เงา ตอนที่ 6
ตอนสายวันเดียวกันนี้ สามสาว อรอนงค์ วัลภา และ ปวีณาเดินมาตามระเบียงหาเลขเบอร์ห้องคอนโดเอกดนัย ตามกระดาษในมือของอรอนงค์ จนมาหยุดหน้าห้องหนึ่ง
“ห้องนี้เลยที่เพื่อนสนิทตาเอกบอก” อรอนงค์ว่า
ปวีณาบอก “เคาะสิ เคาะๆ”
วัลภาท้วง “เดี๋ยวๆ เคาะเบาๆ นะ เดี๋ยวน้องเอกโกรธอีก”
อรอนงค์ค่อยๆ เคาะประตู สามสาวแนบหูฟัง ทุกอย่างเงียบกริบ อรอนงค์เคาะอีก
ประตูเปิดผางออกมา เอกดนัยยืนอยู่ สภาพทรุดโทรม เหมือนน้ำไม่ได้อาบมาหลายวัน ผมเผ้ากระเซิง
อรอนงค์ตกใจมาก อุทานลั่น “เอก”
เอกดนัยมองทั้งสามคนอย่างผิดหวัง ด้วยคิดว่าจะเป็นชาลินียอดดวงใจ
สามสาวก้าวเข้ามาด้านในเห็นสภาพห้องก็ยี้ไปตามๆ กัน ด้วยทั้งรก ทั้งเหม็น อาหารกล่อง ขวดน้ำวางเกลื่อนไปทั่ว ทั้งสามมองรอบห้อง ปวีณา กับ วัลภา ถึงขั้นปิดจมูก เอกดนัยยืนพิงผนังห้อง หมดอาลัยตายอยาก
“ตายแล้ว นี่อยู่แบบนี้ได้ยังไง อาบน้ำอาบท่ามั่งหรือเปล่าตาเอก”
เอกดนัยยืนซึม ไม่ตอบไม่มองหน้าพี่สาว
“กลิ่นขนาดนี้ ทั้งคนทั้งห้อง ยังจะอยู่ในถังขยะ” ปวีณาบ่น
วัลภาดึงแขนรั้งไว้เป็นเชิงบอกให้หุบปาก
“ทำไมปล่อยตัวเองขนาดนี้ เพื่อนเราเขาบอกเราไม่ไปทำงานเลย จะโดนไล่ออกอยู่แล้ว พี่โทร.หาก็ตัดสายทิ้ง ต้องให้พี่ไปควานหาที่อยู่เธอกับเพื่อน” อรอนงค์จะร้องไห้ทั้งโกรธทั้งสงสารน้อง “แล้วดูสิเนี่ย ผอม ขอบตาดำเชียว ..โธ่ เอก”
เอกดนัยมองเหม่อ “พอใจหรือยังล่ะ ผมเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มมองสามคนอย่างแค้นใจ “ก็เพราะพวกพี่”
วัลภาพยายามคุยให้บรรยากาศดีขึ้น “อุ่ย ทำไมกล่าวหากันแบบนี้ล่ะจ้ะเอกจ๋า”
ปวีณาแค้นชาลินีขึ้นมา “เอกโดนนังนั่นมันหลอก พวกพี่ไปเกี่ยวอะไรด้วย”
เอกดนัยเริ่มร้องไห้อย่างสะเทือนใจ จิตตก เครียดขรึมซึมเศร้า อรอนงค์ร้องไห้ เดินหาน้องชาย ค่อยๆ แตะเบาๆ
“กลับบ้านเราเถอะนะ อย่าอยู่คนเดียวอย่างนี้เลย” อรอนงค์ปาดน้ำตา “พี่เป็นห่วง”
เอกดนัยมองหน้าอรอนงค์ แล้วเริ่มหัวเราะ จากนิดๆ ไปมากขึ้นทุกที สามสาวตกใจ เริ่มเห็นอาการที่ไม่ปกติของเอกดนัย
“เป็นห่วง...พี่น่ะนะเป็นห่วง” เอกดนัยร้องไห้สะอึกสะอื้น “ไม่ต้องเลย กลับไปไปให้พ้น ไปกันให้หมดเลย!”
เอกดนัยกระชากอรอนค์ผลักไปที่ประตู แล้วไปกระชากสองสาวปวีณา วัลภาตามมา ก่อนจะดันทั้งสามคนออกไป
ปวีณากับวัลภาร้อง “ว้ายๆ” ลั่นห้อง
อรอนงค์ตกใจ “เอก”
“ไปเลย ไป ไป ไปให้พ้น”
สามสาวถูกรุนออกประตู เอกดนัยตะโกนใส่หน้า
“ไป๊ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก”
แล้วประตูปิดโครม!
อรอนงค์ถลาไปเคาะประตูร้องไห้ออกมา
“เอก...เอก เปิดประตูเถอะ กลับบ้านเราเถอะนะ เอก...เอก”
“อร วันนี้ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ เรากลับกันก่อนดีกว่านะ” วัลภาบอก
อรอนงค์มองเพื่อน แล้วหันมาแตะประตู ร้องไห้โฮออกมาอีก
“เอก”
ร่างเอกดนัยรูดตัวทรุดลงกับประตู ร้องไห้คร่ำครวญ หัวใจแหลกสลาย
“ชา...ชา...”
อิศรานอนพักจนหายเหนื่อย แต่งตัวหล่อเดินลงบันไดมาที่ห้องอาหาร เตรียมจะออกไปนอกบ้าน เจอสีและวันคุยกันอยู่อย่างกังวล สองคนเห็นอิศรารีบเข้ามาดูแล
อิศรานั่งลง ยกกาแฟที่วันเสิร์ฟให้ขึ้นดื่ม “ผมหิวจัง ทำอะไรให้กินหน่อยสิ”
“เอ้อ คือ...ของในครัวหมดทุกอย่างแล้วค่ะ คือ คุณอิศไม่ได้ให้เงินไว้จ่ายตลาด” สีบอก
อิศราชะงักหยิบกระเป๋าเงินจะควักให้ วันดันสีให้ถาม
“คุณอิศคะ คุณอิศไปเจอ ครอบครัวของคุณเล็กไหมคะ”
อิศราชะงักใบหน้าเรียบ นัยน์ตาเข้ม ฉุนขึ้นมาทันที “ถามทำไม”
“ก็ถ้าหากว่า เขามาเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ เขาจะไล่ ป้าสีกับวัน ออกไหมคะ”
อิศราชะงักอึ้ง ลุกพรวด โยนเงินบนโต๊ะไว้ให้ หนึ่งพัน แล้วเดินออกไปไม่พูดไม่จา
สี และวัน มองหน้ากัน กลัดกลุ้ม
“คุณอิศไม่ตอบนี่ หมายความว่ายังไงล่ะคะ” วันถาม
สีอึ้งกิมกี่ กลุ้มหนักไม่ต่างกัน
ไม่นานต่อมา อิศราพาตัวเองมานั่งตักอาหารทานเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ในบ้านชาลินี โดยมีญาติสาวเจ้าของบ้านนั่งดื่มน้ำ มองขำๆ
“หิวโซมาเลยนะ เอาอะไรอีกมั้ย”
อิศรายกน้ำดื่ม ส่ายหน้า
“แล้วเป็นไง ไปกับท่านชาย ท่านชายถามถึงชั้นมั่งหรือเปล่า”
อิศราหรี่ตามอง รู้ทันกึ่งหมั่นไส้ “เปล่า”
“แหม...ท่านชายท่าจะเป็นคนเก็บความรู้สึก แล้ววันไหนจะไปพบท่านอีก”
อิศราหมั่นไส้อีก “นี่จะไม่ถามถึงเรื่องชั้นกำลังจะเป็นคนไร้บ้านบ้างหรือไงหายใจเข้าออกมีแต่ท่านชาย ท่านชาย...อิศราเนี่ย ห่วงมั่งสิ”
“ก็เธอบอก สองแม่ลูกท่าทางติ๋มๆ ฉันว่าเธอหาวิธีจัดการไม่ยากหรอก”
“ติ๋มๆ ยังงั้น ไม่รู้พอมาเห็นบ้าน จะตาโตแค่ไหน เฮ้อ...” อิศราเครียดขึ้นมานิดๆ
มือถือชาลินีดังขึ้น หล่อนหยิบมาดูเห็นชื่อเอกดนัยหน้าจอ ก็โยนมือถือลงบนโต๊ะอย่างรำคาญ
“บ้าจริง...นี่อิศ อิ่มแล้วก็ไปกันเถอะ”
“ไปไหน”
ชาลินีหัวเราะคิก ลุกยืนดึงแขนอิศราขึ้น
“ถามทำไม รู้อยู่แล้ว”
รถอิศราเคลื่อนออกมาจากบ้านชาลินีแล้ว อิศราขับมีชาลินีนั่งยิ้มเคียงข้าง
เอกดนัยหน้าตาเครียดเคร่ง สภาพทรุดโทรมนั่งซุ่มรออยู่ในรถมองตาม ค่อยๆ ขับรถเคลื่อนตามออกช้าๆ ที่เบาะข้างตัวมีปืนพกกระบอกหนึ่งวางอยู่
ค่ำคืนนั้นอิศราพาชาลินีมาที่คลับโลกันต์ ควงแขนมานั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์ แล้วหันไปสั่งเหล้ากับบริกร
ชาลินีเนื้อเต้นพอรู้ว่าที่นี่เป็นคลับของท่านชายวสวัต
“ที่นี่ก็เป็นของท่านชายเหรอ ไม่ยักรู้ มิน่า หรูหรา เวรี่วีไอพีมาก แล้วท่านชายอยู่ไหน”
“แล้วจะรู้ไหม”
“อ้าว แล้วพามานี่ทำไม”
“น่า หัดเล่นตัวเหมือนเคยซะมั่งสิ กินไวน์เป็นเพื่อนแก้กลุ้มกับชั้นก่อนดีกว่า ดึกหน่อยท่านคงมา”
ชาลินีค้อนควัก หงุดหงิดแต่จำยอม
เอกดนัยเดินหน้าเครียดเข้ามาตรงบาร์ หยุดนิ่งมองหาชาลินี เอ่ยเรียก
“ชา”
ชาลินีกำลังจะดื่มไวน์ชะงักงันเมื่อได้ยินเสียง จำได้ หันมามองอย่างตะลึงตกใจ
เอกดนัยยืนนิ่งๆ ก่อนจะขยับมาใกล้อีก “ชา...ชา”
ชาลินีขยับถอยหนีไปข้างหลังอิศราที่แม้จะงุนงงในเบื้องแรก แต่พอเข้าใจสถานการณ์
“จะตามราวีชั้นไปถึงไหน ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง” ชาลีนีแว้ดใส่
“ชา เอกขอร้อง...” เอกดนัยขยับหาอีก
อิศราลุกขวาง ท่าทีสบายๆ “คุณ...คนเขาไม่อยากคุยด้วยจะตามตื้ออยู่ทำไมล่ะคุณ”
เอกดนัยมองหน้าอิศรา ไม่แยแส และไม่รู้สึกรู้สม ขยับจะไปหาชาลินีอีก อิศราขวางลำไว้
“ชา คุยกับผมก่อน”
อิศราชักฉุน “พูดให้เข้าใจบ้างสิคุณ”
เอกดนัยโกรธ เสียงดังใส่ “มึงอย่ามายุ่งกะกู นี่มันเรื่องของกูกับชา”
“อ้าว เฮ้ย”
ชาลินีกลัวความแตกว่าเคยมีอะไรกัน และยังอยู่ในคลับของท่านชายด้วย กลัวท่านชายมาเห็น
“ไปกันเถอะอิศ อายคน”
ชาลินีรีบคว้าแขนอิศราที่โอบปกป้องชาลินีเดินออกไปทันที เอกดนัยเดินตาม
อิศราโอบชาลินีเดินออกมา เอกดนัยตามตื๊อไม่หยุด
“ชา” เอกดนัยปรี่มาคว้าแขน “ชา”
ชาลินีสะบัดสุดแรง วี้ดใส่ “นี่เมื่อไหร่จะเลิกตามวุ่นวายกับชั้นซะที”
“ชา...” เอกดนัยพยายามยิ้มทั้งที่ใบหน้ากำลังจะร้องไห้ “คุณก็ฟังผมบ้าง ให้โอกาสผม”
“โอกาสบ้าบออะไร อิศราจัดการกับเขาทีสิ”
อิศราทำหน้าเนือยๆ ถามขึ้น “จะให้ผมทำอะไร”
“ยังไงก็ได้ ช่วยไล่เขาออกไปจากชีวิตชั้นสักที ชั้นเบื่อเต็มทน”
คำพูดตัดรอนคำนั้นกระแทกใจเอกดนัยอย่างจัง
“ชา คุณเห็นผมเป็นหมูเป็นหมาไปแล้วเหรอ”
“ก็พูดไม่รู้เรื่อง”
อิศราเอ่ยขึ้น “นี่ น้องชาย ก็เมื่อผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วย น้องจะตามตอแยเขาอยู่ทำไมกัน”
เอกดนัยนิ่งขึง ไม่เหลือจิตใจรู้สึกรู้สมใดๆ อีกแล้ว
“ต่างคนต่างอยู่ได้แล้ว ครั้งหน้าถ้าเจอมาคอยรังควานแบบนี้ ฉันเรียกตำรวจจับจริงๆ ไปอิศ”
ชาลินีคว้าแขนอิศราเดินจากไปโดยเร็ว เอกดนัยนิ่งขึงมองตาม
ขณะพาชาลินีเดินมาที่รถ อิศราหัวเราะขำออกมา “เกือบมีเรื่องกลางคลับท่านชายซะแล้วไหมล่ะ”
ชาลินีกลุ้มมาก “นี่ถ้าท่านชายมาเห็นล่ะก้อ ฉันจะเอาหน้าไปไว้ไหน รีบไปเถอะอิศ”
อิศรากดปุ่มเปิดประตู
เอกดนัยก้าวจากความมืดออกมาด้านหลังสองคน จดสายตามองไปยังชาลินี มือเอกดนัยถือปืน ค่อยๆ ยกขึ้นเล็งไปที่ชาลินี มือสั่นระริก
ชาลินีและอิศราไม่ทันเห็น พากันขึ้นรถ แล้วอิศราขับออกเลย
เอกดนัยทิ้งมือที่ถือปืนลงข้างตัว ทำไม่ได้ มองตามรถไปดวงตาแห้งผาก
เช้านี้ ดวงแก้วคุยอยู่กับพุดเรื่องจะไปกรุงเทพฯ ในขณะที่เจริญขวัญนั่งฟังข้างๆ มือพับกระดาษไปด้วย
“คุณแก้วไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องในไร่ผมจัดการเอง ไปเที่ยวให้สนุกเถอะครับ คุณขวัญไม่ได้ไปเที่ยวกรุงเทพนานแล้วไม่ใช่ เหรอครับ” พุดบอก
“นั่นสิคะลุงพุด หนูคงเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง” เจริญขวัญหัวเราะ
“คุณแก้วจะไปสักกี่วันครับ”
“คง..สองสามวัน ไหนๆ ไปแล้ว เผื่อพายายหนูไปหาหมอ”
เจริญขวัญทำหน้าเมื่อย ถอนใจเฮือก
“หมออีกแล้ว...เฮ้อ…”
เจริญขวัญงอนแม่ลุกหนีไป ดวงแก้วมองตามอย่างเป็นห่วงลูกสาวขี้โรค
เจริญขวัญลุกมาหาเด็กๆ สามพี่น้อง จ๊อด แจง และจุ๊บ ที่นั่งเล่นกันอยู่บนแคร่ ในมือเจริญขวัญมีกระดาษที่พับเป็นรูปนกเสร็จแล้ว
เบื้องหลังกลุ่มเด็ก คือ ดวงแก้ว และ พุด ที่คุยกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน
“ไหน จ๊อด แจง จุ๊บ พับเป็นตัวหรือยัง”
“นี่ค่า” แจงชูอวด
“เก่งมาก นี่ ของพี่ขวัญ”
“สวยจังเลยค่า” แจงยิ้ม
อรุณก้าวเข้ามาทางเบื้องหลัง โดยเจริญขวัญไม่ทันเห็น
“สวยที่ไหน นกหัวย่นซะขนาดนี้”
เด็กๆ เห็นอรุณ ดีใจ ร้องเฮ โผหาอรุณ
“พี่รุณ”
“ว่าไงพวก” อรุณหัวเราะร่า ลูบหัวเด็กๆ ตามองเจริญขวัญที่หน้าง้ำอยู่ “อ้าว ทำไมทำหน้าง้ำแบบนั้น”
“โดดเรียนมาอีกแล้วเหรอ”
“เฮ้ย โดดที่ไหน วันนี้วันหยุด พรุ่งนี้อาทิตย์เย็นเราค่อยกลับ หรือไปเช้าๆวันจันทร์ยังทันเลย ต่อไปเราว่าจะกลับบ้านบ่อยๆ”
“เปลืองเงินค่ารถแย่ รุณก้อ”
อรุณยิ้ม มองเจริญขวัญพยายามซ่อนความรักและความห่วงใย
พุดอยู่อีกมุมกับดวงแก้ว มองดูเด็กๆ แล้วหัวเราะหึๆ ออกมา
“คุณรุณ กลับมาอีกแล้ว สงสัยจะห่วงคุณขวัญ”
สายตาพุดบ่งความนัยมากกว่านั้น ดวงแก้วมองตาม เห็นอรุณและเจริญขวัยคุยเล่นยิ้มหัวกันอยู่ ดวงแก้วยิ้มบางๆ อย่างเอ็นดู
สีหน้าของอิศราตื่นเต้นมาก ขณะส่งหนังสือพิมพ์ให้ท่านชายดูทันทีที่เขามาถึงวัง ท่านชายวสวัตนั่งรออยู่แล้ว พลางรับหนังสือพิมพ์มาดู เห็นพาดหัวข่าว “หนึ่งในแก๊งปาอิฐใส่รถเพื่อฉกทรัพย์ วิ่งโร่มอบตัวกับตำรวจ ครวญ ผีหลอก”
“ฉันรู้แล้ว” ท่านชายพับหนังสือพิมพ์ “เขาว่าเขาเห็นผี”
“ผมว่าจิตใต้สำนึกเขามากกว่า ที่พอเห็นว่าที่ทำไป ทำให้คนตายมโนธรรมมันก็ผุดขึ้นมาว่า เขาทำผิด เลยคิดฟุ้งซ่าน”
ท่านชายยิ้มคล้ายขำ “ฟังดูเข้าทีกว่าโดนผีหลอกนี่นะ วันนี้มาทำไม”
“คือ ผมอยากจะเอาเงินมาคืนครับ” อิศรายื่นซองเงินวางลงบนโต๊ะ
“เงินอะไร”
“ถ้าเจ้าหนี้เป็นอย่างท่านชายทุกคนก็ดีสิครับ เงินที่ท่านชายเคยให้ยืมตอนคุณย่าเสียใหม่ๆไงครับ พอดีผมได้เงินจากที่ขายหุ้นมาบ้าง”
“นั่นฉันให้เธอต่างหาก” ท่านชายว่า
อิศรานิ่วหน้าประหลาดใจ “ท่านชายจะให้ผม แลกเปลี่ยนกับอะไรครับ” สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขำ “กับเรื่องล้อเล่น ซื้อขายวิญญาณนั่นน่ะเหรอ”
ท่านชายมองอิศราล้ำลึก
“งั้น ถ้าฉันขอแลกเปลี่ยนกับความดีล่ะ”
“ความดีของใครครับ”
“ความดีของเธอ เธอเป็นคนที่มีอะไรหลายๆ อย่างในตัวที่ก้ำกึ่งกัน ทั้งความดีและ...”
“ความเลว” อิศราต่อให้แล้วหัวเราะออกมา “ถ้าผมยอมรับเงินท่านชายผมก็เลวอยู่ดี ที่รับเงินมาฟรีๆ เพื่อแสดงออกว่าตัวเองจะทำดี แล้วถ้าทำไม่ได้จริง ก็เท่ากับเพิ่มดีกรีความเลวของตัวเองอีก ถ้าผมจะดีหรือเลว...ผมขอกำหนดเองดีกว่าครับ”
“นี่แหละ! ที่เป็นความดีของเธอ”
อิศราซาบซึ้งคำชมนั้น “ท่านชายต่างหากครับ ที่ดีกับผมมากจริงๆ”
ท่านชายวสวัตมองอิศรา แล้วไม่อยากสบตา ลุกยืน
“แล้วเรื่องแม่ลูกคู่นั้นล่ะ”
อิศราเริ่มเครียด “อีกสองวัน ผมจะไปรับเขา ยังนึกไม่ออกเลยครับว่าจะจัดการยังไงดี”
ท่านชายฟังแล้วนิ่งงันไป สิริประคองถาดแก้วน้ำอมฤตมา
“ได้เวลาแล้ว...ครับ”
ท่านชายลุกยืนรับถ้วยมามองนิ่ง ก่อนยกดื่มรวดเดียว สีหน้าของพญามารซ่อนซุกความเจ็บปวดรวดร้าวร้อนแรงที่ผ่านลำคอลงไปเป็นที่สุด อิศรามองอยู่เบื้องหลังด้วยสีหน้าฉงน
“ท่านชายดื่มอะไรครับ น่าสนใจจริง ขอลองสักแก้วได้ไหมครับ”
ท่านชายกับสิริ สบตากัน สิริเอ่ยขึ้น “มีเฉพาะ ของท่านชายเท่านั้น...ครับ”
อิศราเลิกคิ้ว แล้วไม่สนใจอะไร ท่านชายปรายตามองอิศรา
ทางฝ่ายอรอนงค์นั่งเครียดเรื่องน้องชายคนเดียวอยู่ในบ้าน มีปวีณา และวัลลภา คอยปลอบ
ปวีณายื่นแก้วโอวัลตินร้อนให้ “ใจเย็นนะ อร...เอ้า ดื่มโอวัลตินหน่อยนะ”
อรอนงค์ส่ายหน้า “พวกเธอก็รู้ ตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่ตาย ชั้นก็มีเอกกันแค่สองคนพี่น้อง เอกไม่เคยเป็นแบบนี้กับชั้นเลย”
“บุกบ้านยายชาลินีไปตามตบสักทีสองทีไหม” วัลภาเสนอ
ปวีณาเอาด้วย “เออ ดีๆ”
“ไม่ได้หรอก ตอนนี้ถ้าเราไปยุ่งอะไรกับยายชา ตาเอกจะยิ่งโกรธไปกันใหญ่...ฉันเป็นห่วงน้องเหลือเกิน” อรอนงค์หน้าเศร้า สงสาร และ ห่วงน้องชายจับใจ
เอดนัยอยู่ที่คอนโดสีหน้าขรึมเคร่ง เดินมาหยุดกระจกดูตัวเอง หยิบหวีมาหวีผมอย่างไม่สนใจจะมองตัวเองนัก หากใครมาเห็นจะพบว่าที่เขาอาบน้ำแต่งตัวใหม่นี้มีบางอย่างผิดปกติไป ผมที่หวีนั้นเรียบแปล้ผิดวิสัยของเขา
เอกดนัยวางแปรงลง แล้วมองสบตาตัวเองนิ่งๆ ในกระจก คล้ายตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
ฝ่ายชาลินีหงุดหงิด กลัดกลุ้มมากเรื่องเอกดนัยที่ทำตัวคุกคามหนัก เดินตรงเข้ามาที่หน้ากระจก
“ตามไปได้ถึงคลับท่านชาย ดีนะไม่ได้ไปที่วัง ไม่งั้นล่ะก้อโอ๊ย” ชาลีนีกระแทกตัวนั่งบนเตียงอย่างหงุดหงิดฉุนเฉียว
มือถือที่วางบนเตียงดังขึ้น ชาลินีหันมาดูแล้วชะงัก หน้าจอมือถือมีชื่อเอกดนัยปรากฏขึ้น ชาลินีโมโห และจะพูดให้เด็ดขาดอีกครั้ง คว้ามือถือ
เอกดนัยนั่งรอสายอยู่ที่เตียงในห้องเช่นกัน
ชาลินีรับสาย ถอนหายใจแรงให้รู้ว่าไม่พอใจมาก
เอกดนัยดูนิ่งเศร้า พูดเสียงอ่อนโยน
“ชา อย่าเพิ่งวางหูนะจ๊ะ”
ชาลินีขรึมเครียด
“ชาจำได้ไหม วันแรกที่เอก เอาดอกลิลลี่ ไปให้ชา วันที่ชารับประกาศนียบัตร วันนั้น ชาสวยที่สุดเลยรู้ไหม”
ชาลินีชักสีหน้า รำคาญ
“จากวันนั้น เอกก็รักชาหมดหัวใจ รอคอยชาอยู่คนเดียว จนชากลับมาจากเมืองนอก...คืนนั้น ชาเศร้าเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่...มันเป็นคืนแรกที่ เอกได้กอดชา”
ชาลินีสะดุ้ง สะดุดใจกับเรื่องในอดีต ที่เธอฝังไว้
“หยุดพูดเรื่องนั้นเลยนะ”
เอกดนัยสวนน้ำตาคลอ “ชา เอกเคยบอกชาแล้วใช่ไหมว่า ชั่วชีวิตนี้เอกจะไม่รักใครนอกจากชา”
“โอ๊ย ชั้นเบื่อจะฟัง เลิกทำตัวน้ำเน่านะเอกนะ แล้วก็เลิกยุ่งเกี่ยว ตามตอแยชั้น ชั้นพูดดีมาหลายรอบแล้วนะ และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ”
เอกดนัยสะอื้น น้ำตาร่วงรินเป็นสาย
ขณะเดียวกัน สามสาวเดินออกมาจากลิฟท์ตรงมาทางห้องเอกดนัย
วัลภากำชับ “จำไว้นะ ว่าวันนี้เธอต้องใจเย็นๆ ปลอบๆน้อง พาเขาออกไปกินข้าว ไปเที่ยวไหนๆ กัน”
อรอนงค์พยักหน้ารับ สามสาวเดินตรงไปทางห้องเอกดนัย
ชาลินีคุยสายน้ำเสียงเกรี้ยวกราดใส่เอกดนัย
“คราวนี้ขอให้เข้าใจกันบ้าง อย่าให้ฉันต้องถึงกับเกลียดเธอเลยนะ”
เอกดนัยร้องไห้อยู่ “เอกขอเพียง ให้ชาได้รู้ว่า เอกจะรักชาจนวันตาย”
ชาลินีหัวเราะ รำคาญถึงขีดสุด “จะไปตายไหนก็ไปเถอะ ชาตินี้ชั้นไม่อยากเจอเธออีกแล้ว”
เอกดนัยยิ้มทั้งน้ำตา “ได้...ได้ชา...” ระหว่างนี้เอกดนัยคว้าปืนที่วางอยู่ข้างตัวบนเตียง “งั้น เราพบกันใหม่ ชาติหน้า...เอกรักชา”
เอกดนัยยกปืนขึ้นจ่อหัว
ในขณะที่ชาลินีชักสีหน้า รำคาญอยู่อย่างนั้น เสียงปืนดังปัง! ชาลินีช็อก
ที่หน้าห้องเอกดนัยตอนนี้ อรอนงค์ วัลภา ปวีณายืนอยู่ อรอนงค์กำลังจะยกมือเคาะประตู
เสียงปืนดัง ปัง เสียงเดียวกัน นัดเดียวกัน สามสาวสะดุ้งตกใจ
เลือดสาดกระเซ็นใส่เตียง มือเอกดนัยที่ถือปืนร่วงลง ร่างเอกดนัยร่วงลงพื้น อีกมือที่ถือมือถือร่วง มือถือหลุดกระเด็นเข้าไปใต้เตียง
ชาลินีลุกพรวด “เอก..เอก...เอก...” เสียงหล่อนเริ่มสั่น “เอก ตอบชั้นสิ...เอก...เอก”
ด้านสามสาวถลันเข้ามา เห็นร่างเอกดนัยนอนจมกองเลือด
“เอก....” อรอนงค์กรี๊ดสุดเสียงถลามาหาน้องชายร้องไห้โฮ ปวีณา กับวัลภา กลัวกอดกันร้องไห้ อรอนงค์กอดร่างเอกดนัยร่ำไห้
“เอก...เอก...น้องพี่ ใครก็ได้โทร.ตามหมอสิ....เอก...เอก อย่าเป็นอะไรนะ..เอก..เอกน้องพี..ทำไมทำแบบนี้..ฮือๆ..ทำไมคิดสั้นแบบนี้...เอก ฮือๆ”
ชาลินีได้ยินทุกอย่างจากปลายสาย แน่ใจว่าเกิดเหตุร้ายแรง ทรุดลงนั่งตัวชาทิ้งมือถือลงอย่างสิ้นแรง ตกใจถึงขีดสุด
อีกมุมหนึ่งของวัง ร่างสูงของท่านชายวสวัตยืดกายตรงรับรู้เรื่องร้ายด้วยญาณ ตาที่หลับอยู่ของท่านชายลืมขึ้นมาช้าๆ รำพึงออกมาด้วยน้ำเสียงหยามหยัน
“ชาลินี...เธอหนีไม่พ้น เส้นทางเดิมของเธอจริงๆ”
อ่านต่อหน้า 2
เงา ตอนที่ 6 (ต่อ)
ชาลินีกุมมือที่สั่นไม่หยุด และพยายามควบคุมร่างอันสั่นสะท้านของตัวเอง ด้วยการเดินไปเดินมา
“เอก...ทำไม...ทำไม...เธอต้องทำแบบนี้ด้วย”
ชาลินีหันรีหันขวาง พยายามคุมอารมณ์เต็มที่ พลันสายตาหล่อนมองไปเห็นปิ่นที่วางอยู่ ชาลินีชะงักเดินมาหยิบปิ่น กำปิ่นแนบทรวงอก สติของชาลินีเริ่มกลับมา
“เอก...เธอมันโง่เอง”
ชาลินีกำปิ่นแนบอก คุมอารมณ์อยู่แล้ว
ค่ำลง หญิง 2 ชาย 1 เจ้าของห้องในคอนโด เดินเม้าท์มอยกันมาตามระเบียงหน้าห้องเอกดนัย
“มิน่าตั้งแต่มาอยู่ ไม่เห็นพูดจากับใครเลย” หญิง 1 เปิดประเด็นพูดถึงเอกดนัย
“อุ้ย ตอนได้ยินเสียงปืนนะ ชั้นตกใจน่าดูเลย” หญิง 2 ว่า
“แบบนี้จะมีผีสิงห้องนั้นมั้ยอ่ะ” ชาย 1 ทำท่าวยอง
“บ้า อย่าพูดแบบนี้สิ ห้องชั้นติดห้องนั้นด้วย อื๋ย ขนลุก” หญิง 1 ทำท่าขนลุกขนพอ
ระหว่างที่ 3 คนเดินคุยกันมานั้น บรรยากาศดูเวิ้งว้าง จนทั้ง 3 มาหยุดที่หน้าประตูและป้ายเลขประตูห้องเอกดนัย
คล้ายมีบางอย่างวูบ เข้ามาภายในห้องเอกดนัย สภาพห้องยังมีรอยเลือดสาดกระเซ็นอยู่บนเตียง ดอกลิลลี่ในแจกัน ที่ตอนแรกดอกไม้ยังนิ่งๆ อยู่ จู่ๆ ดอกลิลลี่ก็ไหวสั่นเองนิดๆ
ตามด้วยเสียงร้องแผ่วเบาเศร้าสร้อยของเอกดนัย “ชา...ชา...ชาลินี”
วิญญาณเอกดนัย ยังไม่ยอมไปไหน
อีกวันหนึ่ง ขณะที่วันกำลังปัดกวาดขัดถูรถอิศรา และร้องเพลงลูกทุ่งอารมณ์ดีอยู่หน้าบ้าน อิศราเดินออกมา กระแอมขึ้น
“อุ้ย คุณอิศ ตกใจหมดเลย”
อิศราพยักหน้าบอก “ขอกาแฟแก้วสิ”
“ค่ะๆ” วันจะไปแล้วหยุดหันมา “คุณอิศคะ เมื่อเช้าวันล้างเช็ดถูรถให้เอี่ยมอ่องแล้วนะคะ อ้อ...แล้ววันเจอเศษกระดาษนี่ในซอกเบาะรถค่ะ ไม่ทราบว่า จะให้ทิ้งไหมคะ”
“กระดาษอะไร” อิศรารับมาคลี่กระดาษที่ยู่ยี่นั้นดู พบว่าเป็นกระดาษข้อความที่เจริญขวัญเขียนให้ตอนเจอกันครั้งแรกว่า ‘แค่คำว่า ขอบคุณ ก็พอ’
อิศราชะงัก แล้วคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“คุณอิศยิ้ม แปลว่า…” วันมองงง
อิศราตัดบท “ไปเอากาแฟให้ฉันเถอะ”
“ค่ะๆ”
วันวิ่งปรู๊ดเข้าบ้านไป อิศรามองกระดาษ แล้วรีดพับอย่างบรรจง
ครู่หนึ่ง เสียงมือถือดัง อิศราหยิบมือถือมาดู
“โทร.หาแต่เช้าเชียว ชา”
รถอิศราแล่นมาตามถนนมุ่งหน้าไปรับเจริญขวัญที่บ้าน มีชาลินีสวมแว่นตาดำนั่งหน้าขรึมมาตลอดทาง
อิศราเหลือบมอง หัวเราะเบาๆ “ถ้าจะตามมาด้วยแล้วนั่งเป็นตุ๊กตาไม่พูดไม่จาแบบนี้ จะตามมาทำมั้ย”
ชาลินีขยับตัวหันมองมา “ขับไปเถอะน่ะ เสียดาย ท่านชายน่าจะมาด้วย”
“หายใจเข้าท่านชาย...หายใจออก...ท่านชาย” อิศราแหย่อย่างอารมณ์ดี
“ว่าแต่เธอเถอะ พอไปรับพวกเขามากรุงเทพฯแล้ว วางแผนจะจัดการยังไงต่อล่ะ”
อิศราคลายยิ้ม ถอนหายใจ เครียดขึ้นมาซะงั้น
เจริญขวัญชะโงกดูทางหน้าบ้านอย่างตื่นเต้น เห็นอรุณยืนยิ้มอยู่หน้าระเบียงด้วย
“ขวัญจะไปอยู่กรุงเทพฯ สักกี่วัน” อรุณออกอาการตื่นเต้นดีใจ “มีเวลาให้เราพาเที่ยวไหม”
“มีสิ เราแค่ไปดูตึกที่คุณย่าให้ คงไม่มีอะไรมาก เออ...รุณพาเราไปหาซื้อหนังสือสวยๆ กันนะ”
“หนังสืออีกแล้ว...ไว้เราพาไปดูหนัง เดินห้าง ดูอะไรที่มันทันสมัยบ้างดีกว่า เดี๋ยวเราจะเป็นไกด์นำขวัญเที่ยวเอง”
เจริญขวัญหัวเราะเบาๆ
รถอิศราแล่นมาแต่ไกล เจริญขวัญเห็นจำรถได้ มองอย่างตื่นเต้น พลางหันไปร้องเรียกดวงแก้ว
“แม่คะ แม่ มาแล้วค่ะ”
ดวงแก้วออกจากในบ้าน มายืนข้างเจริญขวัญ
รถอิศราแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน อิศราลงจากรถ เงยหน้าขึ้นมองมาทางเจริญขวัญ แม่ลูก กับ อรุณมองอย่างตื่นเต้น
เจริญขวัญมองเหมือนเหลียวหาท่านชายวสวัต
ชาลินีก้าวลงมาจากรถ ใบหน้าเรียบเฉย สวมแว่นดำไม่ถอด
ดวงแก้วยืนอยู่เบื้องหลังลูก พูดเหมือนรู้ใจเจริญขวัญ
“ท่านชายไม่ได้มาด้วยคราวนี้...นั่นใครนะ สวยจริง”
เจริญขวัญมองชาลินีนิ่งยิ้มบางๆ
เวลาเดียวกัน ท่านชายวสวัตเดินออกมาในชุดสูทขาวงามสง่า หยุดยืนมองท้องฟ้าเหมือนส่งใจไปไกล สีหน้าท่านชายเครียดขรึม
สิริเดินมาเบื้องหลังท่านชาย ค้อมศีรษะรายงาน
“วิญญาณบาปหลายดวง รอการชำระกรรมแล้วเจ้าข้า”
ท่านชายรับทราบด้วยที่สีหน้าเคร่งขรึม เหนื่อยหน่าย กับภาระที่แสนยิ่งใหญ่นั้น
ดวงแก้วลงนั่งกับชาลินี และอิศราที่ช่วยรับแก้วน้ำจากมือเจริญขวัญ
“ขอบคุณมากครับ”
เจริญขวัญยิ้มบางๆ เดินเลี่ยงไปหยุดยืนกับอรุณที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“ชาลินี เป็นลูกสาวของคุณอาเพ็ญครับ” อิศราแนะนำ
ชาลินีเน้นคำ “คุณหญิงเพ็ญ...นี่ถ้าคุณแม่มาได้ยินเธอตัดคำนำหน้าออกไปมีหวังงอน” หล่อนหันมายิ้มให้กับดวงแก้ว
ที่ยิ้มอยู่ตั้งท่าจะยกมือรับไหว้ แต่ชาลินีไม่ไหว้ก็เลยยิ้มเก้อๆ
“เคยพบคุณแม่ตอนสาวๆ คุณสวยไม่แพ้กันเลยนะคะ”
ชาลินีเพียงยิ้มแล้วเสหันไปมองรอบๆ เหมือนไม่อยากคุยด้วยนัก
“เพิ่งมากัน พักให้สบายๆ ก่อนค่อยไปดีไหมคะ ทานข้าวเที่ยงกันก่อนค่อยเดินทางก็ได้” ดวงแก้วว่า
อิศราหันไปทางเจริญขวัญ ระหว่างยกแก้วน้ำดื่ม มองอย่างสำรวจ เห็นเจริญขวัญยิ้มหัวคุยกับอรุณอยู่ อิศราคลางแคลงว่าสองคนเป็นอะไรกัน หันมายิ้มพูดกับดวงแก้ว
“ผมอยากเห็นไร่คุณอาดวงแก้วจังครับ” แล้วจึงหันมาทางเจริญขวัญ “ไหนๆ มาแล้วทั้งที กวนน้องเจริญขวัญพาไปชมไร่หน่อยได้ไหมครับ”
เจริญขวัญหันมา อิศรายิ้มให้
ชาลินีปรายมองอิศรา คลี่ยิ้มตรงมุมปากรู้ทันอิศรา
เจริญขวัญเดินยิ้มแย้มคุยกับอรุณเข้ามาในสวนส้ม อิศราเดินตามมองทั้งสองคนอย่างระแวงแคลงใจ และยังอดยกมือปัดแขน อย่างคนสำอาง ไม่เคยเดินสวนคลุกดินฝุ่น
อรุณเดินเคียงมากับเจริญขวัญ โดยที่เจริญขวัญคอยหันไปมองอิศราทางด้านหลังเนืองๆ อิศราเดินตามมาเรื่อยๆ เฉื่อยๆ
“พาเขามาชมไร่ ทำไมไม่ชวนเขาคุยล่ะขวัญ” อรุณแปลกใจ
“ก็ ไม่รู้จะคุยอะไร”
เจริญขวัญหันไปสบตากับอิศรา พลางส่งยิ้มให้ อิศรายิ้มตอบ
อิศราคิดปราดเดียว แล้วแกล้งสะดุดเซ ร้องเสียงดัง “โอ๊ย”
เจริญขวัญชะงัก ตกใจ รีบเดินกลับไปหา
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่สะดุดนิดหน่อย ผมเดินไม่ระวังเองไร่น้องขวัญ ร่มรื่นดีนะครับ”
“เรามีสองส่วนน่ะค่ะ ตรงนี้ มีกล้วย ส้มโอ แต่ถ้า ขับเข้าไปในไร่นั่นแม่กำลังลงพวกผลไม้อื่นๆ แต่ไปที่นั่น จะร้อนกว่านี้”
อิศราพยักหน้ายิ้มกว้างอันทรงเสน่ห์ ก้มปัดขากางเกง ปัดเสื้อไปมา เจริญขวัญอึดอัดนิดๆ ช่วยปัดเศษใบไม้ที่แขนให้ อิศราช้อนตาจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาเจริญขวัญ
“ขอบคุณ”
เจริญขวัญเก้อๆ ยิ้มเขินๆ หันเดินกลับไป
อรุณมองจ้องอิศราอยู่ ชักเริ่มไม่ไว้วางใจ
ทางด้านดวงแก้วออกจากครัว มองมาทางชาลินี กิริยาเก้ๆกังๆ ชาลินีนั่งเหมือนอยากอยู่คนเดียว หล่อนยังคงสวมแว่นดำไม่ยอมถอด
ดวงแก้วเดินมาหา พร้อมพัดลมมาตั้งข้างๆ เปิดให้ ชาลินีหันมอง
“กลัวคุณชาลินีจะร้อนน่ะค่ะ”
“ขอบคุณ” ชาลินีทอดหางเสียงแทนค่ะ
“หิวหรือยังคะ อาแก้วต้มแกงไว้จวนจะได้ที่แล้วค่ะ”
“รออิศกลับมาก่อนก็ได้...” ชาลินีเริ่มหงุดหงิด “ทำไมไปกันนานจริง”
ดวงแก้วยิ้มเก้อๆ เดินกลับเข้าไปทางครัว
ระหว่างนี้มือถือมีเสียงไลน์ ชาลินีหยิบมาดูถอดแว่นดำกดไลน์อ่าน
เป็นข้อความไลน์จาก อรอนงค์
“ชาลินี เธอรู้หรือยังว่าน้องชายฉันยิงตัวตาย เธอจะใจดำมากขนาดไม่มางานศพ มาขออโหสิเขาเชียวหรือ”
ชาลินีเครียดขึ้นมาทันควัน มือที่ถือมือถือสั่นจนต้องวางมือถือที่ตัก
หลังมื้อเที่ยงไม่นานนัก ฝากระโปรงหลังรถอิศราถูกยกเปิด กระเป๋าเดินทางใบย่อมสองใบถูกใส่เข้าไปในนั้น อิศราปิดฝากระโปรง ชาลินีนั่งรอในรถอยู่แล้ว ดวงแก้วกำลังปิดประตูบ้าน เจริญขวัญคุยนัดแนะกับอรุณ
“พรุ่งนี้เราเข้ากรุงเทพฯ แล้วเราจะโทร.หานะ”
“จ้ะ” เจริญขวัญยิ้มให้
ดวงแก้วเดินมาบอกกับอิศรา “เรียบร้อยแล้วค่ะ”
อิศราเปิดประตูหลังรถให้ “เชิญครับ”
ดวงแก้วขึ้นรถไปก่อน
“ไปนะ แล้วเจอกัน”
เจริญขวัญบอกลาอรุณ แล้วขึ้นรถตามแม่ไป อิศราปิดประตู ปรายมองอรุณที่โบกมือให้เจริญขวัญอยู่ อรุณมองสายตาอิศรา รู้สึกไม่ชอบมาพากล
รถแล่นออกไป อรุณมองตามตาขุ่น
“ไม่ชอบขี้หน้าญาติขวัญคนนี้เลยวะ”
อิศราขับรถมาตามทาง ดวงแก้วและเจริญขวัญนั่งตื่นเต้นกันอยู่ที่นั่งตอนหลัง ชาลินีนั่งเอนพิงเบาะขรึมๆ เคียงข้างอิศรา
“นั่งสบายไหมครับ”
ดวงแก้วบอก “สบายค่ะ”
“ถ้าแอร์เย็นเกินไป บอกนะครับ”
“ดีแล้วล่ะค่ะ”
ดวงแก้วจับมือกับเจริญขวัญ ท่าทางยังตื่นเต้นกันอยู่
ชาลินีหันมาอมยิ้มกับอิศราสบตากันอย่างรู้ความนัยกันและกัน แล้วหันหน้ากลับไปมองวิวนอกหน้าต่างรถ
“อิศ แวะส่งชั้นกลับบ้านก่อนนะ ชั้นคงไม่ต้องแห่ตามไปบ้านคุณยายด้วยมั้ง”
“โอเค”
ใบหน้าชาลินีที่ปรากฏผ่านกระจกหน้าต่างข้างตัว ดูเคร่งขรึม เครียดเรื่องการตายของเอกดนัย
รถแล่นเข้ามาในอาณาบริเวณบ้านอันกว้างขวางของบ้านคุณหญิงอุ่นแล้ว เจริญขวัญมองจากที่นั่งด้านหลังอย่างตื่นเต้น ดวงแก้วนั่งหน้าแทนชาลินีที่ลงไปแล้ว มองรอบๆ นึกเอะใจว่า บ้านที่ได้รับมรดกอาจเป็นหลังนี้เอง
เจริญขวัญมองสองข้างทางไปจนถึงตัวตึก อึ้ง นิ่งงันไป
สี และ วัน มายืนรออยู่หน้าตึกใหญ่ ขณะรถอิศราแล่นมาจอด ในรถอิศราหันมายิ้มบอกแม่ลูก
“ถึงแล้วครับ”
อิศราลงจากรถไปก่อน เจริญขวัญยื่นหน้ามาหาดวงแก้ว ตื่นเต้นระคนสงสัย
“แม่ นี่บ้านใครจ้ะแม่”
“บ้านคุณย่าลูก” ดวงแก้วมองออกไปพลางว่า “เปลี่ยนไปเยอะ” “สงสัยคุณอิศราเธอจะให้เราพักที่นี่ ก่อนไปดูบ้านที่คุณย่าให้นะคะแม่”
อิศราอ้อมมาเปิดประตูให้ดวงแก้วก้าวลงมาก่อน แล้วเดินไปจะเปิดให้เจริญขวัญ แต่เจริญขวัญรีบเปิดลงมาเอง
อิศรายิ้มบางๆ “เชิญครับ”
อิศราเดินนำขึ้นบันไดหน้าตึก เจริญขวัญเกาะแขนกับดวงแก้วเดินตาม
“มาแล้วๆ เร็วๆ ป้าสี” วันเรียกสี ตรงมารับ
สองแม่ลูกเดินขึ้นบันไดหน้าตึกใหญ่เข้ามา สี กับวันรีบไหว้
“สวัสดีค่า”
ดวงแก้ว กับเจริญขวัญรีบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
อิศราแนะนำ “อ้อ สองคนนี่เป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ครับ นี่ ป้าสี แล้วก็ วัน”
เจริญขวัญไหว้นอบน้อม “สวัสดีค่ะ”
สี วัน ตกใจรับไหว้แทบไม่ทัน
“เดี๋ยวเอากระเป๋าท้ายรถไปไว้ในห้องที่เตรียมไว้ด้วยนะ” อิศราสั่ง พลางหันมาทางสองแม่ลูก “เชิญครับ ผมจะพาเดินดูบ้านก่อน”
อิศราเดินนำเข้าบ้านไป เจริญขวัญและดวงแก้วเดินตาม
สี และวันหันมามองหน้ากัน แล้ววันก็ร้องเพลงออกมาเบาๆ
“นี่คือสถาน แห่งบ้านทรายทอง ทีชั้นปองมาสู่ ชั้นยังไม่รู้ เขาจะต้อนรับ ขับสู้เพียงไหน”
สีค้อนควักหมั่นไส้ “อุ้ย บ้า...ไป...ขนของ”
จากนั้นสีเดินนำไปที่รถอิศรา วันเดินตาม
อิศราพาดวงแก้ว กับเจริญขวัญเข้ามาในโถงกลาง ดวงแก้วชะงักเมื่อมองรูป ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงอุ่น ดวงแก้วยกมือไหว้จากหัวใจ อิศราหยุดมอง เจริญขวัญมองแม่
“รูปใครคะแม่”
ดวงแก้วบอกอย่างตื้นตัน “คุณปู่ของหนู...แล้วก็ คุณย่าอุ่น”
เจริญขวัญรีบยกมือไหว้ตาม
อิศราลอบมองอยู่ แอบแค่นหัวเราะความใสซื่อของทั้งสองคนอย่างไม่รู้สึกจับใจอะไรด้วย นอกจากรำคาญ!
ต่อมาอิศราพาดวงแก้ว กับ เจริญขวัญเดินขึ้นบันไดเวียนสวยงามอลังการ ผ่านระเบียงกว้าง อิศราเปิดประตูห้องน้ำ สองแม่ลูกชะโงกหน้ามองอย่างตื่นตาตื่นใจกับสภาพห้องน้ำอันหรูหรา และบริเวณที่กว้างใหญ่
“โอ้โห สวยจังเลยนะคะแม่”
“จ้ะ”
อิศรายืนอยู่ข้างหลังลอบมอง กัดกรามนิดๆ เหมือนคนจะเสียของรัก มองตามความตื่นเต้นของสองแม่ลูกอย่างแอบซ่อนความไม่พอใจไว้
เจริญขวัญยิ้มอยู่หันมามอง อิศรารีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มให้
อิศราเปิดประตูห้องนอนอีกห้อง มีกระเป๋าสองใบวางอยู่
“นี่ครับห้องนอนของอาดวงแก้ว ส่วนของน้องขวัญ อยู่อีกห้อง”
“ขวัญนอนกับแม่ก็ได้ค่ะ” เจริญขวัญเกรงใจ
“บ้านมีตั้งหลายห้อง จะนอนเบียดกันทำไมล่ะ” อิศรายิ้มหว่านเสน่ห์ นัยน์ตาเข้ม
“ไม่เป็นไรค่ะ ขวัญอยู่กับแม่ได้”
“นี่ก็จะเย็นแล้ว คงไปดูบ้านอีกหลังไม่ทันแล้วมั้งคะ” เจริญขวัญพูดพาซื่อ
อิศราฉงน “บ้าน อีกหลัง...บ้านไหนครับ”
“ก็บ้านที่คุณย่าอุ่น จะยกให้ขวัญน่ะค่ะ”
“ก็...บ้านหลังนี้ไงครับ”
ดวงแก้ว กับเจริญขวัญตกใจ ขณะที่อิศรายิ้มให้ แต่ดวงตาแข็งกร้าว
อิศราเดินพรวดออกมาแบบหลุดการสะกดกลั้นการเก็บอารมณ์ โกรธ งุ่นง่าน มือถือดังขึ้น อิศราดูแล้วรีบรับสาย
“ท่านชาย ผมกำลังคิดถึงเลย”
ท่านชายวสวัตยืนตรงหน้าต่างคฤหาสน์ในวง ท่าทีเหมือนมองอิศราอยู่ ไม่มีมือถือในมือหรือส่วนไหน ท่านชายพูดไปด้วยจิต ดูคล้ายๆ สองคนยืนคุยกันอยู่กระนั้น
“ยังไง รับเจ้าของบ้านคนใหม่มาดูสมบัติของเขาแล้ว”
“ตาโตกันทั้งแม่ทั้งลูก แน่ล่ะสิ เกิดมาเขาคงไม่เคยเห็นหรือคิดว่าตัวเองจะมีปัญญามีบ้านหลังขนาดนี้
ท่านชายโกรธวูบขึ้นมา “เธอนี่ช่างตัดสินคนจากความคิดของเธอฝ่ายเดียว” ท่านชายหัวเราะ “คนเราไม่เหมือนกันหรอกนะอิศรา ไม่ใช่ว่าเธอคิดอย่างนี้แล้วคนอื่น ต้องคิดแต่เรื่องสมบัติเหมือนเธอ”
“ท่านชายไม่มาเห็นหน้าพวกเขานี่”
ท่านชายปรายยิ้มเสมือนว่ารู้ดีกว่าใคร “เธอรู้ได้ยังไง”
อิศราคุยถือมือถืออยู่ ส่วนท่านชายในชุดเดิมนั้น ยืนอยู่เบื้องหลังมองอิศราแล้ว
“ฉันอาจจะเห็นทุกสิ่ง รู้ทุกอย่าง แบบที่เธอคิดไม่ถึงทีเดียว”
“ท่านชาย ชอบพูดเป็นปริศนา จนบางทีผมก็ตามไม่ทัน” อิศราชะเง้อเห็นดวงแก้ว กับเจริญขวัญ “เอ้อ...แค่นี้ก่อนนะครับ ท่านชาย”
อิศราวางหู ท่านชายมองตาม
พออิศราเดินไป ไม่มีร่างท่านชายอยู่ตรงนั้นแล้ว
ดวงแก้ว เจริญขวัญเดินมาที่หัวบันได
“คุณอิศคะ”
“ครับ” อิศราเดินขึ้นไปหา
“เอ้อ...อาจะขอกราบคุณหญิงท่านน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเก็บอัฐิท่านไว้ที่บ้านหรือเปล่า”
“เอ้อ...” อิศราอึกอัก “เรามีแต่ภาพคุณย่าครับ เชิญทางนี้”
อิศราเดินนำไปทางหนึ่ง ดวงแก้วเดินตาม
ขณะเจริญขวัญจะขยับตาม แต่รู้สึกเหมือนมีคนมอง หญิงสาวหันไปทางนั้น
ท่านชายยืนมองเจริญขวัญอยู่ สีหน้าอ่อนโยนแม้จะเรียบเฉยแต่ดวงตาทอประกายเศร้านัก
เจริญขวัญมองมาแต่ไม่เห็นท่านชายที่ยังยืนมองอยู่
ท่านชายมองเจริญขวัญอย่างแสนรัก ใบหน้างามแสนเศร้า
“เจริญขวัญ...ฉันรู้ว่า แม้มันจะนอกเหนืออำนาจของฉัน...และไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันจะปกป้องเธอ...” ท่านชายถอนใจเบาบาง “ทุกอย่างเป็นเรื่องของกรรม แต่...ฉัน....ก็..อดห่วงเธอไม่ได้”
เจริญขวัญมองไม่เห็นใคร แม้ขณะมองตรงมายังหน้าของท่านชายตรงๆ
ท่านชายยกมือขึ้นเหมือนจะลูบหน้าเจริญขวัญ
เสียงดวงแก้วดังขึ้น “ขวัญ”
“ค่ะแม่”
เจริญขวัญหันกลับเดินตามมารดาไป ท่านชายมองตาม
พอเจริญขวัญเดินห่างออกไป ไม่มีท่านชายวสวัตอยู่ด้านหลังแล้ว
อ่านต่อหน้า 3
เงา ตอนที่ 6 (ต่อ)
ดวงแก้ว อิศรา นั่งตรงหน้ารูปถ่ายของย่าอุ่น เจริญขวัญเข้ามา
“มัวทำอะไรอยู่ลูก”
เจริญขวัญเพียงยิ้ม มาทรุดนั่งข้างมารดา ประหลาดใจ
“เชิญตามสบายนะครับ”
อิศราลุกออกไป แต่หยุดเหลียวมามองรูปคุณย่า อย่างเจ็บปวดใจ ก่อนเดินออกไป แต่ยังยืนแอบดูที่ประตู
“กราบคุณย่าสิ เจริญขวัญ”
สองแม่ลูกพนมมือ
ดวงแก้วสบตากับย่าอุ่นในรูป พูดกับภาพนั้น “คุณหญิงคะ ดิฉันขอโทษที่ไม่สามารถทำตามที่คุณหญิงต้องการได้ก่อนที่ท่านจะจากไป และเรื่องระหว่างเราทั้งหมด ดิฉันขอให้คุณหญิงอโหสิกรรมให้พวกเราด้วยนะคะ”
“คุณย่าอุ่นคะ เสียดายที่ขวัญไม่มีโอกาสที่ได้พบคุณย่ามาก่อน แต่...ขวัญขอบพระคุณที่คุณย่าอุ่น คิดถึงพ่อและพวกเรา...แล้วก็ขอบคุณ สำหรับบ้านหลังนี้นะคะคุณย่า” สีหน้าเจริญขวัญไม่สบายใจเอาเลย
อิศราค่อยๆ ปิดประตูลง หันมาสีหน้าเจ็บปวด และไม่พอใจอย่างรุนแรง มือของอิศรา กำแน่น
ตอนค่ำชาลินีพาตัวเองมาอยู่ในลานจอดรถของวัดที่จัดงานศพเอกดนัน หล่อนนั่งนิ่งในรถท่าทางลังเล หยิบมือถือมากดดูข้อความไลน์อีกครั้ง
“อรอนงค์ เธอไม่คิดจะมาส่งน้องของฉัน ขออโหสิกรรมกันเลยหรือไง”
ชาลินีครุ่นคิดแล้วตัดสินใจ เปิดประตูลงจากรถไปทางศาลา
ภาพของเอกดนัยประดับอยู่หน้าโลงศพ ในศาลา อรอนงค์ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ วัลภา และปวีณา ช่วยกันปลอบ
“อร...ทำใจบ้างเถอะนะ”
“นั่นสิ ร้องไห้ตลอด ข้าวปลาก็ไม่ค่อยยอมกิน เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” วัลภามองด้วยสายตาห่วงใย
“ชั้นมีแต่เอก ญาติพี่น้องที่ไหน ก็ไม่มีแล้ว ชั้นมีแต่น้องของชั้นคนเดียว..เอก...โธ่”
อรอนงค์ร้องไห้คร่ำครวญ เช็ดน้ำตาป้อยๆ พอหันออกไปทางหน้าศาลาก็ชะงักกึก เมื่อเห็นร่างระหงของชาลินียืนอยู่ตรงนั้น มองเข้ามา เหมือนลังเล
“นัง ชาลินี”
อรอนงค์แค้นถึงขีดสุด มองจ้องอย่างอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อชาลินี ที่ยืนขรึมนิ่งอยู่
ชาลินีกุมกระเป๋าถือแน่น ขยับเดินใบหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตามีน้ำตาคลอหน่วย อย่างไรก็อดใจหายไม่ได้
นึกถึงภาพเอกดนัยที่เคลยคลอเคลีย กอดหอมและบอกรัก ชาลินีสลัดความคิดออกเดินเข้าไปด้านในช้าๆ
ชาลินีมองไปยังโลงศพและภาพถ่ายของเอกดนัยที่ตั้งอยู่ รู้สึกใจหาย
ทันใดนั้นเอง อรอนงค์ วัลภา และปวีณา ก็ปราดเข้ามาบดบังสายตา
“มาจนได้นะ” อรอนงค์ทักสีหน้าแค้นเคือง
ชาลินีชะงักกึก สติกลับมา ความใจหายใจอ่อนวูบหายไป
“ก็เธอไม่ใช่เหรอที่ไลน์บอกให้ชั้นมา อย่างน้อย ชั้นมาก็เพราะเคย..รู้จักกัน”
“แค่รู้จักงั้นเหรอ เฮอะ เธอแกล้งโง่ หรือทำเป็นไม่รับผิดชอบที่เธอเป็นคนทำให้เอกฆ่าตัวตาย”
ชาลินีโกรธ “อย่ามาพูดบ้าๆ นะ”
“หรือไม่จริง เธอปั่นหัวตาเอกทำให้เอกมันรักเธอ หลงเธอ แล้วเธอก็ทิ้งตาเอก เอกมันเสียใจทนไม่ได้ ถึงฆ่าตัวตาย นี่” อรอนงค์เดือดพล่าน “ทุกคนคะ” หันไปชี้หน้าชาลินีประจาน “ดูหน้านังคนนี้ไว้นะคะ นังคนนี้ คือฆาตกรที่ฆ่าเอก” ชาลินีร้องไห้ออกมาด้วยแรงโทสะ “นังชาลินี คนนี้นี่แหละ ที่ฆ่าน้องของชั้น”
ทุกคนในงานหันมามองชาลินีเป็นตาเดียว ชาลินีโกรธ เม้มปาก เชิดหน้า
“ชั้นนี่โง่จริงๆ น่าจะรู้ว่าเธอหลอกเรียกชั้นมา กล่าวหากันกลางงานศพ”
ชาลินีเม้มปากสะบัดหน้าเดินจากไป
“กลับไปไหนล่ะ นังชาลินี เธอกลับมากราบขอโทษศพของน้องชั้นเดี๋ยวนี้นะ...” อรอนงค์กรีดร้องดังลั่น “ชาลินี...”
อรอนงค์จะถลันตาม ปวีณาและวัลภาช่วยกันจับไว้
“อย่า อร แขกเหรื่อตกใจหมดแล้ว”
“พระกำลังจะมาสวดแล้วด้วย ใจเย็นๆ นะ”
ชาลินีเชิดหน้าใส่อย่างท้าทายและไม่เกรงกลัว ก่อนจะเหลียวไปมองรูปเอกดนัยคล้าย
สั่งลาอีกที แล้วหันหลังกลับเดินไป
ทิ้งอรอนงค์ในอ้อมกอดเพื่อน มองตามอย่างคั่งแค้น
ชาลินีเดินมาเร็วแรงออกมา สะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ จนมาถึงรถ มือไม้สั่นเปิดประตูขึ้นไปนั่งสงบสติ ครู่หนึ่ง แต่ก็คุมอารมณ์ไม่ได้เหมือนทำนบพัง ระเบิดกรี๊ดออกมาโดยการทุบพวงมาลัย ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเจ็บแค้น
ด้านหลัง ผีเอกดนัยโผล่หน้าออกมาจากเงามืดสงสารชาลีนีจนร้องไห้ออกมา
“ชา...ชา...อย่าร้องไห้...อย่า...ร้องไห้”
“เอก” ชาลินีกัดฟัน “เธอทำตัวเอง แล้วทำให้ชั้นพลอยรับเคราะห์ให้พี่สาวเธอ ด่าชั้น ฉีกหน้าชั้น”
ผีเอกดนัยสะอื้นไห้ “เอก...ขอโทษ”
“เธอฆ่าตัวตายเอง ชั้นไม่ได้บอกให้เธอทำซะหน่อย” ชาลินีทุบพวงมาลัยเปรี้ยง แล้วถอนสะอื้น “เธอมันอ่อนแอเอง”
“ชา เอกผิดเอง ชาอย่าร้องไห้ เอก...ขอโทษ”
ผีเอกดนัยเสียใจ ที่ทำให้ชาลินีร้องไห้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
สักครู่หนึ่ง ชาลินีคุมสติได้ปาดน้ำตา
“สิ้นเวรสิ้นกรรมกันที เอก”
ผีเอกดนัย มองชาลินีอย่างเสียใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในเงามืด
ชาลินีมองกระจกส่องหลัง ดูใบหน้าตัวเองว่าตาบวมช้ำไหม ตัดใจได้ ท่าทางเข้มแข็งขึ้น ชาลินีสตาร์ทรถ เอกดนัยโผล่มานั่งในรถ มองมายังชาลินีด้วยสีหน้าเจ็บปวด
รถเคลื่อนออกไป มีผีเอกนัยนั่งไปด้วยด้านหลัง โดยชาลินีไม่รู้ตัว
ฟากสองแม่ลูกเดินเกาะกันแจลงบันไดเวียนอันใหญ่โตมาอย่างระมัดระวัง
“แม่ ระวังนะคะ มันลื่น”
“หนูนั่นแหละ เดินดีๆ นะ”
เจริญขวัญหัวเราะขำ “เกาะกันมา ตกก็ตกด้วยกันนะคะ”
อิศรายืนอยู่ มองดูแคลนความเปิ่นของสองแม่ลูก ใจอันร้อนรุ่มนึกหมั่นไส้ และจงชังยิ่งนัก
ดวงแก้ว และ เจริญขวัญ หยุดปลายบันได งงๆ ไม่รู้จะไปทางใด อิศราหันหลังเดินจากไปแล้ว วันเดินเข้ามาหา
“อ้อ คุณผู้หญิงทั้งสองคน หิวหรือยังคะ”
ดวงแก้ว และเจริญขวัญ ยิ้มเจื่อนๆ แทนคำตอบ
“เชิญทางนี้เลยค่า”
วันเดินนำไปทางหนึ่ง สองแม่ลูกเดินตาม
ดวงแก้วและเจริญขวัญเดินเข้ามาในห้องทานอาหารของบ้าน บนโต๊ะมี ถาดพิซซ่าวางอยู่ วันกุลีกุจอเลื่อนเก้าอี้ให้อย่างเอาใจ
เจริญขวัญถาม “พิซซ่าเหรอคะ”
“ตั้งแต่คุณหญิงท่านไม่อยู่ คุณอิศราเธอก็ไม่ค่อยทานข้าวบ้านน่ะค่ะ หรือถ้าจะทานก็ง่ายๆ วันนี้ คุณอิศราก็เลยให้สั่งพิซซ่าค่ะ” สีบอก
“เคยทานไหมคะ” วันถามกึ่งอยากรู้ “เอ้อ...ทานได้ไหมคะ”
เจริญขวัญยิ้มให้ “ได้ค่ะ พิซซ่าก็ดีค่ะ นะแม่นะ”
“จ้ะ”
สองคนนั่ง จำใจกิน เขี่ยทานแต่ตัวโรยหน้าแป้งพิซซ่า
วันและสีมองจ้อง ดวงแก้ว เจริญขวัญ รู้สึกอึดอัด ไม่คุ้นเคยกับบ้านหลังใหญ่โตนี้ วันแอบเบะปากว่าท่าทางหล่อนบ้านนอก
ค่ำนั้นดวงแก้ว และเจริญขวัญเดินเข้ามาในห้องโถงกลาง ตรงหน้ารูปใบใหญ่ของคุณหญิงอุ่น แล้วพากันทรุดตัวนั่งกับพื้น สองแม่ลูกถอนหายใจยาว
“แม่...ขวัญงงไปหมดแล้ว นี่เราจะต้องทำยังไงต่อไปคะ”
“แม่ก็ไม่รู้”
เจริญขวัญถอนหายใจ เงยหน้ามองรูปย่าอุ่น
ทางด้านชาลินีจอดรถอยู่หน้ารั้วบ้าน บีบแตรถี่ๆ รอคนใช้เปิดประตูให้อย่างหงุดหงิด ชาลินีถอนใจยาว จับกระจกส่องหลังบิดมา สำรวจใบหน้าตัวเองว่าไม่มีรอยร้องไห้ แล้วบิดกระจกกลับ
ภาพในกระจกเห็นเสี้ยวหน้าของผีเอกดนัย ชาลินีตกใจร้องกรี๊ด ตัวสั่น กดแตรยาว
ประตูบ้านเปิดออก ชาลินีกระทืบคันเร่ง รถแล่นทะยานเข้าไป แทบชนแม่บ้านที่กระโดดหนีกระเจิง
พอรถจอดลง ชาลินีผลีผลามลงจากรถ ยังร้องกรี๊ดเบาๆ คุณหญิงเพ็ญวิ่งออกมา
“ชา เป็นอะไร กดแตรซะลั่น นี่เมากลับมาหรือเปล่า”
“เปล่า หนูไม่ได้เมา แต่ หนู...หนู...”
“อะไร”
ชาลินีมองไปในรถ แต่ในนั้นว่างเปล่าไม่มีผีแล้ว หล่อนถอนใจยาว ยังกลัวจับจิตแต่ไม่อยากบอกแม่
“ว่าไง เป็นอะไรเรา กลัวอะไร ตัวสั่นเชียว”
“ไม่...ไม่มีอะไรค่ะแม่...ไม่มี”
ชาลินีพยายามระงับความกลัว หันเดินกลับไป คุณหญิงเพ็ญงง
“อะไรของเขา”
ที่หน้าประตูรั้วตอนนี้ ผีเอกดนัยหยุดยืนอยู่นอกรั้วมองมาอย่างโศกศัลย์
ผีเอกดนัยขยับจะเดินเข้ารั้ว แต่มีแสงสว่างพุ่งปราดใส่อย่างแรง ผีเอกดนัยร้อน ถลาเหมือนถูกผลักล้ม พอมองไปทางแสงจึงเห็นศาลพระภูมิตั้งอยู่ วิญญาณเอกดนัยตั้งหลักยืนได้สีหน้าหวาดผวา
จังหวะนี้ มีเงาดำหลายเงาพุ่งผ่านวูบมา ผีเอกดนัยร้องลั่นร่างหายวับไป
ที่คอนโดเอกดนัย คืนเดียวกัน หญิง 1 ชื่อ แอ๋ว ที่เคยเม้าท์มอยกับเพื่อนหลังเอกดนัยยิงตัวตายใหม่ ก้าวออกจากลิฟท์ หิ้วตระกร้าผ้าเหมือนไปซักมา เดินมาตามทางเดินหน้าห้อง
เดินๆ อยู่แอ๋ว รู้สึกเหมือนมีคนตาม ชะงักกึก เหลียวไปทางข้างหลังอย่างหวาดผวา แต่ไม่มีใคร แอ๋วหันกลับ เดินต่อ จนแอ๋วพ้นตัวไป เห็นผีเอกดนัยยืนอยู่
แอ๋วเดินมาตามทางมีดวงไฟเปิดให้แสงเป็นช่วงๆ ท่าทีเริ่มกลัว พอผ่านหน้าห้องเอกดนัยไฟตามทางดับวูบลง
แอ่วหันไปมองเลขห้องพบว่าเป็นห้องเอกดนัย หญิงสาวร้องกรี๊ด วิ่งหน้าตั้งเข้าห้องตัวเองไป
ภายในห้องเอกดนัยตอนนี้ มีเพียงแสงสลัวจากหน้าต่างส่องเข้ามา ยินเสียงร้องไห้แผ่วๆ
ผีเอกดนัยนั่งหันหลังอยู่ที่เตียง “ชา...”
ร่างนั้นยกปืนจ่อหัวยิงเปรี้ยง อันเป็นพฤติกรรมซ้ำของคนที่ฆ่าตัวตายนั่นเอง
ผีเอกดนัยนั่งซุกมุมห้องร้องไห้สะอื้นแผ่วๆ อยู่ในเงามืดอย่างน่าสงสาร
“ชา...ผมรักคุณ”
ฝ่ายเจริญขวัญ และดวงแก้ว หลับอยู่บนเตียงในห้อง ครู่หนึ่ง เจริญขวัญค่อยๆ รู้สึกตัวลืมตาตื่น เหลียวมองไปทางประตู เห็นร่างแวบๆ ของใครคนหนึ่งเพิ่งเปิดประตูเดินออกไป
“นั่น ใครน่ะ”
เจริญขวัญมองจ้อง ประตูยังเปิดแง้มออก แสงส่องจากนอกห้องเข้ามา เจริญขวัญดึงผ้าห่มออก ลุกเดินไป ดวงแก้วยังหลับไม่รู้เรื่อง
เจริญขวัญเดินออกมาตามระเบียงหน้าห้อง มองตรงไปในแสงสลัว เท้าเธอยังก้าวเดินต่อไป
พอเจริญขวัญเดินมาจนพ้นมุมทางเดินหน้าห้อง ก็กวาดตามอง ซ้าย ขวา ไม่เห็นใคร จะเดินกลับ แล้วชะงัก เจริญขวัญหันไปมอง มุมบันได เธอชะงักมอง
ที่แท้เป็นผีย่าอุ่นผมยาวในชุดนอน ยืนหันข้างให้อยู่ เจริญขวัญ เดินช้าๆ เข้าหาใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
“ใคร...ใครคะ”
ฉับพลันนั้นเอง ย่าอุ่นหันขวับมาหา เจริญขวัญร้องกรี๊ด ร่างเซล้มลงนั่งกับพื้น
ร่างย่าอุ่นเดินมาใกล้ ชะโงกหน้ามองขวัญเจริญขวัญที่ตกใจสุดขีด ขวัญกระเจิงอยู่
“คุณ...คุณย่า...”
เจริญขวัญกลัวจนหลบตปี๋ พร้อมกับหันหน้าหนี แต่พอหันมาก็ปะทะกับใบหน้าของคุณย่าที่จ้องอยู่
เจริญขวัญตกใจ ร้องกรี๊ด ยกมือขึ้นปิดหน้า ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงมอง
ผีคุณหญิงอุ่นอยู่ที่เดิม แต่มีสีหน้าเหมือนร้อนในคอ เจ็บปวดทุกข์ระทมสุดจะประมาณ อ้าปากพูดไร้เสียงร้องขอให้ช่วย หิวน้ำ...ร้อน
เจริญขวัญตะลึงแล ดวงหน้าซีด หยาดน้ำตาหยดรินด้วยความสงสาร
น้ำเสียงอ่อนลง “คุณย่า”
ย่าอุ่นก้มมาจนแทบชิดหน้าเจริญขวัญมองจ้อง
เจริญขวัญสะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้น หอบหายใจกับฝันร้ายเสมือนจริง หญิงสาวหันมามองแม่ เห็นดวงแก้วยังคงหันหลังหลับอยู่
“คุณย่า...คงอยากบอกอะไรสักอย่าง”
เจริญขวัญนิ่งนึก แล้วนั่งพับเพียงบนเตียงพนมมือ หันหน้าไปทางหัวเตียง
“นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ”
เสียงสวดมนต์ของเจริญขวัญดังไปทั่วบ้าน ภาพคุณหญิงอุ่นที่ประดับอยู่ในบ้าน แลเห็นดวงตาในภาพขยับกลอกตาไปมา
เจริญขวัญสวดเสร็จแล้วก้มกราบหมอนสามครั้ง ก่อนอธิฐานจิตแผ่กุศล
“บุญใดที่ลูกเคยทำมา ขออุทิศผลบุญนั้นให้แก่คุณย่าอุ่น หากท่านมีทุกข์ก็ขอให้พ้นทุกข์ด้วยเถิดเจริญขวัญก้มกราบหมอน
เจริญขวัญลงนอน หลับตา
ผีย่าอุ่นเคลื่อนเข้ามาข้างเตียง สีหน้าเศร้า ลูบศีรษะเจริญขวัญ
“หลานย่า...ขอบใจ”
เจริญขวัญหลับสนิท วิญญาณย่าอุ่นหายวับไป
ด้านอิศรามาดื่มเหล้าดับกลุ้มที่คลับโลกันต์ตามประสา เวลานี้เมากรึ่ม นิกรเพื่อนซี้นั่งข้าง
“เฮ้ย อิศ..แก เชื่อเรื่องผี มั้ยวะ” นิกรเอ่ยขึ้น
อิศราชะงัก “นึกยังไงมาถามเรื่องนี้”
“ก็...คิดถึงคืนที่ไปงานศพไอ้เกรียงไกรทีไร ข้าก็ยังอดขนลุกไม่ได้ คืนนั้น มันแปลกๆพิกล”
อิศราอดคิดถึงเสียงย่าอุ่นที่กระซิบข้างหูในวังท่านชายขึ้นมาไม่ได้ เผลอกมือขึ้นแตะคอไล่มาที่ใบหูที่ย่าอุ่นเคยกระซิบ
จู่ๆ แต๋วยื่นหน้ามากระซิบ เหมือนตอนคุณหญิงอุ่นกระซิบไม่ผิดเพี้ยน
“คุณอิศขา”
อิศราสะดุ้งหันไปหา
“เฮ้ย...อ้าว”
แต๋วยืนยิ้มยั่วยวนอยู่กับอีกสาวหนึ่ง
พอแต๋วเห็นท่าทางอิศราก็หัวเราะคิก “ต๊าย ไม่ยักรู้ว่าพี่อิศขวัญอ่อน”
สาวอีกนางเดินเข้ามาคลอเคลียนิกร แต๋วคลอเคลียอิศรา
“อ้าว มากันแล้วเหรอจ้ะสาวๆ” นิกรทัก
“แหม...” แต๋วสะบัดสะบิ้ง “นี่ถ้าพี่นิกรไม่โทร.หา พี่อิศก็คงไม่คิดโทร.หาแต๋วเลยใช่ไหมคะ”
อิศราเพียงแค่นหัวเราะ ดื่มต่อ
“ดูสิ มายังไม่สนใจอย่างนี้ แต๋วกลับดีกว่า” แต๋วทำเป็นงอน
อิศราแทบไม่มองหน้าแต่ดึงแต๋วมากอด
“เดี๋ยว” อิศรายิ้มตาเยิ้ม “ดื่มด้วยกันก่อนสิ”
แต๋วยิ้มซบบ่าเงยหน้าหอมแก้มอิศรา
อิศราหน้ายิ้ม กอดแต๋วตอบ แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มประชดตัวเองแววตาเคร่งเครียด
เจริญขวัญตื่นแต่เช้าตามความเคยชิน เดินลงบันไดมา เปิดประตูบ้าน ยืนตรงระเบียงชื่นชมภาพสวนสวยและบ่อน้ำพุตรงหน้า
อิศราก้าวมาทางเบื้องหลัง ยืนเท้าแขนกับกรอบประตู ราวสิงห์ มองลูกแกะ เจ็บปวดและจงชังลึกๆ เจริญขวัญสบายอารมณ์อยู่ หันมาเกือบปะทะร่างอิศรา
“อุ้ย” เจริญขวัญถดตัวถอย
อิศรายิ้มเดินเข้าหา ทอดเสียงนุ่ม “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เอ้อ...คุณอิศรา เพิ่งกลับเหรอคะ”
อิศราพยักหน้า “ผมโดนเพื่อนลากไว้จนเช้าถึงได้กลับ ง่วงชะมัด แล้วเมื่อคืนนอนหลับสายดีไหม”
“ดีค่ะ”
“ผมขอตัวก่อนนะ อยากได้อะไรก็บอกแม่บ้านนะ ขอนอนสักงีบ”
อิศรายิ้มหล่อหว่านเสน่ห์ ก้มศีรษะเป็นเชิงลา แต่พอละตัวหันห่างจากเจริญขวัญมา รอยยิ้มก็จางเป็นเคร่งขรึมชิงชังดังเดิม
เจริญขวัญมองตาม เริ่มรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของเขา หญิงสาวทั้งอึดอัดใจ และไม่สบายใจ
ขณะเดียวกันวันยืนสีหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในครัว ขณะที่ดวงแก้วตรวจดูของในตู้เย็นมีสียืนอยู่เบื้องหลัง
“บอกแล้วไงคะว่า คุณอิศเธอทานง่ายๆ สายๆ มีรถเข็นขายของมา มีอะไรชั้นก็ซื้อเป็นวันๆ น่ะค่ะ”
ดวงแก้วปิดตู้เย็น
“แล้วเธอสองคนทานอะไรกัน”
“มีอะไรก็กินอย่างนั้นล่ะค่ะ คุณอยากทานอะไรคะ ชั้นไปซื้อให้” สีบอกหน้าเฉย
“งั้น...”
ดวงแก้วเปิดกระเป๋าเงินใบย่อมในมือ เจริญขวัญเดินเข้ามาสมทบ
“รบกวนไปหาซื้อผัก หมู ไก่ ไข่ พริกแกงอะไรก็ได้มาสักหน่อยพันหนึ่งพอไหมจ้ะ”
สีจีบปาก “คุณคะ พันหนึ่งไม่ได้อะไรเท่าไหร่หรอกค่ะ ข้าวของมันแพง”
“งั้น” ดวงแก้วงั้นหยิบให้อีกพัน “ฝากด้วยนะ”
“ได้ค่ะได้” สีเดินมาตรงประตูแล้วหันมา “ไปด้วยกันมั้ยยายวัน”
วันเดินตามสีไป ดวงแก้วถอนหายใจ
“แม่ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ แล้วก็คนในบ้านนี่ล่ะคะ เราก็ต้องดูแลเขาด้วยสินะคะแม่” เจริญไม่สบายใจ “ค่าใช้จ่ายดูแลก็คงไม่น้อย...เราจะไหวเหรอคะแม่”
ดวงแก้วถอนใจ เครียดเหมือนลูก ลงนั่งตรงโต๊ะเตรียมอาหาร
“แล้ว คุณอิศล่ะคะแม่ คุณอิศก็อยู่บ้านนี้”
ที่ประตูวันโผล่มาแอบฟัง
“ตอนแรก ขวัญนึกว่าบ้านได้มาแล้ว จะขาย…”
วันตาโต ฟังแล้วตกใจ ผลุบหน้าหายไปทันที
“แต่นี่เป็นบ้านของคุณย่า...คุณย่าคงอยากให้เก็บไว้มากกว่าแต่ ค่าใช้จ่ายดูแลบ้านกับคนในบ้านก็คงไม่น้อย แล้วก็...คุณอิศราจะทำยังไงคะ”
สองแม่ลูก มองหน้ากัน ถอนหายใจยาว กังวลเหลือเกินกับชีวิตในคฤหาสน์หลังโอฬาร
อ่านต่อหน้า 3
เงา ตอนที่ 6 (ต่อ)
ขณะเดียวกันวันยืนสีหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในครัว ขณะที่ดวงแก้วตรวจดูของในตู้เย็นมีสียืนอยู่เบื้องหลัง
“บอกแล้วไงคะว่า คุณอิศเธอทานง่ายๆ สายๆ มีรถเข็นขายของมา มีอะไรชั้นก็ซื้อเป็นวันๆ น่ะค่ะ”
ดวงแก้วปิดตู้เย็น
“แล้วเธอสองคนทานอะไรกัน”
“มีอะไรก็กินอย่างนั้นล่ะค่ะ คุณอยากทานอะไรคะ ชั้นไปซื้อให้” สีบอกหน้าเฉย
“งั้น...”
ดวงแก้วเปิดกระเป๋าเงินใบย่อมในมือ เจริญขวัญเดินเข้ามาสมทบ
“รบกวนไปหาซื้อผัก หมู ไก่ ไข่ พริกแกงอะไรก็ได้มาสักหน่อยพันหนึ่งพอไหมจ้ะ”
สีจีบปาก “คุณคะ พันหนึ่งไม่ได้อะไรเท่าไหร่หรอกค่ะ ข้าวของมันแพง”
“งั้น” ดวงแก้วงั้นหยิบให้อีกพัน “ฝากด้วยนะ”
“ได้ค่ะได้” สีเดินมาตรงประตูแล้วหันมา “ไปด้วยกันมั้ยยายวัน”
วันเดินตามสีไป ดวงแก้วถอนหายใจ
“แม่ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ แล้วก็คนในบ้านนี่ล่ะคะ เราก็ต้องดูแลเขาด้วยสินะคะแม่” เจริญไม่สบายใจ “ค่าใช้จ่ายดูแลก็คงไม่น้อย...เราจะไหวเหรอคะแม่”
ดวงแก้วถอนใจ เครียดเหมือนลูก ลงนั่งตรงโต๊ะเตรียมอาหาร
“แล้ว คุณอิศล่ะคะแม่ คุณอิศก็อยู่บ้านนี้”
ที่ประตูวันโผล่มาแอบฟัง
“ตอนแรก ขวัญนึกว่าบ้านได้มาแล้ว จะขาย…”
วันตาโต ฟังแล้วตกใจ ผลุบหน้าหายไปทันที
“แต่นี่เป็นบ้านของคุณย่า...คุณย่าคงอยากให้เก็บไว้มากกว่าแต่ ค่าใช้จ่ายดูแลบ้านกับคนในบ้านก็คงไม่น้อย แล้วก็...คุณอิศราจะทำยังไงคะ”
สองแม่ลูก มองหน้ากัน ถอนหายใจยาว กังวลเหลือเกินกับชีวิตในบ้านหลังโอฬาร
อีกฟากหนึ่ง นายพลบัญชา ส่งพระเครื่องให้ลูกสาว ด้วยสีหน้าแปลกใจไม่หายที่จู่ๆ ชาลินี มาถามหาพระเครื่องขึ้นมา อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“นี่พระสมเด็จวัดระฆังของแท้เลยนะ ราคาเหยียบแสน”
“ขอบคุณค่ะพ่อ” ชาลินีรับมาดู ไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก
ท่านนายพลหัวเราะ “นึกยังไงมาขอพระพ่อ ทุกทีไม่เห็นเคยสนใจ
ชาลินีเลี่ยง “ก็ อยากมีพกๆ ไว้บ้างน่ะค่ะ” หล่อนหยอดพระใส่กระเป๋า “หนูไปนะคะ”
ร่างชาลินีเดินลับกายไปแล้ว นายพลบัญชามองตามหันกลับมา เจอหน้าคุณหญิงเพ็ญ ยืนมองอย่างฉุนเฉียวอยู่ นายพลบัญชาหงุดหงิดใจในบัดดล
นายพลบัญชาลงนั่งในห้องอาหาร น้ำเสียงโมโหเอาการ
“ผมจะขายที่ หรือ ทำอะไร มันเรื่องของผม”
คุณหญิงเพ็ญย้อน “เรื่องของคุณคนเดียวได้ยังไง ในเมื่อทรัพย์สมบัติทุกชิ้นถือว่าเป็นทรัพย์สินระหว่างสมรส ชั้นก็มีส่วน ยายชาก็มีส่วนคุณจะขายสมบัติไปเที่ยวแจกจ่ายอีหนูของคุณได้ตามอำเภอใจ
ได้ยังไง”
นายพลทุบโต๊ะ “แต่พวกเขาก็เมียผม มีลูกที่ผมต้องส่งเสีย”
คุณหญิงโกรธจนตัวสั่น
“ลูกคุณมีคนเดียวคือยายชาลินี เด็กคนอื่นๆ มันแค่น้ำเชื้อที่บังเอิญติดเป็นตัวมาเท่านั้น ..อย่านะ อย่ามาเรียกว่า ลูกนะ”
“คุณห้ามความจริงไปไม่ได้หรอก เด็กๆ มันเกิดมาแล้ว จะให้ผมทิ้งขว้างได้ยังไง สงเคราะห์ลูกชาวบ้าน สงเคราะห์ลูกของผัวหน่อยจะเป็นไร”
คุณหญิงกรี๊ดปิดหูทนฟังไม่ได้ “ไม่ต้องมาพูดให้ชั้นได้ยิน ชั้นไม่อยากฟัง ชั้นไม่ยอมรับใครทั้งนั้น แล้วต่อไปนี้ ชั้นไม่ยอมให้คุณขายสมบัติของเราอีก ไม่งั้น ชั้นฟ้องแน่”
“จะทำอะไรก็เรื่องของคุณ...ผมไม่แคร์”
นายพลบัญชาเดินปึงปังออกไปคุณหญิงแทบกรี๊ด
รถชาลินีแล่นมาจอดหน้าประตูวัง กระเป๋าใบที่ใส่พระสมเด็จ วางอยู่ข้างตัว ชาลินีเปิดกระจก มองไปข้างใน แล้วกดแตรถี่ๆ
ไม่มีใครออกมาเปิด ชาลินีลงจากรถ เดินมา หยุดมองไกล เห็นวังตระหง่าน
“วัง...ท่านชาย...สวยเหลือเกิน” แล้วเกิดหงุดหงิดขึ้นมา “วังออกใหญ่โต ข้ารับใช้หายไปไหนหมดนะ”
ชาลินีเดินไปเอื้อมมือเข้าไปกดแตรรถอีก พอหันมาก็แทบสะดุ้ง เพราะสิริยืนอยู่ข้างหลังเมื่อไหร่ไม่รู้
“ท่านชายอยู่ไหม ชั้นมาหาท่านชาย”
สิรินิ่งแล้วคลี่ยิ้มมองชาลินีสีหน้าแปลกๆ
“ชั้นเป็นเพื่อนคุณอิศรา ครั้งที่แล้วก็เจอชั้นแล้วนี่ เปิดประตูสิ”
“ท่านชาย..ไม่อยู่”
“อ้าว แล้วก็ไม่บอกแต่แรก ปล่อยให้พูดอยู่ได้ตั้งนาน”
ชาลินีปรายตาค้อน เดินกลับขึ้นรถ
ชาลินีมองสิริที่ยังคงยืนจ้อง ยิ้มแปลกๆ อยู่อย่างนั้น
“มองอะไร คอยดูนะ ถ้าได้เป็นเจ้าหญิงวังนี้ล่ะก้อ จะไล่ไปให้หมดพวกหน้าแปลกๆ นี่”
ชาลินีสตาร์ทรถ
ผีเอกดนัยยืนหน้าเศร้ามองตามรถชาลินีไป สิริหันไปจ้อง ผีเอกดนัยกลัวหายวับไป
เจริญขวัญเดินชมสวนสวน มาหยุดที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง
“โถ...ใบแห้งจังเลย”
เจริญขวัญหันรีหันขวาง เห็นสายยางวางอยู่มุมหนึ่ง
เจริญขวัญจับสายยางขึ้นฉีดน้ำเป็นฝอย รดน้ำต้นไม้ จนพอใจ
“อือม์ ได้น้ำแล้วนะ..อิ่มหรือยังจ๊ะ...ชุ่มชื่นแล้วนะ”
เสียงท่านชายวสวัตหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู ดังขึ้น เจริญขวัญสะดุ้ง หันมา แลเห็นท่านชายยืนโดดเด่นอยู่ แสงแดดสะท้อนด้านหลังเป็นประกาย
“ท่านชาย”
เจริญขวัญวางสายยาง พนมมือไหว้ ท่านชายค้อมศีรษะรับ งดงาม
สองคนยืนมองกันนิ่งนาน
ต่อมาสองคนเดินคุยกันมาอีกมุมในสวนสวย
“คุณอิศรา ยังไม่ตื่นค่ะ”
“ฉันมาเยี่ยมเธอกับแม่ เลยได้เห็นเธอคุยกับต้นไม้” ท่านชายเย้า
เจริญขวัญหัวเราะท่าทีขัดเขิน “ที่บ้าน ขวัญก็คุยกับต้นไม้ค่ะ ขวัญรู้สึกว่า ต้นไม้เขาก็รับรู้นะคะ”
“ต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตนี่นะ กระแสแห่งความเมตตา เขาก็สัมผัสได้”
สองคนเงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่ทอดร่มไม้ ร่มรื่น ท่านชายหันหน้ามามองเจริญขวัญก่อน ด้วยสายตาล้ำลึก
เจริญขวัญยิ้มมองต้นไม่อยู่ ลดสายตามาเห็นสายตาท่านชาย ก็อึดอัดขัดเขิน หันไปมองในบ้าน
“เอ้อ...ไปพบแม่ไหมคะ แม่อยู่ข้างใน”
ท่านชายหัวเราะ “ทำไม เบื่อฉันเหรอ”
“เปล่าค่ะ แต่ ท่านชายบอกว่า มาเยี่ยมขวัญกับแม่
ท่านชายวสวัตหัวเราะ ผายมือให้เจริญขวัญเดินนำไปก่อน ท่านชายเดินตาม
เจริญขวัญเดินมาเรื่อยๆ แล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้ยินเสียงคนเดินตามก็เอะใจ หันขวับมา
หา ร่างท่านชายเดินตามหลังมาหยุดเกือบใกล้ตัวเจริญขวัญในระยะประชิด เจริญขวัญสะดุ้งถอยนิดๆ
“อุ้ย ขอโทษค่ะ พอดีไม่ได้ยินเสียงเดิน...เอ้อ…”
ท่านชายยิ้ม
เจริญขวัญรีบหันตัวกลับเดินนำไป ท่านชายยิ้มละมุนเดินตาม
เจริญขวัญวางแก้วน้ำให้ท่านชายวสวัตที่นั่งอยู่กับดวงแก้วในศาลากลางสวน ก่อนลงนั่งข้างแม่
“ขออนุญาตต้อนรับท่านชายที่นี่นะคะ จะไปใช้ห้องรับรองแขก ดิฉันก็ยังไม่กล้า”
“ทำไมล่ะ ก็นี่...เป็นมรดกของคุณเจริญขวัญไม่ใช่รึ”
“ค่ะ แต่ว่า...” ดวงแก้วอึกอัก
ท่านชายหันมาถามเจริญขวัญ “ดีใจไหม ที่ได้บ้านหลังนี้”
“ดีใจ...ที่คุณย่า คิดถึงคุณพ่อค่ะ แต่...บ้านนี้ มันออกจะใหญ่เกินไปสำหรับเรา”
ท่านชายเยื้อนยิ้ม เสมองบ้าน
“ถ้าดูแลไม่ไหว ก็ขายสิ จะได้เอาเงินไป...ทำอะไรที่อยากทำ”
เจริญขวัญ กับดวงแก้วชะงักที่เหมือนท่านชายรู้ใจ
ท่านชายวสวัตยิ้มเรื่อยๆ
ดวงแก้วมองหน้าท่านชายอย่างพินิจ แล้วสงสัยว่าเคยเห็นมาก่อนที่ไหน
ท่านชายรู้ทันหันมาถามดวงแก้ว “หน้าฉันมีอะไรผิดปกติงั้นหรือ”
“เปล่าค่ะ เพียงแต่ คิดว่าเคยเห็นท่านที่ไหนมาก่อน”
“แม่...ก็ท่านชายเคยไปบ้านเรา” เจริญขวัญว่า
“ไม่ใช่ลูก...เอ้อ...”
ท่านชายหัวเราะเบาๆ “เธอคงไม่บอกนะว่ามีคนหน้าเหมือนฉันดาษดื่น”
“เอ้อ..ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”
ท่านชายหันไปทางหน้าบ้าน เห็นรถชาลินีขับเข้ามา
พอรถจอด ชาลินีก้าวลงจากรถ ถอดแว่นมองมายังศาลาอย่างประหลาดใจ แกมไม่พึงใจนัก
ท่านชาย ดวงแก้วและเจริญขวัญ เหลียวไปมอง
ชาลินีลงนั่งในศาลา พยายามยิ้ม ซ่อนความไม่ชอบใจ
“ท่านชาย มาถึงที่นี่ได้ยังไงคะ อิศราล่ะคะ” ชาลินีประหลาดใจไม่หาย
“เห็นว่ายังไม่ตื่น”
“อ้าว แล้วทำไมไม่มีใครปลุก ท่านชายอุตส่าห์มาหา”
ท่านชายบอกว่า “ฉันตั้งใจมาหาคุณเจริญขวัญกับคุณดวงแก้ว”
“อะไรนะคะ”
ชาลินีหันมองดวงแก้ว เจริญขวัญ ซ่อนความสงสัยและไม่พึงใจไว้ สองแม่ลูกรู้สึกอึดอัดใจ
ท่านชายบอกอีก “มาเยี่ยมเยียนประสาคนที่เคยพบกัน”
ชาลินีเสหัวเราะ “ท่านชายกรุณาจริงๆ เลยค่ะ” แล้วหันมาทางดวงแก้วกับเจริญขวัญ “ว่าแต่สองแม่ลูกเป็นไงบ้างจ๊ะ”
“คุณชาลินีจะรับอะไรไหมคะ เดี๋ยวขวัญไปดูให้”
“ไม่เป็นไรหรอก” ชาลินีมองยิ้มๆ กึ่งกัดกึ่งสัพยอก “แหม คุ้นเคยกับการเป็นเจ้าของบ้านเร็วดีจังเลยนะคะ”
เจริญขวัญเลยยิ้มเก้อๆ
ท่านชายเหลือบมองชาลินีอย่างรู้ทัน ก่อนจะลุกยืน
“อ้าว ท่านชาย...จะไปไหนคะ”
ท่านชายพยักหน้า “มานานแล้ว ควรจะกลับเสียที” แล้วยิ้มบางๆ ให้กับดวงแก้วและเจริญขวัญ
ชาลินีแทบผวาลุกตาม
“ท่านชายคะ เอ้อ...ถ้าท่านชายไม่ติดธุระอะไร ไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันไหมคะ” ชาลีนีมีท่าทีกระตือรือล้นเห็นชัด “ชามีเพื่อนเพิ่งเปิดค่ะ ร้านอาหารฝรั่งเศส ร้านสวยทีเดียวค่ะ มีไวน์ดีๆ เยอะเลย”
“คงต้องขอตัว ฉันมีงานต้องทำ”
เจริญขวัญพนมมือไหว้สวยงาม ท่านชายค้อมศีรษะงดงาม
ชาลินีพะว้าพะวัง มองท่านชายและเจริญขวัญอย่างสงสัย แต่พยายามซ่อนกิริยา
“อะไรกันคะ นึกว่าท่านทำงานแต่ตอนกลางคืน กลางวันก็ต้องทำเหรอคะ” ชาลินีเริ่มรู้สึกตัว ว่าเยอะ ไปแล้ว ยิ้มกลบ “เหนื่อยแย่”
ท่านชายขยับมาใกล้ชาลินีพูดยิ้มๆ
“อย่าผิดหวังไปเลย ยังไง เรา...ก็หนีไม่พ้นกันหรอก”
เมื่อร่างท่านชายเคลื่อนเข้าใกล้ ชาลินีรู้สึกสะเทิ้นสะท้าน เหมือนถูกดึงดูด และถูกสะกดด้วยเสน่ห์พิเศษ
ท่านชายยิ้มรับรู้อยู่ เดินจากไป ชาลินีหันมองตามท่านชายราวต้องมนต์ ก่อนจะหันมาสบตากับเจริญขวัญที่ยิ้มซื่อๆมาให้
ชาลินีชักระแวงแคลงใจ
ขณะที่อิศรานอนเปลือยหลับอยู่บนเตียง ชาลินีปราดเขามาในห้องอย่างหงุดหงิด
“อิศ ตื่นสิ...ตื่นเดี๋ยวนี้” ชาลินีเขย่าปลุกกระชากผ้าห่มออก
“เฮ้ยย ..อ้าว ชา” อิศราร้องลั่น ลืมตาลุกมาเห็น “โอ๊ย อะไรของคุณเนี่ย”
อิศราล้มนอนคว่ำเอาหมอคลุมหัว
“จะนอนไปถึงไหน รู้มั้ยว่าท่านชายมา”
อิศราเด้งตัวขึ้น “ห๊ะ ท่านชายมาเหรอ”
“กลับไปแล้ว”
“อ้าว ไม่มีใครมาบอกผมเลย”
“จะต้องให้ใครมาบอก ท่านชายบอกว่ามาเยี่ยมสองแม่ลูกนั่น”
อิศราชะงักไป นิ่วหน้าสงสัย “อ้าว...ทำไม”
ชาลินีหงุดหงิดขึ้นมาอีก “ก็นั่นน่ะสิ ทำไม...พอชั้นมาถึง ท่านก็ขอตัวกลับ บอกว่ามีงาน”
อิศรามองแล้วหัวเราะ “หึงท่านชายล่ะสิ ทำไม คนอย่างชาลินี ขาดความมั่นใจตัวเองไปแล้วหรือไง”
ชาลินีค้อนควัก “ชั้นน่ะมั่นอยู่แล้ว แต่เธอน่ะสิ มั่นหรือเปล่าผู้หญิงร้อยทั้งร้อยชอบผู้ชายที่มาพร้อมแพ็คเกจ หล่อรวยทั้งนั้นหรือเธอไม่ห่วงว่า ยัยเจริญขวัญหน้าซื่อๆเชยๆจะไปหลงท่านชายเข้า”
อิศราเริ่มคิด
“แล้วเธอก็จะอด ทั้งบ้าน ทั้งผู้หญิง แถมจะเสียเพื่อนซะอีก”
อิศราค้างคาใจมากๆ
ไม่นานต่อมา อิศราลงบันไดมายังห้องรับแขกกับชาลินีที่มีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนใจดี เจริญขวัญและดวงแก้ว นั่งอยู่หันมองมา สองคนส่งยิ้มให้
สีเอาแก้วกาแฟมาวางให้อิศรา
“ผมต้องขอโทษอาดวงแก้ว กับน้องขวัญด้วย ที่ปล่อยให้อยู่ลำพังเป็นวันเลย”
“เธอนี่น่าตีชะมัด ไม่คอยดูแล แทนที่จะพาไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง” ชาลินีเปิดช่อง
“ดิฉัน...เอ้อ...อาน่ะ ไม่ชอบรถติดค่ะ มันเวียนหัว”
“แล้วน้องขวัญล่ะจ้ะ มัวจมอยู่แต่ในบ้านทำไม”
“เอ้อ...ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไม่เป็นไรยังไงกันจ๊ะ เห็นว่าไม่ค่อยมากรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ ไปเที่ยวจะได้เห็นว่ามีอะไรๆน่าตื่นเต้นตั้งเยอะ ทำตัวให้คุ้นเคยไว้” ชาลินีเหลือบมองอิศรายิ้มรู้กัน “เพราะอีกหน่อยก็คงต้องมากรุงเทพฯ บ่อยๆ หรือไม่ก็...อาจจะต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านนี้”
อิศราสบตาชาลินีอย่างรึความนัย
“อิศน่ะ พาน้องออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาเถอะ” ชาลินียิ้ม “อาดวงแก้วคงไม่ว่าหรอก ใช่ไหมคะ”
ดวงแก้วยิ้มตอบบางๆ
อิศรายิ้มมองเจริญขวัญ อีกฝ่ายเอาแต่อึกอักมองแม่เป็นเชิงขออนุญาต
ชาลินีปรายยิ้มมองเหมือนใจดี แล้วมองสบตาอิศรา ยิ้มร้ายออกมาในใบหน้าสวยหวานนั้น
ขณะเดียวกันที่ห้องโถงของตึกใหญ่โตแห่งหนึ่ง ภายในห้องตกแต่งอย่างหรูหรา
นายพลบัญชาก้าวเข้ามาในนั้น มีนายพลสุธรรมและลูกน้องอีกคนใส่ชุดซาฟารีสีน้ำเงินยืนรออยู่
สุธรรมตรงมาไหว้ต้อนรับ
“สวัสดีครับ”
“ว่าไง สุธรรม ได้ข่าวว่าได้เลื่อนขั้น” บัญชาตบบ่า “นี่ยังอุตส่าห์มาดูแลเจ้านายเก่าเหรอ”
สุธรรมเยื้อนยิ้ม “ท่านมีบุญคุณกับผม ว่างเมื่อไหร่ผมก็มาครับ”
ไม่นานนักประตูอีกห้องเปิดออก บัญชาก้าวออกมา สุธรรมและลูกน้อง 1 ตามมาส่ง นายพลพินิจรออยู่ ลุกขึ้นรับ หัวเราะร่าเข้ามาจับมือโอบบ่า
“บัญชา เพื่อนรัก เป็นยังไง โอ้โฮ อะไรเนี่ย เกษียณแล้วยังดูดียังกะหนุ่มๆ มีเคล็ดลับอะไรบอกกันมั่งสิ”
บัญชาหัวเราะชอบใจ “แหม...ก็”
พินิจจุ๊ปากรัวเร็ว ขัด “รู้แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้...” พลางเอนมากระซิบ “ยาบำรุงกำลังของนายมันดี” แล้วระเบิดหัวเราะดังลั่น
บัญชาหัวเราะตอบ
สุธรรมก้มรินน้ำชาใส่ถ้วยส่งให้ นายพลบัญชาที่นั่งตรงข้ามนายพลพินิจ บัญชาจิบชาสีหน้าขรึมเคร่ง พินิจโบกมือให้ลูกน้องออกไป
สุธรรมและลูกน้อง 1 ออกไปจากห้อง
“นายยังมีลูกน้องวางตัวอยู่ในพื้นที่ที่ของต้องผ่าน นายแค่ยกหูแกร๊กเดียว ของผ่านเรียบร้อย นายก็จะได้ส่วนแบ่ง..เอาไว้” พินิจหัวเราะ “พาอีหนูไปเที่ยวรอบโลกให้สบายใจ แฮปปี้ แฮปปี้ โอเคนะ”
บัญชาวางแก้วยิ้ม แต่หรุบตาต่ำ หลบสายตารังเกียจเพื่อน
“ที่จริงเราได้ข่าวมานานแล้ว เรื่องนาย...ค้าของเถื่อน ของโบราณ”
พินิจผายมือมองรอบห้อง “แค่เงินบำนาญ นายคิดว่าเราจะอยู่แบบนี้ได้เหรอ”
บัญชายิ้มก้มวางแก้ว
“เฮ้ย ต้องคิดอะไรให้ชักช้าวะ นายได้ด้วย แบ่งให้น้องๆ มันได้ด้วย หรือคิดว่า สิบเปอร์เซ็นต์ มันน้อยไป” พินิจมองมาแววตาขี้โกง
“ขอบใจ แต่ไม่ละ”
พินิจชะงักไป แล้วหัวเราะน้ำเสียงเกรียมออกมา “จะมาโง่ถือยศถือศักดิ์อะไร อย่าลืมสิ ว่าตอนนี้นายยังพอใช้เส้นสายได้ ก็ใช้ซะ อีกไม่นาน เราจะเป็นแค่คนแก่ธรรมดาที่ไม่มีใครเห็นหัว...แก่แบบ มีความสุข มีเงินใช้ ไม่ดีกว่าเหรอ”
บัญชาเยื้อนยิ้ม แต่จริงจัง “พินิจ ใช่ ตำแหน่งมันมีวันเกษียณอายุ แต่คำว่าข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน มันไม่มีวันหมดอายุหรอกว่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่าเกียรติและศักดิ์ศรี มันอยู่กับเราจนวันตายแหละ”
พินิจโกรธ บัญชาหัวเราะขณะลุกยืน
“เราอาจไม่ใช่คนดีเด่อะไรนัก รึนายจะด่าว่าเราโง่ก็ได้...” บัญชายักไหล่หัวเราะออกมาอีก “แต่เราเคยอยู่ด้วยความภูมิใจ ก็ขออยู่อย่างนี้ตลอดไปดีกว่า”
พินิจโกรธ บัญชายิ้มภูมิใจตนเอง
นายพลก้าวเข้ามาอีกมุมหนึ่งของอีกห้องในตึกท่าทางฉุนเฉียว
“เพื่อนผมคนนี้ มันโง่ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ บัดซบจริงๆ ไอ้คนหัวแข็งที่คุมพื้นที่เป็นเด็กเก่ามันซะด้วย นึกว่าจะใช้มันเจรจา จะได้ง่ายๆ”
เสียงท่านชายมาจากเงามืดของห้อง
“ถ้ามันยากนัก...”
ที่มุมห้อง มีโต๊ะหรู และเก้าอี้มีพนักตั้งอยู่ ท่านชายนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ในเงามืดนั้น ขยับตัวออกมาจนต้องแสงไฟ เห็นใบหน้าราบเรียบ รอยเยาะยิ้มกรายๆ
“ล้มเลิกซะก็ได้” ท่านชายลุกยืน กึ่งโล่งใจ “ฉันไม่เคยบังคับใคร”
ท่านชายหันตัวจะเดินไปอีกทาง นายพลพินิจขยับมาเบื้องหลัง ท่าทางลุกลน
“อ้าว อย่าบอกเลิกกันง่ายๆ สิ ท่านชาย ผมบอกแล้วไง เรื่องแค่นี้ ไม่พ้นความสามารถของผมหรอก ท่านชายเตรียมเงินไว้ รอรับของแล้วกัน”
ท่านชายหลับตาลงครู่หนึ่งอย่างชิงชังกิเลสมนุษย์ ก่อนลืมตาพูดเสียงต่ำ “แล้วแต่ท่านนายพล” แล้วหันหน้าพูดด้วยสีหน้าเคร่ง น้ำเสียงเย็นชา “ทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านเอง ไม่ใช่หน้าที่ ที่ฉันจะต้องกำหนด..กรรม...” ท่านชายชะงัก ตัดสินใจเลี่ยงคำพูด “การกระทำของใคร”
ท่านชายเดินจากไป นายพลพินิจมองตาม สายตาขุ่นเคือง น้ำเสียงหงุดหงิด
“เต๊ะชิบ...เด็กกว่าแท้ๆ ไม่เคยยกมือไหว้สักครั้ง ถือว่ามีเงิน”
นายพลพินิจครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วโทรศัพท์มือถือ กดโทร.ออก พูดสั่งเสียงเหี้ยม
“ฮัลโล...ฉันเอง...เรื่องงานที่วางแผนไว้ จัดการเลย ใครขวาง...ฆ่ามันให้หมด”
ส่วนอิศรายืนอยู่ในโถงกลางกำลังมองสบตาย่าอุ่นในภาพเขียนข้างฝา สีหน้าเคร่งขรึม พึมพำออกมาอย่างเจ็บปวด “ทำไม คุณย่าต้องทำกับผมแบบนี้..คุณย่าอยากเห็นผมเป็นเหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่งเท่านั้นเหรอครับ”
ภาพเขียนย่าอุ่นมองนิ่ง อิศรามองรูป ดวงตามีน้ำตาคลอหน่วย
“อย่าโทษผมเลย...คุณย่า บีบให้ผมต้องทำแบบนี้เอง” อิศราเสียงเข้มขึ้น
ดวงแก้ว กับ เจริญขวัญ ในชุดกระโปรงสีอ่อนเดินเข้ามา
“คุณอิศคะ”
อิศราปรับสีหน้าทันที หันมายิ้ม แต่แล้วต้องชะงักไปนิดๆ เมื่อเห็นเจริญขวัญดูสวยงามอ่อนหวาน แปลกตาอยู่ตรงหน้า อิศรายิ้มแววตามีริ้วรอยเสือซ่อนเขี้ยว
“อาดวงแก้วแน่ใจนะครับ ว่าจะไม่ไปด้วย”
“ขออยู่บ้านดีกว่าค่ะ ฝากยายขวัญด้วยนะคะ”
“ครับ ไม่ต้องห่วง”
อิศราพาเจริญขวัญเดินดูของในห้างหรู เจริญขวัญดูร้านรวง และผู้คนในห้าง ด้วยความตื่นตา แต่ไม่มีความกระตือรือร้น จะอยากได้นัก
หน้าร้านเสื้อ มีชุดโชว์ที่ดูเปรี้ยว กระโปรงสั้น อิศราพาเจริญขวัญมาหยุดดู
“ไปลองชุดดูไหม ชอบชุดไหน เดี๋ยวพี่ซื้อให้”
“ใส่แบบนี้ เข้าสวน ตัวเป็นได้ไหม้หมดค่ะ”
เจริญขวัญยิ้มขำ แล้วเดินเลยไป อิศรามองตามกึ่งรำคาญกึ่งหมั่นไส้
เจริญขวัญเดินมาหยุดมองหน้าร้านหนังสือ อิศราตามมา
“เอางี้ไหม เดี๋ยวเราไปดูหนังกันดีกว่า ขวัญชอบดูหนังประเภทไหนล่ะ”
“ขอขวัญเข้าไปดูหนังสือหน่อยนะคะ”
อิศราประหลาดใจ ยิ้มพยักหน้า เจริญขวัญเดินเข้าร้าน สีหน้าเบิกบานดีใจ
หนังสือในมือเจริญขวัญ เป็นหนังสือสีภาพสำหรับเด็กๆ เจริญขวัญเปิดดูอย่างทะนุถนอม ชอบใจ อิศราทำทีเป็นเปิดแมกกาซีนดู แต่หันมาแอบมองเจริญขวัญตลอดเวลา มือเจริญขวัญหยิบหนังสืออื่น มาดู สีหน้าเปล่งปลั่ง
อิศรามองจ้องอย่างพิศวง ในความสุขสวย และเปล่งปลั่งของเจริญขวัญตรงหน้า
อ่านต่อตอนที่ 7