่นอนไม่ค่อยหลับ”
“พี่อิศไม่สบายรึเปล่าคะ”
อิศรามองเจริญขวัญ สะท้อนในอก แล้วเสมองไปทางอื่น “แค่คิดว่า พรุ่งนี้ พี่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว ไม่มีอาดวงแก้ว ไม่มีขวัญ...คงจะเหงาน่าดู”
“แหม ขวัญก็ไม่ได้หายไปไหนนี่คะ เดี๋ยวก็กลับ...” เจริญขวัญชี้นิ้ว “เวลาขวัญไม่อยู่ พี่อิศต้องทานข้าวนะคะ ให้ป้าสีทำให้ อย่าเอาแต่สั่งพิซซ่ามาทานล่ะ”
อิศราหันขวับมาถามเสียงนุ่ม ทว่าจริงจัง “ขวัญ...ขวัญจะคิดถึงพี่ใช่ไหม”
“เอ้อ” เจริญขวัญงง หัวเราะขัดเขิน “ก็...คงคิดถึงนะคะ”
“พี่หมายถึง” อิศราขยับเข้าหา “คิดถึงพี่ ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่แค่...ญาติ...” จังหวะนี้อิศราจ้องลึกในดวงตาเธอ “แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง...ที่จะรอขวัญอยู่ที่นี่”
เจริญขวัญอึ้ง มองอิศรานิ่ง อิศราจ้องตาเจริญขวัญ ทั้งสองคนสบตากันนิ่งนาน

ตอนสาย สี กับ วัน ช่วยเอากระเป๋าใส่ท้ายรถดวงแก้ว อรุณที่มาถึงไม่นานช่วยเปิดท้าย เจริญขวัญยืนอยู่กับดวงแก้ว
“ไปดีมาดีนะคะ กลับมาเร็วๆ นะคะคุณดวงแก้ว” สีบอก
วันว่าหน้าระรื่น “ซื้อขนมมาฝากด้วยนะค้า”
“จ้า” ดวงแก้วยิ้มขัน
อรุณเปิดประตูให้ดวงแก้ว “เชิญครับ”
เจริญขวัญยังละล้าละลังหันกลับมองไปในตัวบ้าน เห็นรอยอาลัยในแววตาคู่งาม อรุณเดินมาหา
“ขวัญ ไปจ้ะ”
เจริญขวัญยิ้ม เดินมายังรถที่อรุณเปิดรอ แต่พอจะก้าวขึ้นก็ชะงักหันไปในบ้าน เห็นอิศราเดินเอามือล้วงกระเป๋า ออกมายืนที่หน้าประตูช้าๆ สีหน้าขรึมหล่อ นัยน์ตาเข้มมองมา เจริญขวัญชะงัก ละล้าละลัง
อรุณมองตามสายตาแล้วหวงขึ้นมาทันควัน
“ไป ขึ้นรถ จ้า...กลับบ้านไร่ของเรา”
เจริญขวัญก้าวเข้านั่งในรถ อรุณปิดประตูแล้วยืดอกหันมองอิศราด้วยท่าทีกวนโอ๊ย อิศรามองเขม่นอย่างหมั่นไส้
รถเคลื่อนออก เจริญขวัญไม่กล้ามองมาอีก มีเพียงอิศรามองตามตาละห้อย

อีกฟากหนึ่ง แลเห็นของสังฆทาน วางอยู่ข้างๆ กรอบรูปเอกดนัย อรอนงค์ชวนสองเพื่อนซี้ ปวีณา วัลภา มาทำบุญให้น้องชายที่วัดแห่งนี้ สามสาวนั่งกับพื้นรออยู่บนศาลา เด็กวัดวิ่งมาคุกเข่า
“พระรับนิมนต์ไปฉันบ้านโยมกันหมดเลยครับ เหลือแต่พระบวชใหม่”
อรอนงค์ยิ้มบอก “ได้จ้ะ พระไหนก็เหมือนกัน”
เด็กวัดลุก วิ่งกลับไป
อรอนงค์ตั้งรูปภาพของเอกดนัย มองอย่างคิดถึง
พระรูปหนึ่งก้าวเข้ามาบนศาลา ที่แท้เป็นพระสุธรรมนั่นเอง เดินมานั่งบนอาสนะตรงหน้าสามคน ด้วยท่าทีสงบ และสำรวม
สามสาวถวายของ สุดท้ายคือผ้าไตร พระสุธรรมวางม้วนสายสิญจน์ที่โยงจากรูปเอกดนัยมาที่ของถวาย สามคนพนมมือ พระสุธรรมยกตาลปัตรมาวางบังหน้า เริ่มสวด

ต่อมาสามสาวเดินลงศาลาวัดมา วัลภาย่อตัวให้ปวีณาเกาะบ่าไว้เหมือนเดิม อรอนงค์ประคองรูปเอกดนัยมา
“มาทำบุญให้เอกแล้ว สบายใจหรือยังจ้ะอร” ปวีณาเอ่ยถามถาม
“ก็ดี” อรอนงค์แค่นยิ้ม “แต่นึกถึงหน้ายัยชาที่มันมีความสุขเหลือเกินแล้ว ฉันแค้นแทนน้องเหลือเกิน”
วัลภาปลอบ “เอาน่า คงมีสักวัน ที่จะเป็นวันของเรา”
อรอนงค์มองรูปเอกดนัยในมือ “เอก...สักวันพี่ต้องแก้แค้นที่มันทำให้เอกต้องตาย”
ปวีณาปลอบอีก “อย่าคิดมากนะ ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า ลูกชั้นบ่นหิวแล้ว”

อรอนงค์พยักหน้า สามสาวเดินไปที่รถ

อ่านต่อหน้า 2

เงา ตอนที่ 10 (ต่อ)

หลวงพี่สุธรรมกลับเข้ามาในกุฎี ลงนั่งบนอาสนะอย่างสำรวม หนิงผู้เป็นภรรยา นำถุงของใช้จำเป็น ยา เข้ามาถวาย ทรุดลงกราบพระหนึ่งครั้งอย่างงดงาม พระสุธรรมมองภรรยาสำรวมอย่างเก่า

“เอายาประจำตัวของท่านมาเพิ่มให้ค่ะ เห็นว่าใกล้หมด”
พระสุธรรมพยักหน้า
“ผู้ใหญ่ที่กรม ฝากเรียนถามมาว่า ท่านจะบวชอีกนานไหม”
“อาตมา รู้สึกสงบมาก การศึกษาหาความรู้ในทางธรรม ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งค้นหา ก็ยิ่งรู้ว่า ยังมีอีกมากมาย และยังอีกไกลนัก”
“หมายความว่า ท่านยังไม่อยากกำหนดวันสึกหรือคะ”
พระสุธรรมพยักหน้า มองภรรยาอย่างสงบและครุ่นคิด
หนิงเป็นคนดี ยิ้มบางๆ อนุโมทนาอย่างเข้าใจ

ฝ่าย เจริญขวัญ กับ ดวงแก้ว เดินทางกลับมาถึงไร่ เห็น ตาพุด ยายปลั่ง และคนงานไร่ทำงานกันอยู่
พุด กับปลั่ง กำลังดูคนงานในไร่อยู่
ยินเสียงเจริญขวัญดังขึ้น “ลุงพุด ป้าปลั่งค๊า”
สองคนหันมา เห็นเจริญขวัญ ดวงแก้ว และอรุณ เดินเข้ามาหา
“คุณขวัญ คุณดวงแก้ว” สองผัวเมียร้องลั่น ใบหน้ายิ้มแย้ม
ทุกคนดีใจวิ่งตัดไร่มาหา ดวงแก้วกับเจริญขวัญที่ยืนหัวเราะอยู่ อรุณยิ้มแย้ม

ดวงแก้ว พุด และปลั่ง เดินดูงานในไร่สักพัก ก็พากันมานั่งคุยตรงแคร่
“แหม...คิดว่าคุณดวงแก้วจะไปเป็นคุณนายไฮโซที่กรุงเทพจนลืมพวกเราหมดแล้วสิครับ”
“ดูพูดเข้า คุณนายไฮโซอะไร คุณแก้วไม่ใช่คนจะหลงใหลกับแสงสีความฟู่ฟ่าหรอกย่ะ จริงไหมคะคุณแก้ว...คุณแก้วไม่คิดจะทิ้งไร่ กับพวกเราไปหรอกใช่ไหมคะ”
“โธ่ ที่นี่มันบ้านแก้วนะ แล้วไร่นี่” ดวงแก้วมองรอบๆ ยิ้มบางๆ “ก็สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงคุณเล็ก ฉันจะทิ้งไปได้ยังไง ที่นี่...มันคือชีวิตของพวกเรา” หันมาทางสองคน “ใช่ไหม”
“ถูกเผงเลยครับ อยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนอยู่บ้านเรา..เอ้อ..แต่ว่า ถ้ามีโอกาส...พาพวกผมไปเที่ยวบ้านที่กรุงเทพฯมั่งนะครับ...” พุดกระซิบ “จะไปดูสาวๆ”
ปลั่งค้อนควัก “นั่น นั่น...ต่อหน้าต่อตา...เดี๊ยะๆ”
“เฮ้ย เค้าเรียกไปทัศนศึกษา แกนี่คิดมาก”
ดวงแก้วหัวเราะสดชื่น

อีกฟาก เห็นหนังสือ และ ขนม วางอยู่บนแคร่ ตรงมุมหนึ่งในศาลา เด็กๆ ลูกคนงานไร่ 5-6 คน กระโดดกอดเจริญขวัญบ้าง กระโดดโลดเต้นรอบๆ เจริญขวัญและอรุณ ประสานเสียงร้องไม่หยุดปาก
“พี่ขวัญมาแล้ว พี่ขวัญมาแล้ว”
“จ้า นี่มีของมาฝากเยอะแยะเลย จุ๊บ แจง จ๊อด ไข่หวาน นุ้ย อ้อ”
“นี่ มีหนังสือมาเต็มเลยพวกเรา” อรุณบอก

เด็กๆ ร้อง เย้

ต่อมา พวกเด็กๆ นั่งแคร่บ้างกินขนม บ้างเปิดหนังสือดู เจริญขวัญ กับอรุณ แยกมามองดูศาลา

“กลับมาคราวนี้ มาทำศาลาให้เสร็จเลยเอามั้ย ขวัญ”
เจริญขวัญเหม่อ จนอรุณเรียกซ้ำ “ขวัญ”
เจริญขวัญหลุดออกจากภวังค์ “หือ อะไรจ้ะ”
“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า” อรุณหันไปแตะหน้าผาก
“ไม่เป็นไรหรอก เอ้อ..แค่เพลียๆ นิดหน่อยน่ะจ้ะ”
อรุณสะดุดใจ มองเจริญขวัญ ที่เสไปหาเด็กๆ
“มา ใครอยากอ่านเล่มไหน พี่ขวัญอ่านให้ฟังเอามั้ย”
“เอาค่า” / “เอาครับ”
อรุณลอบมองเจริญขวัญ อย่างฉุกคิด สีหน้าไม่สบายใจ

ฟากอิศรากระโดดลงสระว่ายน้ำ วันมาแอบดู หัวเราะคิก
“ในที่สุด ก็เหลือแต่วัน คริคริ”
อิศราว่ายน้ำอย่างหงุดหงิด แล้วหยุดโหนตัวขึ้นมานั่งขอบสระ สะบัดผม ลูบหยดน้ำบนหน้า สีหน้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันมานี้

ตอนนั้นสองคนมองกันอยู่ เจริญขวัญจากงุนงง กลายเป็นขัดเขินและไม่แน่ใจ ดูสับสนมาก
“พี่อิศ”
อิศราชะงัก หน้าเสียไปนิด ตีหน้าเศร้าขรึม
“ขอโทษ ถ้าพี่ พูดตรงเกินไป...ลืมที่พี่พูดแล้วกัน” อิศราหันไปอีกทาง
“เดี๋ยวค่ะพี่อิศ คือ...ขวัญ...ขวัญ คือ มันรวดเร็ว ขวัญไม่รู้ว่าจะตอบยังไง”
“ยังไม่ต้องตอบหรอก พี่ขอแค่ให้ใช้ช่วงเวลานี้ คิดถึงพี่ อย่างที่พี่ขอ”
อิศรายิ้มละมุน เจริญขวัญขัดเขิน มีแววว่าจะชอบฉายชัด
ใบหน้าอิศราที่มีหยดน้ำเกาะพราวนั้น ตาเข้ม ขมวดคิ้ว คลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย กึ่งผู้ชนะ แม้จะรู้ว่าเจริญขวัญยังไม่ได้เปิดใจรักทั้งหมด

อิศราแวะมาหาท่านชายหลังจากนั้น ท่านชายก้าวเข้ามาถามยิ้มๆ
“เก่งนี่อิศรา หยอดเสน่ห์ทิ้งไว้ให้ผู้หญิงคิด”
อิศรานั่งเหยียดขาเอนพิงพนักเก้าอี้ “ผมก็มีอยู่แค่นี้ จะเอาอะไรไปทำให้ผู้หญิงชื่นชมได้นอกจากตัวผมเอง” ตอนท้ายอิศราแค่นหัวเราะเหยียดตัวเอง
ท่านชายวสวัตมองเมตตา “ก็ไม่แน่นะ บางทีสักวัน ความดี ความบริสุทธิ์ อาจทำให้เธอได้คิดว่า ที่เธอมีอยู่นั่น มันพอแล้ว”
“บางที ผมเคยคิดว่า ท่านชาย มีอะไรอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนคนอื่น ดูสูงสุดเอื้อมกว่าพวกเราทั้งหมด อย่างท่านชาย ถ้าพอใจใคร คงเป็นบุญของคนๆนั้น” อิศรามองอย่างค้นหาว่าท่านชายชอบเจริญขวัญไหม
“ฉันน่ะเหรอ...ฉันรักใครไม่ได้หรอกอิศรา” ท่านชายแววตาหม่นหมอง “ฉันมีแต่เพียงหน้าที่ ที่จะต้องทำเท่านั้น”
“ท่านชาย...ไม่สามารถรักใครได้ แม้แต่...เจริญขวัญหรือครับ”
ท่านชายชะงักแววตาเหมือนโกรธขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วสงบลง มองอิศรา
“เธออยากให้ฉันลงสนามแข่งกับเธอมากนักหรือ อิศรา”
อิศรามองท่านชายอย่างค้นหา ท่านชายมองตอบยิ้มในสีหน้าขรึมเคร่ง ในที่สุด อิศราก็หัวเราะลั่น
“ถ้าท่านชายลงสนาม ผมก็คงไม่มีทางสู้ แต่คนที่น่าจะกัดลิ้นตัวเองตายไปเลย คงเป็นชาลินี”
ท่านชายแค่นหัวเราะออกมานิดเดียว มองอิศรา

ดวงแก้วขับรถมาจอดในลานวัดบ้านไร่ ลงจากรถ ปลั่งช่วยยกของ สองคนเดินขึ้นมายังศาลาการเปรียญแล้ว
“พี่ปลั่งไปนิมนต์ท่านเจ้าอาวาสไว้นะเดี๋ยวแก้วตามไป”
“ค่ะ”
ปลั่งเดินไป ดวงแก้วมองตาม แล้วหันมองหารูปเขียนของโรจน์ตรงมุมที่มีภาพเขียนวางกองๆ รวมกันไว้ ดวงแก้วเดินมารื้อภาพเขียนขึ้นมาดู จนพบภาพเขียนนรก
ภาพเขียนในมือเป็นภาพนรกที่โรจน์บอกใครต่อใครว่าไปเห็นมา ดวงแก้วมองซ้ำอีกครั้ง จ้องที่ดวงหน้าท่านชายที่ยืนอยู่ตรงกลางภาพ ดวงแก้วถึงกับเข่าอ่อน ทรุดนั่ง ตะลึงงัน
“เป็นไปได้ยังไง...ทำไม...บังเอิญอย่างนี้”
ดวงแก้วมองจ้องใบหน้าท่านชายในภาพเขียนนั้นนิ่งนาน

ฝ่ายเจริญขวัญทำความสะอาดห้องพระ มาจนถึงรูปคุณเล็กที่วางอยู่ เจริญขวัญหยิบมาเช็ดฝุ่น
“ฝุ่นเยอะเลย ขอโทษนะคะพ่อ ขวัญไม่อยู่ซะนาน” เจริญขวัญเช็ดรูปคุณเล็กช้าๆ “พ่อคะ...ขวัญอยากให้พ่ออยู่ด้วยจังเลย” หญิงสาวถอนใจยาว
ดวงแก้วเดินเข้ามามองเจริญขวัญ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ดี ทำความสะอาดหิ้งพระ ได้บุญด้วยนะลูก”
เจริญขวัญยิ้ม วางรูปพ่อ
“พอกลับมาอยู่บ้านเรา ก็สงบดีนะขวัญ อยู่ที่อื่น ยังไงก็ไม่เหมือนอยู่บ้าน”
“ค่ะ แม่”
“หรือว่า เราจะอยู่ตามแบบของเรา ไม่ต้องกลับบ้านคุณย่าอีก ดีไหมลูก”

เจริญขวัญชะงัก อึ้งไป ดวงแก้วมองลูกสาวอย่างค้นหา

เจริญขวัญและดวงแก้ว กลับบ้านไร่หลายวันแล้ว เช้าวันนี้วันวางแก้วกาแฟให้ อิศราที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ก่อนจะหยิบแก้วมาดื่ม ทันทีที่กาแฟแตะลิ้นอิศราถึงกับสะดุ้ง โวยลั่น

“หือ อะไรเนี่ย ทำไมกาแฟมันขมปี๋อย่างงี้”
วันตาหวานเล่นลิ้น “ขมเหรอคะ ก็วันก็ชงแบบที่คุณขวัญชง ทำไมของคุณขวัญหวาน ของวันขมล่ะคะ”
“เอ้า ขมไม่ขม ลองกินดูสิ เอา”
วันหน้าม่อย จิบไปคำ ขมจนตาเหล่ “อี๋ เดี๋ยววันไปชงมาให้ใหม่นะคะ”
วันรีบลุกเดินตุปัดตุเป๋กลับไปทางครัว อิศราถอนหายใจ มองรอบบ้าน ท่าทีเหงาๆ
อิศราคว้ามือถือมา ชั่งใจ ก่อนกดไลน์ พิมพ์ไปว่า “ขวัญ เป็นยังไงบ้าง”
อิศราอ่านแล้วก็ลบทิ้ง พิมพ์ใหม่
“ขวัญ ไม่อยู่ พี่เหงาจัง”
อิศราไม่ถูกใจ “เฮ้ย น้ำเน่าว่ะ”
อิศราลบข้อความในไลน์ทิ้ง โยนมือถือวาง

ส่วนที่ไร่เจริญขวัญ รถกระบะขนถุงปุ๋ย กระถางต้นไม้มาลงหน้าเรือนเพาะชำ
เจริญขวัญ ดวงแก้ว กำลังช่วยเช็คจำนวนถุงปุ๋ย และกระถาง อรุณ และคนงานกำลังขนตามลงมา มีตาพุดช่วยสั่งการคนงาน
“เกือบครบแล้วครับ คุณแก้ว เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง”
“จ้ะ พ่อรุณ พอแล้วลูก ปล่อยให้คนงานเขาช่วยกันเถอะ”
“ครับ” อรุณยกมือปาดเหงื่อ
อรุณยกมือปาดเหงื่อ จนหน้าเปื้อนคราบดินสีน้ำตาลเป็นปื้น
“อุ๊ย” เจริญขวัญเผลอชี้หน้าอรุณ แล้วหัวเราะ
“หือ อะไรเหรอ” อรุณงง ยกมือเช็ดหน้า กลายเป็นเปื้อนเพิ่ม
เจริญขวัญ กับ ดวงแก้ว หัวเราะ
“อุ๊ยตาย พ่อรุณ”
อรุณงงใหญ่ “ครับ อะไรเหรอครับ”
พุดแกล้ง “ไม่ใช่ตรงนั้นครับ...ตรงนี้ๆ”
“แกก็ไปแกล้งคุณรุณ” ปลั่งทำเป็นตีผัวแล้วหันมาแกล้งอรุณซะเอง “นั่น ตรงคางค่ะคุณรุณ”
อรุณงง ยกมือปาดไปอีกที่คาง ทำเอาเลอะไปเกือบทั่ว
ดวงแก้ว เจริญขวัญ อรุณ พุด ปลั่ง กับคนงานพากันหัวเราะ อรุณหน้าเหรอหรา

ต่อมา อรุณ ยกน้ำขวดขึ้นราดล้างหน้า ลูบ ล้างหน้าบนแคร่ มีเจริญขวัญนั่งดูขำๆ ข้างๆ
อรุณหน้าเปียก แกล้งหงุดหงิด “ขวัญน่ะ แกล้งเรา”
“ฮึ เราแกล้งที่ไหนกัน เอ้า เช็ดหน้าซะ” เจริญขวัญส่งผ้าเช็ดหน้าให้
อรุณยิ้มยื่นหน้าให้ “สมรู้ร่วมคิดกันหัวเราะเยาะเรา ต้องลงโทษ เช็ดหน้าให้เราด้วย” อรุณหลับตาปี๋
“โหย งอแงนะ เอ้า มา”
เจริญขวัญพับผ้าเช็ดหน้า ค่อยๆ เช็ดหน้าให้อรุณ ขำเพื่อน อรุณยิ้มชอบใจ
ดวงแก้ว กับพุดยังยืนอยู่ข้างรถกระบะ
“เห็นคุณขวัญ คุณรุณอยู่ด้วยกันทีไร คิดถึงสมัย คุณเล็กกับคุณแก้วสมัยก่อน”
“จริงด้วย เวลาคุณเล็ก คุณแก้วอยู่ด้วยกัน สวี๊ทสวีท น้ำตาลเรียกพี่เลย เนอะ..เฮ้อ พูดแล้วก็..คิดถึงคุณเล็ก” ปลั่งว่า
ดวงแก้วหันไปมองตาม
“คุณรุณน่ะ ผมมองออก ว่ากองหัวใจไว้ให้คุณขวัญล่ะ แต่กับคุณขวัญ มองไม่ออก ..เอ้อ ผมไม่ได้ยุนะครับ แต่ผมเชียร์เต็มที่” พุดหัวเราะ
“ยังเด็กกันทั้งคู่ จะเข้าใจจริงๆ งั้นเหรอ ว่าความรักจริงๆ เป็นยังไง”
ดวงแก้วว่า พลางมองไปยังสองคนอีกครั้ง
เจริญขวัญเช็ดหน้าให้อรุณจนเสร็จ
“เอ้า พอแล้ว”
อรุณหัวเราะ เช็ดหน้าแล้วเริ่มจริงจัง
“เราชอบเวลาเห็นขวัญกับไร่ นี่ ขวัญไม่คิดบ้างเหรอว่าชีวิตขวัญเหมาะกับที่บ้านไร่นี่ มากกว่าที่กรุงเทพฯ”
“ทำไม ชั้นจะเป็นสาวเมืองกรุงเหมือนคนอื่นบ้างไม่ได้หรือไงทีเธอ ยังไปเรียนกรุงเทพฯ เป็นหนุ่มเมืองกรุงเหมือนกันแหละ”
“เราแค่ไปเรียน เรียนจบก็จะกลับมาอยู่ที่นี่” อรุณอมยิ้ม “มาช่วยขวัญพัฒนาไร่ไง ดีมั้ย”
“ดีจ้า”
เสียงไลน์ดังขึ้น เจริญขวัญหันมาหยิบมือถือจากย่ามมาดู ภาพที่จอมือถือ ข้อความถูกส่งมาจาก ‘ พี่อิศ’ ว่า
“วันนี้ วันชงกาแฟมาให้ ขมปี๋เลย”
เจริญขวัญหัวเราะคิก อรุณมอง
“ใครเหรอขวัญ”
“พี่อิศน่ะ” เจริญขวัญพลั้งปากบอกไป แล้วก็อึ้งๆ ซ่อนความรู้สึก อรุณนิ่งงันไป เสียงไลน์ ดังขึ้นอีก เจริญขวัญก้มอ่าน คราวนี้เป็นคำว่า
“คิดถึง” เจริญขวัญสะท้านหัวใจ ลอบยิ้ม

อรุณมองอยู่ ด้วยความหงุดหงิด

อิศรามองดูมือถือ เห็นว่าถูกอ่านไปแล้ว เขาอมยิ้มอย่างผู้มีชัย สีหน้าเจ้าเล่ห์นิดๆ ที่หยอดคำหวานไป วันเดินตุปัดตุป่องออกมาพร้อมแก้วกาแฟ

“คุณอิศขา ชงมาให้ใหม่แล้วค่ะ รับรอง หวานชัวร์ค่ะ วันชิมแล้ว”
อิศราชะงัก หันมองหน้า
“อุ๊ย เอ้อ...คือ วันหมายถึง วันชิมไปนิดเดียวค่ะ”
“งั้นก็ดื่มไปให้หมดเองเลยแล้วกัน”
อิศราฉุน ลุกเดินออกไปอย่างหงุดหงิด วันยืนเก้อ
“เหมือนถูกคำสั่ง ให้ประหาร ดุจยืนฟังศาล อ่านคำพิพากษา” วันยกแก้วดื่มแล้วหวานเกิน “หว๊านหวาน”
วันดื่มกาแฟจนหมด รสหวานเกินไป จนตาเหล่

ดวงแก้วนั่งทำบัญชีรายรับรายจ่ายของไร่ เจริญขวัญมาทางเบื้องหลังสวมกอด หอมแก้มแม่
“ยังไม่นอนอีกเหรอคะแม่ พอได้แล้วล่ะค่ะ” เจริญขวัญปิดสมุดบัญชีให้ “นั่งทำบัญชีมาหลายชั่วโมงแล้ว เงินไม่งอกขึ้นหรอกค่ะแม่”
“ใครว่า งอกแล้วลูก นี่ เดือนนี้เราขายของได้ตั้งเยอะนะแบ่งตัดหนี้ไปได้เยอะเลย”
“ปรากฏว่าเวลาเราไม่อยู่ พืชผลกลับขายได้ แปลกนิ”
ดวงแก้วมองจับความรู้สึก “ทำไม...พูดแบบนี้ อยากไปกรุงเทพฯ แล้วหรือ”
“ก็ มาหลายอาทิตย์แล้วนี่คะ แล้วที่พี่อิศลงคอร์สเรียนวาดรูปให้ ขวัญก็ยังเรียนไม่ครบเลย เอ้อ วันนี้พี่อิศ ไลน์มาค่ะแม่ บอกว่าพี่วันชงกาแฟให้ ขมปี๋เลย” หญิงสาวหัวเราะ “ขวัญว่า พี่อิศคงสั่งพิซซ่าทานทุกวันแน่เลย”
“เหรอจ้ะ แล้วคุณอิศว่าไงอีก”
เจริญขวัญยิ้มซ่อนความในใจ “ก็...แค่นี้ล่ะค่ะแม่”
ดวงแก้วหันมองมายังเจริญขวัญ เริ่มเอะใจมากขึ้น ท่าทีลูกสาวที่ดูห่วงอิศรามากเอาการอยู่ สุดท้ายดวงแก้วถามเสียงนุ่ม ท่าทีนิ่งๆ “หนูเป็นห่วงคุณอิศมากเลยเหรอลูก”
“ก็นิดหน่อยค่ะ เฮ้อ ขวัญง่วงแล้ว ไปสวดมนต์ก่อนนอนก่อนนะคะแม่
เจริญขวัญเดินไปทางห้องพระ ดวงแก้วเริ่มเข้าใจความรู้สึกลูกสาวมากขึ้น และนึกเป็นห่วง

เจริญขวัญปักธูป กำลังก้มกราบพระสามที ดวงแก้วเข้ามานั่งพับเพียบมองพระ อย่างกังวล รอจนเจริญขวัญกราบพระเสร็จจึงเอ่ยขึ้น
“ขวัญ พรุ่งนี้ไปวัดกับแม่นะ แม่อยากให้ขวัญดูอะไรหน่อย”
เจริญขวัญยิ้มสงสัยนิดหน่อย
“ค่ะแม่”

เช้าวันนี้ สองผัวเมีย นายดำ และ นางแดง นั่งรถกระบะที่ฝ่ายผัวขับแล่นมาตามถนน มุ่งหน้าสู่วัดบ้านไร่ ด้านหลังมีหญิงชรานั่งอยู่ ท่าทางเงอะงะ
“หิวข้าว”
แดงหันไปตวาด “เมื่อกี้ก็กินไปแล้ว กินแล้วก็บอกไม่ได้กินอยู่เนี่ย”
“หิวข้าว...แม่หิวข้าว ได้ยินไหม” หญิงชราร้องไม่หยุด
“ชั้นล่ะเบื่อฟังคำนี้เต็มที เบื่อคอยตามเช็ดตามล้างทุ๊กวัน ภาระจริงๆ เล๊ย”
หญิงชรามองสองข้างทางงงๆ รถแล่นไป

หลวงพี่กำลังกวาดลานวัดอยู่ มีโรจน์ช่วยเก็บกวาดใบไม้มากองๆ ข้างต้นไม้ แล้วชะงักเห็นรังมด โรจน์ทรุดตัวลงนั่งข้างต้นไม้ เห็นมดแดงไต่ต้นไม้ โรจน์มองเพลินแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับตัวเอง หลวงพี่มองโรจน์ แล้วส่ายหน้า เดินออกไปกวาดอีกทาง
รถกระบะคันหนึ่งขับเข้ามาในลานวัด เห็นชายหญิงผัวเมียคู่นั้นก้าวลงมาจากรถ หันมองซ้ายขวา แล้วเปิดประตูหลังรถ
โรจน์ชะเง้อมองอย่างงงๆ ก่อนจะลุกเดินออกมาดูเหตุการณ์
หญิงชรา ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ถูกประคองลงนั่งกอดกระเป๋า งงๆ กับตัวเองบริเวณศาลา

ดำวางกระเป๋าสัมภาระไว้ข้างตัวหญิงชรา มีกระบอกน้ำด้วย 1 อัน
โรจน์แอบมาหลบมองอย่างสงสัย
หญิงชรา คว้ามือลูกชาย 1 บอก “หิวข้าว”
“แม่...” ดำอึกอัก
แดงเร่งผัว “รีบไปเถอะน่า เดี๋ยวคนเค้าก็เอาไปไว้บ้านคนชราเองแหละ ไปเร็ว”
ดำตัดใจขึ้นรถไปกับเมีย ทิ้งให้หญิงชรามองตามด้วยสีหน้างงงวย โรจน์มองอยู่ด้วยสีหน้าตกใจ

สองผัวเมียเลี้ยวกลับรถหันหัวจะขับออกจากวัด สองคนมองไปที่กระจกหน้า แล้วต้องตกใจ ที่จู่ๆ โรจน์กระโดดเข้ามากางแขนขวางหน้าไว้
ดำร้อง “เฮ้ย”
โรจน์เกาะอยู่หน้าหม้อรถ
“แกทำอะไร แกเอาแม่แกมาปล่อยวัดเหรอ”
ดำตกใจ “มีคนรู้แล้ว เอาไงดีอีแดง ไปเอาแม่กลับมาก่อนมั้ย”
แดงยังตัดสินใจไม่ถูก ทำหน้าร้ายกาจ โรจน์ได้ยินคำว่าแม่ ยิ่งมั่นใจขึ้นและตกใจ โรจน์ทรุดตัวลงคุกเข่าพนมมือขอร้อง
“พวกแกอย่าทำอย่างนี้เลยนะ มันบาป บาปมากนะ ตายไปแกต้องตกนรกนะ จริงๆ พวกแก อย่าทิ้งแม่แกเลยนะ กูขอร้อง”
สองผัวเมียอึกๆ อักๆ
โรจน์ดีใจนึกว่าสองคนสำนึกได้ วิ่งกลับไปทีหญิงชราประคองลุก
“ไป ยาย กลับบ้านๆ”
แดงตีผัว “ไปๆ เร็วๆ สิ”
ทันใดนั้นเอง รถกระบะก็เร่งเครื่องออก วิ่งฝุ่นตลบไปเลย โรจน์ประคองหญิงชราอยู่ตกใจ
“อ้าว...เฮ้ย กลับมา มาเอาแม่แกไป”

โรจน์ประคองยายชรา ท่าทีละล้าละลัง
 
อ่านต่อหน้า 3

เงา ตอนที่ 10 (ต่อ)

บนศาลาวัดบ้านไร่ตอนนี้ โรจน์ตักอาหารกับข้าวจากจานพลาสติกป้อนหญิงชราที่นั่ง มึนงงกับตัวเองอยู่ มีชาวบ้านที่มาทำบุญนั่งล้อมวง มีพระ หลวงพ่อเจ้าอาวาส และ มัคนายก ยืนดูอยู่ด้วยความเวทนา

“เอ้า อ้ำ กินอีกคำนะ” โรจน์ป้อน
หญิงชราเคี้ยวข้าวกิน
หลวงพ่อเจ้าอาวาส ถามขึ้น “โยม โยมชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน”
โรจน์มองหญิงชราอย่างสงสาร และสะเทือนใจ
“บ้าน” หญิงชรางง คิดไม่ออก “ลูกชั้นอยู่ไหน จะหาลูก”
“ความทรงจำเสื่อม” หลวงพ่อหันไปทางมัคนายก “ไปโทร.แจ้งตำรวจทีเถอะ”
มัคนายกเดินไป
เจ้าอาวาสถอนใจ “คนเรา หมาแมว เอามาปล่อยวัด ยังไม่ว่า นี่อะไร๊ แม่ตัวแท้ๆ โยม ฟังกันไว้นะ พ่อแม่เหมือนพระในบ้าน ตอนเราเด็กช่วยตัวเองไม่ได้ก็มือแม่มือพ่อนั่นแหละป้อนข้าวป้อนน้ำสอนให้พูดสอนให้เดิน พอพ่อแม่แก่ชราก็ต้องพวกเรานี่แหละคอยดูแล ตอบแทนบุญคุณ พ่อแม่ไม่ใช่ภาระของลูก แต่เป็นบุญที่ให้โอกาสลูกๆได้ทำ เนรคุณพ่อแม่น่ะ บาปกรรมหนักหนา เฮ้อ...”
โรจน์หอบหายใจแรง กระโดดลุกยืนพรวด
“โว๊ย”
มัคนายก กระโดดเกาะหลวงพี่อย่างตกใจ ชาวบ้านพากันงง

รถกระบะของดวงแก้ว แล่นมาจอดในลานวัด พุด กับ เจริญขวัญ ลงจากรถ
“แม่จะให้ขวัญดูอะไรที่วัดนี่คะ”
“ไปข้างในก่อนลูก”
ดวงแก้วพาเจริญขวัญเดินไปทางศาลา พุดหิ้วของตาม

โรจน์กำลังอาละวาดอยู่บนศาลา ถลามาหาเจ้าอาวาส “หลวงพ่อ ผมไม่ดีเอง ผมเห็นมันขับรถมาปล่อยยายไว้” ช่างเขียนรูปร้องไห้ “ผมห้ามมันไม่ได้ ผมจะบาปมั้ยหลวงพ่อ” โรจน์ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ใจเย็นๆ โยมโรจน์ บาปอยู่ที่คนทำ”
ดวงแก้ว พุด และเจริญขวัญ เดินขึ้นศาลา
“อ้าว เกิดอะไรขึ้นน่ะครับ หรือ ไอ้หมอนั่นมันบ้าขึ้นมาอีก”
โรจน์หันมาเห็นพุด ก็ถลามากระชากมือ
“แก...ไป ไปด้วยกัน ไปตามหาไอ้ลูกอกตัญญู” โรจน์ฉุดมือพุดรั้งไว้
“เฮ้ยๆ อะไร มาดึงทำไม”
“ไป ไปตามไอ้ลูกเนรคุณด้วยกัน ไป ลากคอมันมา”
“จะไปตามที่ไหน”
โรจน์โกรธมากและรู้สึกผิดด้วย “ชั้นจำเบอร์ทะเบียนรถได้ ไอ้คนเนรคุณ มันเอาแม่มาทิ้งเหมือนเป็นผ้าขี้ริ้ว ไอ้พวกระยำ! ไป ไปตามมันกัน”
“เฮ้ย ใจเย็น จะไปตามยังไงรถมีล้านๆ คัน”
“โว๊ย แกรู้ไหม” โรจน์ขัดใจ ดึงทึ้งหัวตัวเอง พลางหันไปหาชาวบ้าน “ไอ้คนอกตัญญูต่อพ่อแม่นะ เวลาตายต้องนรก มันจะถูกหั่นร่างเป็นชิ้นๆ ลิ้นจะถูกดึงสาวออกมายาว... แล้วก็หั่นทิ้ง ถูกกรอกน้ำไฟเดือด ๆ ร่างมันจะโดนเผาจน ตายแล้วฟื้นมาถูกหั่นร่างใหม่ ชั้นไปนรกมาแล้ว ชั้นเห็นมาแล้ว เชื่อชั้นนะ”
ดวงแก้วและเจริญขวัญที่เกาะกันอยู่ มองอย่างหวาดๆ พุดเอนหน้ามากระซิบ
“นั่น! ไปนรกมาแล้ว อาการกำเริบอีกแล้วครับ ไอ้หมอเนี่ย”
ดวงแก้วมองท่าทีโรจน์ แล้วชักไม่มั่นใจ

ไม่นานต่อมา ตำรวจคนหนึ่งกำลังซักถามโรจน์ที่นั่งกอดเข่าบอกเล่าเหตุการณ์อยู่ ตำรวจอีกคนและดวงแก้ว เจริญขวัญช่วยกันประคองหญิงชราจะพาขึ้นรถตำรวจ พุด กับ เจ้าอาวาส ยืนไม่ห่าง
“แน่ใจนะ ว่า ก.ท รถคันนี้ ที่มาทิ้งยายเขาไว้”
“แน่ใจๆ จำได้แม่นเลย ฉลาดนะ ไม่โง่” โรจน์บอก
ดวงแก้วและเจริญขวัญพายายมาที่รถตำรวจ
“ยาย ก้มหัวหน่อยนะจ้ะ”
มืออันเหี่ยวย่นของงยาย จับมือเจริญขวัญที่ช่วยประคองอยู่ เจริญขวัญตกใจนิดหน่อยมองยาย
ยายยิ้ม “ลูก ลูกมาพาแม่กลับบ้านใช่มั้ย”
เจริญขวัญสงสาร “โถ...ยาย”
ดวงแก้วกับเจริญขวัญประคองยายขึ้นรถตำรวจ รถเคลื่อนออก
“เลวจริงๆ ไอ้ลูกประเภททิ้งพ่อทิ้งแม่ได้นี่ หัวใจมันทำด้วยอะไร”
จู่ๆ โรจน์ก็โผล่หน้าเข้ามาหาตาพุดมองตามรถอยู่
“มันต้องตกนรกอเวจี”
ตาพุดสะดุ้งโหยง “เหยย
เจริญขวัญถามดวงแก้วขึ้นอีก

“แม่คะ แม่ว่าจะพาขวัญมาดูอะไรนะจ๊ะ”

ตรงมุมภาพเขียน เจริญขวัญดูรูปทีละใบ ดวงแก้วมองหน้าอย่างสำรวจ จนมาถึงภาพวาดนรก ที่มีท่านชายยืนอยู่ตรงกลางเป็นยมบาล

เจริญขวัญชะงัก เพ่งมอง
“ดูดีๆ สิลูก หนูว่าเหมือนใคร”
เจริญขวัญคราง “คล้ายๆ”
“ท่านชายวสวัต ใช่ไหมลูก” ดวงแก้วว่า
เจริญขวัญมองอีกครั้ง
“แล้ว ในภาพนี้ ...เขาเป็นใครคะ”
ดวงแก้วหันไปมองทางโรจน์ ที่นั่งอยู่กับตาพุด
“ต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจมาก ต้องถามคนวาด” ดวงแก้วหันไปจะถาม
“อย่าเลยค่ะแม่” เจริญขวัญวางรูป “แกยิ่งสติไม่ค่อยเต็มไม่ใช่เหรอคะ เดี๋ยวได้เพ้อเจ้อไม่หยุด ขวัญว่าบังเอิญมากกว่า ที่วาดคล้ายๆ ท่านชาย” เจริญขวัญหัวเราะบางๆ ให้แม่สบายใจ “ดูดีๆ ก็ไม่ค่อยเหมือนหรอกค่ะ แค่ผู้ชายหน้าขาวๆ จมูกโด่งเหมือนกันเอง”
“จ้ะ”
ดวงแก้วอึ้งไป ฝืนยิ้มไม่สบายใจอยู่ดี ตาจ้องที่ภาพวาดนรกที่วางอยู่เขม็ง

คอนโดเอกดนัยทั้งห้องดูเวิ้งว้าง อึมครึมม่านถูกรูดปิดหมด แสงสลัวแม้เป็นยามกลางวัน ผีเอกดนัยนั่งกอดตัวเอง ร้องไห้ ครวญคราง หิวโหยอยู่ในห้อง
“หิว...หิวเหลือเกิน..หิวเหลือเกิน”
ขณะที่ร้องไห้กอดตัวเอง โยกตัวไปมานั้น พื้นว่างบนโต๊ะปรากฏถาดที่อรอนงค์ถวายอาหารพระ มีอาหารใส่ถ้วย กับข้าว และขวดน้ำพลาสติก ตั้งในถาด ผีเอกดนัยมองเห็น ดีใจมาก ถลาไปที่โต๊ะ ดีใจ ร้องไห้
“พี่อร...ขอบคุณ...พี่อร...” ผีเอกดนัยร้องไห้ ขณะกำลังจะเอื้อมไปหยิบอาหาร ปรากฏควันฝุ่นสีดำ สามสี่ร่าง พุ่งมาเหมือนเงาดำเป็นทางเหมือนจะมาแย่งอาหาร ผีเอกดนัยอาละวาด โบกมือปัดป้อง อาการของผีที่ดุร้ายมากขึ้น น้ำเสียงกราดเกรี้ยว
“ไป๊ อาหารของกู ไม่ใช่ของพวกมึง..ไปให้พ้น...เขากรวดน้ำเอ่ยชื่อกูแล้ว...ของกูโว๊ย...ไป๊”
สายฝุ่นแสงสีดำสัมภเวสีหายไป
เอกดนัยยังคงหวาดระแวงกระโจนเข้าใกล้ถาดอาหาร ใช้มือตักข้าวและอาหารใส่ปากอย่างตะกรุมตระกราม
ขณะที่ผีเอกดนัยกำลังกินอย่างมูมมามอยู่นั้น ก็ต้องชะงักกึก หันขวับไปมองที่ประตู
“ที่นี่ล่ะค่ะ”
เสียง แอ๋ว ผู้จัดการคอนโดเจ้าเก่า เปิดประตู แล้วเบี่ยงตัวให้ สองสามีภรรยาเข้ามา แอ๋วกลัวแต่ทำเป็นยิ้มแย้ม ยืนใกล้ประตูไว้ สามีภรรยาเข้ามา ในห้องว่างเปล่า ไม่มีใคร
“ห้องน่าอยู่จังเลยนะคะคุณ”
หญิง 1 เหลียวดูรอบห้อง ก่อนจะเดินมาหยุดที่มุมรับแขก
แอ๋ว กล้าๆ กลัว มองรอบห้องหวาดๆ แต่ปากยิ้ม ขยับมาเพียงเก้าอี้ห้องครัว หญิง 1 ร่าเริงมายืนตรงประตูห้องนอน พูดกับสามี
“ห้องน่าสบาย ขนาดกำลังดีเลยค่ะคุณ”
ชาย 1หันมาทางแอ๋ว
“แต่ราคาเช่า แพงไปหน่อยมั้ยครับ สามหมื่น” ฝ่ายชายบอก
“โอ๊ย ห้องขนาดนี้ ทำเลใกล้ บีทีเอสแบบนี้ ไม่แพงหรอกค่า”
เอกดนัยยืนอยู่อย่างแค้นเคืองข้างๆ แต่ไม่มีใครเห็น
“ลดให้อีกนิดได้ไหมคะ”
“พวกมึงออกไป ที่นี่ห้องของกู”
ชาย 1 ถาม “ว่าไงครับ
เอกดนัยโผล่มาเข้าเฟรมระหว่างกลาง ชาย 1 และแอ๋ว
“ไม่ กูไม่ให้พวกมึงอยู่ พวกมึงออกไป”
“แหม นี่ไม่ใช่ห้องของพี่หรอกค่ะ เจ้าของเขาฝากให้เช่า”
เอกดนัยอาละวาดร้องลั่น
“โว๊ย...กูไม่ให้ใครอยู่ทั้งนั้น”
ประตูห้องที่เปิดค้างอยู่ ปิดดังปัง แอ๋วและสองสามีภรรยา สะดุ้งโหยง
“อุ้ย ว๊าย เอาอีกแล้ว”
หญิง 1ผวากอดแขนสามี “อุ้ย อะไรกันคะ”
“คือ ประตูมันไม่ค่อยดีอ่ะค่ะ เอ้อ...ตกลงคุณจะเช่าหรือไม่เช่าคะ”
ภรรยายืนเกี่ยวแขนสามีอยู่ เอกดนัยโผล่มาจากเบื้องหลัง หน้าตาดุร้ายและน่ากลัวเพิ่มขึ้น
“ออกไป..พวกมึง ออกไป๊”
เสียงเอกดนัยดังก้องขึ้น โบกสองมือไล่อย่างแรง จนหมอนอิงกระเด็นตกจากโซฟาลงพื้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งสามคนสะดุ้งโหยง ผีเอกดนัยมองหมอนอย่างประหลาดใจตัวเอง
แอ๋วเสียงสั่น “คุณ...จะเช่า...หรือไม่เช่า เผ่นก่อน เอ๊ย...ไปคุยกันข้างนอกมั้ยคะ ไปๆ ไปกันเถอะค่ะ”
แอ๋วรีบผลุนผลันเปิดประตูมือไม้สั่นออกไป สองสามีภรรยารีบตามออกไป
ประตูปิดลง ทั้งห้องว่างเปล่า ดูอึมครึมและน่ากลัว ผีเอกดนัยโผล่พรวดออกมาจากหลังม่านอย่างรวดเร็ว ใบหน้าดุร้าย ก่อนกระชากม่านปิดบังห้องตนเอง

คืนเดียวกันนั้น ชาลินีเดินเข้ามาในร้านไวน์ของท่านชายบนยอดตึก หล่อนเหลียวหาท่านชายไปทั่ว แต่ไม่เจอ จนเห็นบริกรเดินผ่านมาจึงหันไปถาม
“ท่านชายวสวัตล่ะ ท่านมาไหม”
“ท่านไม่ได้มาที่นี่หลายคืนแล้วครับ
ชาลินีผิดหวัง จะเดินออก สายตาเหลียวไปเห็นสาวสวย สองสามคนนั่งดื่มยิ้มหัวกันอยู่ ทั้งสามคนแต่งตัวเปรี้ยวโป๊ ชาลินีเห็นแล้วพาลหงุดหงิด

วันถัดมา ชาลินีเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านคุณหญิงอุ่น หงุดหงิดงุ่นง่านไปหมด ที่ไม่เจอหน้าท่านชาย
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าท่านไปไหน ไม่ได้เป็นเลขาท่านนี่”
“แต่เธอเป็นเพื่อนท่าน อย่างน้อยก็ต้องรู้บ้างสิ ว่าอยู่เมืองไทยหรือไปต่างประเทศ อะไรกัน พอยายสาวน้อยบ้านไร่เธอไม่อยู่ ท่านก็พลอยหายตัวไปด้วย เธอไม่สงสัยบ้างเหรอ”
อิศราฉุน “บ้า จะให้สงสัยอะไร ขวัญเขาก็อยู่ไร่ของเขา คุณนี่เพ้อเจ้อ”
ชาลินีกัดเล็บตัวเองคิดมาก “เมื่อคืนชั้นไปที่ร้านไวน์ของท่าน มีสาวๆนั่งกันเต็มเลย คงมารอจับท่านชาย ไม่มีวันเสียล่ะ ชั้นจะทำให้ท่านเห็น ว่า มีชาลินีคนเดียวเท่านั้น ที่คู่ควร”
อิศราลุกมาตบบ่า “เอ๊า เอาให้เต็มที่เลย คุณชาลินี”
อิศราหัวเราะล้อเล่น ชาลินีค้อนอิศรา แล้วคิดหมายมาด กังวลใจแบบลุ่มหลง

ค่ำนั้น ร่างท่านชาย ยืนบนยอดตึกมองสรรพสิ่ง สีหน้าขรึม เคร่ง สิริ ก้าวมากระซิบทางเบื้องหลัง ท่านชายถอนหายใจ พยักหน้ารับอย่างเหนื่อยล้า

ภายในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง แลเห็นอาแปะหน้าตาดูเป็นคนใจดี ถีบรถขายก๋วยเตี๋ยวมาตามถนน ระหว่างถีบมา อาแปะไอเป็นระยะ

ต่อมารถก๋วยเตี๋ยวมาจอดมุมหนึ่งในตรอก อาแปะลงจากรถมาก้มๆ มองๆ เห็นชายขอทานคนหนึ่ง เนื้อตัวมอมแมม ดูสกปรก นอนซุกอยู่ อาแปะเอาก๋วยเตี๋ยวใส่ถุงวางไว้ให้ข้างตัวขอทาน แล้วถีบรถจากไป

ไม่นานต่อมาเห็นรถอาแปะจอดอยู่แล้วริมถนน ลูกค้านั่งกินเสร็จที่โต๊ะพับ จ่ายเงินให้อาแปะ
“ขอบใจๆ”
ลูกค้าเดินจากไป อาแปะหันมาปัดเช็ดโต๊ะ ลมพัดใส่ร่างอาแปะมาวูบหนึ่ง อาแปะเงยหน้าเหลียวมอง เห็นร่างท่านชายเดินมาหาช้าๆ แล้วหยุดมองมา ยิ้มขรึม
“คุณชาย” อาแปะทักท่านชาย อย่างคุ้นเคยกัน

นานมาแล้ว อาแปะวัยหนุ่มราว 40 ปี กำลังเอาก๋วยเตี๋ยวใส่ถุงส่งให้เด็กคนหนึ่ง
“เอ้า เอาไปให้แม่ลื้อนะ” พลางควักเงินส่งให้อีกสิบบาท “นี่ เอาไปซื้อยาแก้ไข้ให้แม่ลื้อด้วยล่ะ”
เด็กรับยกมือไหว้ วิ่งไป อาแปะหันไปเก็บจานเดินไปล้าง
ระหว่างนี้มีขโมยคนหนึ่ง วิ่งตรงมาพร้อมกระเป๋าสะพาย โดยมีผู้หญิงคนหนึ่ง ร้องตะโกนวิ่งตาม
“ช่วยด้วย คนขโมยกระเป๋า ช่วยด้วย”
อาแปะมองไปตามเสียง ขโมยวิ่งมาจะผ่านรถเข็นของอาแปะ ทันใดนั้นเองอาแปะยกเก้าอี้กลมฟาดเข้าที่ท้องจนหัวขโมยล้มลง อาแปะเข้าไปดึงกระเป๋า แต่ขโมยสู้ ชกอาแปะหลายหมัด อาแปะสู้ตอบแบบมวยวัด จนในที่สุด ขโมยสู้ไม่ได้ วิ่งหนีไป แต่อาแปะเจ็บนั่งก้นจำเบ้า กอดกระเป๋าที่พื้น ปากแตก หญิง 1 เจ้าของกระเป๋า วิ่งมา
“กระเป๋าชั้น”
อาแปะส่งกระเป๋าให้ ผู้หญิงคว้ามา เปิดกระเป๋าตรวจสมบัติไม่ได้สนใจอาแปะสักนิด
“มีอะไรหายมั่งเปล่าเนี่ย โอ๊ย แย่จริงๆ”
ขณะที่อาแปะเช็ดเลือดที่ปาก มีมือยื่นมา อาแปะเงยหน้ามอง เป็นท่านชายยืนอยู่ ท่ามกลางท้องฟ้ากระจ่างทางด้านหลัง
อาแปะยื่นมือให้ท่านชายฉุดขึ้นมายืนคู่กัน ท่านชายยิ้มให้ อาแปะวัยหนุ่มยิ้มตอบ

อาแปะยิ้มเมื่อนึกถึงความหลัง เอาก๋วยเตี๋ยวมาวางตรงหน้าท่านชายที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ
“ได้แล้วครับ บะหมี่เกี๊ยว อย่างเคย”
ท่านชายยิ้ม “ขอบใจ”
อาแปะลงนั่งเช็ดเหงื่อ มองท่านชาย เห็นท่านชายทำทีเหมือนคีบตะเกียบไม้ แตะบะหมี่ แต่ไม่กิน
“ไม่ได้พบกันหลายปีแล้วนะครับ”
“วันนี้ฉันตั้งใจมาหา...เพื่อนเก่าไง”
อาแปะหัวเราะ “เพื่อนเหรอครับ แหม ท่านใจดี ไม่ถือตัวเลยแต่ว่า ท่านชายน่ะ มาทีไรก็สั่งบะหมี่แต่ไม่เห็นเคยกินเลย สั่งมาทิ้งเงินแล้วก็ไป วันนี้ไม่ได้นะครับ ชามนี้ ผมขอเลี้ยงนะครับ”
“เธอใจดี ชอบแจกคนนั้นให้คนนี้” ท่านชายแหย่ “มิน่า ไม่รวย”
อาแปะหัวเราะแล้วไอออกมาอีก รีบเอาผ้าปิดปาก “แหม ก็มีกินมีอยู่มีใช้ ไม่มีหนี้สิน ไม่เป็นภาระใคร...ผมว่าผมรวยแล้วล่ะครับ”
อาแปะก้มเอาผ้าปิดปากไอโขลกๆ ท่านชายปรายตามองขรึม สีหน้าเปี่ยมเมตตา
อาแปะมองมา “ท่านชาย จะกี่ปีๆ เหมื๊อนเดิมเลย ผมซะอีก แก่แล้ว”
“สังขารไม่มีอะไรคงทน มีแต่ความเสื่อม เป็นเรื่องธรรมชาติ” ท่านชายเยื้อนยิ้ม “แต่ความดีสิคงอยู่เสมอ จริงไหม”
“ก็จริงนะครับ” อาแปะยิ้มสดใส อย่างคนปล่อยวาง
ท่านชายปรายมอง อย่างรู้ว่าชายชรามีอายุไขอีกไม่นานจริงๆ
“เวลาที่ผมคิดถึงสิ่งที่อยากทำแล้วได้ทำ ก็มีความสุข นี่เมื่อสองเดือนก่อนนะ ผมตั้งกองผ้าป่าช่วยที่วัดสร้างห้องน้ำด้วย” อาแปะหัวเราะ
“ฉันรู้”
ท่านชายยิ้มให้ อาแปะยิ้มตอบ แล้วท่านชายก็ขมวดคิ้ว ปรายตามองมาทางหนึ่งของถนน
เห็นรถคันหนึ่งแล่นมาอย่างเร็วและแรง
หนุ่มนักซิ่งในรถคันนั้น ขับไป อ่านไลน์ไป หัวเราะขำ

สีหน้าท่านชายนิ่งขรึม รู้อยู่ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ท่านชายปรายตาจากถนนมามองหน้าอาแปะอย่างจริงจัง และพูดเร็วขึ้นเหมือนแข่งกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
“จิต ให้คิด ยึดแต่เรื่องกุศลกรรมที่เคยทำไว้นะ”
อาแปะงงมองท่านชาย “ท่านชายหมายความว่ายังไงครับ”
ท่านชายสีหน้านิ่งมองอาแปะ แต่ดูเหมือนมีรัศมีเปล่งออกจากตัวของท่านชาย แสงนั้นสาดเข้าไปที่หน้าของอาแปะด้วย อาแปะตะลึงมอง ห้วงเวลาของทั้งสองคน ดูสงบนิ่ง รัศมีล้อมทั้งคู่ไว้ เหมือนนั่งอยู่ในห้วงจักรวาลสีฟ้าท่ามกลางเกล็ดเพชรเกล็ดดาว
อาแปะครางเบาๆ สีหน้าตะลึง “ท่าน...ชาย”
แสงสว่างเรืองรองรอบตัวท่านชายที่ยิ้มมา “วิบากของเจ้าและกรรมของเจ้า ทำให้ถึงเวลาที่จะตัดรอนชีวิตของเจ้าบนโลกนี้แล้ว ทำให้ถึงเวลาที่เจ้าจงจับจิตให้นิ่ง คิดแต่เรื่องที่เป็นสุข เป็นกุศลเอาไว้ เจ้าจะได้ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น ตามบุญที่เจ้าได้ทำ”

อาแปะที่มีตะลึงอยู่ สีหน้าคลายลงเป็นสงบลง ในแววตามีร่องรอยฉงนอยู่

รถของหนุ่มซิ่งที่กำลังอ่าน เล่นมือถืออยู่พลางขับรถนั้น พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เห็นคนขี่รถจักรยานตัดหน้ารถพอดี หนุ่มนักซิ่งตาเหลือก หักพวงมาลัยเต็มแรง

อาแปะนั่งตะลึงมองท่านชายในแสงออร่านั้น โดยที่ด้านข้างรถของหนุ่มนักซิ่งแถมาหาตัวอาแปะ รถพุ่งเข้าเสยโต๊ะที่อาแปะนั่ง
ผู้คนข้างทางร้องกรี๊ด หนุ่มนักซิ่งรีบลงจากรถ
“ผมไม่ได้ตั้งใจนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ” เขากดมือถือมือสั่น “พ่อครับ...พ่อ ช่วยผมด้วย”
เบื้องหน้า ร่างอาแปะนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นถนน คนเริ่มมุงมากขึ้นๆ

ไม่นานต่อมา วิญญาณอาแปะลุกขึ้น ยืนงงๆ อยู่ข้างท่านชาย แล้วนิ่งสงบ
ท่านชายยิ้มให้ “ไปตามทางที่จิตอันเป็นกุศลของเจ้านำพาไปเถิด เบื้องบนรอรับเจ้าอยู่ เราขออนุโมทนา”
วิญญาณอาแปะยิ้มสงบยกมือพนมก้มหัวไหว้ แล้วจางหายไปในแสงสีขาว
“ไม่ว่าชั่วดี มีใครบ้างที่จะหนีพ้น ความตาย”
ท่านชายมองไปทางหนุ่มนักซิ่งคนขับรถที่กำลังพูดมือถืออยู่ ตาเข้มดุ
“ตำรวจยังไม่มาครับพ่อ..พ่อ ช่วยผมด้วย”
ท่านชาย สิริ และ ภุมมะ มองจ้องอยู่
“ความประมาท และกรรมที่เกี่ยวโยงกัน มันจึงต้องทำให้คนต้องตาย มันจะหนีรอดจาก บทลงโทษทางกฎหมาย แต่มันจะหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม! สิริ!”
“เจ้าข้า”
“จดบันทึกความผิดบาปของมัน! รอเวลาที่มันจะต้อง ชด ใช้ กรรม”
“เจ้าข้า”
ท่ามกลางบรรดาคนมุงอาแปะ กับหนุ่มนักซิ่งที่วิ่งพล่านพูดมือถือไม่หยุด ไม่มีร่างท่านชายและสิริภุมมะ อยู่ตรงนั้นแล้ว

อีกวันหนึ่ง ชาลินีมีงานถ่ายแบบแฟชั่นนิตยสาร และกำลังถ่ายแบบอยู่ในสตูดิโอแห่งนี้ หล่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าหลายชุด ซึ่งมีทั้งแบบสวยจนถึงเปรี้ยวโป้ มี โอ กะเทยสไตลิสต์ คอยยืนกำกับข้างช่างภาพ
ถ่ายชุดสุดท้ายเสร็จสิ้น ผู้ช่วยสไตลิสต์เอาชุดคลุมมาให้ชาลินีสวม ขณะชาลินีเดินมาดูภาพหน้าจอมอนิเตอร์ ที่โอดูอยู่
“ใช้ได้ไหมคะ พี่โอ”
“โอ๊ย สวยหยาดเยิ้ม เซ็กซี่สุดๆ ไปเลยค่า คุณชาลินี”
“เอ...สวยแบบนี้ จะได้ขึ้นปกหรือหน้าในล่ะค่ะ”
“เอ้อ ก็...แบบว่า...”
“ไม่ได้ขึ้นปก ชาไม่ยอมนะ” ชาลินีงอน “เดี๋ยวไม่ช่วยขายบัตรกาล่าแฟชั่นโชว์ของพี่โอน๊า คุณแม่จะช่วยขายให้ตั้งสิบโต๊ะ”
“โอ๊ย..สวยขนาดนี้ ไม่ขึ้นปกไม่ได้หรอกค่า แหม พี่โอยังพูดไม่ทันจบเลย”
ชาลินีหัวเราะหัวใคร่กับโอ แต่โอแอบหันหน้าหนีมาเบ้ปากแหยะๆ อย่างหมั่นไส้ ส่วนชาลินีมองภาพถ่ายของตัวเองในจอมอนิเตอร์อย่างภาคภูมิใจ

ชาลินียังอยู่ในชุดคลุม นั่งให้ช่างทำผมแกะผมให้อยู่
“ให้ป้าแจ๋วล้างหน้าให้เลยมั้ย คุณชาลินี” ช่างหน้าบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อไปแบบนี้เลย” ชาลินีเย้าแหย่เล่นกับช่างหน้า “สวยออก”
ช่างหน้าสอพลอ “จริงค่า สวยสุดๆ เชิญตามสบายเลยนะคะ”
ผู้ช่วยบอก “หนูขอไปดูเซ็ตข้างในก่อนนะคะ”
“ตามสบาย ไม่ต้องห่วงจ้ะ”
สองคนเดินออกไป ชาลินีดูหน้าตัวเองในกระจกอีกครั้ง ก่อนลุกไปเปลี่ยนชุด

ชาลินีเดินเข้ามาในห้อง รูดผ้าม่านปิดเริ่มถอดเสื้อคลุม จู่ๆ ไฟเพดาน ดับลง
ชาลินีถอดชุด และหยิบชุดของตัวเองที่แขวนอยู่บนราวในห้อง
จังหวะนี้ ผ้าม่านด้านหลังชาลินี เห็นเงาคล้ายมือคนค่อยๆ ไล่ระผ้าม่านไปตามขวาง ชาลินีรู้สึกวูบวาบจนขนลุกเกรียว หันขวับไปที่ผ้าม่าน เห็นผ้าม่านนิ่งสงบ แต่ชาลินีเอะใจ รวบเสื้อกอดกับตัวเอง ถอยหลังชิดกำแพง
“ใครน่ะ มีใครอยู่ข้างนอกหรือเปล่าคะ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ ชาลินีรีบใส่เสื้อ
ที่หน้าห้องลองเสื้อผีเอกดนัยที่บัดนี้หน้าตาโหดเหี้ยม น่ากลัวกว่าเคย ยืนดุดันอยู่
ชาลินีรีบสวมเสื้อผ้าจนเสร็จ หันมาต้องชะงัก มองที่พื้น เห็นเงาขาใครแวบๆ ยืนอยู่หลังม่าน สีหน้าชาลินีตื่นตระหนก
เสียงผีเอกดนัยดังขึ้นแหบโหยเบาๆ “ชา...”
“ใครน่ะ” ชาลินีสะดุ้งสุดตัว หอบแรง เสียงแทบไม่มี “ใคร” แต่พยายามฝืนยิ้มถามอีก “ป้าแจ๋วเหรอ อย่ามาแกล้งกันอย่างนี้สิคะ”
เงียบไม่มีเสียงตอบ ชาลินีหอบหายใจอย่างตื่นตระหนก
หากมองจากมุมสูงลงมา จะพบว่า ชาลินี ยืนประจันหน้ากับผีเอกดนัย โดยมีเพียงผ้าม่านขวางกั้นอยู่ เสียงหัวใจชาลินีเต้นโครมคราม ในความเงียบ
ชาลินีกล้าๆกลัวๆ ยื่นมืออันสั่นระริกไปที่ม่าน ผีเอกดนัยยิ้มมุมปากรออยู่ ชาลินีตระหนก ยื่นมือไปถึงม่าน กระชากเปิดสุดแรง
แทนที่จะเป็นผีเอกดนัย แต่กลับเป็นช่างหน้า กำลังจะเดินมา ถึงสะดุ้งโหยง ร้อง “ว้าย” พร้อมกัน
ช่างหน้างง “อะไรค้า คุณชาลินี ป้าแจ๋วตกใจหมดเลย”
ชาลินียังตัวสั่น มองไปรอบๆ
“คุณชาลินี ทำไมมองป้าแจ๋วเหมือนเห็นผีอย่างนี้ล่ะคะป้าแจ๋วกลัวนะ”
ชาลินีพูดแทบเป็นตวาด “ก็ป้าแจ๋วนั่นแหละ เล่นอะไรก็ไม่รู้ ชากลัว รู้มั้ยคะ ไปล่ะค่ะ”
ชาลินีสะบัดหน้า หงุดหงิดสุดขีด รีบคว้ากระเป๋าเดินฉับๆ ออกไป ช่างหน้างง

“เอ๊...อะไรอ่ะ อยู่ๆ มาวีนชั้น ชั้นไปทำอะไรให้หรา โอ๊ย แจ๋วเป็นงง”

อ่านต่อหน้า 4

เงา ตอนที่ 10 (ต่อ)

อิศราเดินเข้ามาในห้องโถงหน้าบันไดเวียน มือถือดังขึ้น อิศรากดรับ

“ว่าไง นิกร”
นิกร เช็ดรถอยู่ที่บ้านตัวเอง พลางพูดมือถือ
“เฮ้ย มีเรื่องจะกวนหน่อยว่ะอิศรา เรื่อง พนันกับไอ้สมชายเรื่องจับผิดคนทรงน่ะ ขอยืมบ้านนายได้ไหม เราอยู่คอนโด ส่วนบ้านไอ้สมชายก็ไม่ได้ เมียไม่ยอมเล่นด้วย หาว่าจะเอาผีเข้าบ้าน”
“เออ ดีนะ อยู่ๆ จะมาเอาผีมาเข้าบ้านเรา”
“น่า..นะ เสร็จแล้ว เราก็จัดเป็นปาร์ตี้ไปเลย เราเลี้ยงเหล้าเอง นะ” นิกรอ้อน
“โอเค” อิศราหัวเราะขำ กดปุ่มปิดหันมา แล้วชะงัก รู้สึกเหมือนถูกมองอยู่
อิศราขนลุกเหลียวไปมองทางด้านหลัง แต่ไม่มีใคร พอหันมองไปทางด้านหัวบันได ไม่มีใครอีก อิศราคิดว่านึกไปเอง จึงหันหลังกลับ แล้วต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นท่านชายยืนอยู่แล้วที่กรอบประตูหน้าบ้าน
อิศราสะดุ้งสุดตัว “ท่านชาย”
ท่านชายยิ้มบางๆ ขณะเดินเข้ามาหา
“ขวัญอ่อนจริงนะ อิศรา”
“โธ่ ก็ท่านชายมาเงียบๆ”
“แล้วจะให้ฉันมาเอะอะ สักขนาดไหนล่ะ ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์เรื่องผีๆ หรือจะเห็นชั้นเป็นผีไปซะแล้ว” ท่านชายยิ้มหล่อ

อิศราพูดพลางเดินมานั่งลงตรงโซฟา พร้อมกับผายมือเชิญท่านชายนั่ง
“นิกรจะขอยืมบ้าน จับผิดคนทรงที่ผมเคยเล่าน่ะครับ”
ท่านชายยิ้ม แววตามีริ้วรอยนึกสนุก
“อยากพิสูจน์เพื่ออะไร”
“จะได้รู้ว่าเจ้าสมชายมันเซ่อไปให้เขาหลอกหรือเปล่าน่ะครับผีสางเทวดาที่ไหนจะมาอยู่ร่วมกับมนุษย์ ผมว่าเหลือเชื่อไปหน่อย”
ท่านชายหัวเราะ “นั่นสินะ เหลือเชื่อจริงๆ”
ชาลินีเดินเร็วรี่เข้ามาพร้อมสะพายกระเป๋า และมี ipad ในมือ
“ท่านชาย ท่านชายจริงๆ ด้วย” ชาลินีเนื้อเต้น ถลามานั่งใกล้ “ท่านชายไปต่างประเทศมาเหรอคะ” แล้วหันมาตีแขนอิศรา “อิศนะ ท่านชายกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่บอก นี่ถ้าชั้นไม่แวะมาก็ไม่รู้สินะ”
“ท่านก็เพิ่งมานี่แหละ ท่านชายครับ นี่ถ้าท่านชายหายไปนานกว่านี้ ผมว่า มีคนคลั่งแน่ๆ” อิศราแหย่ “ดีนะ มาเจอกันเอง”
“เขาเรียก คนเขาใจตรงกันต่างหาก” ชาลินีหันมาหวานกับท่านชาย “ชาคิดถึงท่านชายจังเลย รู้ตัวไหมคะ”
ท่านชายยิ้มในแววตา “รู้สิ”
ชาลินีฟังแล้วฟิน เปิดipad โชว์ “ท่านชายขา ชาเพิ่งไปถ่ายแบบนิตยสารมาค่ะ นิตยสารเล่มนี้ ถ้าไม่ไฮโซจริง ไม่ได้ลงปกหรอกนะคะ” หล่อนเปิดภาพโชว์ให้ท่านชายดู “ดูสิคะ ชาสวยพอใช้ไหมคะ”
ท่านชายมองหน้าชาลินีไม่ได้มองภาพแฟชั่น “เธอก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเธอ สวยมาก”
ชาลินีฟินเวอร์ ยิ้มปลื้ม ท่านชายลุก
“ฉันเห็นจะต้องไปก่อน แวะมาเพื่อให้รู้ว่าฉันกลับมาเมืองไทยแล้ว”
“อะไรคะ ชาเพิ่งมา ท่านก็จะไปแล้วเหรอคะ”
“ฉันมีงานต้องทำ”
“แล้วเรื่องมาดู จับผิดคนทรงล่ะครับท่านชาย”
ท่านชายพูดขำๆ ทีเล่นทีจริง “แล้วฉันจะมา เผื่อว่า คนทรงจับผีไม่ได้ ฉันจะจับให้ดู”
“จริงสิ เหมือนที่วังวันนั้น ถ้าท่านชายไม่บอกว่าอัดเทปไว้ ผมยังเกือบเชื่อเลย”
ท่านชายเพียงยิ้มบางๆ

ภายในร้านอาหารหรู มีลูกค้านั่งอยู่ประปราย หมอไพโรจน์ และ นิกร นั่งตรงข้ามกัน มีอาหารวางอยู่ตรงหน้า นิกรนั้นยังมีอาการปวดเมื่อย คอ และบ่าไม่หาย
ไพโรจน์ส่งยาให้ “เอ้า ยาคลายเส้น คลายปวดกล้ามเนื้อ”
“ขอบคุณครับอา เฮ้อ เป็นอะไรไม่รู้ครับ ปวดคอเมื่อยบ่าตลอด”
“ไปทำอะไรมา ถ้าปวดมากก็ต้องไปหาหมอนะ”
“แหม ก็มีอาแท้ๆ เป็นหมอนี่ไงครับ” นิกรว่า
หมอไพโรจน์กินไปคุยไป “กลับบ้านกลับช่องมั่งหรือเปล่าเรา เอาแต่ไม่เป็นโล้เป็นพาย พ่อแม่เขาบ่นห่วงอยู่”
“แหม...” นิกรเคี้ยวกิน “เอ้อ...อาเชื่อเรื่อง พวกทรงเจ้า เรื่องผีไหมครับ”
“ทำไม”
“ผมมีนัดกับเจ้าสมชาย จะจับผิดคนทรงที่ว่าคุยกับผีได้น่ะครับ จะจัดปาร์ตี้จับผีที่บ้านเจ้าอิศรา อาหมอเป็นนักวิทยาศาสตร์ สนใจไปศึกษาพวกวิญญาณศาสตร์นี่ไหมครับ”
ไพโรจน์ชะงัก นึกถึงคำพูดท่านชายวสวัตขึ้นมา
“มองดูให้เห็นเนื้อหาของมันสิหมอ อย่ามองเพียงภาพลวงตา
ไพโรจน์ซ่อนความสนใจไว้ ทำเฉยๆ กลบ “เหมือนพวกที่เล่นผีถ้วยแก้วงั้นสิ”
“อาหมอก็ไปดูเองสิครับ เห็นเจ้าอิศว่าท่านชายก็จะมาด้วยนะครับ”

คราวนี้หมอไพโรจน์สนใจเต็มๆ

ขณะเดียวกันที่บ้านคนทรง ภายในห้องหับที่ปิดหน้าต่างดูมิดชิด มีรูปปั้น ในนั้นเกรอะกรัง และ หุ่นดินมัดคู่หลายตัววางบนพาน

ส่วนบนเสื่อคนทรงกำลังใส่เสื้อ ในขณะที่ หญิง 1 ร้องไห้กระซิกๆ พลางใส่เสื้ออยู่ดูออกว่าเพิ่งผ่านกิจกรรมเข้าจังหวะกันหมาดๆ คนทรงมองกึ่งรำคาญ กึ่งย่ามใจ ขยับมาหา แตะผมหญิงนางนั้น
“อย่าร้องไห้ไปเลย บอกแล้วไง ว่าพิธีการได้เสียกับฉันนี่ มันจำเป็นถ้าอยากจะให้ผัวกลับมา แล้วก็ผัวรักผัวหลง”
หญิง 1 นางนั้น พยักหน้า
“เดี๋ยวอาจารย์ จะทำหุ่นให้ขี้ผึ้งให้คืนนี้แหละ อ้อ...ของที่ให้นำมาด้วย เอามาไหม”
หญิงนางนั้นได้แต่พยักหน้า
มือหญิง1 ถือสร้อยทองขึ้นมาชูให้เห็น คนทรงยิ้มกระหยิ่ม โดยที่มุมมืดในห้อง ร่างของกุมารน้อยนั่งกอดเข่าหันหลังให้ และยังคงโดนล่ามโซ่ที่คอ

พอหญิง1ออกจากห้องคนทรงยกสร้อยทองขึ้นมาดู มือถือที่พื้นดัง คนทรงหยิบมากดรับ
“ฮัลโล...อ้อ คุณสมชาย.. ได้สิครับ เวลาเดิม” คนทรงวางหูหัวเราะหึๆ “ไอ้พวกอยากลองของ ก็ดี ให้มันเห็นฤทธิ์ข้า จะได้ ได้ลูกค้าเพิ่ม”
คนทรงใจบาป หัวเราะหึๆ มองสร้อยทองด้วยสายตาละโมบ

เย็นนั้น วันและสีถือถาดเสิร์ฟน้ำแขกอย่างขะมักเขม้น ในบ้านตอนนี้ มีอิศรา นิกร แฟนสาวนิกร เอก และแฟนสาว ที่กำลังหัวเราะเฮฮากันอยู่ สาวๆ ต่างแต่งกายเปรี้ยว
“น้ำค่ะ” วันตาหวานเสิร์ฟน้ำ
นิกรโวย “อะไรวะ อิศ เสิร์ฟแค่น้ำเหรอ”
“เฮ้ย ก็รอให้เสร็จเรื่องก่อนซี่ ค่อยดื่ม เดี๋ยวเมาก่อนจับผีไม่ได้นะ”
“อะไรนะคะ จับผี”
วันสะดุ้งโหยง หน้าตาเลิกลักหันมองหน้ากับสี แล้วมาเลียบๆ เคียงๆ ถามกับอิศรา
“คุณอิศ คุณอิศกับเพื่อน จะทำอะไรกับ ผะ ผะ ผะ ผีเหรอคะ”
อิศราบอกหน้าตาเฉย “จะจับผี”
วันเหวอถอยหลังกรูดมาหาสี “อะไรกันน่ะ”
“จะไปรู้เหรอ”
สมชายเดินมากับแฟนสาว เข้ามาสมทบ
“เฮ้ พวก”
ทั้งหมดหันไป
“อาจารย์มาแล้ว”
สมชายเบี่ยงตัว คนทรงเดินหน้าขรึมเข้ามา มีเพียงกระเป๋าผ้าสะพายบ่า กวาดตามองรอบอย่างสำรวจ

ต่อมา ทุกคนย้ายเข้ามาในอีกห้องหนึ่ง คนทรงกำลังปูผ้าขาวหน้าโต๊ะที่มีพระพุทธรูปองค์เดียว เทียน และ กระถางธูปที่วางตั้งไว้เกือบกลางห้อง คนอื่นๆ นั่งบ้างยืนบ้าง รอบๆ
วันและสีแอบดูอยู่หน้าประตูห้องที่แง้มอยู่ สมชายเอ่ยขึ้น
“เอานะ เดี๋ยวพวกนายอยากรู้อะไร ถามได้เลย บางเรื่องนะ พวกนายจะนึกไม่ถึง ว่าอาจารย์จะรู้”
“ถามเลขล็อตเตอรี่ได้มั้ย” อิศราหัวเราะ กระทุ้งนิกรหัวเราะตามกัน
คนทรงตวัดตามอง
“ไม่ได้ครับ เรื่องพรรค์นั้น โชคของใครก็ต้องเป็นของคนนั้น”
“อ้าว” อิศรายังแอบหัวเราะกับนิกร “ไหนว่าถามได้ทุกเรื่อง”
คนทรงตวัดตามอง ดูออกว่าไม่พอใจ

ระหว่างนี้หมอไพโรจน์ เดินเข้ามาในบ้าน ท่าทางยังเก้กัง มองหาคน ชาลินี เดินตามหลังเข้ามา
“อ้าว อาหมอ มาด้วยหรือคะ” ชาลินียกมือไหว้
หมอไพโรจน์รับไหว้ “เจ้านิกรมันชวนน่ะ” พลางหันมองหา “นี่อยู่ที่ไหนกัน อามาเร็วไปหรือเปล่า”
“ไม่เร็วหรอกค่ะ สงสัยจะห้องทางโน้น เชิญค่ะ”
ชาลินีเดินนำหมอไพโรจน์ไปทางห้องแดงในบ้าน

ภายในห้องตอนนี้ คนทรงนั่งกำธูปไหว้พระอยู่ คนอื่นรายล้อม ชาลินี พาหมอไพโรจน์เข้ามา อิศรา กับ สมชายหันไปไหว้ทักหมอ
“อ้าว อาหมอมาพิสูจน์ด้วยเหรอครับ”
“มาตามคำเชิญพ่อหลานชาย”
“ท่านชายล่ะ อิศ”
“ยังไม่มาเลย”
คนทรงปักธูปเสร็จ ถามขึ้น ”เรียบร้อยกันหรือยังครับ”
“เริ่มเลยก็ได้ครับ จะได้ไม่เสียเวลา” นิกรบอก
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอให้ปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย พวกคุณจะได้ไม่สงสัย ว่าผมมาเล่นกลอะไรให้พวกคุณดู”
อิศรายิ้มขำ ไม่เชื่อพอๆ กะนิกร
“เอาๆ” นิกรเดินมาหน้าห้องพูดกับวัน “ช่วยไปปิดประตูหน้าบ้านด้วยนะครับ”
“ค่ะๆ” วันวิ่งไป สีตาม
นิกรปิดประตู

ขณะที่ สีและ วัน ช่วยกันปิดประตูลงกลอน หน้าตาหวาดหวั่นทั้งคู่ ประตูไม้บานใหญ่ถูกวันปิดลงช้าๆ โดยไม่รู้ว่า ด้านหลังเป็นผีเอกดนัยยืนอยู่ ด้วยสีหน้าโหดเหี้ยมดุร้าย น่ากลัวเป็นที่สุด

ภายในห้องแดงตอนนี้ คนทรงนั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้กลางห้อง ใบหน้าเคร่งขรึม สมชายสะกิดเพื่อนๆ ให้นั่งลงรายล้อม ชาลินีนั่งข้างอิศรา ถัดมาคือหมอไพโรจน์ ทั้งห้องสลัวราง มีเพียงแสงจากเทียน และโคมไฟมุมห้อง

“ให้ปิดประตูหมดแบบนี้ แล้วท่านชายจะเข้ามายังไง” ชาลินีบ่น
“เดี๋ยวคนข้างนอกก็บอกเองแหละ หรือคุณจะออกไปรอท่านข้างนอก” อิศราว่า
“เรื่องอะไร จะให้ชั้นไปนั่งหง่าวคนเดียว”
“งั้นก็เงียบๆ ชู่ว์ เริ่มแล้ว”
ชาลินีหันไปมองคนทรง หมอไพโรจน์มองตาม คนในห้องเริ่มเงียบเสียงลง ควันธูปลอยวนบางๆ คนทรงพนมมือทำปากขมุบขมิบ ดูน่าเลื่อมใส
สมชายยกมือพนมกับแฟน คนอื่นลังเล ค่อยๆ พนมมือตาม ยกเว้น หมอไพโรจน์ อิศรา ชาลินี
คนทรงที่หลับตาอยู่ มือเริ่มสั่นพับๆ หมอไพโรจน์มองจ้อง
นิกรแอบขำคิก “องค์ท่าจะลงแล้ว”
คนทรงตัวสั่นมากขึ้น แทบจะเด้งลอย และกลายเป็นเหยียดเกร็ง
โดยที่คนอื่นๆ ไม่มีใครเห็น ร่างผีเปรตผอมแห้ง สวมชุดคลุมเก่าๆ ปรากฏที่ด้านหลังคนทรง แล้วพุ่งเข้าสวมสิงร่างของคนทรงทันควัน

คอคนทรงแหงนหงาย เปิดตาเหลือกเห็นตาขาวมากกว่าตาดำ ทุกคนเริ่มตระหนก สาวๆ แอบวี้ดเบาๆ ขยับเข้าชิด เกาะแฟนตัวเอง ต่างพนมมือกัน
อิศรามองอย่างขำขัน ไม่ค่อยเชื่อนัก หมอไพโรจน์มองอย่างสำรวจ ไม่เชื่อ
คนทรงกระดกหัวกลับลงมา ตาปรือ หน้าดูเปลี่ยนไปเป็นดุๆ เสียงก็เปลี่ยน
“ใคร...ใครเรียกข้ามา ใคร”
นิกรกระทุ้งสมชายเป็นเชิงบอก สมชายพนมมือ
“ท่าน..เป็นใครล่ะครับ”
คนทรงหันขวับมองตาที่ปรือกระพริบถี่ๆ เห็นตาขาวในดวงตา อ้าปากหัวเราะเสียงเหี้ยมเกรียมสมชายและแฟนสะดุ้งโหยง
“ข้า...ข้าคือ..องค์พ่อ”
“พ่อใคร” อิศรากระซิบชาลินี ขำๆ

ประตูบานใหญ่เปิดผลัวะออกทั้งที่ล็อกอยู่ แลเห็นควันสีขาวลอยอยู่ด้านหลังร่างท่านชายวสวัตที่ยืนทะมึนอยู่ตรงกรอบประตู ใบหน้าที่ก้มอยู่ ค่อยๆ เงยขึ้น นัยน์ตาดุดัน

ส่วนในห้องแดง คนทรงหันขวับรับรู้การมาของพญามาร สีหน้าตกใจนัยน์ตาเหลือกลานขึ้น
“ท่าน...ท่าน เสด็จมา” พูดเท่านั้นคนทรงก็เหยียดร่างเกร็ง และทันทีที่สิ้นเสียง ไฟในห้องดับพรึบลงสาวๆ ร้องกรี๊ด

วันและสีแอบฟังผ่านประตูหน้าห้อง ถึงกับตกใจที่ไฟดับเช่นกัน ล้มก้นจำเบ้า พอเงยหน้าก็ยิ่งตกใจ
เมื่อเห็นท่านชายก้าวเข้ามา ไม่ได้มองวันและสี ร่างท่านชายสูงยาวกว่าเคย
วันร้อง “ว้าย”

ประตูห้องแดงเปิดผลัวะออก ร่างท่านชายยืนอยู่เป็นเงาดำ เห็นกรอบรูปร่าง ไม่เห็นหน้า ลมพัดวูบเข้ามาพร้อมกัน แรงจนเทียนดับ สาวๆ กรี๊ด ต่างออไปอยู่เกาะที่เดียว
ท่านชายหัวเราะน้ำเสียงเย้ยหยัน ฟังแล้วน่ากลัว ผีเปรต 1 วูบออกจากร่างคนทรงหันมามองท่านชายอย่างลนลาน ถอยหลังแล้วหายวูบไป
ร่างคนทรงกระตุกแล้วคออ่อนคอตกพับ ร่วงลงกองกับพื้น
อิศราเพ่งมองไปยังประตู “นั่นใครน่ะ”
ท่านชายก้าวผ่านเงามืดเข้าสู่แสงสว่างรางๆ ในห้อง สีหน้าท่านชายเยื้อนยิ้มปกติ มีรอยขำนิดๆ
“ฉันเอง”
“โธ่ ท่านชายนี่เอง”
ทุกคนผ่อนคลาย ถอนหายใจตามๆ กัน หมอไพโรจน์หายตะลึง รีบไปดูคนทรงจับชีพจร
“เฮ้ย ทำไมไฟดับ” นิกรร้อง
“ใครอยู่ข้างนอก วัน สี ไปดูหม้อแปลงไฟให้หน่อย” อิศราตะโกนบอก
“ค่ะๆ” วันกะสี วิ่งไป
ชาลินีปรี่ไปหาท่านชาย ยื่นมือไปเหมือนจะจับแขน พร้อมพูด
“ท่านชาย มาพอดีเลยค่ะ”
มือชาลินีเหมือนจะคว้าแขนท่านชายในเงามืด แต่ท่านชายกลับก้าวผ่านชาลินีมาทางคนทรง พูดเสียงเอื่อยๆ หัวเราะบางๆ
“พอมาถึงก็เห็นไฟดับ เล่นอะไรกันในที่มืดๆ”
“ก็อย่างที่ว่าล่ะครับ” อิศราว่า พลางหันไปหาไพโรจน์ “อาหมอ แกเป็นยังไงบ้างครับ”
“นั่นสิ ทำไมหงายเงิบไปอย่างนั้นล่ะครับ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาล่ะเป็นเรื่องแน่” นิกรบ่น
“ไม่เป็นไร ชีพจรก็ปกติ” หมอจับหน้าคนทรง “คุณ ได้ยินผมมั้ย”
ชาลินีกระซิบบอกท่านชาย “คนทรงน่ะค่ะ สงสัยตกใจท่านชายมาเลยเป็นลมไป”
“เมื่อกี้ยังทำท่าเหมือน” อิศรางงไม่เชื่อนัก “ลงองค์พ่อใครก็ไม่ทราบครับ แล้วอยู่ๆ ร้องเอะอะขึ้นมา ว่าใครเสด็จ”
หมอไพโรจน์เหลียวขวับไปมองท่านชาย
“แล้วท่านชายก็เข้ามาพอดี”
“แล้วลมมันมาจากไหนยังกะดีเพรสชั่น” สมชายว่า
นิกรบอก “เอ๊า ก็ท่านชายเปิดประตู ลมก็พัดเข้ามาน่ะสิ นี่ๆ ไม่ต้องเลย ชั้นว่า งานนี้นายแพ้พนันแล้ว”
คนทรงสำลักกระแอมกระไอ แล้วเงยหน้ามองผู้คนรอบตัวอย่างงุนงง สมชายปราดมาหา
“อาจารย์ เป็นยังไงบ้างครับ”
“เกิดอะไรขึ้น”
ทุกคนแทบวงแตก ส่ายหัวเอือมคนทรงทั้งแถบ
“เอ๊า ก็แบบมีองค์พ่ออะไรไม่รู้มาลงไงครับ แล้วอยู่ๆ ก็หายไป” นิกรกัด
“ผมหมายถึง เขากลัว อะไรอย่างหนึ่ง คงกลัวมากด้วย ถึงได้ไปกะทันหัน”
“หรือว่าจะกลัวฉัน” ท่านชายวสวัตหัวเราะ พูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่นให้ขำแต่ดวงตาดุ “ฉัน! ผู้มีอำนาจเหนือวิญญาณพวกนั้น วิญญาณ...ที่ไม่ว่าใครผู้ใด ก็ไม่มีสิทธิ์ บังอาจ เรียกมาได้”

คนอื่นพากันหัวเราะ คิดว่าท่านชายพูดเล่นยกเว้นสองคน คือ คนทรง ที่มองท่านชายอย่างสงสัย และหมอไพโรจน์ที่มองฉงน

ขณะนั้น วัน เอาปากคาบไฟฉายกำลังเปิดดูสวิทช์ หม้อแปลงไฟ กดปุ่มรีเซ็ต พลันห้องแดงที่มีเพียงแสงสลัวราง ไฟก็สว่างพรึบขึ้น ทุกคนคนพากันอุทาน โล่งใจ ถอนหายใจ

คนทรงหันมามองท่านชายอย่างเต็มตาด้วยความสงสัย
ท่านชายยิ้มให้ แต่แววตาดุดัน คนทรงมองอย่างเคลือบแคลง และรู้สึกเหมือนถูกดูถูกอย่างรุนแรง

เห็นไฟในบ้านสว่างแล้ว วันปิดไฟฉาย
“ฟิวส์ขาดหรือเปล่า อยู่ๆ ไฟดับ แกดูเป็นไหม ยัยวัน” สีถาม
“ชั้นดูเป็นที่ไหนเล่า” วันคว้ามือสีหมับ “เดี๋ยว ป้าสี”
“อะไร ทำไมทำเสียงแบบนี้ คนยิ่งกลัวๆ อยู่”
“ก็เรา ล็อคประตูหน้า ลงกลอนอย่างดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่อ่ะซิ ทำไม”
“แล้ว...แล้ว ท่านชาย เข้าประตูมาได้ยังไงอ่า”
สองคนจ้องหน้ากัน อาการขวัญหนีดีฝ่อ

ทุกคนในห้อง เริ่มคลายความหวั่นใจ มีเพียงคนทรงยังคงนั่งนิ่งขมวดคิ้ว สีหน้าไม่ยอมแพ้ นิกร เดินหาสมชาย
“ว่าไงล่ะ ชั้นว่านายแพ้แล้ว ท่าทางเหลวซะแล้ว”
“ไม่ครับ ผมไม่ใช่พวกหลอกลวง มันมีอะไรผิดปกติแน่ๆ”
ทกคนหันมองคนทรงเป็นตาเดียว คนทรงพนมมือหลับตา ทำปากขมุบขมิบ ครู่หนึ่งก็ลืมตา สีหน้างงงวยประหลาดใจมาก
“แปลกมาก”
ท่านชายขยับมาใกล้
“ให้ฉันลองไหมล่ะ”
คนทรงหันมามองท่านชาย
หมอไพโรจน์ฉงน “ท่านชายจะทำอะไรครับ”
“เรียกว่า สะกดจิตก็ได้” ท่านชายวสวัตก้มมองคนทรง ยิ้มเหมือนใจดี “ลองไหม แล้วนายจะได้เห็นอะไร หรือ ใครก็ตามที่ตัวเองไม่เคยเห็น”
อิศราเย้า นึกสนุก “เอาแล้ว หมอผีรุ่นเก่า เจอกับหมอผีรุ่นใหม่ให้แล้ว”
คนในห้องหัวเราะกันครืน คนทรงเดือดดาล โดนดูถูกหันขวับมามองท่านชาย
“คุณจะมาเก่งกว่าผมได้ยังไง อย่างเก่งก็แค่กลหลอกหลวง”
สมชาย อิศรา กะ นิกรร้องพร้อมกัน “อ้าว” / “เฮ้ย” / “เอาแล้ว”
ดวงตาท่านชายเหมือนมีแววจรัสแสงขึ้นวูบหนึ่ง รอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
“กลอย่างนั้นรึ! งั้น นาย ก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง”
ท่านชายยิ้มอย่างน่าสะพรึง มองสบตาคนทรงเต็มๆ ตา

ท่านชายก้มลงมองคนทรง ที่เริ่มสับสน แต่ยังดื้อดึง นิกร กับสมชาย เฮฮา
“เอาล่ะ สนุกล่ะ ต้องปิดประตู ปิดไฟไหมครับท่านชาย”
ท่านชายตอบอย่างรำคาญ “ไม่ต้องหรอก พวกเธอก็นั่งกันตามสบาย”
คนอื่นๆ ลงนั่งรอบๆ เหมือนดูการแสดง แต่ละคนดูไม่เชื่อถือนัก โดยเฉพาะอิศราหันมายิ้มขำๆ กับชาลินี
“คราวนี้ไม่มีเครื่องเล่นเสียง ดูสิ ว่าท่านชายจะแสดงแบบไหน”
คนทรงนั่งอยู่ ท่านชายขยับเข้าใกล้ “พร้อมไหม?”
“หึ..พร้อมเสมอครับ คุณจะเล่นกลยังไง เอาเลย แต่บอกก่อนว่าผมจิตแข็ง สะกดจิตผมไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ”
ท่านชายยิ้ม ยื่นมือไปวางเหยียดเหนือหัวคนทรง โดยไม่ได้สัมผัส
“หลับ! แล้วเจ้าจะได้เห็น! สิ่งที่เจ้าต้องชดใช้”
จู่ๆ คนทรงคอพับ คออ่อน ตาค่อยๆ หลับลง คนที่มองอยู่พากันฮือฮา
นิกรบ่นเบาๆ “อ้าว หลับไปแล้ว ทำไมมันง่ายอย่างนั้น”
หมอไพโรจน์มองทุกเหตุการณ์อย่างจับสังเกตตลอดเวลา
ท่านชายวสวัต ยืนวางมืออังบนหัวคนทรง พลางถาม “ที่นั่น...มืดมากใช่ไหม”
ร่างคนทรงเริ่มสะท้าน เนื้อตัวสั่นเทิ้ม “มืด...มืดมาก”
จิตคนทรงรับรู้ว่าตัวเองถูกดูดเข้าไปยังสถานที่อันเวิ้งว้าง มืดมิด ร่างคนทรงเดินเข้ามา โดยไม่รู้ว่าที่นั่น...เป็นนรกภูมิ
เสียงคนทรงพึมพำ “มืดเหลือเกิน ทำไมมืดแบบนี้”
ท่านชายมองคนทรง “ลมพัดอู้...หนาว”
“ที่นั่นเป็นสะพานกว้าง มองออกไปข้างนอก จะเห็นแนวกำแพงสูงเทียมฟ้า เจ้าเห็นหรือยัง”
“เห็น...เห็นแล้ว โอว์...น่ากลัว”
อิศรามองชาลินียิ้มๆ ไม่ค่อยเชื่อตามเดิม คนอื่นตื่นเต้น ฟังตาม หมอไพโรจน์วิเคราะห์ตลอดเวลา
ท่านชายเอ่ยขึ้น “เจ้าเดินตรงเข้าไป จะมีคนรอรับเจ้าอยู่ตรงทวาร เดินเข้าไปซิ เข้าไป!”
ร่างคนทรงสั่นสะท้านแรงขึ้น
จิตแลเห็นนายนิรบาลสองคนมองมา แล้วคว้าร่างคนทรงออกมา จับขาสองข้างของคนทรงที่หวาดกลัวสุดขีด
ท่านชายถามขึ้น “พูดไปสิ เจ้าเห็นอะไรบ้าง”
ในนรกภูมิ คนทรงเลิกลักมองไปรอบๆ แล้วมองมาทางซ้ายมือของตน สายตามองไปเห็นภาพนรกภูมิ เป็นภาพเหมือนหนังขาด ต่อกัน เห็นภาพสัตว์นรกน่ากลัว และการลงทัณฑ์ชวนสยอง
ส่วนที่ห้องแดง ที่คนทรงตัวสั่นมากขึ้น หลับตา
“คนพูด คนร้องไห้โหยหวน ไฟ อยู่รอบๆ เต็มไปหมด คนถูกลงโทษ ถูกหั่น ถูกกรอกปากด้วยไฟ”
หมอไพโรจน์เอ่ยขึ้น “นรก?”
นายนิรบาลจับคนทรงให้นอนหงาย คนทรงดิ้นหนีร้องลั่น “อย่า มาจับกูทำไม๊”
ร่างคนทรงในห้องแดงตัวสั่นเทิ้ม กางแขนขาออกเหมือนถูกดึงร่างให้เหยียดตรง
“มันจับตัว จับผมทำไม”
ท่านชายมีสีหน้าขรึมเคร่ง คนทรงดิ้นพล่าน
อิศรา ชาลินี และหมอไพโรจน์ มองอย่างตื่นเต้น กลัว และประหลาดใจ
ในนรก ร่างท่านชายปรากฏลอยเคลื่อนเข้ามาจากความมืด พูดกับคนทรงที่ถูกจับตัวอยู่
“เจ้าคนชั่ว! บังอาจใช้ไสยดำ กัก ขังวิญญาณให้เป็นข้ารับใช้ เพื่อหลอกลวงหาเงินคน! แล้วยังสถุลถ่อย! หลอกลวงผู้หญิงให้มาถูกเจ้าทำระยำ บำเรอกามให้เจ้า เจ้าทำผิดอย่างไม่เกรงกลัวบาปกรรม ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าเมื่อเจ้าตาย เจ้าจะต้องชดใช้กรรม เยี่ยงไร!”
คนทรงร้องลั่น นายนิรบาลยกเลื่อยมา กางเกงของคนทรงถูกกระชากลงกองกับพื้น คนทรงร้องตาเหลือกลาน คมเลื่อยเฉือนเข้าที่หน้าท้อง กลางลำตัว คนทรงก้มมองตามใบเลื่อย แล้วแหกปากร้องลั่น เมื่อพบว่าถูกเลื่อยอวัยวะเพศ เลือดไหลตามขาลงมาที่ปลายเท้า
เสียงท่านชายพญามาหัวเราะเสียงดัง ทั้งเหี้ยมเกรียม และดุดัน
คนทรงตัวสั่น แทบกระเด้งตกจากเก้าอี้ มีเพียงมือท่านชายที่วางเหนือหัวสะกดไว้ คนที่ดูอยู่พากันตกใจ ส่งเสียงครางฮือเบาๆ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย! ตัดของผมขาดหมดแล้ว โอ๊ย ช่วยด้วย”
คนทรงเด้งตัว ร่างสั่นเร่าๆ หัวเหมือนถูกตรึงด้วยมือของท่านชายวสวัตทั้งที่ท่านชายเพียงวางแบบสบายๆ เหนือหัว สักครู่หนึ่งท่านชายยกมือออกไป คนทรงก็เด้งครั้งสุดท้ายล้มตกลงกับพื้น
สมชายผวาเข้าไปหา “อ้าว อาจารย์ เป็นยังไงบ้าง”
หมอไพโรจน์ตามไปดูอาการ แตะหน้าตรวจอาการคนทรงอย่างตกใจ
คนทรงค่อยๆ ได้สติ แล้วผวาลุกนั่งกับพื้น เงยหน้ามองท่านชายอย่างหวาดกลัว
ท่านชายมองตอบใบหน้านิ่งเฉย ปากมีรอยยิ้มบางๆ คนทรงพนมมือตัวสั่น
“อาจารย์เป็นยังไงบ้างครับ” สมชายเป็นห่วง
“ผมกลัวแล้ว ผมกลัวแล้ว”
นิกรขำ “อ้าว...หมดสภาพ”
ท่านชายวสวัตหันมามองอีก คนทรงร้องลั่น ตะเกียกตะกายลุกหนี
สมชายงง “อาจารย์จะไปไหน”
“ไม่อยู่แล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว”
คนทรงร้องลั่น วิ่งตาลีตาเหลือกออกไปจากห้อง

คนทรงวิ่งร้องลั่นตะเกียกตะกายออกมา วันโผล่เข้ามาขวางตรงหน้าอย่างตกใจ สียืนดู คนทรงและวัน ป๊ะหน้ากัน ต่างคนต่างแหกปากร้องใส่กันทั้งคู่
“อ๊าย” / “เฮ้ย”
คนทรงได้สติผลักวันกระเด็น
“หลีกไป๊” คนทรงวิ่งเตลิดออกไป
“อะไรกัน อะไรๆ อ๊ายๆ” วันวี้ดว้าย
“เฮ้ย หยุดร้องได้แล้ว แสบหู” สีด่า

คนทรงวิ่งเตลิดร้องไม่เป็นภาษา ตาลีตาเหลือกออกมาหน้าบ้าน ผีเอกดนัยยืนหน้าเหี้ยมอยู่ หันไปมองตามสายตาเหี้ยมเกรียม

ส่วนในห้องแดง นิกรหัวเราะขำ กอดคอสมชายที่งุนงงไม่หาย
“อาจารย์ที่แกเตี๊ยมมา วิ่งร้องโหวกเหวกออกไปซะแล้ว” นิกรขำไม่หาย
“เฮ้ย บอกกี่ทีว่าไม่ได้เตี๊ยม”
หมอไพโรจน์เอ่ยขึ้น “ท่านชายสะกดจิต ให้เขาเห็นอะไรครับ”
“ท่านชายทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอครับ สะกดจิตให้เห็นอะไรๆ เนี่ย” อิศราเย้า
หมอไพโรจน์บอก “ก็....ต้องถามท่านชาย”
ท่านชายั้ยืนหันหลังให้อยู่ หันมายิ้ม
“จะลองดูบ้างไหมล่ะ”
หมอไพโรจน์อึ้งไป อิศราหัวเราะ คนอื่นอึ้งๆ ปนสนุก ท่านชายยิ้ม มองสบตา หมอไพโรจน์
“เอ๊า ว่าไงพวกเรา ลองเล่มเกมกับท่านชายดูไหม” อิศราชวนเพื่อนๆ
“จะเสียเวลาเล่นอะไรกันอีก พวกผู้ชายนี่” ชาลินีหงุดหงิด
“ขำๆ น่าเอาเลยครับท่านชาย” นิกรหัวเราะเฮฮา
สมชายเฮตาม “แต่ผมขอเลือกเห็นแบบ ผีสวยๆ อึ๋มๆ ได้เปล่าครับ ไหนๆ ก็แพ้พนันไอ้กรมันแล้ว”
แฟนสาวตีแขนสมชาย
“เอาสิครับ อยากรู้เหมือนกันว่า ท่านชายจะสะกดจิตยังไง พร้อมกันคนตั้งหลายคน”

หมอไพโรจน์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงเหมือนท้าทายอยู่ในที
 
อ่านต่อตอนที่ 11
กำลังโหลดความคิดเห็น