xs
xsm
sm
md
lg

เงา ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงา ตอนที่ 8

มืออันสั่นระริกของผู้กองสุธรรมเอื้อมมาจับแขนท่านชายวสวัตหมับ จากสีหน้ามาดหมายตื่นเต้นคาดหวังในเบื้องแรก กลายเป็นประหลาดใจ ด้วยคิดว่าจับแล้วจะสัมผัสไม่ได้ หนิงผู้เป็นภรรยาตามมาจนทัน

ท่านชายหันมาหาสีหน้าปกติ แสร้งพิศวงทำเป็นประหลาดใจโดยลุกยืน สุธรรมมองจ้องแต่แล้วต้องหลบตาวูบ ไม่ค่อยกล้าสบตานัก ยังกลัวจับใจ ละล่ำละลัก ออกมาว่า
“ขอ...ขอโทษ...ผม...ผมเพียง”
หนิงรีบบอก “ขอโทษนะคะ คือ แกไม่ค่อยสบาย เลย คงจำ...คนผิด..น่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร” ท่านชายพูดเสียงนุ่ม “มีคนทักฉันผิดบ่อยๆ”
หมอไพโรจน์ลุกยืนตาม
“เอ๊ะ ผมคิดว่าคืนนั้น ท่านชายไปโรงพยาบาลเพื่อไปเยี่ยมคุณสุธรรมเสียอีกครับ”
สุธรรมเงยหน้า ทันที “ท่านชาย”
ท่านชายหันมองมา ตาหรุบต่ำ เสียงเรียบนุ่ม “ฉันชื่อวสวัต”
สุธรรมตะลึงพึมพำ “วสวัต...วสวัตตี…”
ท่านชายวสวัตกระพริบตาแวบเดียว
สุธรรมโพล่งขึ้น “ท่านรู้จัก เวตตรณนทีไหมครับ”
หนิงตกใจมาก “คุณคะ เอ้อ ขอโทษนะคะ ตั้งแต่ฟื้นมานี่ สมองแกคงยังไม่ปกติ”
“ผมไม่ได้บ้านะ” สุธรรมลดเสียงหันมองท่านชาย “ผม...ไม่ได้ฝันด้วยผมเห็นมาจริงๆ”
ท่านชายหัวเราะ “ใช่ ฉันรู้จักที่นั่นดีทีเดียว”
หมอไพโรจน์ กับสุธรรม มองท่านชายเป็นตาเดียวกัน
“ฉันอ่านจากหนังสือ ไตรภูมิพระร่วงน่ะ”
“เวลานี้ท่านอยู่ที่นั่น ผมไปกับท่านมาที่ยมโลก แล้ว..เราก็ได้พบกับ...กับ...” สุธรรมจ้องท่านชายเขม็ง
“อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว คุณไปยมโลก แล้วก็ได้พบใครบางคนที่หน้าเหมือนฉัน”
“เหมือน...เหมือนมาก ราวกับ...คนๆ เดียวกัน” สุธรรมบอกย้ำ
“เหมือนใคร บอกมาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ” ท่านชายถามเสียงเข้มกึ่งขำๆ
สุธรรมพูดเหมือนครางอย่างเกรงกลัว “เหมือน..พระยายมราช”
หมอไพโรจน์ขมวดคิ้ว เริ่มฉงนมากขึ้น
ท่านชายหัวเราะ “อ้อ...อย่างนั้นเชียว มิน่า คุณดูตกใจ..กลัวฉัน”
หนิงจับสามี “คุณคะ ไม่เอาแล้ว กลับบ้านเถอะ”
สุธรรมโพล่งขึ้นอีก “ผมไปมาจริงๆ แต่ว่า...ดวงผม ยังไม่ถึงฆาต”
หมอไพโรจน์ชะงักเมื่อได้ยินคำนั้น
“ถ้าคุณได้ไปที่นั่นจริง ก็นับว่าคุณโชคดี เพราะน้อยคนมากที่จะรอดกลับมา รวมทั้ง” ท่านชายหัวเราะขำ “ไปเห็นว่าฉัน..เหมือน...พระยายมด้วย คุณเชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ ด้วยเหรอ”
สุธรรมมองนิ่ง น้ำตาคลอ “เมื่อก่อน ผมอาจจะไม่เชื่อ แต่เดี๋ยวนี้ ผมไปเห็นมาแล้ว..ผมเชื่อว่ามีจริง”
ท่านชายวสวัตลอบยิ้มบางมองอย่างปราณี
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ คุณคะ กลับบ้านกันเถอะค่ะ ขอร้องล่ะ”
สุธรรมจำยอม มองท่านชายอีกครั้ง “ผมลาล่ะครับ ถ้าเราต้องได้พบกันอีก ผมหวังว่า อะไรๆ คงจะดีกว่านี้”
ท่านชายทอดยิ้มปราณี สีหน้านุ่มนวลมาให้ “ด้วยความยินดี อย่างจริงใจ”
สุธรรมยกมือไหว้ลาช้าๆ ภรรยาไหว้ลาฉุดประคองกันเดินไป
ท่านชายมองตาม หมอไพโรจน์มองท่านชายและมองสุธรรมอย่างฉงน ก่อนจะเลี่ยงเดินตามสุธรรมไป

ท่านชายวสวัตปรายยิ้มสีหน้าขรึม

หนิง ภรรยาสุธรรมประคองสามีที่ยังอยู่ในอารมณ์ฉงน สนเท่ห์ กับความคิดตัวเองอย่างหนัก

“คุณน่ะ อยู่ๆ ไปพูดอะไรกับท่านชายแบบนั้น ไปหาว่าเขาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ดีนะ ท่านชายไม่โกรธเอา”
สุธรรมพูดไม่ออก สองคนเดินมาใกล้ จุดภุมมะที่ยืนรอท่านชายอยู่ สุธรรมชะงักมองหน้าภุมมะ
ภุมมะแค่ปรายตามองแวบเดียวแล้วไม่มองหน้า สุธรรมนิ่งคิด นึกถึงภาพใบหน้าภุมมะตอนอยู่ในนรกขึ้นมา
สุธรรมตื่นตระหนก เงยหน้ามองภุมมะอีกครั้ง อย่างคราวนี้มั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ และหวาดกลัว หันไปเกาะแขนภรรยา
“คุณ ทำไมตัวสั่นแบบนี้”
สุธรรมบอกเบาๆ “รีบไปเถอะ”
หนิงประคองสุธรรมเดินมาอย่างงงๆ
ภุมมะมีริ้วรอยกังวลที่ความผิดพลาดเลินเล่อของตนกำลังส่งผลร้ายต่อพญามาร หมอไพโรจน์ เดินแกมวิ่งตามมา

อีกมุมบริเวณหน้าศาลา แต่ไม่เห็นภุมมะแล้ว หมอไพโรจน์เดินเร็วรี่ ตามมาจนทัน สุธรรมและหนิง ภรรยา
“คุณ เห็น...คนเมื่อกี้...หรือเปล่า” สุธรรมถาม
“คนรถท่านชายมั้งคะ เห็นถือพวงหรีดมาให้ท่านชาย ทำไมคะคุณเห็นเขาเป็นผีไปด้วยหรือไง”
สุธรรมมองเมีย “พูดไป...คุณก็ไม่เชื่อ”
หมอไพโรจน์ตามมา
“ผู้กอง เป็นไงบ้างครับ นี่จะกลับบ้านหรือว่า อยากไปโรงพยาบาลพักผ่อนไหม หมอจะได้โทร.ให้เขาเตรียมห้อง”
“หมอ” สุธรรมแค่นหัวเราะ “คิดว่าผม สมองเลอะเลือน บ้าไปด้วยอีกคนเหรอครับ”
หมอไพโรจน์อึ้งไปนิด หัวเราะเบาๆ “หมอไม่ได้คิดอย่างนั้น”
“หมอ...ก็รู้จักกับ...ท่านชายวสวัต เหรอครับ...ขอโทษ รู้จักมานานหรือยังครับ”
“ก็ แค่เคยเจอกัน...สามสี่ครั้งเท่านั้นน่ะครับ”
“หมอ..ไม่เห็นอะไร...แปลกๆ บ้างเหรอครับ” สุธรรมตัดใจ “ช่างเถอะ..ผมลาล่ะ”
สุธรรม และภรรยาเดินจากไป หมอ ฉงนสนเท่ห์

ไพโรจน์เดินกลับเข้างานศาลามาแล้วต้องชะงัก เมื่อพบว่าตรงโซฟาที่ท่านชายเคยนั่งว่างเปล่า จึงเดินไปนั่งข้างคุณหญิงพลางถาม
“เอ๊ะ ท่านชายละครับ”
“อ้าว ก็เห็นเดินตามหมอออกไป พี่ยังนึกว่าไปด้วยกัน”
“เดินตามผมออกไป...” หมอพึมพำ “เปล่านี่ครับ”
ไพโรจน์กำลังฉงนฉงายอย่างหนัก

รถท่านชายที่ภุมมะขับแล่นมาตามถนน สีหน้าท่านชายเข้มและดุ
“ภุมมะ เจ้าเห็นผลแห่งความเลินเล่อของเข้าแล้วสินะ”
ภุมมะมีสีหน้ายำเกรง และกลัว “เจ้าข้า”
“เจ้าหมอนั่นมันจำข้าได้ แต่น่าขันที่ไม่มีใครเชื่อมัน หรือแม้แต่ตัวมันเองก็เถอะ ข้าอยากหัวเราะแทบแย่ตอนที่มันย่องมาจับแขนข้า มันหวังอะไร...หวังจะจับโดนแต่แขนที่มีแต่กระดูก โดนอากาศหรืออะไรอย่างอื่นเหรอ มนุษย์ เชื่อแต่ในสิ่งที่จับต้องได้ เท่านั้นก็พอ”
ภุมมะนิ่ง
“แต่มนุษย์” น้ำเสียงท่านชายอ่อนโยนขึ้น “ก็ได้บทเรียนไปแล้ว ข้ารู้ ว่าเขากำลังคิดอะไร”
สีหน้าท่านชายยามนี้ นิ่งขรึม สงบ งาม และอ่อนโยน

อีกฟากรถสุธรรมแล่นมาตามทาง สุธรรมนั่งเอาหัวพิงหน้าต่างมองออกมาด้านนอก หนิงขับรถ
สุธรรมเอ่ยขึ้นเบาๆ แววตาสงบ “คุณ...ผมอยากบวช”
“ว่าไงนะคะ เป็นอะไรขึ้นมาอีก”
“ผมยังไม่เคยบวชเลย...ผมอยากบวช”
“ก็ดีค่ะ จะได้ล้างเคราะห์”
สุธรรมมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ใครจะรู้...ถ้าบวชแล้วมีความสุข ผมอาจจะบวชไปทั้งชีวิตก็ได้”

ท่านชายวสวัตรับรู้ ยิ้มละมุนอย่างผู้ใหญ่มองเด็ก
“เราคงได้มนุษย์ดีๆเพิ่มขึ้นมาสักคนล่ะ มนุษย์ทีมีคุณค่าพอแก่การกราบไหว้ มีคุณค่าพอแก่สวรรค์ สวรรค์ ซึ่งข้าเองก็มีสิทธิ์ จะได้สัมผัสแต่เพียงเลือนราง”
ท่านชายเศร้าลึกๆ ทอดถอนหายใจ
“ภุมมะ”
“เจ้าข้า”
“ข้าจะลงไปตรวจงาน”
“เจ้าข้า”
รถท่านชายเคลื่อนผ่านหมู่ไม้สองข้างทาง กลืนหายไปในความมืด

ที่ลานตัดสินในในนรกภูมิ ท่านชายวสวัตในชุดพญามารสีดำ ก้าวขึ้นสู่แท่น กล้องเคลื่อนออกเห็น สิริ ภุมมะ ยืนอยู่ นายนิรยบาล ลากวิญญาณตนหนึ่งมาคุกเข่าตรงหน้า ไฟพวยพุ่งขึ้นจากร่างท่านชาย
สิริ ภุมมะ หันไปค้อมก้มหัวให้ เสียงพญามารดังกึกก้อง
“ไสหัวมันไป ชดใช้กรรม”

เช้านี้ แสงสะท้อนของน้ำในสระขับให้ใบหน้าเจริญขวัญที่นั่งรับลมอยู่ดูงดงาม อิศราเดินเข้ามาลงนั่งข้าง
“ขวัญ นอนไม่หลับหรือจ้ะ”
“หรืออยากว่ายน้ำ” อิศราแตะบ่าหยอก ทำท่าจะผลักเจริญขวัญเล่นๆ
“อุ้ย อย่านะคะ”
อิศราหัวเราะเบาๆ ดูมีเสน่ห์ล้น
“พี่อิศคะ ขวัญ...ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
“จ้ะ”
“ทำไมพี่อิศดีกับขวัญกับแม่นัก ทั้งๆ ที่...ขวัญอาจจะเป็นคนที่เข้ามา ทำลายความสุขของพี่อิศแท้ๆ” เจริญขวัญเหลียวไปมองบ้าน “บ้านของพี่อิศ ต้องกลายเป็นของขวัญ”
อิศราชะงักแล้วแสร้งยิ้ม พยายามคิดหาคำตอบ
เจริญขวัญมองอิศราอย่างค้นหา “พี่อิศมีอะไร บอกขวัญตรงๆ ได้ทุกเรื่องนะคะ”
อิศรามองเจริญขวัญ แล้วล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา ค้นหาอะไรบางอย่าง

เจริญขวัญมองฉงน

อิศราหยิบกระดาษแผ่นเล็กที่ยับๆ แต่พับไว้อย่างดี มาส่งให้ เจริญขวัญรับมาอย่าง งงๆ แล้วคลี่กระดาษดู

เห็นเป็นลายมือของตัวเองที่เขียนว่า “แค่คำว่า ขอบคุณ ก็พอ”
เจริญขวัญเงยมองอิศรา “คะ”
“จำไม่ได้เหรอว่าขวัญเป็นคนเขียนฝากคนมาให้พี่”
“พี่อิศ ยังเก็บไว้จน..เดี๋ยวนี้เหรอคะ”
อิศราดึงกระดาษจากมือเจริญขวัญ หัวเราะพลางมองกระดาษ
“เก็บสิ มันเป็นกระดาษแผ่นน้อย ที่ให้ความรู้สึกที่ดีกับพี่มากเลยนะ มันสอนให้พี่รู้จัก” อิศรานิ่งคิด “คิดถึงใจคนอื่นบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเอง จนยิ่ง วันที่เราได้เจอกัน พี่ยิ่งมั่นใจ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
“มันก็...แปลกดีนะคะ”
“ถ้าขวัญคิดว่า พี่ดูแลขวัญดี ขวัญก็แค่...” อิศราพยักหน้ามองหญิงสาวแววตาซึ้ง “ขอบคุณ ก็พอ”
เจริญขวัญซาบซึ้งขึ้นไปอีก
“ขอบคุณค่ะ”
เจริญขวัญมองอิศราอย่างเชื่อใจ และประทับใจ
ใบหน้าบริสุทธิ์นั้นทำให้ อิศราชะงัก ราวกับถูกดึงดูดเข้าไปในความซื่อและแสนดีนั้น จนเจริญขวัญเบี่ยงหน้าไปมองสระ อิศราก็ขมวดคิ้ว ลึกๆ เหมือนโกรธความเจ้าเล่ห์ของตัวเองขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงสายตามามองเจริญขวัญ เหมือนเสือมองเหยื่ออย่างเก่า ในขณะที่เจริญขวัญ ยังยิ้มสีหน้าละมุนไม่รู้ตัว

ส่วนในห้องอาหารบ้านชาลินี หล่อนนั่งดื่มน้ำส้มอยู่กับมารดาที่กำลังรับประทานอาหารเช้า เป็นไข่ดาวไส้กรอก คุณหญิงเพ็ญยังตื่นเต้นไม่หายยิ้มสะใจ
“เรานี่เก่งนะ คิดเร็วกว่าแม่ ท่านชายก็ใจดีจริงๆ ให้ยืมวังเป็นที่จัดงาน คราวนี้ คนในสโมสรต้องอึ้ง ทึ่งกับแม่ พูดไม่ออกไปเลย”
“ให้ความดีความชอบชาบ้างสิคะแม่ ท่านชายน่ะอนุญาตให้” ชาลินีเน้นคำว่า “หนูยืมวังค่ะ”
“รู้แล้วน่า” คุณหญิงเลียบเคียง “นี่แสดงว่าท่านชายต้องเห็นว่าเราเป็นคนพิเศษ เชียวนะจริงไหม”
ชาลินียิ้มยักไหล่ ภาคภูมิ
“ดี...จัดงาน คราวนี้ คนในสังคม จะได้รู้ให้ทั่วๆ ว่าท่านชาย หมายตาเราอยู่”
ชาลินียิ้มอีก คนรับใช้วิ่งเข้าหน้าตื่น “คุณหญิงคะ คุณนมค่ะ”
คุณหญิงมีสีหน้าตกใจ

คุณนมนอนซมอยู่ในห้อง คุณหญิงเพ็ญปราดเข้ามา ชาลินีตาม
“นม เป็นไงบ้าง ไปเดินอีท่าไหนให้หกล้ม เจ็บตรงไหน”
นมดูอ่อนเพลียมาก “ไม่เป็นไรค่ะ นมทานยาแล้ว พักเดี๋ยวก็หาย”
“ไม่ได้” คุณหญิงเพ็ญสั่งคนใช้ “ให้นายผลเตรียมรถ ชั้นจะพานมไปหาหมอ”
“แม่คุณ...คุณหนูของนม” คุณนมจับมือคุณหญิงน้ำตาคลอ
“ค่ะ” คนใช้รีบเดินออกไป
ชาลินีดูแล้วหายตกใจ กลายเป็นรำคาญ เดินออกไป
คุณนมร้องไห้กอดมือกับคุณหญิงเพ็ญที่เป็นห่วงแน่น

ครูสอนวาดภาพ ยังดูเป็นวัยรุ่น มาดเซอร์ ออกแนวสาวติสท์ๆ สอนวาดภาพอยู่ เจริญขวัญตั้งอกตั้งใจเรียน อิศรายืนกอดอกอยู่ไม่ห่างกันนัก อิศรามองแล้ว ขรึมขึ้น สงบขึ้น เหมือนเริ่มถูกดึงดูดจากความบริสุทธิ์สดใสของเจริญขวัญ อิศราเบือนหน้าหนี หงุดหงิด และตั้งคำถามกับตัวเอง มือถือดังขึ้นพอดี อิศรากดรับ
“ว่า...”
“เย็นนี้ อย่าลืม ที่ท่านชายนัด” เป็นชาลินีที่โทร.มาจากบ้าน
“จะเอาฉันไปเป็นก้างขวางคอทำไม๊”
“อย่ามาทำเล่นตัว”
“งั้น...” อิศรามองไปทางเจริญขวัญ “ฉันพาเขาไปด้วยนะ”
“เขาไหน อ้อ แม่พวงองุ่นของเธอน่ะเหรอ จะพาไปทำไมกัน” ชาลินีคิดไปคิดมา “ก็ได้ พาไปก็ได้”
“อะไรของคุณ”
ชาลินีหัวเราะ “คนบ้านนอก ไม่เคยไปร้านหรู ๆ ดีเหมือนกันจะได้เปิดหูเปิดตา แล้วก้อ...ท่านชายจะได้เห็น ว่าเพชรกับพลอย มันต่างกัน...เจอกันที่ร้านนะ” ชาลินีกดปิดสายสนทนาไป
อิศราลดมือลง เหลียวมองไปทางเจริญขวัญที่เงยหน้าหันหาอิศราพอดี พอสบตาก็ยิ้ม ยกมือโบกมาอย่างสดใส

อิศรายิ้มนุ่มจริงใจยกมือโบกตอบ แต่พอเจริญขวัญก้มหน้า อิศราก็ชะงักมองมือตัวเอง

ไม่นานต่อมา ภายในร้านเสื้อผ้าผู้หญิง ผ้าม่านห้องแต่งตัวถูกพนักงานเปิดออก เจริญขวัญในชุดกระโปรงนวล ยืนอยู่ด้วยความขัดเขิน อิศราที่ยืนกอดอกอยู่หน้าห้องหันมามองอย่างพึงใจ

“ชุดนี้ใส่แล้วสวยมากเลยค่ะ”
อิศราหยิบการ์ดส่งให้ “ตกลงชุดนี้ครับ”
คนขายรับการ์ดไป
“พี่อิศ แต่มันแพง”
“ชู่ว์” อิศรายิ้ม จับบ่าเจริญขวัญ “แค่พูดคำว่า...”
“ขอบคุณค่ะ”
อิศรายิ้ม เจริญขวัญเริ่มขัดเขินมากขึ้น

กรุงเทพฯ ยามค่ำ ชาลินีเดินเข้าประตูร้านอาหารบนยอดตึกสูงแห่งนี้ หล่อนเหลียวหาก่อนจะเดินมาอีกมุมหนึ่ง จนพบใครคนหนึ่งยืนอยู่ ชาลินีชะลอฝีเท้ามองอย่างหลงใหล
เป็นท่านชายวสวัตที่ยืนสง่าอยู่ ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ที่มีแสงระยิบของตึกราม ดูงดงาม และทรงพลัง ชาลินีก้าวเข้ามาตะลึงแล
ท่านชายค่อยๆ หันมาใบหน้าเรียบขรึม ดวงตานิ่ง ชาลินียิ้มให้อย่างอ่อนหวานหว่านเสน่ห์
ชาลินีลงนั่งที่โต๊ะ ท่านชายนั่งหัวโต๊ะ บริกรรินไวน์ให้ชาลินีแล้วเดินออกไป
“ที่นี่สวยจังเลยค่ะ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมีที่สวยๆ แบบนี้” ชาลินีเอียงคอมองท่านชาย กิริยาชวนมอง “อย่าบอกนะคะว่าที่นี่ก็เป็นของท่าน”
ท่านชายยิ้มมุมปาก “ฉันคงไม่อยากครอบครองไปเสียหมดหรอก”
“ท่านชายคง...เคยพา...ผู้หญิงมาบ่อย”
ท่านชายยิ้มรู้ทัน “เธอ..เป็นผู้หญิงคนแรก”
ชาลินีเป็นปลื้ม
“คุณแม่ตื่นเต้นใหญ่เลยค่ะ ที่ท่านชายกรุณายกวังให้จัดงานการกุศล ขอบคุณมากนะคะ”
ท่านชายยิ้มบางๆ

ส่วนในห้องพระบ้านคุณหญิงอุ่น ดวงแก้ว ใช้ผ้าสะอาดเช็ดเบาๆ ที่พื้นที่รอยธูปหกไว้ ดวงแก้วเงยหน้า มองสบตากับภาพคุณย่าอุ่น ก็ถอนใจ ดวงแก้วก้มกราบพระสามครั้ง แล้ว เริ่มนั่งสมาธิ

ประตูลิฟท์เปิดอิศราเดินนำออกมาก่อน เจริญขวัญตามมา ท่าทางหวาดหวั่น ขัดเขินอิศราหันมา
“มาสิจ้ะ”
“เอ้อ...”
อิศราขยับไปหา “มาเถอะ” แตะตัวเบาๆ ให้เจริญขวัญเดินตาม

ท่านชายนั่งอยู่กับชาลินี รู้ว่าอิศรากำลังจะเข้ามาหันหน้าไปยังทางเข้า สีหน้าท่านชายละมุนขึ้น
ชาลินีมองท่านชายอย่างประหลาดใจ แล้วมองตามสายตาท่านชาย เห็นอิศราพาเจริญขวัญเดินตรงมา
ท่านชายลุกขึ้นยืนรับ ใบหน้าอ่อนโยน ชาลินีนั่งมอง อิศราพาเจริญขวัญเข้ามา
“ท่านชาย สวัสดีครับ”
อิศราเบี่ยงให้เจริญขวัญเดินล้ำหน้าขึ้นมาหยุดตรงหน้าท่านชาย
ท่านชายยิ้มทัก “สวัสดี คุณเจริญขวัญ”
เจริญขวัญยิ้ม ยกมือไหว้
อิศรา เจริญขวัญ ยิ้มให้ท่านชายอย่างสุภาพ ชาลินีค่อยๆ ลุกยืนมองท่านชายอย่างประหลาดใจกับใบหน้าอ่อนโยน ท่านชายมองเจริญขวัญ ยิ้มละมุน

ส่วนที่ห้องพระบ้านคุณหญิงอุ่น ดวงแก้วอยู่ในสมาธิ นึกถึงภาพเขียนที่วัดฝีมือโรจน์ ในภาพเขียนแลเห็นเพียงเสี้ยวหน้าท่านชาย พร้อมๆ กันนั้นภาพใบหน้าท่านชายวสวัตตอนที่คุยกับดวงแก้ววันที่มาเยี่ยมซ้อนขึ้นมา 

ดวงแก้วสะดุ้ง ลืมตาตื่น หลุดออกจากสมาธิ สีหน้าแสนสับสน ทั้งตกใจ สงสัย และเคลือบแคลง

อ่านต่อหน้า 2

เงา ตอนที่ 8 (ต่อ)

บริการเริ่มเสิร์ฟอาหารจานหลัก เป็นสลัดจัดจานสวยน่าทาน บรรยากาศดื่มดำ เสียงเพลงเพราะคลอเบาๆ

เจริญขวัญมองช้อนหลายขนาด และ มีด ส้อม ที่วางอยู่อย่างลังเล ในขณะที่ชาลินีเริ่มรับประทาน เจริญขวัญลอบมอง
“ทำไมไม่ทานล่ะจ๊ะ ไม่ชอบเหรอ”
“กำลัง...งง ค่ะ” เจริญขวัญหัวเราะเบาๆ “ไม่รู้จะหยิบอันไหน”
ชาลินีได้ทีหัวเราะเสียงใส พูดข่ม
“น้องยังไม่เคยเข้าสังคม อิศ ก็ช่วยสอนน้องสิ ดีนะมากันเอง นี่ถ้าต้องไปออกงานออกการ อายแย่เลย”
เจริญขวัญชะงักไป หน้าเจื่อน อิศราตวัดตาปรามชาลินี ขยับจะหยิบซ่อมให้ ชะงัก เมื่อท่านชายพูด อย่างอ่อนโยนขึ้น
“ที่จริง มันก็เป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติ ที่มนุษย์สร้างขึ้นไว้วางกรอบให้ตัวเอง ว่าอยู่ในฐานะของสังคมแบบไหน” ท่านชายยิ้มละมุนกับเจริญขวัญ “มันเป็นเพียงภาพลวงตาทั้งนั้น”
เจริญขวัญยิ้มออกมาได้
อิศรามองท่านชายอย่างประหลาดใจ ชาลินีตวัดตามองอย่างเอะใจที่ท่านชายสุภาพกับเจริญขวัญนัก
อิศราหยิบส้อมให้ “ใช้อันนี้จ้ะ น้องขวัญ”
ชาลินีกระเซ้า “ดูแลกัน เอาใจกันน่ารักจริง คู่นี้”
เจริญขวัญชะงักรู้สึกผิดหู แต่ท่าทีสงบขึ้น
ชาลินีชวนคุยหน้าระรื่น “เออ อิศรู้ยัง ท่านชายกรุณาให้ยืมวังของท่านให้คุณแม่จัดงานการกุศลหารายได้ช่วยเหลือเด็กกำพร้า”
อิศราประหลาดใจมาก “จริงเหรอครับท่านชาย”
เจริญขวัญหลุดปาก อย่างจริงใจ “ดีจังเลย”
ทุกคนหันมองมา เจริญขวัญมีท่าทีขัดเขิน
“ช่วยเหลือเด็กกำพร้าน่ะค่ะ ดีจัง...จะช่วยยังไงคะ เรื่องเรียนหรือว่าเรื่อง ความเป็นอยู่”
ชาลินีไม่รู้จริงตอบส่งๆ “ก็ ช่วยเรื่อง...ที่สำคัญๆ ทั่วๆ ไปน่ะ”
ท่านชายปรายตามองนิดเดียวอย่างรู้ทัน
“สนใจเรื่องการ สงเคราะห์ เหมือนกันหรือ”
เจริญขวัญ ยิ้มใสซื่อ “ขวัญสงเคราะห์ตัวเอง ก็ให้ได้ก่อนเถอะค่ะ”
ชาลินีหัวเราะคิกออกมาทันที เหมือนขำ อิศราเริ่มเหลือบมองชาลินีอย่างหงุดหงิด
“แต่ที่บ้านไร่ เห็นน้องขวัญบอกว่า มีเด็กๆ เยอะ ที่น้องขวัญซื้อหนังสือภาพให้เด็กๆ ไปไว้ดู”
“อย่างนั้นเรียกว่าสังคมสงเคราะห์ได้หรือเปล่าคะ” เจริญขวัญยิ้มนึกถึงเด็กๆ “ขวัญแค่กำลังอยากจะทำศาลาห้องสมุดเล็กๆให้เสร็จ จะได้มีที่ให้ลูกๆ คนงานใช้เวลาให้มีประโยชน์”
ท่านชายวสวัตมองเจริญขวัญยิ้มๆ อิศรายิ้ม เริ่มเอ็นดูเจริญขวัญเพิ่มขึ้น
ชาลินีมองสองชายที่มองเอาแต่เจริญขวัญแล้วเกิดหงุดหงิด
เจริญขวัญพูดเพลิน แล้วเห็นคนอื่นเงียบก็เหลียวมอง เห็นท่านชายและอิศราที่มองตัวเองอยู่ก็เขินหน้าแดง หัวเราะเบาๆ
“ขอโทษค่ะ ขวัญพูดมากไปหน่อย”
เจริญขวัญก้มหน้าจิ้มสลัดกิน อิศรายิ้มแล้วชะงัก เงยหน้ามองท่านชายอย่างแปลกใจ เมื่อได้ยินเสียง ท่านชายวสวัตหัวเราะเบาๆ เช่นเดียวกัน ชาลินีมองท่านชายอย่างประหลาดใจมาก ยกแก้วไวน์ดื่มหรี่ตามองเจริญขวัญที่ขัดเขินอย่าง หมั่นไส้

บริกรเก็บจานไปแล้ว ชาลียีเอ่ยขึ้น
“ชาว่า จะตกแต่งให้ออกแนวคลาสสิคให้เหมาะกับความงามของวัง แล้วแขกทุกคนต้องแต่งตัวเต็มยศให้เกียรติกับสถานที่ ดีไหมคะท่านชาย”
“ผมสงสัยจริงๆ นะ แทนที่จะเสียเงินจัดงาน เสียเงินค่าเสื้อผ้าก็เอาเงินไปบริจาคเลยไม่ได้เหรอ ขายบัตรหักที่ลงทุนคงเหลือ..สงเคราะห์..นิดเดียว” อิศราว่า
ชาลินีค้อน “แหม เธอนี่ เมาท์นะ ทำบุญ ถ้าได้หน้าด้วย เขาก็ทำเยอะไง”
เจริญขวัญเริ่มหายใจไม่ค่อยสะดวก สีหน้าส่อแววตกใจตัวเอง มือบีบกระโปรงที่ตัก ท่านชายวสวัตรับรู้มองเจริญขวัญอย่างอ่อนโยน
เจริญขวัญหน้าเสียพยายามฝืนยิ้ม “เอ้อ ขอโทษนะคะ ขวัญขอตัว...ไปห้องน้ำหน่อย”
เจริญขวัญขยับ อิศรารีบลุกเลื่อนเก้าอี้ให้ เจริญขวัญยิ้มบอกขอบคุณเบาๆ ซ่อนสีหน้ารีบเดินไป
อิศรามองตาม
“แหม ท่านชายดูสิคะ นางเอกเดินห่างไปหน่อย พระเอกมองตามละห้อยเชียว”
“คุณนี่” อิศรากระแทกนั่ง ท่าทางสบายขึ้น ไม่ต้องระวังมาดพระเอกมาก
“ไง สาวน้อยแสนซื่อของเธอ ตกหลุมเสน่ห์เธอแค่ไหนแล้วล่ะ”
“ไม่มาก...แต่ก็เชื่อว่าไม่น้อย” อิศรายืด ท่าทางมั่นใจ ภูมิใจ จนดูยโส ขณะยกไวน์ดื่ม

ท่านชายวสวัตปรายตามอง สองคน ใบหน้านิ่ง ค่อนไปทางดุ

ด้านเจริญขวัญออกมาจากห้องน้ำ ซวนเซต้องพิงผนัง พยายามหอบหายใจ จนรู้สึกดีขึ้นบ้าง หันไปเห็นประตูกระจกทางหนึ่ง จึงเดินออกไปช้าๆ

เจริญขวัญเปิดประตูระเบียงดาดฟ้าตึกสูงออกมา ตื่นตาเมื่อเห็นทิวทัศน์กรุงเทพฯ ยามค่ำคืน ท้องฟ้ากว้าง แสงระยิบจากตึกสูงชวนมอง

เจริญขวัญเดินมาเรื่อยๆ สูดลมหายใจ ลมแรงพัดมากราวใหญ่จนเริ่มรู้สึกหนาว แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นท่านชายวสวัต ยืนไพล่หลังนิ่งอยู่เบื้องหน้า ท่วงท่างดงาม เจริญขวัญเดินเข้าไปหาช้า
ท่านชายยืนมองทิวทัศน์ ใบหน้าเคร่งขรึม เจริญขวัญเดินมาจนใกล้ มองท่านชายเหมือนถูกดึงดูดเข้าหา ตะลึงแล ใบหน้าท่านชายที่มองออกไปลิบ ดูขรึม อ่อนโยน และ แสนเศร้า
แสงส่องกระทบด้านข้างของท่านชายจนดูเหมือนมีรัศมีล้อมกาย เจริญขวัญหยุดมอง ท่านชายหันมาหามองเจริญขวัญ สีหน้าอ่อนโยน
“รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือ”
เจริญขวัญฉงน “คะ?”
“ฉันสังเกตเห็น เหมือนเธอหายใจไม่สะดวก”
“เอ้อ...ค่ะ ขวัญคงเพลีย ออกจากบ้านมาทั้งวัน แล้วพี่อิศก็ยังรบเร้าพาไปซื้อเสื้อ กว่าจะยอมเลือกชุดนี้...” เจริญขวัญหัวเราะขัน “เหนื่อยกว่าทำงานไร่อีกค่ะ”
ท่านชายยิ้มบางๆ เจริญขวัญหันไปมองทิวทัศน์
“ที่นี่ สวยจังเลยนะคะ เงียบ สงบดีจัง”
ท่านชายมองออกไป แล้วหลับตาลง ทว่าไม่ได้สัมผัสความสงบเงียบ ยินเสียงคนทะเลาะ กันเซ็งแซ่ เสียงยิงปืน เสียงพระสวด จากทุกสารทิศ
ท่านชายวสวัตขมวดคิ้ว สีหน้าเป็นทุกข์ และเจ็บปวด
“เธอเชื่อเรื่องชาติ...ภพ ไหม เจริญขวัญ”
เจริญขวัญหันมองดวงตาเป็นคำถาม ท่านชายมองตอบ เศร้าล้ำลึก ที่พูดตรงๆ ไม่ได้
“เธอเชื่อไหมว่ามนุษย์ มีอดีต ก่อนจะมา ปัจจุบัน”
“เชื่อค่ะ แม่สอนว่า คนเราทำอย่างไรมาก็จะได้รับผลแบบนั้นอย่างขวัญ” เจริญขวัญยกมือแตะทรวงอก พูดโดยไม่มองท่านชาย “ชาติที่แล้ว คงทำอะไรมาสักอย่าง ชาตินี้ ถึงได้...เอ้อ...” หญิงสาวเลี่ยง ไม่พูดถึงอาการเจ็บป่วย เสยิ้ม “ชาตินี้ขวัญพยายามจะไม่ทำบาป ชาติหน้าจะได้ ทุกข์น้อยๆ”
ท่านชายมองเจริญขวัญ รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏที่ดวงหน้า ด้วยความพึงใจกับความดีงามของเจริญขวัญ ส่งผลให้รัศมีกระทบจากด้านหลัง สว่างเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เจริญขวัญพูดจบหันมามองท่านชายแล้วเกือบจะตะลึงอีก ที่เห็นท่านชาย งดงามมากขึ้น และมีแสงสว่างเรืองรองจากเบื้องหลัง จนต้องอุทานเบาๆ
“ท่านชาย”
ท่านชายผินหน้ามามองช้าๆ เจริญขวัญกะพริบตามองอีกครั้ง แสงเรืองรองนั้นหายไป มีเพียงแสงไฟกระทบกายท่านชาย
“ทำไมมองฉันเหมือนเห็น...” ท่านชายหัวเราะขัน “ผี ยังงั้นล่ะ”
เจริญขวัญตอบโดยเร็ว “ไม่ใช่เลยนะคะ เหมือนเห็นเทวดามากกว่า…คือเมื่อกี้ ขวัญเห็นเหมือนท่านชายมีแสงรอบๆ”
“แสงจากไฟนั่นล่ะมัง”
ท่านชายมองมายังเจริญขวัญ พบว่าเจริญขวัญมีรัศมีสีขาวนวลต่างจากแสงท่านชาย
“เธอเชื่อชั้นไหม เธอต่างหากที่มีแสงเป็นประกาย”
เจริญขวัญหัวเราะเบาๆ
ท่านชายเดินเข้าหาช้าๆ เจริญขวัญคลายหัวเราะมองท่านชายเหมือนถูกดึงดูด
“เขาว่า คนมีศีล มีธรรม มักจะงาม แล้วก็มีกลิ่นหอม”
เจริญขวัญพูดคล้ายคนละเมอ “มิน่า...ท่านชาย..ถึง..หอม..เหลือเกิน” จนได้สติ “อุ้ย ขอโทษค่ะ”
ท่านชายยิ้มบางๆ สีหน้าเปี่ยมเมตตา กับความซื่อ และกิริยาขัดเขินของเจริญขวัญ

ฝ่ายอิศรา เดินตามหาท่านชายและเจริญขวัญ โดยชาลินีมาจากอีกทาง
“ในห้องน้ำก็ไม่มีนี่”
“เอ๊ะ แล้วหายไปไหน ท่านชายก็หายไปด้วย”
ชาลินีประหลาดใจ “ว่าไงนะ”
อิศราเดินไปทางประตูกระจกระเบียงดาดฟ้า ชาลินีตาม
อิศรา เปิดประตูออกมา ต้องชะงัก เมื่อมองตรงไป เห็นท่านชายยืนคุยกับเจริญขวัญ ยิ้มแย้มให้กัน ชาลินีฉุนกึก บีบแขนอิศรา
“เธอเห็นหรือยังอิศรา ไม่กลัวบ้างรึไง”
อิศราหงุดหงิด กังวล ว้าวุ่นใจ แต่หันมาแขวะชาลินี
“แล้วคุณล่ะ กลัวจะเสียท่านชายไปมากกว่ามั้ง”
“ท่านชาย ไม่มีวันเห็น ผู้หญิงบ้านนอกดีกว่าชั้นหรอกเธอน่ะ ห้ามใจเด็กของเธอให้ได้จะดีกว่า”
สองคนจดสายตามองจ้องท่านชายวสวัตกับเจริญขวัญที่คุยกันอย่างสนิทสนม

อิศราเพียงหงุดหงิด ส่วนชาลินีนั้น เพลิงริษยาฉายโชนระริกในดวงตาคู่งาม

ท่านชายชะงักรอยยิ้ม ปรายหางตาไปทางชาลินี รับรู้กระแสแห่งกิเลสและแรงริษยานั้น ก่อนจะพูดกับเจริญขวัญเบาๆ อย่างเมตตา ห่วงใย

“รักษาความดีของเธอไว้นะ เจริญขวัญ” สีหน้าท่านชายเศร้าลงอีกนิด บอกอย่างจริงจัง “ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ก็อย่าให้กิเลศรอบตัว มาทำร้ายเธอได้”
เจริญขวัญเงยหน้ามองท่านชายอย่างไม่เข้าใจนัก ท่านชายมองอย่างล้ำลึก เป็นห่วงจากใจ
อิศรากับชาลินีมองจ้องสองคนไม่วางตา

หลังจากนั้นรถอิศราขับแล่นมาตามถนน เจริญขวัญพิงกระจกข้าง สีหน้าครุ่นคิด อิศราลอบมอง
“ง่วงหรือจ้ะ หลับไปก็ได้นะ ถึงบ้านแล้วพี่จะปลุก”
“ไม่หรอกค่ะ แค่เพลียนิดหน่อย”
อิศราลวงหลอก ถามยิ้มๆ
“ดูท่านชายเอ็นดูขวัญมาก เมื่อกี้คุยอะไรกันน่ะ พี่ถามได้ไหม”
“คุยอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ แต่ว่า...”
“จ๊ะ” อิศรารอฟัง
“ท่านชาย...ดู...เศร้าเหลือเกิน”
“คนอย่างท่านชายน่ะหรือ จะมีเรื่องให้เศร้า ท่านออกเพียบพร้อมไปหมดอย่างนั้น”
อิศราหัวเราะขัน แต่เจริญขวัญไม่ค่อยเห็นด้วยนัก สีหน้าขรึมลง

ฟากท่านชายวสวัต ขับรถมาส่งชาลินีที่แกล้งเมาขับรถไมไหว ท่านชายเพียงแตะปลายนิ้วที่พวงมาลัยเท่านั้น ใบหน้าหน้าขรึม ชาลินีแสร้งมึนๆ นั่งข้างๆ
“ไม่น่าดื่มไวน์เยอะเลย มึนจังเลยต้องลำบากท่านชายกรุณาขับรถมาส่ง”
ชาลินีมีสีหน้าอิ่มเอม ท่านชายยิ้มเยาะมุมปากรู้ทัน ชาลินีมองเสี้ยวหน้าท่านชายอย่างหลงใหล
ละสายตามองมายังมืออีกข้างที่วางบนตัก ชาลินีกลัวๆ กล้าๆ ค่อยๆ เอื้อมมือไปใกล้มือท่านชาย
ท่านชายดูเหมือนไม่รู้ตัว ชาลินีเอื้อมมือมาอยากแตะมือท่านชาย สุดท้ายชะงักไม่กล้า
ท่านชายไม่มอง แต่ลอบยิ้มเหยียด

รถชาลินีแล่นมาจอดหน้ารั้วบ้าน ท่านชายพูดแทบไม่มองหน้า
“ฉันส่งแค่นี้ล่ะนะ คงไม่ต้องให้เข้าไปถึงในบ้าน”
ภุมมะเปิดประตูรถชาลินีให้ท่านชาย ชาลินีรีบเปิดประตูลงจากรถ ก้าวเร็วมาหา
“ขอบพระคุณมากนะคะ ท่านชาย”
“เธอรีบเข้าบ้านไปเถอะ”
ชาลินีหยอดหวาน “กู๊ดไนท์ค่ะ”
มีคนใช้มาเปิดประตูหน้าบ้านให้ ชาลินีขับเข้าบ้านไป

ท่านชายวสวัตขึ้นนั่งในรถแล้ว ภุมมะก้าวขึ้นนั่งที่คนขับ ท่านชายมองไปทางหนึ่ง พบว่า ผีเอกดนัย ยืนอยู่ในเงามืด มองเข้าไปในบ้านชาลินี ท่านชายมองจ้องด้วยดวงตาดุดัน
ภุมมะมองตาม รับรู้เช่นกัน “สัมภเวสีตนนี้ ตามนางมาตลอด ท่านชายจะให้จับมันไปขังไว้ เบื้องล่าง จนกว่าจะสิ้นเวร สิ้นอายุขัยสัมภเวสีตนนี้หรือไม่ เจ้าข้า”
ท่านชายหน้าขรึม แววตาดุ “ไม่ต้อง ข้าช่วยไม่ให้ผีอาฆาตนั่นขึ้นรถมาทำร้ายนางครั้งนี้ แต่...บางที เจ้าผีอาฆาตนั่น อาจทำให้นางสำนึกอะไรได้บ้าง”
ภุมมะน้อมรับ ท่านชายมองผีเอกดนัย ขรึม ดุ

โคมไฟสวยในห้องถูกเปิด ชาลินีทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าลงกับเตียงดูปิ่นในมือ เพ้อถึงท่านชาย
“ท่านชาย...” แต่แล้วเกิดหงุดหงิด “นังเด็กนั่นให้ท่าเหลือเกินไม่เห็นจะซื่อใสอย่างที่อิศราคิดสักหน่อย”
ชาลินีพลิกตัวนอนหงายเอาปิ่นแนบอก
“ท่านชาย...ท่านชาย..ของชาลินี”
ชาลินียิ้มพริ้มพราย ฝันหวาน ยกปิ่นมาจูบ
โดยไม่รู้ว่าที่หน้าต่างห้องเห็นด้านหลังของผีเอกดนัยยืนอยู่ สภาพทรุดโทรมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เป็นผีร้ายที่มีแต่ความแค้น และอาฆาตมาดร้าย ดุดัน หิวโหย ร้องเสียงโหยหวนออกมา
“ชา...ลิ...นี...”

ขณะเดียวกัน ทันทีที่อิศราจอดรถที่หน้าตึก เจริญขวัญซึ่งหลับอยู่ ก็สะดุ้งตื่น
อิศราทอดเสียงนุ่มโดยไม่รู้ตัว “ถึงบ้านแล้วจ้ะ”
เจริญขวัญท่าทางยังคงง่วงซึม ยิ้มให้ แล้วหันตัวจะปลดสายคาดนิรภัย แต่งงๆ งกๆ เงิ่นๆ
ระหว่างนี้ดวงแก้วเดินกังวลใจอยู่ตรงมุมข้างระเบียงหน้าบ้าน สงสัยเรื่องภาพท่านชายในสมาธิ ชะเง้อมองอยู่ แล้วชะงักเมื่อเห็นรถจอดนิ่ง
อิศรายิ้มโน้มตัวมาเอื้อมมือปลดล็อกให้ แล้ว โน้มตัวคร่อมเจริญขวัญเปิดประตูให้อีก ในความชิดใกล้ ทำให้เจริญขวัญตาโต เกร็งตัวเอนหลังจนชิดพนักเบาะ
อิศราลอบยิ้ม หันมองหน้าเจริญขวัญ ในระยะประชิด
“ถ้าไม่รีบเปิดประตูให้ ลงไปอ้อมเปิดประตูให้ขวัญไม่ทันสักที”
“แหม...” เจริญขวัญบ่นอุบอิบหน้าแดง “ขวัญเปิดเองก็ได้ แค่นี้เอง”
“ก็พี่อยากดูแลขวัญนี่นา” อิศราเขย่าหัวให้ดูเหมือนพี่เอ็นดูน้อง

เจริญขวัญหน้าแดง เขินจัด รีบลงจากรถ อิศราลอบยิ้ม แววตาเสือมองเหยื่อ

อิศราช่วยถือถุงหรือกระเป๋าเป้ที่ใส่อุปกรณ์วาดรูปและถุงเสื้อมา เจอดวงแก้วยืนกอดอกรออยู่ ดวงแก้วหน้าขรึมกว่าเคย อิศราเลยไม่ค่อยอยากสบตา

“แม่...ยังไม่นอนเหรอคะ”
“เป็นห่วงหนู...วันนี้กลับดึกนะลูก”
“พี่อิศพาไปทานข้าวกับท่านชาย กับคุณชาลินีค่ะ ร้านสวยมากเลยค่ะแม่ อยู่บนยอดตึก เห็นกรุงเทพทั้งเมืองเลย”
ดวงแก้วมองชุดลูกสาว “เอ๊ะ”
เจริญขวัญยิ้มเจื่อนๆ เสียงอ่อยๆ “เอ้อ...พี่อิศซื้อให้ค่ะ”
ดวงแก้วมองอิศรา เริ่มกังวลมากขึ้น “เกรงใจคุณอิศแย่”
อิศราหัวเราะเบาๆกลัวดวงแก้วจับความในใจได้ “นิดหน่อยเองครับ”
ดวงแก้วมองหน้าลูกสาว เจริญขวัญหลบตาแม่ ดวงแก้วหันมามองอิศราอีกที ก็เห็นแววพิรุธ และยิ้มแปลกๆ ของอิศรา

ดวงแก้วนั่งเอนรอลูกสาวอยู่บนเตียง เจริญขวัญอาบน้ำเสร็จแล้ว นั่งเช็ดผม ดวงแก้วขยับมาเช็ดผมให้ลูกทางด้านหลัง
“แม่ว่า หนูกวนคุณอิศมากไปแล้วนะลูก”
“หนูก็ปฎิเสธแล้วค่ะแม่ แต่พี่อิศไม่ยอม”
“หนูว่า ไปทานข้าวกับท่านชายด้วย”
“ค่ะแม่”
ดวงแก้วครุ่นคิด รามือ “ขวัญว่าท่านเป็น..คนยังไง”
“แม่ถามเหมือนพี่อิศ...ขวัญว่า ท่านใจดีนะคะ แต่บางทีท่านดูเศร้าๆ แล้วก้อ...”
“อะไรลูก”
“บางที...ก็รู้สึก กลัวท่าน ยังไงบอกไม่ถูกค่ะแม่”
ดวงแก้วอึ้ง นิ่งงันไป สีหน้าครุ่นคิดสับสน
“บอกท่านใจดี แล้วยังไปท่านน่ากลัว...เอ้า หาวแล้ว สวดมนต์ก่อนนอนด้วยนะ อย่าลืมล่ะ”
“ค่ะ แม่”
ดวงแก้ว ครุ่นคิดสงสัย

ดวงแก้วนอนไปแล้ว ขณะเจริญขวัญกราบหมอนครั้งสุดท้าย ก่อนลงนอนตะแคง หลับตาลง หวนนึกภาพอิศราที่โน้มตัวมาเปิดประตูให้จนใกล้ชิด เจริญขวัญสะดุ้งลืมตา หน้าแดง ท่าทีขัดเขิน ยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเอง
“ทำไมต้องเขินด้วยนะ... พี่อิศ เป็นพี่ชาย”
เจริญขวัญพลิกตัวนอนหงาย พยายามข่มตาให้หลับ แต่กลับนึกถึงภาพที่เห็นท่านชายวสวัตยืนมองออกไปยังท้องฟ้า จังหวะที่ท่านชายหันมองมายังเจริญขวัญ ใบหน้าดูขรึมเศร้า โดดเดี่ยวเหลือเกิน
เจริญขวัญลืมตา สีหน้าฉงนฉงาน และนึกสงสารท่านชาย
“ท่านชาย”
เจริญขวัญเริ่มรู้สึกตัว หงุดหงิดตัวเองนิดๆ
“คิดอะไรไม่รู้ฟุ้งซ่าน เรานี่”
เจริญขวัญชักผ้าคลุมโปง

อีกวันหนึ่ง อิศราเดินกลัดกระดุมเสื้อพลางผิวปากพลาง ลงบันไดมาอย่างอารมณ์ดี เจอวันปัดกวาดเช็ดถูอยู่
“วัน...คุณขวัญล่ะ”
“อยู่หน้าบ้านค่ะ แฟนเพิ่งมาหา”
อิศราชะงัก ฉุนกึก “แฟนเฟินอะไร
“ก็ ผู้ชายหน้าหวานๆที่มาหาบ่อยๆไงคะ ไม่ใช่แฟนคุณขวัญหรอกเหรอคะ” วันว่า
อิศราพูดแทบเป็นตวาด “ไม่ใช่”
วันสะดุ้ง อิศรารู้สึกตัวว่าพูดแรงไปหน่อย เดินหงุดหงิดออกไปเลย วันบ่น
“เค้าทำรายผิดล่า...มาดุเค้าเนี่ย”

ขณะที่อิศราเดินหุนหันออกมา แล้วต้องชะงักหยุดกึก เห็นข้างๆ รถยนต์คันเล็ก มีอรุณสีหน้ายิ้มแย้ม คุยอยู่กับดวงแก้ว และเจริญขวัญ อิศราเดินเข้ามาทำเป็นกระแอม อรุณหันมาจำใจไหว้ส่งๆ
“อ้าว น้อง” อิศรายิ้ม “มาแต่เช้าเชียว”
อรุณกัด “สิบโมงกว่าแล้วครับ เอ๊ะ คุณไม่ต้องไปทำงานเหรอครับวันนี้ไม่ใช่วันหยุดนี่นา”
อิศราชะงัก หน้าเสียไปหน่อย ดวงแก้ว เจริญขวัญมองหน้า
“งานผม ทำผ่านคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์ได้ แล้วนี่..ซื้อรถใหม่เหรอครับ” อิศรายิ้มกัดคืน “เล็กดี”
“แต่มันก็ใหญ่พอที่จะพาอาแก้วกับขวัญไปไหนก็ได้” อรุณยิ้ม “ผมว่าเรารีบไปดีกว่ามั้ยอาแก้ว”
อิศราฉงน “จะไปไหนกัน”
“ไป...” ดวงแก้วจะบอกว่าไปหาหมอ
เจริญขวัญรีบขัด “ไปธุระค่ะ”
“ต่อไปนี้ ถ้าขวัญกับอาแก้วอยากไปไหน” อรุณตบหลังคารถ “คงไม่ต้องกวนคุณพี่แล้วละครับ” เด็กหนุ่มเปิดประตู “อาแก้ว ขวัญ เชิญเลยจ้า”
ดวงแก้วนั่งหลัง เจริญขวัญยิ้มให้อิศราก่อนขึ้นด้านหน้า อรุณยิ้มแต้ แล้วเหล่มองส่งสายตาเหมือนเยาะเย้ยระหว่างไปขึ้นรถข้างคนขับ

อิศราหงุดหงิดเอามากๆ โดยไม่รู้ตัว

อ่านต่อหน้า 3

เงา ตอนที่ 8 (ต่อ)

ไม่นานต่อมา เจริญขวัญ กับ ดวงแก้ว นั่งคุยกับหมอ 1 เจ้าของไข้ในห้องตรวจ

“เท่าที่ดูจากฟิล์มเอ็กซเรย์ หมอเชื่อว่า ถ้าผ่าตัด น่าจะมีโอกาสหาย”
เจริญขวัญแย้ง “แต่ก็มีโอกาสที่จะไม่หาย”
“การผ่าตัดทุกอย่าง ก็มีความเสี่ยงทั้งนั้นล่ะครับ แต่ถ้ามาปล่อยไว้ก็มีโอกาสเสี่ยง ที่รูผนังหัวใจจะขยายกว้างขึ้น ก็เป็นอันตรายได้นะครับ”

จากนั้นสองแม่ลูกเดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“แม่ว่า ผ่าก็ดีนะลูก จะได้สบายใจ”
“แม่คะ ค่าผ่าตัด ไม่ใช่ถูกๆ นะคะ”
“มันเทียบกันไม่ได้หรอกนะลูก เงินกับชีวิตหนู”
เจริญขวัญหยุดเดินมองดวงแก้ว “หมอก็บอกไม่ใช่เหรอคะ ว่าถึงผ่า โอกาสเสี่ยงก็มี อีกอย่าง ขวัญ...กลัว” หญิงสาวมองหน้าแม่ “ขวัญกลัวจากแม่ไป”
“โธ่ ลูก”
“น่า ขวัญจะดูแลตัวเองดีๆ นะคะ”
สองคนเดินมาเห็นอรุณอรุณนั่งกอดอกหลับพิงพนักเก้าอี้ ตรงโถงโรงพยาบาล
“โถ พ่อรุณ”
เจริญขวัญมองอรุณอย่างซาบซึ้ง และขอบคุณ สงสารเพื่อนและเข้าใจในรักของอรุณ

รถอรุณแล่นเข้ามาจอดหน้าตึก สามคนเดินเข้ามาทางข้างบ้าน เลี้ยวมาทางริมสระน้ำ
“อยู่ทานข้าวเย็นกันก่อนนะพ่อรุณ เดี๋ยวอาทำน้ำพริกของโปรดให้”
“อาแก้ว ใจดีเสมอเลย ไม่เหมือนลูกสาว”
“เอ๊า มาแขวะทำไมนี่”
อรุณ กับเจริญขวัญหัวเราะให้กัน
ยินเสียงคนกระโดดลงสระว่ายน้ำดังตูม สามคนหันไป เห็นอิศรากำลังว่ายน้ำอยู่ในสระ
เจริญขวัญมองแล้วยิ้มอย่างคุ้ยเคย อรุณเห็นก็เริ่มหงุดหงิด หึงขึ้นมาอีก อิศราว่ายมาใกล้ฝั่งที่สามคนหยุดอยู่ แล้วโผล่มาเกาะขอบสระ เสยผมเปียกน้ำ ปากยิ้ม
“กลับกันมาแล้วเหรอครับ กำลังคิดอยู่เลยว่าต้องสั่งพิซซ่าไหม”
“หิวแล้วเหรอคะพี่อิศ”
อิศราโหนตัวขึ้นมา ตัวเปียกน้ำทั้งร่าง หยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนเก้าอี้
อรุณตาโตมองหุ่นกำยำของอิศราอย่างกังวล และรู้สึกว่าหุ่นเขาช่างเท่ห์บาดใจ จนน่าเป็นห่วงหัวใจเจริญขวัญ
“ยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เที่ยงน่ะ” อิศรายิ้มน่าสงสารชวนให้เห็นใจ
“อ้าว” ดวงแก้วตกใจ “งั้นรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวอาทำแป๊บเดียว ไปขวัญ”
เจริญขวัญเดินไปกับดวงแก้ว
อรุณละล้าละลังจะเรียกเจริญขวัญก็ใช่ที่ จะหยุดอยู่กับอิศราก็ไม่ใช่เรื่องจะชอบใจ
อิศราเช็ดตัวพลางหรี่ตามอง “ไงน้อง ไปเที่ยวสนุกไหม”
อรุณกวนกลับ “สนุกมากเลย ว่าแต่คุณพี่ ว่ายน้ำคนเดียว สนุกไหมล่ะครับ”
“ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่” อิศราหรี่ตามองอรุณ “มาว่ายแข่งกันไหมล่ะ”
“เฮอะ” อรุณหันมาหาจะเถียง “ว่ายน้ำเนี่ยนะ”
อิศราพูดสวนยิ้มเยาะ โดยไม่มองหน้า วางมาดเท่ห์ “ไม่กล้าล่ะสิ”
อิศราปรายตามองแล้วหันหลังเดินจากช้าๆ ยิ้มสะใจพอลับตาอรุณ
ส่วนอรุณมองตามของขึ้นที่ถูกท้าทาย

เจริญขวัญ ดวงแก้ว สี และวัน ช่วยกันทำอาหารอยู่ในครัว
“ถามแกว่าอยากทานอะไรจะทำให้ คุณอิศก็ไม่เอาค่ะ บอกว่าจะรอคุณดวงแก้ว คุณเจริญขวัญ” สีว่า
วันบ่นอุบอิบ “อะไรๆ ก็คุณขวัญ”
สีกระทุ้งวัน “แกนี่”
ดวงแก้วไม่ทันใส่ใจฟัง เอาถุงขนมส่งให้เจริญขวัญแกะใส่จาน
“หนู เอาปั้นขลิบนี่ ใส่จานไปให้คุณอิศทานรองท้องก่อนลูก”

“ค่ะแม่”

เย็นนั้นอรุณก้าวเข้ามายืนริมสระ ด้วยเสื้อกล้ามกางเกงว่ายน้ำ ท่าทางไม่ค่อยมั่นใจตัวเองนัก ส่วนอิศรากำลังแกว่งแขน ยืดเส้นมองอยู่

อิศรายิ้มมอง “หลวมไม่หน่อยนะ”
อรุณพูดกับตัวเอง “ก็นายอ้วนกว่านี่หว่า”
อิศราก้าวขึ้นยืนริมขอบสระ “พร้อมยัง”
อรุณยังอึกๆ อักๆ เจริญขวัญเดินออกมาพร้อมจานขนม
“เอ๊ะ อรุณ”
อรุณรีบก้าวขึ้นยืนขอบริมสระ
อิศรามองอรุณแล้วยิ้มให้เจริญขวัญ “จะว่ายน้ำแข่งกันจ้ะ ขวัญมาก็ดีแล้ว เป็นกรรมการเลยแล้วกัน ว่าไงน้อง พร้อมมั้ย”
“ไม่ต้องถามหรอกครับคุณพี่ นับเลยดีกว่า หนึ่ง สอง สาม”
อรุณพุ่งลงน้ำก่อน อิศรายิ้ม พุ่งลงน้ำตาม เจริญขวัญวางจานตรงโต๊ะ เดินตามดูสองคน
อรุณว่ายน้ำอย่างรวดเร็ว ส่วนอิศราว่ายสบายๆ ปล่อยๆ ให้ อรุณนำไปก่อน
อรุณว่ายฟรีสไตล์อ้าปากแหงนหงาย เห็นเจริญขวัญเดินตามดูอย่างเป็นห่วง อรุณยิ่งกวักแขนจ้วงว่ายน้ำอย่างหนักหน่วง อิศรายังว่ายตามมาอย่างสบายๆ
สองคนว่ายน้ำกันไป อิศราดูนำหน้ากว่าเล็กน้อย แตะขอบสระและหมุนตัวก่อน อรุณแตะขอบสระทีหลังรีบกลับตัว ในจังหวะกลับตัวอรุณดีดขากับขอบสระถีบตัวมาในน้ำ เท้าของอรุณตวัดไปโดนศีรษะของอิศรา
เจริญขวัญยกมือปิดปากตกใจ อรุณไม่สนใจรีบว่ายไปต่อคนเดียวอย่างตั้งใจ มืออรุณแตะขอบสระ
อรุณยืนหอบ มองข้างๆ ตัว แต่ไม่เห็นวี่แววของอิศรา อรุณดีใจมากชูสองแขน
“เย้ ชนะแล้ว”
อรุณดีใจหมุนตัวมาทางเจริญ แล้วต้องชะงักกึก เห็นอิศรานั่งอยู่บนพื้นริมสระ กุมศีรษะอยู่ มีเจริญขวัญช่วยประคอง
“พี่อิศ เจ็บมากไหมคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ....อูย”
เจริญขวัญตกใจประคองอิศราแล้วหันขวับมามองอรุณอย่างตำหนิ อรุณลดแขน หน้าเสีย
อิศราเจ็บไม่มากนัก ลอบมองมาสบตาอรุณยิ้มเยาะมาให้โดยเจริญขวัญไม่เห็น อรุณฉุนมาก

เจริญขวัญมาส่งอรุณตรงรถหน้าบ้าน ท่าทางอรุณดูหงอยไปถนัดตา เจริญขวัญยื่นกล่องให้
“นี่ น้ำพริกผักสด เอาไปเก็บในตู้เย็นนะ”
อรุณรับมา
“ขวัญ เราไม่ได้ตั้งใจแตะเขาจริงๆ นะ”
เจริญขวัญกอดอกขรึม “รู้แล้ว เธอก็ขอโทษพี่อิศไปแล้วนี่”
“กับเขาเราไม่สนหรอก แต่กับขวัญ เราไม่อยากให้ขวัญเห็นเราเป็นคนไม่ดี”
“เรารู้น่ะ ว่ารุณเป็นคนยังไง”
“ขวัญ เราไม่ไว้ใจพี่ชายคนใหม่ของขวัญเลย เราเป็นผู้ชายด้วยกัน เราดูออก”
เจริญขวัญจับสองบ่าอรุณ พูดขัดขึ้น “รุณ...อย่าห่วงเรานักเลย ที่รุณคอยดูแลเรา เราก็ซาบซึ้งมากแล้ว”
อรุณชะงักยิ้ม มองเจริญขวัญ อย่างคนที่ยังตัดใจไม่ขาด

จังหวะนี้ อิศราเดินเข้ามาหยุดมองจากมุมหนึ่ง มองภาพเจริญขวัญจับบ่าอรุณเขม็ง นัยน์ตาเข้มไม่พอใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

อรุณมองเจริญขวัญอย่างมีความหวัง
“ที่เรามีเพื่อนดีที่สุดแบบรุณ”
อรุณชะงักกับการถูกย้ำคำว่าเพื่อน เสหัวเราะแกล้งทำเป็นสดใส
“ก็ดี รู้ไว้แล้วกันว่า เราเป็นคนที่ขวัญไว้ใจได้เสมอ..ไปละ”
“จ้า”
เจริญขวัญยิ้มอ่อนโยน มองอรุณที่แกล้งยิ้มกว้างโบกมือก่อนขึ้นรถ

อรุณขับรถออกมาพ้นรั้วบ้านแล้ว ขับมาตามถนน สีหน้าเด็กหนุ่มเคร่งขรึม นัยน์ตาแข็งกร้าว ขณะบอกกับตัวเองว่า

“ลงทุนความรักมาขนาดนี้ เราไม่มีวันยอมแพ้หรอก ขวัญ”

ขณะที่เจริญขวัญเดินกลับเข้าบ้าน ผ่านประตูหน้าบ้าน เห็นอิศรานั่งหันหลังมองเหม่อไปทางหนึ่ง เจริญขวัญหยุดมองสีหน้าครุ่นคิด

อิศรานั่งกอดอกขมวดคิ้วครุ่นคิด เคร่งขรึมอยู่อย่างเก่า จนเจริญขวัญเดินเอาแก้วกาแฟมาวางให้
“กาแฟค่ะพี่อิศ”
อิศรารับถ้วย ยิ้มขรึมๆ
“ขอบใจจ้ะ”
อิศราจิบกาแฟ แล้วมองแก้วกาแฟในมือ ขรึมขึ้น
“พี่อิศ คิดอะไรอยู่คะ โกรธเพื่อนขวัญรึเปล่าคะ”
อิศราหัวเราะ “โกรธอะไรกัน มันเป็นอุบัติเหตุ...พี่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่น่ะ” ชายหนุ่มจิบกาแฟ ตัดสินใจ “ขวัญรู้ใช่ไหม ว่าพ่อของพี่ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณย่าหรอก เป็นลูกสามีเก่าของคุณย่า”
เจริญขวัญชะงัก ฉงน เงยหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง
“คะ”
“พี่โตมากับบ้านนี้ด้วยความรู้ ทั้งรักทั้งกลัวคุณย่า...เหมือนพ่อ พ่อกับแม่แต่งงานกันก็เพราะคุณย่าเลือกให้ทั้งๆ ที่ไม่ได้รักกัน”
อิศราเล่าไปโดยไม่มองหน้าเจริญขวัญเลย ขณะที่เจริญขวัญมองหน้าอิศรา ฟังอย่างตั้งใจ
“เพราะงั้นพอมีพี่ พ่อก็เลยไม่ดูดำดูดี แม่ก็ไม่ใส่ใจ พี่โตมากับคนใช้ คุณย่าจะมาอุ้มชูก็แค่เวลาอารมณ์ดี...ที่ไม่ค่อยมีซะด้วย” อิศราแค่นหัวเราะเบาๆ “เมื่อตอนเด็ก พี่เคยสอบตก ตอนนั้น พี่หวังว่าจะมีใครสักคน ลูบหัวปลอบโยนว่า ชีวิตยังมีหวัง แต่ก็ไม่มีใครปลอบสักคน นอกจากจะถูกชี้หน้าด่าว่า เป็นเด็กเกเร ไม่รักดี แล้วก็ถูกเฆี่ยน”
เจริญขวัญผู้แสนดี ตะลึงมองสงสารอิศราจนน้ำตาคลอ
อิศรานิ่งไปครู่ แล้วหลุดออกจากภวังค์ หลุดหัวเราะ
“เชื่อมั้ยว่า พี่รู้สึกว่าบ้านนี้เป็นบ้านก็ตอนที่อาแก้วกับขวัญมาอยู่ด้วยนี่แหละ”
อิศราหันมาทางเจริญขวัญ แล้วต้องตะลึง เมื่อเห็นเจริญขวัญมองเขาอยู่ น้ำตารินไหลอย่างจริงใจ
“ขวัญ...”
ความงาม ความซื่อของเจริญขวัญเริ่มละลายใจอิศรา เขามองเธออย่างฉงนฉงาย สองคนนั่งสบตากันในความรู้สึกที่ต่างกันนั้น
จนเจริญขวัญรู้สึกตัว “เอ้อ ขอโทษค่ะ” หญิงสาวเช็ดน้ำตาขัดเขิน “ขวัญไม่ได้ตั้งใจ...เอ้อ...ขวัญขอตัวก่อนนะคะ”
เจริญขวัญลุกไป อิศรามองตามอย่างฉงนกับความดีของเธอ แล้วหันกลับมาครุ่นคิด สีหน้าสับสน ต่อสู้กับความคิดตัวเองอย่างหนักหน่วง

ค่ำคืนนี้ ชาลินีก้าวลงจากรถที่หน้าคลับโลกันต์อันแสนวังเวง เดินเข้าไปด้านใน
พอชาลินีเดินเข้ามาตรงเค้าท์เตอร์บาร์ กวาดตามองโดยรอบ พบว่าบรรยากาศดูเงียบผิดปรกติ
“เอ๊ะ คืนนี้ คลับไม่เปิดหรือไง”
ชาลินีเดินเข้ามาช้าๆ มองไปทางบาร์
“มีใครอยู่บ้าง”
ด้านหลังชาลินี พลันเหมือนมีร่างๆหนึ่งเดินฉิวผ่านหน้าไปทางขวา ชาลินีหันขวับมา เห็นร่างๆ นั้นแวบๆ เลี้ยวเข้าช่องประตูห้องทำงานท่านชาย
“น้อง น้องคะ”
ชาลินีเดินตาม

ชาลินีเดินตามจนเข้ามาในห้องท่านชาย แล้วสะดุ้งสุดตัว
“ว้าย” ชาลินียกมือปิดหน้า
ภาพอสูรที่ติดอยู่หลังโต๊ะ แสงในห้องสลัว แสงตกเฉพาะตรงใบหน้าอสูรจนเหมืนออสูรนั้นซ่อนอยู่ในความมืดจ้องมองมา ชาลินีค่อยๆ ลดมือลง มองจนเห็นว่าเป็นภาพเขียน
“บ้าจริง”
ชาลินีถอนใจหันหลังกลับ ขยับก้าวเดินแล้วชะงักก้มมอง พบว่าที่เท้าหล่อนตอนนี้ย่ำไปบนกองเลือด ชาลินีตกใจ เงยหน้าขึ้น
ฉับพลันนั้นเองผีเอกดนัย สภาพเลือดเต็มหน้า พุ่งหน้ามาหาเกือบชิดหน้าชาลินีที่เงยมองอย่างกลัวสุดขีด
ผีเอกดนัยคำรามอย่างน่ากลัว “ชา...ลิ...นี”
“อ๊าย...” ชาลินีร้องกรี๊ดแล้วล้มลงสลบกับพื้นทันที ผีเอกดนัยยืนมองร่างชาลินี
“ไป...อยู่..ด้วยกัน..เถอะ..ชา”
ผีเอกดนัยก้มลง เอื้อมมือหมายจะบีบคอชาลินีที่ยังนอนสลบไม่รู้ตัว
ทันใดแสงสีแดงเพลิงสาดมาพร้อมเสียงกึกก้อง
“พอได้แล้ว”
ผีเอกดนัยเงยมอง ร่างท่านชายในชุดพญามาร เคลื่อนเข้ามาพร้อมแสง ผีเอกดนัยยกมือป้องแสง หายวาบไป

ท่านชายปรายตามองร่างชาลินี ที่นอนสลบอยู่กับพื้น

ไม่นานนักร่างชาลินีนอนอยู่ที่โซฟา ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น แล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง สีหน้าหวาดผวา

เสียงท่านชายดังขึ้น “รู้สึกตัวแล้วเหรอ ชาลินี”
ชาลินีมองไปเห็นท่านชายยืนหันหลังให้อยู่ที่หน้าบาร์ เดินมาหาพร้อมแก้วน้ำ
“ท่าน...ท่านชาย” ชาลินีผวามองโดยรอบ อย่างหวาดกลัว
“วันนี้ที่นี่ปิด ดีนะที่มีคนดูแลความสะอาดไปตามฉัน ว่าเห็นเธอเป็นลม” ท่านชายวางแก้วน้ำให้ที่โต๊ะ “เธอตกใจอะไร”
ท่านชายวสวัตลงนั่งเก้าอี้ตรงข้าม
“ก็...” ชาลินีมองไปรอบๆ พบว่าไม่มีอะไร
สีหน้าชาลินีงุนงงอยู่กับตัวเอง ไม่กล้าเล่าเรื่องที่จะโยงไปเรื่องเอกดนัย ค่อยๆ รวมสติคืนมาได้ ลูบหน้า พลางถอนหายใจ
“ชา...ชาคงตาฝาดไปเองน่ะค่ะ คงตกใจภาพวาดในห้องนั้น” หล่อนหลบตาวูบ
ท่านชายรู้ว่าชาลินีโกหก ปรายตายิ้มเยาะ “เธอมาทำไม อยากพบฉันรึ”
“ก็ ใช่สิคะ” ชาลินีกลับมาเป็นตัวของตัวเอง ส่งตามองท่านชายลึกซึ้ง “ก็ชา...คิดถึงท่านชายนี่คะ”
ท่านชายเลิกคิ้วฉงน หัวเราะเบาๆ น้ำเสียงมีกระแสกร้าว “งั้นก็ต้องขอบใจ”
ชาลินีมองมาอย่างแสนรักและหลงใหลเหลือเกิน “ท่านชายคะ”
“ฉันก็นั่งอยู่ตรงหน้าเธอนี่แล้ว เรียกทำไม”
ชาลินีมองจ้อง ตัดสินใจรุก เสียงอ่อนหวาน “ท่านชาย...เคยคิดถึงชาบ้างไหมคะ”
ท่านชายชะงักสีหน้าเคร่งขรึม พูดเสียดสีเสียงกร้าวนิดๆ “คิดสิ คิดอยู่ตลอดเวลา ว่าในที่สุดเราก็ต้องได้พบกัน ที่จริงฉันน่าจะเสียใจแทนเธอ ที่ต้องพบกับฉัน”
“ทำไมคะ ทำไมต้องเสียใจ” ชาลินียิ้มยั่ว หว่านเสน่ห์ พลางขยับลุกจะไปหา “ตรงกันข้าม ชาดีใจและเป็นสุขเหลือเกิน ที่ได้พบท่านชาย”
ท่านชายลุกยืนหันหลังให้ซ่อนสีหน้าดูแคลน หัวเราะหยัน “อย่างนั้นเชียวรึ”
“ค่ะ ชาไม่เคยรู้สึกอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยนะคะ ทุกครั้งที่พบท่าน มันรู้สึกถูกดึงดูด อยากอยู่ใกล้” ชาลินีจับอกตัวเอง “แล้วหัวใจก็จะเต้นแรง เอ..แบบนี้ มันคือ ความรักไหมนะคะท่านชาย”
ท่านชายหัวเราะ “สำหรับเธอฉันไม่รู้ แต่สำหรับฉัน ความรัก คือความตาย”
ชาลินีบอกอย่างเด็ดเดี่ยว “ถ้าอย่างนั้น คนอย่างชา ยินดีตายเพื่อความรัก”
ท่านชายหัวเราะ หันมา ยิ้มหล่อมาก
“แต่ฉันว่าผู้หญิงสวยๆ อย่างเธอ คงมีผู้ชายมากมายที่ยอมตายเพราะรักเธอ” ชาลินีชะงักหน้าเสีย “เธอควรกลับไปพักผ่อน ฉันมีธุระที่ต้องทำ
ท่านชายเดินออกไปเลย
ชาลินียืนเคว้งคว้างอยู่ลำพัง ชักเริ่มกลัว หันไปคว้ากระเป๋ายืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองไปทางที่ท่านชายเดินไป จากความหวาดกลัว กลับกลายเป็นมุ่งมาด คิดเข้าข้างตัวเอง

“ท่านชายคงเคยผิดหวังเรื่องผู้หญิงมามาก ชาลินีจะรักษาหัวใจให้ท่านเอง”

อ่านต่อหน้า 4

เงา ตอนที่ 8 (ต่อ)

ทางด้านท่านชายอยู่ในห้องส่งเสียงกราดเกรี้ยวออกมา

“ดู...ดูมัน เราปล่อยให้เจ้าผีนั่นเข้ามาเพื่อให้โอกาสนางได้คิด จะได้เข็ดหลาบ แต่นางกลับไม่สำนึกอะไรทั้งสิ้น ...สิริ”
“เจ้าข้า”
“เจ้าวิญญาณนั่น”
“หนีไปแล้วเจ้าข้า”
“สิริ ภุมมะ ไปกำราบมัน อย่าให้ก่อบาปเวรเพิ่มไปกว่านี้”
สิริ ภุมมะ ค้อมหัวน้อมรับบัญชา “เจ้าข้า” แล้วร่างก็หายไป

ขณะที่ผีเอกดนัยสภาพทรุดโทรม ดวงตาอาฆาตมาดร้าย ยืนอาศัยเงามืดมองเข้าไปในบ้านชาลินี ร่างสิริปรากฏขึ้นมาพร้อมควันพวยพุ่ง ผีเอกดนัยหวาดกลัวหันหนี เจอร่างภุมมะยืนตระหง่านดักอยู่ ผีเอกดนัยทรุดลงกับพื้น
“ไม่ อย่ามาเอาผมไปไหน ผมไม่ไป”
“เมื่อถึงเวลาหมดกรรมที่เจ้าต้องฆ่าตัวตายซ้ำๆ บนโลกวิญญาณ” ภุมมะบอก
ผีเอกดนัยตัวสั่นพนมมือ หันหนีจากภุมมะ ก็เจอสิริที่ยืนตระหง่านค้ำหัวอยู่
“ถึงเวลานั้น เจ้าต้องได้รับการชำระโทษอันเกิดจากการฆ่าตัวตายในนรก จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น”
ภุมมะเตือน “เวลานี้ อย่าริก่อเวรเพิ่ม”
ผีเอกดนัยร้องไห้ “แต่ผม ตายเพราะ ผู้หญิงคนนั้น เขาหลอกผม ผมแค้นเหลือเกิน”
สิริ กับภุมมะเดินเข้าใกล้ยืนตระหง่านเหนือเอกดนัย ดูคุกคามและน่ากลัว
“ท่าน ทรงเมตตาให้ข้ามาเตือนเจ้าแล้วนะ”
“หรือเจ้าอยากถูกจองจำในคุมขังสัมภเวสี ในนรก”
ผีเอกดนัยร้องลั่น “ไม่...ไม่...”
ผีเอกดนัยหันหนี แล้วร่างก็หายแวบไป สิริ ภุมมะหายตัวไปเช่นกัน
พริบตานั้นเอง ท่านชายถอยออกมาจากหน้าภาพวาด สิริ กับ ภุมมะ ยืนก้มศีรษะรายงานเรื่องราวจนจบ ท่านชายพยักหน้ารับรู้ ทอดถอนใจ
“กรรมเวรของใครก็จะตามติดเป็นทายาท เป็นเงาตามตัวผู้นั้น ข้ารึจะไปหักห้ามใครได้”
สีหน้าท่านชายเคร่งขรึม

เช้าวันนี้ เจริญขวัญวางชามข้ามต้มตรงหน้าอิศราที่นั่งหัวโต๊ะในห้องทานข้าว มีดวงแก้วนั่งอยู่แล้ว
“วันนี้ แม่ทำข้าวต้มปลาค่ะ”
“ดีจริง กำลังอยากทานเลยครับ”
เจริญขวัญลงนั่ง อิศราตักข้าวต้มเข้าปาก พลางมองเจริญขวัญยิ้มอ่อนโยนให้
เจริญขวัญขัดเขิน พยายามสงบเสงี่ยมทานข้าวต้มไป วันเดินมาพร้อมโทรศัพท์ไร้สาย
“คุณอิศขา โทรศัพท์ค่ะ”
“ใคร”
“คุณทนายวันชัยค่ะ”
อิศราชะงัก สำนึกแห่งเป้าหมายกระจ่างชัด สีหน้าเคร่งขึ้นนิดๆ รับโทรศัพท์มา
“ครับ” แล้วนิ่งฟัง
สองแม่ลูกมองอิศรา
“โอเค ครับ” อิศรากดปิดโทรศัพท์ ยิ้มกับดวงแก้วเจริญขวัญ “อาวันชัยบอกว่าเตรียมเอกสารเรื่องโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้วครับ พอเราทำบุญครบร้อยวันของคุณย่าก็โอนบ้านได้ทันที”
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ เมื่อไหร่ก็ได้” เจริญขวัญว่า
อิศรายิ้ม แต่ซ่อนความกดดันในใจเรื่องบ้าน

อิศราเครียดเรื่องบ้าน แวะมาที่วัง ยกแก้วดื่มแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่านชายก้าวเข้ามาทางเบื้องหลังคุยกันในเงากระจกหน้าต่าง
“แผนการของเธอคงไปได้ดีสินะ
อิศราหัวเราะเบาๆ “จะว่างั้นก็ได้ครับ ผมสร้างเครดิตให้ตัวเองดูดี ในสายตาเด็กคนนั้น ง่ายเหลือเกิน” ท้ายประโยคเขาชะงักไป เสียงอ่อนลง
ท่านชายทอดเสียงนุ่มตอนที่เอ่ยชื่อเจริญขวัญ “คุณเจริญขวัญเป็นคนดี คิดดี เลยไม่เคยคิดว่าจะมีใครหลอก”
“บางทีเวลาที่อยู่กับท่านชาย ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพอกไปด้วยกิเลสหนาอย่างฉกาจฉกรรจ์”
“ก็เมื่อรู้ตัว ก็เกลาๆ กิเลสลงบ้างสิ”
“ยากครับ ตราบใดที่ยังมีเงินไม่มากพอ และไม่รู้ว่าวันไหนจะไม่มีหลังคาคุ้มหัว” อิศรายกแก้วดื่มอีก “เงินคือพระเจ้าครับ”
ท่านชายมองอิศรา เหมือนมองเด็กที่กำลังทำผิด ทั้งตำหนิทั้งระอา

อีกฟาก ที่หน้าตึกแถวแห่งหนึ่ง นิกร เดินนำสมชายเข้ามาตรงนั้น เห็นป้ายสีแดงมีตัวหนังสือเขียนว่า ‘รับปรึกษา แก้คุณไสย ดูดวง ติดต่อวิญญาณ‘
“เฮ้ย แกเอาจริงเหรอ” นิกรถาม
“จริงสิ ไม่งั้นเราหาโฉนดไม่เจอ เป็นเรื่อง มา”
สองคนเดินเข้าไปในตึกนั้น

ที่ห้องหนึ่งในตึกหลังนั้น มีโต๊ะหมู่ตั้งอยู่บนนั้นมีกุมารทองหลายองค์ น้ำแดง ขนม และของเล่นวางอยู่ด้านหลังคนทรง
คนทรงอยู่ใส่ชุดซาฟารีสีเทา หน้าตาเคร่งขรึมดูน่าเลื่อมใส
ในห้องมีโต๊ะต้อนรับแขก เหมือนออฟฟิศทั่วไป เก้าอี้อีกสามสี่ตัว สมชายลงนั่งตรงหน้าคนทรง ผู้ช่วยเอาแก้วน้ำมาวางให้ นิกรนั่งฟังห่างๆ
“ช่วยผมด้วยเถอะครับหมอ พ่อผม ไม่เคยบอกลูกเลยว่าเก็บอะไรไว้ที่ไหน พอพ่อตาย ลูกๆ ก็ตีกัน ผมต้องหาโฉนดบ้านให้เจอ”
“ครับ จดวันเดือนปีเกิดของท่าน กับ วันที่ท่านเสีย ให้ผมด้วยครับ” คนทรงบอก

สมชายก้มจดยิกๆ นิกรนั่งมองขำๆ

เวลาผ่านไป มือคนทรงที่ถือกระดาษอ่านอยู่ ท่าทางราวกับเพ่งสมาธิ สมชายหันมามองนิกร นิกรหัวเราะไม่มีเสียงส่ายหน้า ไม่เชื่อถือ

คนทรงเอ่ยขึ้น “ตอนคุณพ่อคุณเสีย เขาผ่าหน้าอกท่านใช่ไหมครับ ท่านบ่นเจ็บ”
“ช่ะ...ใช่เลยครับ” สมชายหันมาพูดเบาๆ กับนิกร “รู้ได้ไงวะ”
นิกรชะงัก ขยับเก้าอี้มานั่งใกล้สมชาย คนทรงทำท่าเหมือนเอียงหูฟังอะไรสักอย่าง ระหว่างหลับตา
“คุณพ่อคุณโมโหมากที่ลูกๆ ทะเลาะกันเรื่องสมบัติ”
“ทำไงได้ ไม่มีใครยอมใครเลย แต่ตอนนี้ เราจำเป็นต้องขายที่ เพื่อแบ่งเงินกัน ถามทีเถอะครับว่าอยู่ที่ไหน”
คนทรงทำท่าเอียงหูฟังอีก และพยักหน้า นิกรมองสงสัยกระซิบกับสมชาย
“เขาคุยกับใคร”
สมชายบุ้ยใบ้ไปที่รูปปั้นกุมารทอง นิกรพอเข้าใจอย่าง งุนงง และยิ้มขำๆ
“ให้ลองไปหาดูที่ห้องพระ จะมีโต๊ะเล็กๆ ที่วางรูปท่าน มันมีลิ้นชักอยู่ ให้ดูดีๆ”
สมชายอึ้ง นิ่งงันไป นิกรไม่ค่อยเชื่อนัก คนทรงนั่งสำรวม
ไม่นานนัก คนทรง รับไหว้ลา จากสมชายและนิกรที่ลุกขึ้น ไหว้
“ขอบคุณมากนะครับหมอ ผมจะไปลองค้นดู ถ้าเจอ ผมจะกลับมาสมนาคุณหมออย่างดีเลย”
“หาดีๆ เถอะครับ รับรองว่า...เจอ” คนทรงบอก
“ไปเว้ย นิกร”
นิกรงงไม่อยากเชื่อ
พอสองคนเดินพ้นไป พ่อหมอคนทรงที่ยังนั่งอยู่สีหน้าสุขุมสุภาพ แปรเป็นรอยยิ้มของคนที่โลภ และเลวออกมา หันไปพูดกับอากาศข้างๆ อย่างเหี้ยมเกรียม
“ลูกพ่อ ทำได้ดีมาก”
กุมารทองนั่งกอดเข่า ก้มหน้าซุกกับเข่า อยู่เบื้องหลังคนทรง ที่คอของกุมารทองที่ก้มหน้าอยู่นั้นมีห่วงโซ่ล่ามคอเหมือนนักโทษเอาไว้ กุมารทองเงยหน้าอันแสนเศร้า และทรุดโทรม อ้าปากร้องกรี๊ดอย่างฉับพลัน เสียงกรี๊ดหายไปในความมืด

วันนี้ชาลินีกำลังเลือกผ้า และเลือกแบบเสื้ออยู่ในร้านตัดเสื้อหรู ในขณะที่คุณหญิงเพ็ญให้ช่างวัดตัว พลางพูดมือถือด้วย
“ก็วังของท่านชายวสวัตจริงๆ สิคะ โอ๊ย ท่านไม่ได้คิดค่าสถานที่หรอกค่ะ แถมยังบอกว่าจะตกแต่งสถานที่ เตรียมอาหารให้เสร็จสรรพ...เพราะอะไรน่ะเหรอคะ” คุณหญิงหัวเราะมองมายังลูกสาว
ชาลินีปรายยิ้มชื่นมองมารดา
“ก็เพราะท่านสนิทกับลูกสาวพี่น่ะสิ... อ้อ ก็ไม่รู้ค่ะ เรื่องของเด็กเขา ..ตกลงรับบัตรสักกี่ใบคะ โต๊ะหนึ่ง ขอบคุณมากค่ะ” คุณหญิงปิดสายมือถือ “บัตรเกือบเต็มแล้ว ยายชา”
“ดีใจด้วยค่ะแม่” ชาลินีถามช่าง “มะรืนได้ลองชุดแน่นะ”
“ค่ะ”
คุณหญิงจ๊ะจ๋ากับช่าง “เอาให้เนี้ยบนะจ๊ะ งานนี้ งานสำคัญ ออกข่าวหนังสือพิมพ์ นิตยสารทุกเล่มแน่นอน”
ขณะเดียวกันที่หน้าร้าน สามสาวเดินมาถึง ปวีณา วัลภา อยู่ในชุดลำลองธรรมดา ส่วนอรอนงค์อยู่ในชุดดำใบหน้าหมองเศร้า
“แกอย่าเดินเร็วนักสิ เห็นใจคนท้องบ้าง” ปวีณาบ่น
“โอ๋ๆ มาๆ เกาะแขนฉันไว้”
สามสาวจะเดินเข้าร้าน

คุณหญิงเพ็ญหยิบกระเป๋า
“แม่ไปก่อนนะ ป่านนี้ช่างที่ร้านนวดหน้าคงรอแล้ว”
“ค่ะแม่”
คุณหญิงจะเดินออก เจอสามสาวเดินสวนเข้ามา
สามสาวร้อง “อุ้ย”
คุณหญิงยิ้มทัก “อ้าว หนู อรอนงค์ ปวีณา วัลภา
สามสาวยกมือไหว้
“เดี๋ยวนี้ไม่เจอที่บ้านเลยนะจ้ะ นี่นัดกับยายชาไว้เหรอ”
ชาลินีเห็นสามสาวนิ่งไปก็หงุดหงิด
สามสาวอึกอัก “เอ้อ...”
คุณหญิงเพ็ญเอ่ยขึ้นอีก “แล้วนี่จะไปงานการกุศลของแม่ด้วยมั้ย ยายชาบอกหรือยังที่จัดที่วังท่านชายวสวัตน่ะ” คุณหญิงทำหน้ายิ้มชวนให้คิดไปไกล “พวกหนูรู้จักใช่ไหม ท่านชายวสวัต ที่หล่อๆ รวยๆ ดังๆน่ะจ้ะ”
ชาลินีสวนออกมา “แม่ จะรีบไปไม่ใช่เหรอคะ เดี๋ยวช่างรอนะ”
“แม่ไปนะ”

สามสาวไหว้ลา พอคุณหญิงเพ็ญเดินพ้นประตูไป สามสาวเหลียวมามองชาลินีเป็นตาเดียว

ชาลินีกอดอกไม่แคร์ และไม่กลัว แล้วเดินผ่ากลางสามสาวจะออกไปหน้าร้าน

“เดี๋ยวสิ ชาลินี เจอกันจะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ” ปวีณาเอ่ยขึ้น
“มีอะไรต้องพูดกันด้วย”
วัลภาบอก “อย่างน้อย ก็ต้องแสดงความดีใจกับปวีณาหน่อยสิ ตอนนี้ เขาท้องแล้วนะ”
“ยินดีด้วย” ชาลินีเหลือบมองมาทางอรอนงค์ พอจะนึกเห็นใจอยู่บ้าง “สบายดีนะ”
“กล้าถามคำนี้นะ”
“เห็นมั้ย” ชาลินีรำคาญ จะหันหนี
อรอนงค์ด่าขึ้นว่า “เธอนี่มันแน่มากเลยนะชาลินี ทำให้น้องชั้นตายไปหยกๆ ตอนนี้ไปคั่วผู้ชายคนใหม่แล้ว อ้อ ไม่สิ อาจจะมีที่หมายรายใหม่แล้วก็เลยทิ้งน้องชั้น...ผู้หญิงแบบนี้ ต้องเรียกว่ายังไงนะ วัลภา ปวีณา”
วัลภารับลูก “ก็มีหลายคำอยู่ เอาแบบคำอ่อน หรือคำแรงดีล่ะ”
“เริ่มจากเบาไปหาหนักเลยเธอ” อรอนงค์บอก
“ได้ อีนัง...”
วัลภายังด่าไม่ทันจบ ชาลินียิ้มเย้ย สวนกลับด้วยความโกรธ
“พวกเธอก็ดีแต่อิจฉา หรือยังรู้จักฉันไม่ดีพอที่จะรู้ว่า คนอย่างชั้น ถ้าผู้ชายไม่ดีเกินร้อย ฉันไม่เสียเวลาด้วยหรอก”
อรอนงค์แค้นจนแทบกระอัก “ทะนงตัวไปเถอะ สักวัน บาปกรรมที่เธอทำกับน้องชั้น มันต้องย้อนไปหาเธอ”
“ใช่ กรรมติดจรวดน่ะ เคยได้ยินหรือเปล่า” ปวีณาด่า
ชาลินีรำคาญ หัวเราะเยาะ “พวกเธอนี่...เด็กๆ”
จากนั้นชาลินีก็เดินเชิดจากไป อรองนงค์ยืนแค้นกำมือแน่น
“โอ๊ย อะไรยะ จะพาอร ออกมาเที่ยวปลดปล่อยทุกข์บ้าง ดั๊นมาเจอตัวต้นเหตุ อร...เป็นไง..มือเย็นเชียว” วัลภาห่วงเพื่อน
“ฉันเกลียดมัน ฉันเกลียดมันเหลือเกิน”
อรอนงค์ยืนเจ็บใจ สองสาวมองเป็นห่วง

อีกฟากหนึ่ง อิศราเข้ามาในร้านสอนวาดภาพ มองไปทางเจริญขวัญ เห็นเจริญขวัญกำลังนั่งวาดรูปโดยมีครูคอยแนะนำ มือถือมีเสียงไลน์ เจริญขวัญหยิบมาดู
อิศรามองตาคม อรุณเข้ามาในร้าน ชะงักเมื่อเห็นอิศราเดินตรงมาหา อิศราหันมาเห็นก็ทักส่งๆ
“อ้าว มาด้วยเหรอ”
“ผมนัดขวัญไว้”
อิศราทำหน้าแปลกใจ “เอ๊ะ ขวัญไม่เห็นบอก”
“ผมไลน์ไปบอกเมื่อกี้” อรุณกวน
อิศรามองอรุณอย่างไม่ถูกชะตา อรุณกอดอกไม่ใส่ใจ
เจริญขวัญหอบอุปกรณ์ เดินออกมา ร้องทัก “อรุณ”
“ไป ขวัญ”
อิศรางง “จะไปไหนกัน”
“รุณจะพาไปดูละครเวทีของมหาวิทยาลัยค่ะ ขวัญลืมว่า รุณนัดวันนี้ จนรุณไลน์มาเตือน” เจริญขวัญเกรงใจอิศรา
“ไปเถอะขวัญ เดี๋ยวไม่ทัน” อรุณขว้ามือหมับ
“พี่อิศ ขอโทษนะคะ เลยต้องมารอขวัญเก้อเลย”
“ไม่เป็นไร ไปเถอะ”
อรุณลากมือเจริญขวัญไป อิศรามองตาม หงุดหงิดเอามากๆ

อิศราแวะมาหาชาลินีที่บ้าน เล่าเรื่องอรุณให้ฟัง ชาลินีหัวเราะขัน
“อะไร นายอิศ เรื่องเด็กๆ แค่นี้ จัดการไม่ได้”
“ไม่ใช่จัดการไม่ได้ แต่รำคาญไอ้หมอนี่ชะมัด”
“ป่านนี้แล้ว เสน่ห์ของเธอ ยังมัดใจแม่สาวใสซื่อของเธอไม่ได้ ปล่อยให้หลุดมือไปต่อหน้าต่อตา อิศเอ๊ย นี่ จะต้องให้ฉันสอนวิธีมัดใจผู้หญิงมั้ยเนี่ย” ชาลินีปิดท้ายด้วยหัวเราะขำ
“เจริญขวัญ ไม่ใช่ผู้หญิงแบบเธอ หรือแบบใครๆ ที่ผมเคยเจอ”
“อย่ามาทำพูดยกย่องแม่สาวน้อยบ้านนอกของเธอนักเลย”
ชาลินียื่นหน้าไปใกล้ชิดหน้าอิศราอย่างยั่ว
“ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ก็มีสันดานคล้ายกันทั้งนั้นแหละ ถึงเธอก็เถอะ”
อิศราหันมาหน้าแทบชิดหน้าชาลินีที่ไม่ถอยหนี
อิศราผงะออก “เอ๊ะ คุณนี่...นี่ถ้าไม่นับถือว่าเป็นพี่นะ”
“พี่คนละสายเลือด ทำไม เธอจะทำไม”
“จะจูบเสียเลยนี่”
ชาลินีหัวเราะคิก “เห็นมั้ย ผู้ชายก็เหมือนกันทั้งนั้น ถ้าเธอไม่รีบจบเกม รวบหัวรวบหางแม่นั่นแล้วก็จับแต่งๆไปเลย ระวังเถอะ เธอจะชวดในสิ่งที่อยากได้”
อิศราถอนใจ สับสนปนหงุดหงิด ชาลินีครุ่นคิด แววตาลึกล้ำกว่าอิศรามากนัก

อีกวัน เจริญขวัญบอกปฏิเสธอิศราออกมาทันที
“คะ จะพาขวัญไปงานของคุณชาลินี อย่าดีกว่าค่ะ เดี๋ยวขวัญไปทำเปิ่นแย่”
“พี่ดูแลเองไม่ต้องห่วงหรอก” อิศราหันมาทางดวงแก้ว “งานนี้ คุณอาหญิงเพ็ญจัดเอง ญาติๆ ไปกันครบครับ น้องขวัญ กับอาแก้ว ไม่ไปไม่ได้หรอกครับ”
ดวงแก้วออกตัว “โอ๊ะๆ อย่าเลยค่ะ อาว่าคุณหญิงคงไม่อยากเจอหน้าอาเท่าไหร่ขวัญ หนูไปนะ”
“อ้าว แม่คะ”
“หนูเป็นญาติโดยตรง ไม่ไป เดี๋ยวจะน่าเกลียดนะลูก”

เจริญขวัญขัดเขินไปหมดสิ้น

อิศราพาเจริญขวัญมาดูชุดที่จะใส่ไปงาน โดยวานให้ชาลินีมาคอยดูแล ชาลินีหยิบเลือกชุดออกมาส่งๆ มาลองทาบตัวเจริญขวัญ ส่วนใหญ่ดูเป็นเสื้อผ้าเชยเฉิ่มราบเรียบ

“ชุดนี้ก็ดีนะจ้ะ สวยเรียบร้อยดี”
“เหรอคะ”
“ผมว่าชุดนี้ดีกว่า” อิศราหยิบอีกชุดมาทาบทับดู
“ชุดที่ฉันเลือกนี่ สวยกว่า เชื่อตาพี่สิจ๊ะน้องขวัญ”
“แต่ผมว่าชุดนี้สวยกว่า” อิศราโต้ชาลินี “เสื้อผ้าผู้หญิงน่ะต้องเชื่อตาผู้ชาย”
เจริญขวัญอยู่ตรงกลางของสองคน มองขำๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ชุดไหนก็ได้ค่ะ”
“เอาไปลองในห้องชุดให้ดูดีไหมคะ” พนักงานบอก
“ดีจ้ะ ลองชุดที่สวมแล้วชอบที่สุดก็เอาชุดนั้นเลยนะจ๊ะน้องขวัญ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ คุณชาลินี”
ชาลินียิ้มอย่างพี่สาวใจดี แต่พอเจริญขวัญเดินตามคนขายไปห้องเสื้อ ชาลินีก็คลายยิ้ม
“ถ้าชั้นไม่กลัวคนในงาน เขาจะนินทาว่าเธอพายายเปิ่นที่ไหนมางาน ให้เสียงานชั้นล่ะก็ ชั้นไม่มาช่วยเลือกชุดหรอก”
“ฉันก็จัดการเองได้ กะแค่เลือกเสื้อผ้า”
ชาลินียิ้มเปิดกระเป๋า หยิบซองยาขนาดเล็กส่งให้ “เอา”
อิศรางง “อะไร”
“ตัวช่วยให้แผนเธอสำเร็จไง”
“บ้า ไม่เอา” อิศรากลัวคนเห็น
“อุตส่าห์ไปหามาให้” ชาลินียัดใส่กระเป๋าเสื้อ สีหน้าเย็นชา “ขืนเธอมัวแต่รอ เธอจะกลายเป็นหมาหัวเน่าอย่างที่คุณย่าชอบพูด ฉันไม่รู้ด้วยนะ”
สายตาชาลินีระหว่างพูดฉายแววเหี้ยมขึ้นมาแวบหนึ่ง จนอิศราเองถึงกับชะงัก
ชาลินีหัวเราะ ตบกระเป๋าเสื้ออิศรา “ฉันไปนะ ขี้เกียจรอดูตัวแม่ขมองอิ่มของเธอ”
ชาลินีเดินออกไป อิศราหงุดหงิด ล้วงหยิบซองยาออกมาดู แล้วจะขยำทิ้ง
เสียงเจริญขวัญดังขึ้น “พี่อิศคะ”
อิศราหันตัวมาหา รีบซ่อนซองยาไว้กับมือที่ไขว้หลังอยู่ อิศรามองยิ้มชื่นชมอย่างจริงใจ มือกำซองยาแน่น

บรรยากาศยามค่ำหน้าวังท่านชายวสวัต ท้องฟ้ามืดครึ้มหม่นมัว แลดูน่ากลัวยิ่งนัก
ภุมมะเดินมาหาสิริที่กำลังแหงนมองท้องฟ้าสีหน้ามีแววกังวลฉายชัด
“ดูฟ้าดินสิ กำลังกริ้วจัด ข้างบนยังปานนี้ ข้างล่างยิ่งร้อนระอุ แทบจะละลายอยู่แล้ว ฟัง...ฟัง สิเสียงพวกคนบาปกรีดร้อง” สิริบอก
ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน ประสมเสียงเปลวเพลิงในนรกภูมิพัดโหม
ภุมมะเอ่ยขึ้น “มีใครกราบทูลหรือยัง”
“ใครเล่า จะรอเข้าพระพักตร์ติด” สิริว่า
“ยังไงก็ต้องมีใครกราบทูล ก่อนที่เบื้องล่างจะพังพินาศ”
เสียงท่านชายวสวัตดังขึ้น “สิริ ภุมมะ ข้าต้องการเจ้า เดี๋ยวนี้”
“เจ้าข้า” สองคนหวั่นเกรงบารมี เงยหน้ามองด้านบน

การกระทำของอิศราทำให้ท่านชายวสวัตผิดหวังเป็นอย่างมาก เวลานี้ท่านชายยืนสะบัดมืออย่างกราดเกรี้ยวอยู่ตรงหน้าภาพนรกภูมิในห้อง แสงฟ้าแลบแปลบปลาบจากหน้าต่าง สลับเสียงฟ้าร้องครืน
“ข้าเกลียดมนุษย์ มนุษย์ที่มีแต่จะก่อบาป ก่อชั่ว ไร้ยางอาย ทำผิดโดยไม่เกรงฟ้าดิน”
“เจ้าข้า...แต่…” สิริชะงัก
“ว่าไป สิริ”
“บาปผิดมนุษย์ ต้องได้รับการชดใช้ตามโทษของมัน แต่เวลานี้ ยิ่งกริ้วมากเท่าใด เบื้องล่างก็ยิ่งร้อนระอุแทบละลาย แม้แต่นายนิรยบาลก็แทบทนไม่ไหวแล้วเจ้าข้า”
“หากโลกมนุษย์และโลกเบื้องล่างจะถล่มทลายก็สมควรแล้วมนุษย์มีแต่จะก่อกรรมทำชั่ว ไร้สำนึก จิตใจหยาบช้า เห็นแก่ตัว”
ภุมมะเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าข้า บาปที่ทำกรรมต้องใช้ ไม่มีใครขัดขืนได้ แต่ในหมู่มนุษย์ผู้ผิดบาป ก็ยังมีมนุษย์ที่ควรค่าแก่สวรรค์เบื้องบน เจ้าข้า”
“จริงสิ ยังมี และข้าก็ได้พบแล้ว”
ท่านชายสงบลง ทรุดกายลงนั่งอย่างเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ระทมกัดกร่อนภายใต้เสียงทรงอำนาจ
“ข้าเหนื่อยใจ บาปผิดของข้า ทำให้ข้าต้องทรมานถึงเพียงนี้ แล้วมนุษย์ก็ยังตอกย้ำเติมทุกข์ให้แก่ข้า…”
“แต่หากมนุษย์ผู้นั้น สร้างบาปก่อกรรมเพิ่ม พระองค์ก็จะได้มัน มาเป็นตัวตายตัวแทน ใช่หรือไม่เจ้าข้า” สิริว่า
ท่านชายเอ่ยเสียงเบาๆ พลางแค่นหัวเราะ “อิศรา ข้าควรสมใจที่มันจะเลือกทางอกุศล และสร้างบาปต่อเนื่อง ที่จะทำร้าย..นาง...หรือควรจะดีใจหากมันเลือกในทางกุศลแล้วข้าก็ต้องรอเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ ที่จะมีผู้มีบาปและบุญเท่ากัน มารับหน้าที่ อันแสนทรมานนี้แทนข้า”
ท่านชายอึ้งไปแล้วหัวเราะเสียงปร่า ครู่หนึ่ง ท่านชายหมุนตัวมาหาสิริ ภุมมะ
“สิริ ภุมมะ”
สองคนน้อมรับ “เจ้าข้า”
“ข้าจะให้โอกาส แก่มนุษย์อีกครั้ง ให้บทเรียนที่มนุษย์ต้องจดจำ”
“เจ้าข้า”

สีหน้าท่านชายวสวัตเคร่งขรึม แววตาเข้มขึ้นมาอีก

อ่านต่อตอนที่ 9
กำลังโหลดความคิดเห็น