xs
xsm
sm
md
lg

เงา ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงา ตอนที่ 1

ในแสงไฟวิบวับยามค่ำคืน แลเห็นเงา ตึกสูง ต่ำ ลดหลั่นกันตั้งทะมึนอยู่ หากมองจากท้องฟ้าเหนือกรุงเทพฯ ด่ำดิ่งลงใต้ผืนดินมหานครแห่งนี้ ณ เหนือมิติเวลา จะเห็นทะเลนรกขนาดกว้างใหญ่ ที่ในตอนนี้น้ำทะเลในมหาสมุทรเดือดพล่าน และมีสัตว์ร้ายรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัววิ่งเพ่นพ่านอยู่บนผิวน้ำนั้น

มิหนำซ้ำมันยังคอยใช้เหล็กแหลมทิ่มแทงเหยื่อในทะเลขึ้นมากิน ส่วนเหยื่อในทะเลเดือดนั้นก็คือ บรรดาวิญญาณมนุษย์ชายและหญิงจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน กำลังลอยคอผลุบๆ โผล่ๆ พวกเขาต่างพยายามหลบหลีกเหล่าปีศาจร้ายที่จ้องจะตะครุบจับตัวขึ้นมาฉีกร่างเป็นชิ้นๆ แล้วกลืนกินทั้งเลือดทั้งเนื้อ
ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงม ประสมเสียงร้องครืนครันเหมือนภูเขาไฟระเบิด ทะเลนรกปั่นป่วนมากขึ้น
เสียงนายนิรยบาลร้องนำดังกึกก้องขึ้น “เสด็จแล้ว...เสด็จแล้ว”
อีกเสียงหลายเสียงขานรับตามกันมาว่า “เสด็จแล้ว เสด็จแล้ว เสด็จแล้ว...”

รอบด้านลานตัดสินโทษ มีสีแดงเพลิง และเสียงเปลวไฟไหวดังตามแรงลม เงาร่างนายนิรยบาล 4 นาย ยืนอยู่ล้อมกรอบ 4 ทิศ ปรากฏร่างวิญญาณของโจร 1 เหมือนถูกดูดวูบผ่านรูหนอนหล่นเข้ามากองกับพื้น ยังมีรอยเลือดบนใบหน้าซีดของผีโจรร้าย ที่แหงนเงยหน้ามองมาทางหนึ่ง อย่างหวาดกลัว แล้วตาเบิกโพลง เมื่อแลเห็น ศีรษะของบุรุษคนหนึ่งเหมือนถูกล้อมกรอบด้วยเปลวไฟลุกโชน
เสียงอันทรงอำนาจของ พญามาร หนือบุรุษนั้นเอ่ยขึ้น “สิริ”
สิริรับ “เจ้าข้า”
เสียงผู้เป็นนายเอ่ยถาม “ความผิดบาปของมัน”
“เจ้าข้า สัตว์นรกตนนี้ ตั้งแต่เยาว์จนเติบใหญ่ก็ก่อกรรมทำชั่ว ทั้งปล้นฆ่า ขายยาเสพติด อันทำให้มนุษย์อื่นตกเป็นทาส และสุดท้าย มันฆ่าตนเอง เพื่อหนีการลงอาญาทางโลก เจ้าข้า”
เสียงพญามารดังก้องกังวาน น่ากลัว “อ้อ เจ้าวิญญาณถ่อย เจ้าคิดว่าความตายจะช่วยเจ้า ให้รอดพ้นจากการถูกลงทัณฑ์แล้วงั้นรึ...บนเมืองมนุษย์ เจ้าอาจหนีพ้น แต่เจ้า หนีกรรม หลังความตาย..ไม่ได้! สิริ!”
“เจ้าข้า”
“โทษของมัน”
“เจ้าข้า สัตว์นรกบาปช้าตนนี้ ต้องตกสู่ โลกันตนรก มันจักถูกโยนลงทะเลน้ำกรดไฟ ที่เดือดพล่าน แผดเผามัน ให้ตายอย่างทุกข์ทรมาน แล้วจักฟื้นคืนมาใหม่เพื่อรับกรรมเช่นเดิม..ซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า เจ้าข้า”
สีหน้าวิญญาณโจร 1 ร่ำร้องอย่างหวาดกลัวถึงขีดสุด
“ไม่...ไม่ ผม...ผมกลัวแล้ว ผมกลัวแล้ว...ฮือๆ”
“กรรมทำมาเยี่ยงไร ก็ต้องรับผลแห่งกรรมนั้น ไสหัวมันไป ชดใช้กรรม!”
เสียงรับเซ็งแซ่ “ชดใช้กรรม...ชดใช้กรรม...ชดใช้กรรม”
โจรร้องลั่น มือมืดหลายมือเข้าตะปบโจรจากเบื้องหลัง มันดิ้นไม่หลุดตาเหลือกลาน โดนดึงดูดเข้าสู่รูหนอนไฟนรก ร้องลั่น
วิญญาณโจรชั่วกลายเป็นสัตว์นรก ด่ำดิ่งสู่ โลกันตนรก
ศีรษะพญามารในเปลวเพลิงเอ่ยขึ้น
“วิญญาณบาป รายต่อไป”
ไฟนรกโหมลุกท่วมอย่างน่ากลัว การตัดสินโทษยังคงดำเนินไป

ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ยามค่ำคืน เห็นแสงไฟพริบพรายจากตึกสูงต่างๆ
ร่างๆ หนึ่งในชุดดำ ยืนอยู่ ณ ขอบตึก อย่างไม่สะทกสะท้าน แว่วเสียงสารพัดหลากหลายของมนุษย์ฟังไม่ได้ศัพท์ ยินเสียงทะเลาะประสมเสียงดนตรี เสียงพูดคุยอื้ออึงจางๆ
เขาคือ ท่านชายวสวัต พญามารที่แฝงมาในหมู่มวลมนุษย์ เพื่อมาทดสอบจิตใจมนุษย์ โดยให้โอกาสเลือกทางในการทำความดี
“มนุษย์ ประมาท หมกมุ่น อยู่ในกิเลสบาป ลืมสิ้น ว่าเวลาของชีวิตบนโลกนั้นมีน้อยนิด ลืมคิด ว่ามันมีชีวิตที่ต้องถูกพิพากษา หลังความตาย”
ใบหน้าท่านชายวสวัต ดวงตาแดงปรากฏขึ้นกลางนัยน์ตาของท่านชาย
“ไฟนรกไม่เคยมอด หน้าที่ของข้าไม่มีวันสิ้นสุดเพราะ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เจ้าอเวไนยสัตว์ทั้งหลายนี้”
แลเห็นเงาทอดยาวของร่างท่านชายวสวัตที่พื้น
เบื้องแรกมีเพียง กรอบร่างเงาของท่านชายเท่านั้น แต่จู่ๆ ปรากฏ ปีก สยายแผ่กว้าง ออกจากเงาของร่างนั้น
ร่างท่านชายมีเงาปีกทอดขยับกับพื้น
เสียงอันทรงอำนาจของท่านชายเอ่ยขึ้นอีกว่า “และเรา เป็นเพียงประจักษ์พยาน...แห่งบาปชั่ว และ กุศลผลบุญ ความดี เพื่อส่งมันไปยังที่ที่มัน จักได้รับผลจากการกระทำของพวกมัน!”
พลันที่กายมทูตบินผ่านร่างท่านชาย ร่างท่านชายก็อันตรธานหายไป พร้อมเสียงร้องคล้ายเสียงหัวเราะแหบๆ ของกายมทูต

ชั่วพริบตาเท่านั้น บนยอดตึกยามนี้โล่งเปล่า ไร้ร่างท่านชายวสวัต!

ในปี พุทธศักราช 2549 ณ ไร่เจริญขวัญ บรรยากาศรอบบริเวณสวยงามด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ยืนต้นอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี
เช้าวันนี้ มีจักรยานคันหนึ่งปั่นมาแต่ไกล ตะกร้าด้านหน้ามีปิ่นโตอาหารใส่อยู่ เด็กสาว เจริญขวัญ ในวัย 15 ปี สวมหมวก ขี่จักรยานมาอย่างร่าเริงมีความสุข

ตาพุด ชายวัยกลางคน และเหล่าคนงานกำลังทำงานอยู่ในไร่ อย่างขันแข็ง จังหวะหนึ่งตาพุดเกาหัวสงสัยบางอย่าง ชะเง้อไปทางชายหนุ่มที่กำลังขุดดินอยู่ และมีดวงแก้วอยู่ใกล้กัน กำลังตรวจใบไม้
“คุณเล็ก คุณเล็กครับ”
เล็กสวมหมวกหันมา ยิ้มกว้าง แม้เหงื่อพราว ดวงแก้วหันตาม สองคนเดินมาหา
“ตรงนี้ผมให้ขุดบ่อตามที่คุณเล็กสั่งแล้วนะครับ” ตาพุดบอก
“เยี่ยมพี่พุต แล้วแปลงทางนี้เอาองุ่นลงนะ ตรงด้านหน้าไร่ ใกล้บ้านหน่อย ผมจะให้ลง ให้ลงแปลงผัก” เล็กว่า
ตาพุดยิ้มกว้าง “ครับ แหม คุณเล็กวางผังไร่ใหม่ ตามแนวเกษตรพอเพียงที่ไปอบรมกับสหกรณ์เป๊ะเลยนะครับ”
“ในหลวงท่านทรงวางแผนมาดีอยู่แล้ว ไม่เชื่อพระองค์ท่านจะเชื่อใครล่ะจ้ะ จริงไหม” ดวงแก้วว่า
“ครับพ๊ม” พุดไหว้ท่วมหัว “พ่อหลวงของเรา”
เสียงใสๆ ของเจริญขวัญดังเข้ามา “พ่อค๊า...แม่ค๊า...”
สามคนหันไปทางเสียง เห็นเจริญขวัญขี่จักรยานมา
“พ่อค๊า แม่ค๊า”
ดวงแก้วมองเป็นห่วง
“ตายแล้ว ยายขวัญ ทำไมไม่รอแม่ขับรถไปรับ ขี่จักรยานมาเอง แดดร้อนๆ เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้ง”
เจริญขวัญยิ้ม หอบเหนื่อยเล็กน้อย “ขวัญไม่เป็นไรค่ะแม่” เด็กสาวยกปิ่นโตชูขึ้น “นี่ ขวัญเอาหารกลางวันมาส่งพ่อกับแม่ค่ะ ขวัญตักมาเองก๊ะมือเลยน๊า มีแกงมัสมั่นด้วย”
ดวงแก้วเย้า “แม่ทำเองเมื่อคืน”
เจริญขวัญท้วง “แต่ขวัญเป็นคนตักมาเอง ก๊ะ”
เล็กกับดวงแก้ว ยิ้มชื่น บอกพร้อมกันว่า “ก๊ะมือ”

พ่อแม่ลูกหัวเราะกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางบรรยากาศสดใส อบอุ่นเป็นกันเอง อบอวลไปด้วยความรัก

วันเวลาล่วงผ่าน เจริญขวัญเติบโตขึ้นมาอีกปีแล้ว อีกมุมหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่อันร่มรื่น ของไร่เจริญขวัญ มองออกไป เห็นคนงานในไร่ 3-4 คน ทำงานอยู่

รถจักรยานจอดอยู่แล้วใต้ร่มไม้ สามคนพ่อแม่ลูกนั่งอยู่บนเสื่อ เพิ่งทานอาหารที่เตรียมมาเสร็จ
ดวงแก้วเก็บสำรับปิ่นโต ในขณะที่ เล็กกำลังสอนเจริญขวัญวาดรูป
“เวลาวาดหน้าคน ต้องเขียนวงกลมแบบนี้ก่อน แล้วก็ขีดเส้นแบ่งสัดส่วนหน้าแบบนี้ เห็นไหมลูก”
เจริญขวัญมองโครงหน้าบนกระดาษและมือเล็กที่วาดรูปพลางยิ้มรับ
“ค่ะพ่อ”
เล็กยิ้มตอบอ่อนโยน แล้วหันมาทำมือเป็นกรอบเลนส์ มองลูกสาว
เจริญขวัญยิ้มให้เหมือนถูกถ่ายรูป
“แชะ” เล็กว่า
เจริญขวัญฉงน “พ่อทำอะไรคะ”
เล็กเอามือที่เป็นเฟรมนั้นมาแนบอกตรงหัวใจ พูดล้อๆลูก
“เก็บภาพลูกสาวของพ่อไว้ในนี้ไง พ่อจะได้วาดได้เหมือนตัวจริง”
เจริญขวัญหัวเราะสดใสให้กับพ่อ เล็กยิ้ม ก้มวาดหน้าเจริญขวัญ

อีกวันหนึ่ง ดวงแก้ว เอาปิ่นโตใส่ตระกร้า เล็กเดินมา โอบบ่าภรรยา มองไปรอบ สีหน้าอิ่มสุข
“ถ้าผมทำงานให้หนัก เก็บเงินดีๆ อีกสองสามปีเราคงซื้อที่ต่อไปได้อีก แล้วก็เก็บเงินซื้อสะสมไปเรื่อยๆ”
ดวงแก้วมองสามีอย่างรักใคร่เทิดทูน
“ให้ไร่เจริญขวัญกว้างสุดลูกหูลูกตาเลย” เล็กว่า
“ทำเท่าที่ไหวเถอะค่ะ แก้วกับลูกไม่ได้หวังอะไรมาก”
พลางดวงแก้วจับมือสามีมากุม เล็กหันมองสีหน้าประหลาดใจ มือเล็กถูกหงายขึ้น เผยให้เห็นริ้วรอยหนังกำพร้าแตก เพราะกรำงานหนัก
ดวงแก้วมองมือ แล้วเงยหน้ามองสามีอย่างตื้นตัน
“ดูสิ มือหนุ่มสถาปัตถ์ แทนที่จะได้จับดินสอเขียนแบบ ต้องมาจับจอบขุดดิน”
เล็กยิ้มให้โอบบ่าดวงแก้วมากอด
“ผมเป็นชาวไร่เต็มตัวแล้วนี่นา ต้องขอบคุณคุณพ่อของคุณที่เชื่อหน้าคนอย่างผม เสียดายนะ ที่ท่านจากเร็วเกินไป”
ดวงแก้วเอนกายพิงบ่า “ท่านทราบค่ะว่าแก้วมีสามีที่ดีที่สุดในโลก”
เล็กยิ้มจูบหน้าผากภรรยา
ระหว่างนี้ เจริญขวัญ ที่อยู่ห่างออกไป เงยหน้ามาเหลียวหาพ่อแม่ แล้วเห็นภาพด้านหลังของ เล็กและดวงแก้ว ที่ยืนโอบกันใต้ต้นไม้ เจริญขวัญ มอง ยิ้มประทับใจ ยกมือขึ้นทำเฟรมเหมือนถ่ายรูป ร้องออกมา
“แชะ...”
เจริญขวัญเลื่อนมือที่ทำนิ้วเป็นเฟรม มาทาบอกตนเองเหมือนจะให้ประทับอยู่ในหัวใจ ยิ้มมองภาพความรักของพ่อกับแม่อย่างมีความสุข

อีกฟากหนึ่ง มีรถคันหนึ่ง ขับแล่นมาตามถนนผ่านหมู่ไม้มา อย่างช้าๆ คนขับรถเป็นชายอายุมากแล้ว แต่งชุดคนขับเรียบร้อย สวมแว่นตา
ส่วนที่เบาะหลังมีไม้เท้าวางพิงใกล้ตักหญิงชราในชุดไทย มือแก่เหี่ยวย่นวางกุมอยู่บนตักนิ่ง
ท่านคือ คุณย่าอุ่น ที่นั่งพิงเบาะ ก้มหน้าอยู่ หลับตา แต่หัวคิ้วมีรอยขมวดมุ่นตลอดเวลา คล้ายใช้ความคิดหนัก

ตอนเดียวกันนั้น อิศรา ชายหนุ่มวัยรุ่น 20 ปี รูปงามสะดุดตา กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน สำลี สาววัยเบญจเพส เปิดประตูเข้ามาเบาๆ พร้อมถาดอาหารว่าง มองอิศราแล้ว ยิ้มมีเลศนัย ถาดถูกวางลงเบาๆ สำลีย่องมาข้างหลัง ก่อนจะเอาสองมือปิดตาอิศรา ชายหนุ่มสะดุ้งลุกพรวด หันมาเห็น
“พี่สำลี” อิศราตกใจไม่หาย “เล่นอะไรน่ะ”
อิศราหงุดหงิดและขัดเขินลุกหนีไปทำทีหยิบของออกจากกระเป๋าสะพายที่วางบนเตียง
“สำลีเอาของว่างมาให้ค่ะ แต่ว่า...” สำลีเข้ากอดจากด้านหลัง
“เฮ่ย” อิศราพยายามปลดมือออก “ปล่อยผม...เดี๋ยวคุณย่าเห็น”
“แหม...คุณหญิงเพิ่งจะออกไป กว่าจะตามเก็บเงินลูกหนี้ครบจะกลับก็เย็นนั่นแหละค่ะ” สำลีเลื้อยไล้มือมาด้านหน้า “ขอพี่หอมทีนะคะ”
สำลีจะปล้ำหอมแก้ม อิศราหน้าแดง ผลักใส หนีจนไปสะดุดลงนั่งที่เตียง
“ไม่เอาน่ะพี่สำลี” อิศรามีท่าทีอึดอัด “เดี๋ยว ใครรู้เข้า”
สำลีหงุดหงิด “โอ๊ย ใครจะมารู้ ทำงานกันง่วนอยู่หลังบ้าน” พลางลงนั่งบนเตียงเลื้อยต่อ “คุณอิศ ไม่คิดถึงพี่สำลีบ้างเหรอคะ” สาวรุ่นพี่ไซ้แก้มไซ้คอ
“หยะ..อย่า..ผม...ผม...ต้อง...ท่อง...หนังสือ”
สำลีหัวเราะคิก หยิบกระเป๋าสะพายที่กองบนเตียงทิ้งลงพื้น
“ทำข้อสอบกับพี่สำลีก่อนดีกว่าค่ะ” สำลีครางเสียงกระเส่า “คนดีของสำลี”
สำลีแม่ไก่แก่ เข้าปล้ำอิศราไก่อ่อนสอนขันเอนตัวลงบนเตียง

รถทรงโบราณ เคลื่อนเข้ามาจอดหน้าเรือนหลังใหญ่ของบ้าน คนรถรีบลงจากรถ เดินงกๆ เงิ่นๆ มาเปิดประตู ในขณะที่ สี แม่บ้านมายืนรอรับ
ประตูรถเปิด ย่าอุ่นใช้ไม้เท้าออกมาเท้ากับพื้น ก่อนจะก้าวตามมา
สีหน้าย่าอุ่น ดุ เข้มงวด และดูเย็นชา

ย่าอุ่นเดินเข้ามาในห้องโถงกลาง สีถือกระเป๋าตามหลัง หน้าผนังด้านหนึ่งมีโต๊ะยาว วางกรอบรูปภาพ อยู่หลายกรอบ ทั้งภาพท่านเจ้าคุณ กับย่าอุ่นตอนวัยสาว อีกภาพ เป็นย่าอุ่น วัยราว 48 ปี นั่งกลาง ด้านหนึ่งเป็นคุณเพ็ญ วัยสาวรุ่น 17 ปี คุณเล็ก วัย 18 และคุณใหญ่ วัย 27ปี
ย่าอุ่นมาหยุดบริเวณหน้ารูป ปรายตามองสี
“นายอิศราอยู่ไหน”
สีหันหา “เอ้อ ก็...ยังไม่เห็นลงมาเจ้าค่ะ”
ย่าอุ่นปรายมองขึ้นไปชั้นบน

ย่าอุ่นเดินขึ้นบันไดมาพร้อมมีไม้เท้าช่วยยัน หญิงชรา เดิน กุก กุก มา สีหน้าดุ มีแววเคลือบแคลงเห็นถนัด
จังหวะนี้ประตูห้องอิศราเปิดออก ร่างสำลีก้าวออกมาพร้อมถาดของว่างหันไปปิดประตูลง ขยับเดินมาตามระเบียงสีหน้าอิ่มเอิบ แล้วต้องชะงักตกใจที่เห็นย่าอุ่นเดินเข้ามา
ย่าอุ่นเดินมาหยุดมองสำลี
“แกมาทำอะไรในห้องหลานชั้น”
“สำลี...มาเก็บถาดของว่างนี่ไงเจ้าค่ะ”
ย่าอุ่นนิ่ง สำลีขยับเดินจะลงไป พอจะสวนกับย่าอุ่น ไม้เท้าของย่าอุ่นถูกยกขึ้นมากั้นบริเวณเอวสำลี หญิงสาวชะงักสีหน้าดูมีพิรุธ
ย่าอุ่นเอียงตัวมองสำรวจสำลี ตั้งแต่หัวจรดเท้า พบว่ากระดุมเม็ดบนของเสื้อสำลี ใส่ไม่เรียบร้อยโผล่ออกมาครึ่งๆ ของที่กลัดไว้ ย่าอุ่นมองหน้า สำลีไม่กล้าสบตา หลบวูบ ย่าอุ่นลดไม้เท้าลง
“ไปได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ”

ลำสีรีบเดินค้อมตัวออกไปผ่านหลังย่าอุ่น สีหน้าหญิงชราครุ่นคิด

พอย่าอุ่นผลักประตูเข้ามา เห็นอิศรานั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะ หันมา

“คุณย่า กลับมาแล้วเหรอครับ”
ย่าอุ่นเดินเข้ามา ปรายตามองบนเตียง พบว่าเตียงเรียบร้อย คลุมผ้าเรียบตึง อิศราลุกไปประคองย่าอุ่น แต่หางตาลอบมองบนเตียงซ่อนพิรุธ
ย่าอุ่นถามเสียงนิ่งๆ “อยู่บ้านทั้งวัน วันนี้ แกทำอะไรบ้าง”
อิศรายิ้มแย้ม “ผมท่องหนังสือเตรียมสอบน่ะครับ”
ย่าอุ่นรู้ทันหลานชาย แต่ยังไม่พูดอะไร นัยน์ตาฉายแววมีเลศนัยจะจับให้ได้ภายหลัง

ค่ำแล้ว ย่าอุ่นนั่งเอนหลังอยู่ในห้องนอน พลางดูเครื่องเพชรในกระบะที่ตั้งอยู่โต๊ะข้างตัว แล้วหันมองมายังอิศราที่ตั้งใจนวดขาให้ย่าอยู่
ย่าอุ่นหยิบแหวนเพชร ยื่นมาตรงหน้าอิศรา
“ไง เครื่องเพชรย่า” ย่าอุ่นยิ้มมอง พูดลองใจ “อยากได้ไหม”
“ก็....” อิศรายิ้ม “ไม่รู้สิครับ”
ย่าอุ่นด่า “ไอ้โง่”
อิศราตกใจ
“เครื่องเพชรขนาดนี้ อยากได้หรือไม่อยากยังไม่รู้ โง่หรือเปล่า”
“ผมไม่ทราบว่าจะตอบว่ายังไงให้ตรงใจคุณย่านี่ครับ”
“แกรู้ไหม ว่าไอ้เครื่องเพชรเหล่านี้ มันหมายถึงอะไร”
อิศราอึกอักกลัวคำตอบไม่ถูกใจอีก
“เงินไง และเงินก็คืออำนาจ คือบารมี ที่จะทำให้คนต้องยกมือไหว้ ไอ้ใบปริญญากระดาษใบเดียวนั่นน่ะ ไม่ได้ช่วยให้ใครมานับถือแกหรอกนะ ถ้าแกไม่มีเงิน...ไม่มีสกุลรุนชาติ”
อิศราอึกอัก ข่มซ่อนความหงุดหงิดใจ ย่าอุ่นวางเพชรลงกะบะ
“อิศรา แกก็รู้ ว่าพ่อแก ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของย่า ใช่ไหม”
“ครับ...ผมทราบ” อิศราก้มหน้า
“แต่ย่าก็รักเหมือนลูก เพราะเขาทำตามใจย่าทุกอย่าง จะแต่งงานก็ยอมแต่งกับคนที่ย่าเลือกให้ เสียดาย ที่พ่อแม่แก เครื่องบินตกตายไปทั้งคู่เสียก่อน...ยังดี ที่เหลือเราไว้ให้ย่า”
ย่าอุ่นยิ้มบางๆ ปลอบเชิงขู่
“เพราะงั้น แกต้องดูแลย่า ทำตามใจย่าให้เหมือนพ่อของแกถ้าแกไม่เชื่อฟังย่า” น้ำเสียงหญิงชราแน่วนิ่ง เอาจริงขณะพูดตอนท้าย “ย่าจะเฉดหัวแกไปจากบ้านนี้!”
อิศราตกใจ รู้สึกผิด “คุณย่าครับ ผม...” เด็กหนุ่มหลบตา “ผมก็เชื่อฟังคุณย่าเสมอนะครับ”
“ย่ารู้ลูก...ย่ารู้” อ่าอุ่นดึงอิศรามาตบหัวเบาๆ เหมือนเป็นสัตว์เลี้ยง ยิ้ม “เพราะถ้าแกขาดย่าไปเสียคน แกก็เหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่ง แล้วย่าจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับแกได้ยังไง...ย่ารักแกออก”ดวงตาหญิงชราแห้งผากไม่ได้รักอะไรนักหนา “แกก็รักย่าใช่ไหม อิศรา”
“รักสิครับคุณย่า”
ย่าอุ่นเยื้อนยิ้ม มองอิศราเหมือนลูกไก่ ในกำมือ กอดอิศราตบหัวเบาๆ

ไม่แตกต่างกันนัก ด้วยตอนนี้ดวงตาอิศราแห้งผาก ไร้ความอบอุ่นที่จริงใจ และเขารู้สึกผิดเรื่องสำลีเต็มประตู

เงา ตอนที่ 1 (ต่อ)

ตอนค่ำวันเดียวกัน นายพลบัญชาลงนั่งบนเก้าอี้ห้องรับแขกคอนโด ให้ ไก่ ผู้เป็นเมียน้อยที่ทรุดตัวอยู่กับพื้น นำเอารองเท้ามาสวมให้หลังเสพสุขเสร็จสม ส่งเสียงหวานออดอ้อน

“ท่านขา...แล้วเมื่อไหร่ ท่านจะมาหาไก่อีกคะ”
“ชั้นมาหาเธอสองวันติดๆ กันแล้ว ไม่เบื่อชั้นเหรอ” ท่านนายพลเย้า
“เบื่อได้ยังไงคะ ไก่รักท่านขนาดนี้”
บัญชาหัวเราะ เสียงเคาะประตู
“คนรถชั้นมาตามแล้วมั้ง ไปเปิดประตูสิ”
ไก่เดินไปเปิดประตูห้อง แล้วชะงักงัน ถอยกรูด
“ท่าน...ท่านคะ”
บัญชาหันมา สีหน้าตกใจ “คุณหญิง!!
คนที่ก้าวเข้ามาตรงหน้ากรอบประตูห้อง คือคุณหญิงเพ็ญ เมียหลวงนั่นเอง

พริบตานั้น ร่างไก่ถลาลงกับพื้นถูกตบเต็มแรง ไก่เอามือกุมแก้ม คุณหญิงเพ็ญปราดเข้ามาจะตบซ้ำอีก นายพลบัญชาไปดึงไว้
คุณหญิงคำราม “ยัยไก่ ยัยหน้าห้อง กล้าดีมามุดในห้องกะผัวชั้น”
บัญชาจับไว้ “หยุดนะคุณเพ็ญ ทำบ้าอะไร ห๊ะ”
“ใช่ ชั้นมันบ้า เพราะมีผัวร่านไม่เลิกหยั่งคุณ”
ไก่ถดตัวหนีร้องไห้สะอึกสะอื้น
“แก่จะตายกันอยู่แล้ว ตามหึงกันอยู่ได้” บัญชาบอกด้วยสีหน้ารำคาญ
“ก็คุณนะ แก่แล้วไม่อยู่ส่วนแก่ ริกๆริกหาแต่อีหนูนั่นแหละ” เพ็ญหันขวับมาทางไก่ “แกก็เหมือนกัน ก็หาผัวดีกว่านี้ไม่มีหรือไง”
เพ็ญปราดจะเข้าไปตบอีก บัญชาจับตัวรั้งไว้
“หยุดได้แล้ว ไป กลับบ้าน”
“ปล่อยชั้นนะ ปล่อย”
นายพลยื้อยุดเพ็ญที่ดิ้นเร่าๆ ไก่ได้แต่ร้องไห้ นายพลลากคุณหญิงที่กรีดร้องไปจนถึงประตู คุณหญิงยังจับกรอบประตูแน่นไม่ปล่อย
“ระวังตัวให้ดีเถอะ จับได้ว่าไม่เลิกกันล่ะก้อ ชั้นจะเอาให้ตายเลย”
“นี่ อายคนเค้าบ้าง..ไป”
บัญชาตวาดลากภรรยาออกไปจนได้ ทิ้งไก่ให้ร้องไห้โฮอยู่ในห้องคนเดียว

ค่ำนั้น คุณนมเดินออกมายืนรอ ชะเง้อมองไปทางหน้าบ้าน
สักครู่หนึ่งรถคันหรูแล่นเข้าตามกันมา สองคัน นายพลบัญชา และคุณหญิงเพ็ญ เดินหงุดหงิดทุ่มเถียงกันเข้ามาในโถง ตรงไปยังห้องรับแขก
“คุณ มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
“จะต้องพูดอะไรอีก เธอก็ตามไปตบไปตีเขาสมใจอยากเธอแล้วนี่ไม่รู้จักระวังรักษาหน้ากันบ้างเลย”
“อ๋อ...รักษาหน้า คุณก็รักษาใจชั้นบ้างสิ มีแต่ผู้หญิงสามปีสี่คนอยู่แบบนี้ จะให้ฉันเฉยเหรอ”
ชาลินีเดินลงบันไดมาในชุดนอน
“ผมเป็นแบบนี้ คุณก็หัดนิ่งๆ ซะมั่งจะตายหรือไง”
“คุณมันเห็นแก่ตัว” เพ็ญเสียงดังมากขึ้น
ชาลินีมองพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างเบื่อหน่าย หญิงสาวหงุดหงิดเดินกลับขึ้นห้องไป นมมองตาม
“เจอหน้าแล้วก็เป็นแต่แบบนี้ ไง ถึงไม่อยากกลับบ้าน”
บัญชากระแทกเดินออกไป เพ็ญขยับจะตามต่อ ถูกแม่นมดึงไว้
“ใช่ซี่ อยู่บ้านมันร้อน มันจะเป็นจะตาย อยู่ที่อื่นล่ะกระดิกริกๆ”
“คุณหนู...คุณหนูของนม ใจเย็นๆ เถอะนะคะ ไง ท่านก็กลับเข้าบ้านแล้วต่อล้อต่อเถียงมาก เดี๋ยวก็จะพาลออกไปอีกนะคะ”
“ทำไมนะ...” เพ็ญระบดระบาย รันทดลึกๆ ในใจ “ทำไมชั้นถึงไม่มีผัว ที่รักลูกรักเมีย เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาบ้าง...ชั้นทำกรรมอะไรไว้นักหนาก็ไม่รู้”

คุณหญิงอัดอั้นอยากจะร้องไห้ เดินไปรินไวน์ที่บาร์เล็กในบ้านดื่ม คุณนมมองตามด้วยความสงสาร

ฝ่ายชาลินีกำลังเลือกดูเสื้อชุดใหม่ ยกชุดหนึ่งขึ้นทาบกับตัวเองดูในกระจกอย่างพึงพอใจ คุณนมเปิดประตูเข้ามา เมียงๆมองๆ

“คุณหนูชาลินี เป็นยังไงบ้างคะ”
“เป็นยังไง...เรื่องอะไรคะ”
“ก็ ที่คุณแม่กับคุณพ่อทะเลาะกัน”
“โอ๊ย เรื่องสามปีสี่คน หนูได้ยินจนชินแล้ว” ชาลินีหัวเราะ “ว่าแต่คุณนมขา...ตกลงจะเรียกคุณหนูไหนเป็นคุณหนูไหน เรียกคุณแม่ก็คุณหนู เรียกหนูก็คุณหนู บางทีหนูเนี้ยะ ง้ง งง”
“นมเลี้ยงคุณแม่มา ก็ติดปากเรียกอย่างอื่นไม่ได้หรอกค่ะ”
“อ่ะๆ โอเคๆ นี่..นมว่าเสื้อชุดนี้ของหนู..สวยไหม”
“คุณหนูชาลินี ใส่ชุดไหนก็สวยทั้งนั้นค่ะ”
ชาลินีหัวเราะเสียงใส “ถูกต้อง” หล่อนยิ้มพรายมองตัวเองในกระจกอย่างมั่นใจ “เรื่องนี้...คุณหนูชาลินีเห็นด้วย”
นมมองชาลินี ทั้งเอ็นดูแกมเป็นห่วงจิตใจหญิงสาว แต่ชาลินีสนใจแต่เรื่องความสวยของตน

รุ่งเช้า อิศราเดินออกมาหน้าเรือนใหญ่กับย่าอุ่น ให้ย่าเกาะแขนมา มีสีถือตระกร้ากระเป๋าของย่าอุ่นตามมา
“คุณย่าไม่อยากให้ผมไปด้วย แน่เหรอครับ”
“แค่หาหมอตรวจสุขภาพเท่านั้น เราน่ะท่องหนังสือไปเถอะ...เอ้า ไป สี”
“เจ้าค่ะ”
อิศราเดินให้ย่าอุ่นเกาะมาขึ้นรถ สีขึ้นนั่งหน้า
สีหน้าย่าอุ่นขรึมนิ่งคล้ายมีแผนการในหัว อิศรายืนส่งมองตามรถที่เคลื่อนออกจากบ้านไป

พออิศราเปิดประตูเข้าห้องมา แล้วต้องชะงักตกใจ เพราะสำลีนอนระทวยรออยู่บนเตียง
“พี่สำลี นี่...มานอนอยู่ทำไม” เด็กหนุ่มลนลานรีบปิดประตูเดินมา “ลุกสิ”
“แหม ตกใจไปได้ คุณอิศขา มานี่เถอะค่ะ”
สาวใหญ่ตบเตียงเรียก อิศราไม่สบายใจ ไม่ยอมไปหาที่เตียง พูดปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น
“ไม่...ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว พี่ออกไปได้แล้ว”
“แน๊ ทำมาไล่” สำลีมองอิศราแล้วหัวเราะอย่างเป็นต่อ “ไล่ก็ไม่ไป เพราะยังไงพี่สำลีก็เป็นเมียคุณแล้ว”
อิศราชะงักงันหน้าเผือดลง
“แหม...หน้าซีดเชียว” สำลีหัวเราะกิ๊ก “ต๊าย นี่ถ้าพี่สำลีบอกข่าวดี คุณอิศรามิเป็นลมไปเลยเหรอคะนี่”
อิศราฉงน “ข่าวดีอะไร”
สำลียิ้มกริ่ม “พี่สำลี...ท้องค่ะ”
อิศราตกใจสุดขีด

คนรถคุณย่าขับมาช้าๆ ตามถนน ย่าอุ่นนั่งวางหน้าขรึมมาตลอดทาง
“เดช กลับรถ กลับบ้าน”
เดชและสีงง
“อ้าว แล้วหมอล่ะคะ”
“หมอเหม๋ออะไร....บอกให้เลี้ยวรถกลับบ้านไง ชักช้าจริง”
“ครับๆ”
ย่าอุ่นสีหน้าครุ่นคิด

ทางด้านอิศราทั้งตกตะลึง ทั้งหวั่นหวาด ทรุดตัวลงนั่ง
“ถ้าคุณย่ารู้ ผมจะทำยังไง”
“อ้าว เราก็แต่งงานกันสิคะ”
“บ้าเหรอ...ผมได้ถูกเฉดหัวออกจากบ้านน่ะสิ”
“แหม ท่านจะไม่ร้ายใจดำ ขับไล่หลานกับว่าที่เหลนของท่านได้ลงคอเหรอคะ” สำลีกอดนัวเนียต่อ “คุณอิศรา ต้องยืนหยัดเพื่อความรักของเราสิคะ”
สำลีเข้ากอดรัดแน่น อิศรางงอยู่ ตกใจผละออก
“บ้า ผมรักพี่ที่ไหน”
สำลีสันดานออกทันที “อุ๊ย ไม่รักสำลียังท้อง” สาวใช้ไก่แก่หัวเราะร่า หวานใส่เด็กหนุ่ม “อีกหน่อย อยู่กันไป ก็รักเองแหละค่ะ คุณอิศ ที่รักของเมีย”
อิศราตกใจ หวั่นใจในคำเตือนคุณย่า จึงผลักไสออกแต่สำลีกอดแน่นไม่ปล่อย
“ปล่อยผม”
ที่หน้าห้องตอนนี้ เท้าของย่าอุ่นเดินมาถึงแล้ว และเห็นไม้ตะพดถูกยกขึ้นดันประตูจากหน้าห้อง
ส่วนในห้อง สำลียังคงกอดปล้ำนัวเนียอิศราอยู่
ประตูห้องนอนเปิดผลัวะ อิศรากับสำลีหันมามองด้วยสีหน้าตกใจ เห็นย่าอุ่นยืนหน้าเครียดแววตาดุดันอยู่
“คุณย่า” อิศราผลักสำลีออกเต็มแรง
ย่าอุ่นคำราม “ชั้นนึกแล้ว...ไม่ผิด”
อิศรา งกๆ เงิ่นๆ ตกใจสุดขีด สำลีแม้จะตกใจ แต่ยังมีแก่ใจลอบยิ้ม ย่าอุ่นเดินเข้ามากราดตามองทั้งสองคน
“พวกแกนึกว่าชั้นโง่นักใช่ไหม”
ย่าอุ่นนิ่ง แล้วฉับพลัน หันไปเอาไม้ตะพดฟาดเข้าที่สะโพกอิศราจนร่างอิศราคะมำ
“โอ๊ย”
อิศราล้ม รีบลุกคุกเข่ารับผิด ย่าอุ่นฟาดแขน ตีหลัง ไม่นับ
“ริทำเลวริยำตำบอนในบ้านชั้น แกคิดว่าชั้นจะยอมให้แกมีเมียคนใช้ มาผลาญเงินชั้นงั้นเหรอ”
อิศรานั่งนิ่ง ปล่อยให้ย่าอุ่นฟาด น้ำตาไหลนองหน้า
“คุณย่าครับ ผมขอโทษ”
“ทำไปแล้ว จะมาขอโทษเหรอ” ย่าอุ่นเงื้อไม้ตะพดในมือสูง
สำลีผวามาเกาะขาร้องขอ “คุณหญิง หยุดเถอะคะ”
“แกอย่ามาแตะตัวชั้นนะ หรืออยากโดนด้วยอีกคน” ย่าอุ่นเงื้อมือหันมาทางสำลี
อิศราตกใจ ผวาจับมือย่าอุ่น “อย่าครับคุณย่า...สำลี ท้องครับ”
ย่าอุ่นตาเบิกโพลง ตะลึงงัน สำลีก้มหน้า ยิ้มพรายเต็มหน้า

ย่าอุ่นคับแค้นใจถึงขีดสุด อิศรา กับสำลี นั่งที่พื้นแล้ว อิศราก้มหน้า น้ำตาคลอ
“ใฝ่ต่ำ อิศรา ย่าผิดหวังแกจริงๆ”
อิศราก้มหน้าน้ำตาคลอ
สำลีค้อนอิศรา เห็นท่าว่าจะพึ่งไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้น “แหม คุณหญิงเจ้าขา ก็เรารักกัน” ว่าพลางลูบท้องตัวเองโชว์ “จนมีพยานแห่งความรักนี่ไงเจ้าคะ”
อิศรายิ่งอึดอัดใจ ก้มหน้าน้ำตาคลอ ย่าอุ่นมองประเมินรู้ว่าอิศราพลาดท่าไก่แก่เป็นแน่ ย่าอุ่นหันมาทางสำลี สะกดเสียงลงมาโวยวาย และเหี้ยมลึกๆ แค่นหัวเราะหยัน
“รัก...อย่าพูดให้ฉันคลื่นไส้เลย ฉันจะให้แกเลือก จะเอาเงินแล้วไสหัวไปคนเดียว หรือ จะไสหัวไปทั้งสองคนโดยไม่ต้องเอาไปสักบาทเดียว”
“คุณย่า” อิศราตกใจรีบก้มหน้าหลบตา
ย่าอุ่นมองอิศราอย่างเข้าใจว่าหลานถูกหลอก พลางเหลือบมองสำลีที่ทำหน้าเหมือนเคาะตัวเลข
“แกก็รู้ ว่าย่าพูดจริงทำจริง”
“โอยๆ เอาล่ะค่ะๆ สำลีจะยอมไปเอง เพื่อคุณอิศรา แต่จะให้ท้องโต ไปลำบากลำบน คุณหญิงก็ต้องเห็นแก่คุณเหลนบ้างนะคะ”
ย่าอุ่นสวนออกมา “แกจะเอาเท่าไหร่”
“ก็...สักห้าแสน ให้คุณเหลน” สำลีลูบท้องตัวเอง “ไม่ต้องลำบาก”
ย่าอุ่น โกรธแทบกระอัก มือกำไม้เท้าแน่น
“แล้วพอคุณเหลนคลอดสำลีขอรายเดือนๆ ละสักห้าหมื่น แล้วสำลีกับลูกจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกเลยเจ้าค่ะ”
ย่าอุ่นหัวเราะเบาๆ “อิศรา เห็นความโง่ของแกหรือยัง”
อิศราแทบร้องไห้ ก้มกราบ เสียงสั่นเครือ
“คุณย่าครับ ผมขอโทษ”
“ไปห้องย่า เอาสมุดเช็คที่อยู่ในลิ้นชักมา จ่ายให้มันไปซะให้จบๆ ย่าไม่อยากเห็นหน้ามัน”
อิศราลุกออกไป สำลียิ้มกระหยิ่ม ย่าอุ่นปรายตามองสำลี สีหน้าเหี้ยมเกรียม

อิศราเดินหน้าหมองออกจากห้อง ผ่านบันไดไปทางห้องคุณย่า สีแอบฟังแอบดูอยู่ข้างบันไดชั้นล่าง
อิศราเข้ามาในห้องย่าอุ่น ตรงไปค้นตามลิ้นชักต่างๆ รู้สึกผิดน้ำตาคลอเบ้า
ส่วนสำลีนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ย่าอุ่น มองมาอย่างจงเกลียดจงชัง สะกดเสียงให้นิ่ง
“ดีที่หล่อน พูดง่ายๆ” ย่าอุ่นรูดแหวนออกจากนิ้ว กรีดโชว์สำลี “ชั้นจะให้รางวัล”
สำลีมองแหวนเพชร ตาโต
“แหวน...แหวนเพชร...นี้เลย..เหรอคะ”
“แต่หล่อนต้องรับปากว่าจะไม่มายุ่งกับอิศราอีก” ย่าอุ่นกล่าวสำทับ
“เจ้าค่ะๆ เงินก้อนแรกห้าแสน กับแหวนเพชรนี้ แล้วก็ค่าเลี้ยงดู รายเดือนห้าหมื่นที่ท่านตกลง รับรองสำลีจะหายหัวไปเลยเจ้าค่ะ” สำลีรับปากอย่างละโมภ
“ดี ...เอ้า...เอาไป”
สำลีดีใจจะคลานมารับ ย่าอุ่นยิ้มเหี้ยมขณะปาแหวนข้ามหัวไปที่ประตู สำลีมองตาม แหวนกลิ้งไปตามพื้น
สำลีร้อง “อ้าว”
ย่าอุ่นเมินหนีไม่มองหน้า
“แหม ส่งให้ดีๆ ก็ไม่ได้”
สำลีบ่นขมุบขมิบสะบัดค้อน แล้วรีบลุกไป ย่าอุ่นเหลือบมองตาม สีหน้าเหี้ยมเกรียม

อิศราเปิดหาสมุดเช็คตามลิ้นชัก ส่วนที่หน้าห้องชั้นสอง แหวนกลิ้งไปตามพื้น สำลีเดินก้มๆ เงยๆ มามองหาแหวน
เท้าย่าอุ่นและไม้ตะพดเดินมาตามพื้นเสียงดังกึกก้อง สำลีเห็นแหวนยิ้มดีใจ อิศราเจอสมุดเช็ค ดึงขึ้นมาจากลิ้นชัก
สำลีก้มหยิบแหวนยิ้มร่า ไม้ตะพดย่าอุ่น เข้ามาใกล้ๆ
อิศราหยิบสมุดเช็คกำลังจะเดินออกจากห้องคุณย่าแล้ว สำลีหยิบแหวนได้ เงยหน้าจะลุกขึ้น หันกลับมา เจอย่าอุ่นฟาดหน้าสำลีด้วยไม้เท้าเต็มกำลัง สำลีร้องกรี๊ด หน้าคะมำ อิศราเดินมาจากห้องคุณย่า เห็นสำลีกำลังกลิ้งหลุนๆ ตกบันไดไปต่อหน้าต่อตา
สำลีกรีดร้องกลิ้งตกไปตามขั้นบันไดอย่างรุนแรง สีร้องด้วยความตกใจ อิศราชะโงกไปมองหน้าตาตื่นตกใจสุดขีด
ร่างสำลีกลิ้งหลุนๆ ตกลงมาถึงพื้นตีนบันได นอนจมกองเลือดที่ไหลออกจากขา อาการน่าจะแท้งลูก โดยที่พื้นบริเวณหัวบันไดมีแหวนตกอยู่ มือย่าอุ่นก้มหยิบใส่คืนนิ้วอย่างเก่า เงยหน้าขึ้นมาสีหน้าเย็นชา
อิศราร้องขึ้นสุดเสียง “สำลี!”
“มันพลัดตกบันไดไป” ย่าอุ่นชะโงกหน้าร้องเรียก “นังสี”
“เจ้าขา เจ้าขา” สีเงยหน้ามามอง สีหน้าตกตะลึง
“ตะลึงอยู่นั่นแหละ ตามไอ้เดชพากันไปหาหมอสิ เดี๋ยวมาตายในบ้านข้า”
อิศราขยับจะลงไปช่วย ย่าอุ่นบอกเสียงกร้าว
“ไม่ต้องไป อิศรา”
อิศราทำตัวไม่ถูกตกใจสุดขีด
“กลับเข้าห้องไป แล้วไปสำนึกเสียด้วยว่าแกทำอะไรกับย่า”
อิศรายังคงละล้าละลัง ย่าอุ่นเดินมาใกล้ “แกจะไม่เชื่อย่าไม่อยากให้ย่ารักแกแล้วเหรอ อิศรา”
อิศรายอมจำนนหันตัวกลับ เดินออกไป
ย่าอุ่นชะโงกไปมองด้านล่างอีกครั้ง เห็นสีร้องเรียกนายเดช คนรถ แล้วพากันวิ่งมาดูสำลีที่นอนครวญครางอยู่ ก่อนจะอุ้มออกไป

ย่าอุ่นมองภาพนั้นสีหน้าเรียบเฉยนิ่งสนิท

อ่านต่อหน้า 2

เงา ตอนที่ 1 (ต่อ)

อิศรากลับเข้าห้องมา ท่าทีละล้าละลัง ทำตัวไม่ถูก นึกถึงภาพตอนเห็นย่าอุ่นเอาไม้ตะพดฟาดหลังสำลีจนหน้าคะมำกลิ้งตกบันไดไป ตามด้วยภาพสำลีที่นอนร้องครวญครางจมกองเลือดอยู่ที่ตีนบันได

นึกแล้วอิศราเหงื่อแตก ยกมือขึ้นมาดู พบว่ามือสั่นกำสมุดเช็คไว้จนยับเยิน อิศราสะท้อนใจ ด้วยเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับไม่ได้ช่วย สีหน้าเขาเครียดเคร่ง

เดชและสีกำลังช่วยกันประคองร่างสำลีที่ตอนนี้ได้สติเล็กน้อย ร้องครางโอดโอยมาตลอดทาง สีเงยหน้ามองขึ้นชั้นสอง เห็นย่าอุ่นมองลงมาด้วยสายตาเยือกเย็น ส่วนที่หน้าต่างชั้นสอง กายมทูตเกาะอยู่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วบินออกไป

ท่านชายวสวัตเดินไปยังตรงมุมตึกช้าๆ กาดำยมทูตบินมาเกาะที่แขนข้างหนึ่ง เปล่งเสียงร้องเหมือนเสียงหัวเราะแหบแห้งออกมา ท่านชายมองกาตัวนั้นเป็นเชิงรับรู้
“ใจบาป...หยาบช้านัก”
กายมทูตเปล่งเสียงอีกครั้งก่อนจะบินไป ท่านชายหันมองไปอีกทางหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เช้านี้ชาลินีมาเยี่ยมก้มกราบที่ตักยาย ทุกคนนั่งอยู่ในห้องโถงนั้น เพ็ญนั่งเก้าอี้ คุณนมนั่งกับพื้นติดกับแม่บ้านสีที่มีท่าทางดีใจ
“พาหลานมากราบลา ไปเรียนเมืองนอกค่ะคุณแม่”
ย่าอุ่นเชยคางชาลินีขึ้นมอง ผู้เป็นหลานยิ้มประจบประแจง
ย่าอุ่นพยักหน้าเยื้อนยิ้มพึงใจ “ชาลินี หลานยาย...ยิ่งโตยิ่งสวย”
“สู้คุณยายตอนสาวๆ ไม่ได้หรอกค่ะ” ชาลีนีว่า
ย่าอุ่นหัวเราะเบาๆ แล้วหันมองนมที่แอบคุยกับสีอยู่ข้างห้อง พลากเอ่ยทักเหน็บแนมตามประสา
“ว่าไงยะ นังนม ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยติดรถแม่เพ็ญมาหา”
“คิดถึงคุณหญิงเจ้าค่ะ วันนี้พอมีแรงเดิน เลยขอคุณหนูมาเยี่ยมท่านด้วย”
“เอ้า เห็นฉันแล้วนี่ ฉันยังอยู่ดี ไม่ตายง่ายๆ”
นมยิ้ม ย่าอุ่นมองชาลินีอย่างรักใคร่ ชาลินียิ้มอ้อนประจบ

สามคนอยู่ในห้องนอนกับย่าอุ่น ที่กำลังหยิบกล่องเครื่องเพชรกล่องเล็กออกมา ชาลินี เพ็ญมองอย่างตื่นเต้น
ย่าอุ่นถามชาลินี “อยากได้ไหมล่ะเรา”
ชาลินียิ้มหวานเดินเข้ามาคลอเคลีย “อยากสิคะ เพราะของพวกนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจว่า คุณยายรักชาลินี”
พลางชาลินีกราบอกย่าอุ่น แล้วกอดประจบ หญิงชราหัวเราะ
“เรานี่ได้เชื้อยาย ไม่เหมือนแม่เรา ปราบผัวคนเดียว ปราบไม่อยู่”
“โอ๊ย คุณแม่ขา อย่าพูดถึงเขาเลย หงุดหงิด นึกๆ บางทีหนูก็อยากหย่าให้ๆ พ้นกันไป”
ย่าอุ่นค่อน “หย่าให้โง่ ตำแหน่งคุณหญิงจะได้อยู่รอมร่อ จะให้ใครมาชุบเปิบเรอะ” ย่าอุ่นมองลูกสาวอย่างระอาใจแทน หันมาทางชาลินี โน้มตัว ก้มพูดใกล้หูหลานสาว เหมือนจะกรอกใส่สมองชาลินี
“ชาลินี จำไว้ เป็นผู้หญิง มันต้องใช้สมองคิด ไม่ใช่ เพ้อฝันแต่เรื่องความรักแบบโง่ๆ ผู้ชาย ต่างกันก็แค่ มีเงินหรือไม่มีเท่านั้น”
ชาลินีขำ “จริงของคุณยายค่ะ”
“เรารู้ไหม ว่าอำนาจของผู้หญิงอยู่ที่ไหน”
“เอ้อ...” ชาลินีเขินนิดๆ ขณะตอบ “ความสาวเหรอคะ คุณย่า”
“มารยาหญิง เสน่ห์เล่ห์กล ที่จะสามารถจูงให้ผู้ชายมันทำทุกอย่างตามใจเรา” ย่าอุ่นจับบ่าหลานสาว “นั่นละ อำนาจของผู้หญิงล่ะ”
ย่าอุ่นจ้องตาสอนหลานสาว

ส่วนสองคนใช้อยู่ในห้องหนึ่งที่หลังบ้าน คุณนม ตกใจสุดขีดเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากแม่บ้านสี
“ขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“ชู่ว์ อย่าอึงไปสิคะคุณนม คุณหญิงท่านสั่งให้ปิดเรื่องนี้ไว้” สีกระซิบต่อ “ตอนสำลีมันฟื้น มันว่า...” สีหันรีหันขวาง กระซิบ “คุณหญิงท่านผลักมันค่ะ”
นมตกใจ รับไม่ได้ “คุณพระช่วย”
“มันจะไปแจ้งความให้ได้ค่ะ แต่สีห้ามเอง ว่าอย่าหาเรื่องอีกเลย ดูเถอะ เจ็บตัว แท้งลูก คุณหญิงไม่ให้สักบาท”
“เฮ้อ....บาปกรรมแท้ๆ”
“เค้าว่าคุณหญิงท่านตอนสาวๆ ท่านก็เฆี่ยนตี ขับไล่ใสส่งเมียเล็กๆท่านเจ้าคุณเหมือนกัน ใช่ไหมคะ” สีถาม
“เรื่องเค้าเล่าๆ กัน เราไม่ได้รู้ความจริงก็อย่าพูดไปเลย บาปปาก” นมถอนใจยาว
ขณะที่อิศรานั่งเหม่อลอยอยู่ในสวนสวย สีหน้าท่าทางไม่สบายใจนัก จู่ๆ มีมือมาปิดตาเขาจากเบื้องหลัง อิศราสะดุ้งจับมือนั้นออกลุกพรวดหันมา
“อ้าว...ชาลินี”
ชาลินีหัวเราะ ฉุดมืออิศราลงนั่งเก้าอี้ยาวด้วยกัน แล้วคล้องแขนเขาไว้
“แหม ขวัญอ่อนเหลือเกิน เธอนี่เป็นลูกแหง่ เอ๊ย ไม่ใช่สิ หลานแหง่ของคุณยายซะจน จะกลายเป็นโรคประสาทแล้วนะ”
“บ้าน่า...จริงสิ ชาจะไปอเมริกาพรุ่งนี้นี่” อิศราเรื่องชื่อ “ชา” อันเป็นชื่อเล่นหญิงสาวอย่างสนิทสนม
“ฮื่อ คอยดูนะ ลงคอร์ส จะเที่ยวซะให้พรุนเลย”
อิศราหัวเราะ รู้ทัน “อ้าว นึกว่าจะไปเรียน”
ชาลินีหัวเราะ “เที่ยวก่อน กว่าคอร์สชั้นจะเปิดตั้งหลายเดือน” หญิงสาวกระซิบยิ้ม นึกสนุก “แต่บอกคุณแม่ว่าต้องรีบไป เธอจบแล้วก็ตามไปสิ”
อิศราส่ายหน้า “เธอก็รู้ ว่าชั้นต้องดูแลคุณย่า”
“แล้วไง เธอต้องประกบคุณยายไปทั้งชีวิตหรือไง ชีวิตน่ะเป็นของเธอนะอิศรา”
อิศราอึ้ง เงยหน้ามองไปทางตัวบ้านอย่างรู้ชะตาว่าหากไม่ตามใจย่าอุ่นก็อาจไม่มีที่ซุกหัว
อิศรายิ้ม “ยังไงก็ ขอให้เธอโชคดีนะ ชาลินี”
ชาลินีคล้องแขนอิศราอย่างสนิสนมนั่งชิดเอาหัวพิงไหล่เขา
“คนอย่างชาลินี ไม่รอให้โชคมันวิ่งเข้ามาหรอก...แต่จะวิ่งไปคว้ามันมาเอง”

สาวสวยบอกอย่างมาดมั่น

ในห้องโถงกลางบ้าน ตรงหน้าภาพถ่ายครอบครัวที่ติดประดับบนข้างฝา คุณหญิงเพ็ญมองภาพนั้นอยู่ พลางเอ่ยขึ้น

“คุณแม่คะ เพ็ญไปเจอเพื่อนของคุณเล็ก เขาบอกว่าไปเจอคุณเล็กกับเมีย ตอนนี้ มีลูกสาวคนหนึ่งแล้วค่ะ”
“หยุดเลย ไม่ต้องมาเล่าเรื่องมัน ชั้นไม่อยากได้ยิน แล้วเราก็ไม่ต้องไปตามหาสู่รู้เรื่องของมันด้วย”
“หนูน่ะไม่ได้ไปสนใจเขาหรอก” คุณหญิงกระซิบ “กลัวแต่ว่าจะโผล่มาตอน...เอ้อ...ตอนคุณแม่ไม่อยู่เท่านั้น”
“นี่แกแช่งแม่เหรอ”
เพ็ญกอดเอาใจ “โธ่ เปล่าค่ะคุณแม่ หนูพูดเผื่อไว้คุณแม่จะได้เตรียมการอะไรๆ ไว้เนิ่นๆ”
ย่าอุ่นตวัดสายตามองค้อนดุ แล้วมองไปที่ภาพเล็ก หวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต

โดยในตอนนั้น คุณอุ่นวัยราว 50 ปี นั่งคอแข็งอยู่ในห้องโถง ตรงหน้าเป็นเล็กและดวงแก้วนั่งกับพื้น ดวงแก้วนั้นมีอาการหวาดกลัว สีหน้าตื่นๆ
“เรียนจบไม่ทันข้ามปี ยังไม่ได้ทันตอบแทนบุญคุณข้าวแดงแกงร้อน ริจะมีเมีย..แล้วแม่คนนี้” อุ่นปรายตามองเหยียด “เห็นว่าเป็นแค่ลูกสาวชาวไร่ชาวสวนเท่านั้นไม่ใช่เหรอ”
สีหน้าดวงแก้วเผือดลง กำมือบนตักแน่น เล็กตกใจหันมาจับมือดวงแก้ว
“ไม่สำคัญหรอกครับ ว่าดวงแก้วเป็นลูกใคร ผมรักดวงแก้ว”
“โอ๊ยๆ เรื่องน้ำเน่า ไม่ต้องพูดเลย” อุ่นแค่นหัวเราะ “รำคาญ ตาเล็ก อยากทำอะไรก็ตามใจ น้าคงไม่มีปัญญาขวาง”
เพ็ญชะโงกหน้ามาแอบมอง นมเดินมาเบื้องหลัง
“คุณหนูเพ็ญคะ”
“อุ๊ย นม แหม หนูตกใจหมดเลย”
“จะมาแอบดูอะไรคะ เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ดีนะคะ”
“ผู้ใหญ่ที่ไหนกัน พี่เล็ก พาแฟนมาหาคุณแม่” เพ็ญหัวเราะคิก “ชู่ว์ นมเฉยๆ เถอะ”
เพ็ญยังคงแอบมองด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น นมถอนใจทำอะไรไม่ถูก เลยต้องพลอยฟังไปด้วย
ท่าทีเล็กใจชื้นขึ้น “ผมอยากจะกราบขอแหวนของคุณแม่ผม ให้เป็นของขวัญแต่งงานดวงแก้ว เพื่อสิริมงคลแก่ชีวิตใหม่ของผม”
อุ่นโมโหสุดขีดผุดลุกพรวด
“แหวนเหวินอะไรกัน”
“เจ้าคุณพ่อเคยเอาแหวนแต่งงานของคุณแม่ให้ผมดู ท่านบอกว่าจะยกให้ผมเมื่อผมแต่งงาน”
“โอ๊ย ไม่มี หายไปหมดแล้ว อ้อ...ชั้นนึกแล้วว่าต้องมาหาเรื่องขอเงิน ไม่คิดมั่ง ว่าตั้งแต่ที่ท่านเจ้าคุณตายไป ใครกันที่หาเลี้ยงส่งเสียแกมาจนป่านนี้”
เล็กน้ำตาคลอ ทั้งเสียใจและโกรธ
“แต่เงินเหล่านั้นก็มาจากพินัยกรรมของคุณพ่อ แม้แต่บ้านนี้ก็เป็นสมบัติตั้งแต่เจ้าคุณพ่อแต่งงานกับคุณแม่”
คุณอุ่นโกรธจนตัวสั่น “ไอ้เล็ก นี่แกกล้าดีมาพูดเรื่องพินัยกรรม เรื่องบ้าน จะมาขอแบ่งสมบัติกับชั้นงั้นเหรอ ไอ้คนเนรคุณ”
“คุณน้า”
เล็กน้ำตาไหล สะเทือนใจใหญ่หลวง ดวงแก้วกลับเป็นฝ่ายตกใจและหันมามองอย่างเป็นห่วง
“แกจะแต่งงาน จะไปอยู่ไหน ไปเลย แต่อย่าคิดว่าจะมาขออะไรจากชั้น... ไป แล้วไม่ต้องกลับมาอีก ยิ่งดี”
“คุณน้าอุ่น” เล็กสะเทือนใจสุดๆ
เพ็ญและนมตกใจ
เล็กพยายามกลั้นน้ำตา มองน้าอุ่น แล้วเดินเข่าเข้าไปหา ดวงแก้วร้องไห้สงสารเล็ก
“ตกลงครับ ผมจะไป แล้วจะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้อีก หากจะทำให้คุณน้าคิดว่า...ผมมาเพื่อสมบัติใดๆ แต่ผม...” เล็กร้องไห้ออกมาอีก “ขอถามคุณน้า...ที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิด เหมือนกับ...แม่แท้ๆ...มันเป็นคำถามที่อยู่ในใจผมมาทั้งชีวิต…”
อุ่นปรายตามอง เล็กเงยหน้ามอง ถามทั้งน้ำตา
“คุณน้า...เคยรักผม บ้างไหมครับ”
ดวงแก้วร้องไห้กับท่าทีวิงวอนร้องขอของเล็ก
อุ่นยืดกายตรงยิ้มหยัน เหลือบลงมองมาด้วยสีหน้าเรียบ ดวงตาเย็นชา เป็นคำตอบว่า ไม่เคยรัก เล็กมองแล้วผละไปด้วยความสะเทือนใจ
อุ่นยืนนิ่ง สีหน้าและแววตาแสนเย็นชา

ย่าอุ่นจับจ้องที่มองรูปนั้นอยู่ หวนคิดเรื่องนี้ทีไร สีหน้าและแววตา หญิงชรา เย็นชาเช่นเดิม
“มันออกจากบ้านนี้ไปแล้ว มันประกาศเองว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก ก็ดีแล้ว...มันน่ะ ไม่ได้เกี่ยวได้ข้องอะไรกับพวกเราแล้ว เข้าใจมั้ย”
คุณหญิงเพ็ญรับทราบ
“ค่ะ...คุณแม่”
ย่าอุ่นมองที่รูปถ่ายนั้นนิ่งนาน แววตาเรียบสนิท

ที่ไร่เจริญขวัญอีกวันหนึ่ง ค่ำคืนนี้ เจริญขวัญ ในวัย 16 ปี นอนซมอยู่บนเตียงในห้องนอน ท่าทางอ่อนเพลียเหมือนคนป่วยไข้ ดวงแก้วคอยเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้
“พาไปหาหมอเลยดีมั้ย” เล็กเอ่ยขึ้น ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เจริญขวัญหน้าเบ้ ส่ายหัว
“ขวัญไม่เป็นไรค่า เดี๋ยวหลับปุ๋ยตื่นมาก็หาย...จริงๆ”
เจริญขวัญยังขี้เล่นได้อีก เด็กสาวหลับตายิ้ม ยกมือทำรูปโอเคให้พ่อและแม่ เล็กหัวเราะเบาๆ
“ลูกคนนี้นี่” ดวงแก้วก้มลงจูบหอมลูกสาว
เล็กมองภาพเมียและลูกอย่างแสนรัก

บ้านไร่ยามค่ำคืนเงียบสงัด เล็กนั่งทอดอารมณ์อยู่บริเวณชานเรือน ดวงแก้วถือแก้วกาแฟออกมายื่นส่งให้แล้วลงนั่งข้างๆ
“แก้วอยากพาขวัญไปตรวจที่กรุงเทพฯ ว่าทำไมแกอ่อนแอนัก เดี๋ยวเพลียๆ หมอที่นี่ตรวจบอกแค่ว่าเป็นภูมิแพ้”
“อีกสองสามวันพาไปตรวจที่กรุงเทพฯดีไหม เช็คทั้งร่างกายไปเลย” เล็กว่า
“ก็ดีค่ะ” ดวงแก้วชั่งใจมองสามี “ว่าแต่...คุณจะแวะไปที่บ้านคุณไหมคะ”
เล็กชะงัก ยิ้มเศร้าออกมา “ผมไม่มีบ้านที่ไหนอีกแล้ว นอกจากบ้านเราที่นี่”
ดวงแก้วมองสามีอย่างเข้าใจ และเห็นใจ
“แปลกนะ ที่ผมยังเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงคุณน้าอุ่น คงเพราะ...” เล็กแค่นหัวเราะน้ำเสียงเศร้า “ไม่ว่าคุณน้าจะเป็นยังไง แต่ผมก็...เคย...รักแก...เหมือน...แม่”

ดวงแก้วน้ำตาคลอสงสารสามี เล็กยิ้มเศร้า น้ำตาคลอหน่วย เจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีต

กลางดึกคืนหนึ่ง ย่าอุ่นหลับอยู่ในห้องนอน แล้วฝันไปว่าตนกำลังเงื้อไม้ตะพดประจำตัว ฟาดไปที่หลังของหยก สาวใช้ที่ตอนนั้นท้องอ่อนๆ และร่างถูกผูกยึดคาเสาอยู่

“อีหยก! อีคางคกขึ้นวอ”
คุณอุ่นวัยกลางคนเงื้อมือตีเปรี้ยงไปเต็มแรงที่หน้าหยก โดนขมับอย่างจัง
หยกสะดุ้งล้มลง ลมหายใจสะท้อนเฮือกๆ เลือดไหลออกจากขมับ ตาเบิกโพลงมองมาที่อุ่น
แววตาคู่นั้นของหยกลืมโพลงอยู่จ้องหน้าย่าอุ่นใกล้ๆ ย่าอุ่นสะดุ้งตื่น
มองไปรอบ ในห้องมืดมีเพียงแสงไฟสลัวมาจากนอกหน้าต่างส่องเข้ามา
ย่าอุ่นเอื้อมมืออันเหี่ยวย่นไปกดสวิทช์ไฟหัวเตียง ทันทีที่ไฟสว่าง พบว่าใบหน้าอันเหี่ยวย่นนั้น เหงื่อซึมเต็ม
ย่าอุ่นรู้สึกปวดขมับ เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำตรงโต๊ะเล็กหัวเตียง แต่แก้วน้ำว่างเปล่าไม่มีน้ำ หญิงชราหยิบระฆังใบเล็กมาสั่นเรียก
“สี...นังสี...เฮ้อ”
ย่าอุ่นหันรีหันขวาง แล้วลุกนั่งตรงขอบเตียง เกาะข้างเตียงยืนกระย่องกระแย่ง มองไปที่โต๊ะอีกตัวในห้องพบว่ามีกระติกน้ำเก็บความร้อนตั้งรอไว้ให้
ย่าอุ่นค่อยๆ ลุกจะเดินไปเอาน้ำ แต่เดินไม่สะดวก เกิดปวดเข่าขึ้นมา
“โอย...”
ย่าอุ่นเกาะปลายเตียง หันหาไม้เท้า เห็นวางพิงอยู่ที่มุมหนึ่งในมุมที่มีแสงน้อยนิด จึงค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ จนใกล้ถึงไม้เท้ารอมร่อ จึงเอื้อมมือออกไปหมายจะหยิบไม้เท้า
ย่าอุ่นมองไม้เท้า ยื่นมืออันสั่นระริกไปจับไม้เท้ามาได้
ฉับพลันก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อไม้เท้าที่จับขึ้นมากลายเป็นงูเห่ากำลังแสยะปากแยกเขี้ยวใส่อย่างประสงค์ร้าย ย่าอุ่นตกใจ เขวี้ยงไม้เท้าทิ้งไป แต่พอตกพื้นก็กลายเป็นไม้เท้าธรรมดา ย่าอุ่นจิตหลอนไปเอง
หญิงชราตกใจมาก แข้งขาไม่มีแรงอย่างเฉียบพลัน ร่างกายอันโรยราล้มลง
สีเปิดประตูเข้ามาทันเห็นย่าอุ่นล้มพอดี
“คุณหญิง”
ย่าอุ่นล้มนอนอยู่ในท่าเดียวกับท่าสุดท้ายของสำลีที่ล้มลงนอนแท้งลูกตรงบริเวณตีนบันได

ย่าอุ่นถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลประจำทันทีในกลางดึกคืนนั้น ร่างย่าอุ่นนอนอยู่ในห้องตรวจ ให้หมอตรวจดูอาการ โดยมีนางพยาบาลช่วยดูแลอย่างดี
“คุณหญิงท่านมีอาการลิ่มเลือดเข้าไปอุดตันหลอดเลือดในสมองน่ะครับ...ทำให้เซลล์สมองขาดเลือดฉันพลัน ทำให้แขนขาอ่อนแรง ก็เลยล้มลง”
คุณหมอเจ้าของไข้ยืนคุยอยู่กับอิศราและคุณหญิงเพ็ญตรงหน้าห้อง ในวันถัดมา
“ดีที่ว่ากระดูกของท่านไม่เป็นอะไร แต่ว่าการที่สมองของท่านขาดเลือด ทำให้เซลล์สมองบางส่วนตายไป จะทำให้...”
เพ็ญซักทันที “อะไรคะหมอ”
สีหน้าอิศราและคุณหญิงเพ็ญตกใจมาก

วันต่อมาอิศราและสี ช่วยกันประคองหัวย่าอุ่นวางบนหมอน สีหน้าย่าอุ่นเคร่งเครียด นึกโกรธแค้นโชคชะตาที่มาล้มป่วยจนเป็นอัมพาต แต่จิตใจเข้มแข็งยิ่งนัก คุณนมที่ตามคุณหญิงเพ็ญมา ช่วยห่มผ้าให้ แล้วเลื่อนไปจับมือย่าอุ่น
“โธ่” นมร้องไห้ “คุณหญิงไม่น่าเลย”
ย่าอุ่นเอ็ดเอา “แกจะมาบีบน้ำตาทำไม”
นมชะงักรีบเช็ดน้ำตา
“เอ้อ...คุณหญิง อยากสวดมนต์ไหมคะ จิตใจจะได้สบาย นมช่วยนำสวดไหมคะ สวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณก็ได้นะคะ” คุณนมพนมมือ “นะโม ตัสสะ...”
ย่าอุ่นโกรธจัด เอ็ดตะโรดังลั่น “โอ๊ย หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ ชั้นยังไม่ตาย จะมาสวดมนต์หาอะไร ไป๊ ออกไปให้หมด ออกไป๊”
ทุกคนตกใจ ถอยออกจากห้องโดยไว
ย่าอุ่นหอบหายใจแรง โกรธจัด ทำอะไรไม่ได้ อิศราจะตามไปหญิงชราเรียกไว้
“อิศรา”
อิศราหยุดหันมาหา

คุณหญิงเพ็ญ คุณนม และสีออกมาจากห้องย่าอุ่น
“คุณแม่ ยิ่งมาป่วยเป็นอัมพาต ยิ่งโมโหร้าย ใครก็เข้าหน้าไม่ติด มีแต่อิศราคนเดียวละมั้ง..เฮ้อ”
เพ็ญ เดินหงุดหงิดออกไป
คุณนมและแม่บ้านสี ยืนแอบคุยกันอยู่มุมหนึ่ง
“คุณนม รู้อะไรไหมคะ อุ้ย พูดแล้วขนลุก”
“อะไร”
สีหันซ้ายแลขวา แล้วกระซิบบอก “ตอนสีเข้าไปพบคุณหญิงท่านนอนกองอยู่ที่พื้นน่ะ ท่านนอนท่าเดียวกับที่ ยายเด็กสำลี ตกกะไดมาเลยค่ะ”
สีเห็นกับตา ทั้งตอนที่สำลีนอนกับพื้นหลังตกบันไดลงมาจนแท้งลูก และภาพย่าอุ่นที่กำลังล้มกับพื้นห้อง
“อุ้ย ดูแขนสีสิคะ ขนลุกจริงๆ”
“กรรม” คุณนมสีหน้าสลดหดหู่

อิศราประคองคุณย่าที่ตาคมยังดุเหมือนเดิน ลงนอนบนเตียง ย่าอุ่นมีอาการเจ็บใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
“อิ...อิศรา...”
“ครับคุณย่า”
“หยะ..อย่า..ทิ้ง..ย่า...”
“คุณย่า ผมไม่ทิ้งคุณย่าหรอกครับ”
ย่าอุ่นสวน นัยน์ตาดุ ขู่อิศรา “ถ้า...ถ้าแกทิ้งย่า ย่า...จะไม่ให้...อะไร...แกเลย บ้านนี้ย่าก็จะไม่ให้ จำไว้”
อิศราชะงักไปจากความรู้สึกห่วงใย กลายเป็นเหมือนถูกบังคับไปกลายๆ

หลายวันต่อมา
ตอนค่ำวันนี้ สี กับ วัน สาวใช้อีกคน ปรนนิบัติย่าอุ่น ผู้ป่วยอัมพาต ช่วยกันเช็ดตัว สองคนพลิกตัวย่าอุ่นใส่เสื้อให้ ย่าอุ่นเม้มปากแน่นตลอดเวลา ทุกเหตุการณ์อยู่ในสายตากายมฑูต
ค่ำวันต่อมา อิศรา อุ้มย่าอุ่นขึ้นจากเก้าอี้รถเข็น ลงนอนที่เตียง ห่มผ้าให้อย่างดี สีและวันเดินถือถาดผ้า กะละมังเล็กใส่น้ำเดินออกไป
ย่าอุ่นนอนอยู่คนเดียวในห้อง บรรยากาศเวิ้งว้าง โดดเดี่ยว หันไปที่โต๊ะเล็กหัวเตียง มีแหวนเพชรวางอยู่ หญิงชรามองแหวนเพชรอย่างเจ็บใจ มองมือตัวเอง เพ่งจิตพยายามขยับมือแต่ขยับไม่ได้
“ทำไม...ทำไมต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้กับชั้นด้วย...ทำไม”
ย่าอุ่นนอนหลับตา พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ แต่เจ็บใจ คับแค้นใจจนปากสั่นระริก น้ำตาหยดไหลเป็นทาง หญิงชราเม้มปากแน่น พยายามกลั้นก้อนสะอื้น อย่างคนใจแข็ง

กายมทูต เกาะอยู่ที่กิ่งไม้นอกหน้าต่างห้อง ส่งเสียงร้องเหมือนเสียงหัวเราะแหบพร่าออกมา แล้วบินไป

ในขณะนั้น ท่านชายวสวัตยืนอยู่บนหลังคาตึกสูง ด้านหลังท่านชายยืนอยู่เงาที่ทอดยาวมีปีก มองไปรอบด้านของตัวเมือง สรรพเสียงจอแจเซ็งแซ่มาทุกทิศทางแผ่วๆ

กายมทูต บินมาเกาะบ่าเปล่งเสียงร้องคล้ายเสียงหัวเราะที่แหบพร่า ท่านชายนิ่งเหมือนฟังรายงาน
สักครู่กาบินจากไป
สีหน้าท่านชายยามนี้ขรึมเคร่ง เหนื่อยหน่าย จงชังมนุษย์ เห็นสิริ และ ภุมมะ ยืนเยื้องเบื้องหลัง

ทั้งคู่เป็นผู้ติดตาม ข้ารับใช้ของท่านพญามาร คอยบันทึกกรรมดีชั่วของมนุษย์ และบางครั้งคือผู้ปลิดวิญญาณบาปเสียเอง

“เมื่อกรรมตามทัน..เมื่อกายสังขารเสื่อมโทรม ทรัพย์สินเงินทองช่วยอะไรพวกมันได้...อเวไนยสัตว์เอ๋ย หลงประมาทในชีวิต จนลืมไปว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดของพวกเจ้า คือลมหายใจ ที่ยังมีอยู่เท่านั้น

อยู่มาวันหนึ่งคนรถของท่านนายพลบัญชาขับผ่านถนนหน้าประตูวังท่านชายวสวัต คุณหญิงเพ็ญนั่งตอนหลังกับท่านนายพลบัญชา แต่ต่างคนนั่งไม่มองหน้ากัน หันหน้าไปคนละทาง
เพ็ญร้องขึ้นอย่างแปลกใจ “เอ๊ะ”
บัญชาหันมา “อะไรคุณ”
“นี่มันบ้านหรือวังคะ แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วดิฉันผ่านมายังไม่เห็นเลย”
สองคนมองตามความเร็วรถที่เคลื่อนผ่านกำแพงและประตูวังไป
“ใครจะมาสร้างอะไรได้รวดเร็วในเวลาแค่อาทิตย์เดียว คุณไม่สังเกตเองต่างหาก”
จังหวะนี้มือถือบัญชามีเสียงแมสเสจเข้า เพ็ญปรายตามอง บัญชาดูมือถือท่าทางมีพิรุธเล็กน้อย พลางเหลือบมองเป็นเชิงตำหนิมาทางภริยา
“มองจับผิดเชียวนะ”
เพ็ญค้อน ย้อนหน้าเคร่ง “ไม่ต้องคอยจับผิดหรอกค่ะ มันเห็นทนโท่”
บัญชารำคาญ สองผัวเมียนั่งมึนตึงใส่กัน มองไปคนละทางตามเดิม ในขณะที่รถแล่นพ้นอาณาเขตวังไป

ท่านชายวสวัตเดินมาตามทางในวัง ไม่เร็ว ไม่ช้า สีหน้านิ่งขรึม
สิริ กับ ภุมมะ ยืนอยู่หน้าขรึมมุมหนึ่งในตำหนัก ภุมมะ หันมองภาพเขียนนรก สีหน้าภุมมะมีริ้วรอยหวนจำความทรมานในนรก
ท่านชายวสวัตก้าวเข้ามาที่ประตูตำหนัก สิริ กับภุมมะ โค้งคำนับ ท่านชายหยุดยืนมองภาพวาดเดียวกัน หันหลังให้อยู่
“มนุษย์..ยิ่งนานวัน ยิ่งหลงมัวเมากับกิเลสบาปช้าจนนรกไร้แม้ที่ยืน สัตว์นรก มีมากจนนายนิรยบาล มีไม่พอ”
สิริ ภุมมะ ค้อมตัว ท่านชายหันมาหา
“เรา.. ต้องหาข้ารับใช้เพิ่ม”
สิริ ภุมมะ น้อมรับ “เจ้าข้า”
“ภุมมะ” น้ำเสียงท่านชายอ่อนลง มีแววสะเทือนใจล้ำลึก “ได้เวลาของข้าแล้ว”
พริบตานั้น ถาดเงินหรูหรา มีแก้วเจียรนัยทรงสูงวางอยู่ ภุมมะถือมาค้อมหัวยื่นถาดราวเป็นของสูง แก้วไสทรงสูงใบนั้น มีแสงระยิบสะท้อนพุ่งพราวแพรวออกมา น้ำภายในไส มีเม็ดพรายเดือนปุดๆ และเหมือนมีแสงออร่ากระจายออกมาจับต้องดวงหน้าของท่านชายที่มองแก้วอยู่
แม้น้อมยอมรับ แต่จะรู้สึกแสบร้อนทรมานเพียงใดหนอ หากดื่มเข้าไป ท่านชายเอื้อมมือมาหยิบแก้ว สิริ ภุมมะ ค้อมตัวไม่กล้าเงยมอง
ท่านชายกัดกรามแน่น แล้วยกแก้วดื่ม เหมือนมีลำแสงสีแดงคล้ายลาวาลวกร้อนในกายสูง สีหน้าท่านชายทุกข์ท่วมท้น ทรมาน มือสั่น ปากสั่น หลับตานิ่ง กัดกรามแน่น
“ใครบ้าง จักหนีความยุติธรรมของกฎแห่งกรรมได้...แม้แต่ข้า”
ท่านชายวสวัตลืมตาขึ้น

ทุกคนนั่งรอที่โต๊ะยาว ในห้องหนึ่งของบ้าน คุณหญิงเพ็ญ นั่งเคียงกับนายพลบัญชา โดยมีบรรดาญาติๆ อีก 4 คน วัยราว 50 ปี นั่งอยู่ด้วย แม่บ้านสีมาคอยดูแล
สักครู่ล้อรถถูกเข็นเข้ามาในนั้น โดยอิศราเข็นรถให้ย่าอุ่นนั่งเอนมามีผ้าคลุมเข่า สีหน้าหญิงชรายังคงดุ แม้ดูอิดโรย มีทนายวันชัยเดินตามมาข้างหลัง
อิศรามาหยุดรถเข็นที่หัวโต๊ะ ทุกคนลุกไหว้ บัญชาไหว้ ถูกย่าอุ่นปรายตามองดุ ก็หน้าเสียนิดๆ มือย่าร่วงลงห้อยข้างเก้าอี้ อิศราจับมือย่าขึ้นวางบนตักให้ ย่าอุ่นปรายตามอง
“คุณแม่ เป็นยังไงบ้างครับ” บัญชาทัก
ย่าอุ่นแค่นหัวเราะ “เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ คงลุกกระโดดโลดเต้นไม่ได้”
บัญชาหน้าเสีย
เพ็ญถามขึ้น “คุณแม่เรียกประชุมใหญ่ ท่าทางจะมีเรื่องสำคัญนะคะ”
“เรียกกันมา บอกให้รู้กันไว้ ถ้าฉันตายไปจะได้ไม่ต้องทะเลาะตบตีกันทีหลัง” ย่าอุ่นบอก
ทุกคนตื่นเต้น อิศราขยับตัวแยกมายืนฟังห่างออกมา
“ฉันจัดการเขียนพินัยกรรม ไว้กับทนายวันชัยแล้ว”
ทุกคนยิ่งตื่นเต้น
ญาติหญิง 1 เอ่ยขึ้น “แหม คุณพี่ยังดู...เอ้อ..แข็งแรง”
“บ้าเหรอ ขยับก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ แข็งแรงตรงไหน”
ญาติหญิง 1 หน้าม่อยไป
ย่าอุ่นบอกต่อ “เครื่องเพชรของฉัน ฉันยกให้หลานสาวคนเดียวของชั้น ชาลินี”
คุณหญิงเพ็ญยิ้มชื่น
“และบ้านหลังนี้ ฉันจะยกให้ อิศรา”
อิศราดีใจแต่ระงับอาการ
“ส่วนสมบัติไร่นาอื่นๆ ฉันจัดแจงไว้หมดแล้ว พอฉันตาย ครบร้อยวัน ทนายวันชัยก็จะแจ้งเอง”
จังหวะนี้เองย่าอุ่น เหลือบมองไปทางรูปถ่ายที่มีเล็กอยู่
“คนอื่นที่ไม่มีชื่อในพินัยกรรมของฉัน ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้นขอให้รู้กันไว้..เอาละ...แค่นี้แหละ...อิศรา”
“ครับคุณย่า”
อิศราเข้าประกบย่าอุ่น เข็นรถจากไป ญาติๆ มองหน้ากัน

ญาติๆ คุยกันออกมาที่หน้าบ้าน ญาติชาย 1 บอกขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
“มันจะถูกเหรอแม่เพ็ญ นายอิศราจะว่าไปก็แค่แค่ลูกของนายใหญ่ ลูกติดผัวเก่าคุณน้าอุ่นมา ใช่เชื้อสายโดยตรงที่ไหน”
ญาติหญิง 1 เห็นด้วย “นั่นสิ ถึงกับจะยกบ้านให้ ให้หลานชาลินี ลูกสาวแม่เพ็ญซะ ยังจะเป็นสายเลือดโดยตรง แม่เพ็ญน่าจะต้องคัดค้าน”
“แหม คุณอา ทำราวกับไม่รู้จักคุณแม่ ลงท่านตัดสินใจแล้ว ใครก็เปลี่ยนใจยาก แต่ก็อย่างว่านะคะ ตาอิศก็ต้องคอยดูแลรับใช้คุณแม่ ท่านก็คงเห็นใจ” เพ็ญว่า
ญาติชาย 1 บอกอีก “คุณน้าอุ่นไม่ยุติธรรม แล้วลูกของน้าอิ่ม ตาเล็กนั่นล่ะ จะไม่ได้อะไรเชียวเหรอ นั่นก็สายเลือดแท้ๆ น้าอิ่มน่ะเมียแต่งของท่านเจ้าคุณนะ บ้านนี้ก็สร้างตอนท่านแต่งงานกัน”
ญาติหญิง 1เอ็ดเอา “เบาๆ คุณ สมบัติก็ไม่ใช่ของเรา อย่าไปยุ่งเขาเลย น้าลาล่ะแม่เพ็ญ...ไป คุณ”
บรรดาญาติๆ เดินแยกกันไปที่รถใครมัน
บัญชาที่จำยืนฟังเซ็งๆ อยู่ด้วยมองตาม แค่นหัวเราะออกมา
“ที่มา ก็สนใจเรื่องสมบัติเท่านั้น ผมนี่สิ ไม่รู้คุณจะลากมาด้วยทำไม”
“เอ๊ะ ก็ถือโอกาส มาเยี่ยมแม่ยาย จะเป็นไรไปคะ” เพ็ญขวางสามี
“ยังกับท่านชอบขี้หน้าผมนักนี่”
“คุณก็ทำตัวดีนักนี่”
คุณหญิงเพ็ญเชิดเดินไปขึ้นรถที่จอดรอก่อน นายพลบัญชา เดินหงุดหงิด ตามหลังไป
อิศราก้าวออกมาจากกรอบประตู ที่หลบฟังอยู่เมื่อครู่ ได้ยินทุกคำ มองตามอย่างไม่พอใจนัก ก่อนจะหันกลับ เหลียวมองตัวบ้านแล้วเผยอยิ้มออกมาอย่างสุขใจ

“บ้านของเรา”

อ่านต่อหน้า 3

เงา ตอนที่ 1 (ต่อ)

ที่ไร่เจริญขวัญวันเดียวกันนี้ กำลังมีการก่อสร้างศาลาหลังเล็กๆ ในไร่ แต่มีเพียงฐานก่ออิฐ และเสาหลักปักไว้ เล็กสวมหมวกใบเก่าคุมงานอยู่ ดวงแก้วกำลังดูแลกระติกน้ำที่วางบนแคร่ไม้ใกล้ๆ

ไกลออกมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เจริญขวัญเอาซาวน์อะเบ๊าท์มาเสียบหูฟังเพลงพลาง วาดรูประบายสีไม้
เป็นภาพพ่อกอดแม่ใต้ต้นไม้ตามที่เคยเห็น เจริญขวัญยิ้มพราย
ระหว่างนี้ ตาพุดเดินเข้ามามียายปลั่ง ผู้เป็นเมียไล่ตีมา
“ไอ้ตัวดี แหม๊...ชั้นอยากตีแกให้ตาย เงินมีไม่ลงขวดก็เอาไปซื้อหวยหมด นี่ๆๆ” ปลั่งตีเอาๆ
พุดโวยกลับ “โอ๊ย พอๆ พอแล้ว แหม๊ ทีเวลาข้าได้เงินหวยมาให้ล่ะ หน้าบาน”
“เถียงเรอะ”
ดวงแก้วเอาน้ำมาให้เล็ก สองคนมอง ตาพุด และยายปลั่งทะเลาะกัน ขำๆ
ดวงแก้วตะโกนเรียกลูก “ขวัญ...ขวัญลูก”
เจริญขวัญไม่ได้ยิน
ดวงแก้วบอก “ฟังเพลงเพลิน เรียกก็ไม่ได้ยินอีกแล้ว”
“ให้แกนั่งเล่นหลบแดดตรงนั้นดีแล้วล่ะแก้ว”
มีรถกะบะแล่นมาแต่ไกล ในรถดูเหมือนคนขับจะมีปัญหากับเกียร์ที่แข็งๆ ขัดๆ อยู่ รถกระบะจอดลง ท้ายรถหันไปทางเจริญขวัญที่นั่งฟังเซาน์อะเบ้าท์อยู่
ท้ายรถมีถุงปูน และไม้แผ่น และอุปกรณ์ก่อสร้างพวกของมีคม เช่นเหล็กเส้น เลื่อย
คนขับรถพยายามดึงเบรคมือ แต่ดึงไม่ขึ้น เขาออกอาการหงุดหงิด คนขับรถลงมา หาก้อนหินมาวางใต้ล้อหลังอย่างหมิ่นเหม่ ขณะที่คนงานอีกคนลงจากท้ายรถ คนงาน 2 คน ช่วยกันยกของลง เหลือไม้และพวกเลื่อย วางอยู่
“เอ้า ของมาแล้ว พวกเรา ไปช่วยกันยกหน่อยเว้ย”
ตาพุดและคนงานอีกคน ไปที่รถ ช่วยยกของ เดินกลับมาที่คุณเล็ก
จังหวะนี้ ขาของคนงานคนหนึ่งไม่ระวังเผลอไปเตะก้อนหินออกจากใต้ล้อโดยไม่ตั้งใจ
ตาพุดคนงานเดินมาถึงตรงมุมก่อสร้างศาลา เล็ก กับดวงแก้วอยู่ด้วยกันตรงนั้นแล้ว
“ดีล่ะ ของมาครบ พรุ่งนี้จะได้ทำให้เสร็จ”
ตาพุดสั่งลูกน้อง “เอาเว้ย วางๆ”
รถเริ่มขยับล้อถอย ไม้ที่วางหลังรถกระบะดูหมิ่นเหม่ รวมทั้งพวกของมีคมที่วางๆ อยู่ รถถอยมาเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ดวงแก้ว หันมามองทางเจริญขวัญ สีหน้าตื่นตกใจ
“ว้าย มีใครอยู่ในรถไหมคะนั่น”
คนขับบอก “ไม่มีครับ”
“ตายแล้ว ยายขวัญ...ลูก”
เล็กตกใจ รีบวิ่งไปทันที “ขวัญ ยายขวัญ ลูก”
ทางด้านเจริญขวัญนั่งฟังเสียงเพลงจากซาวน์อะเบ้าท์เพลินไม่รู้เรื่อง เล็กวิ่งมาแต่ไกล ดวงแก้ว ตาพุด และคนอื่นๆ วิ่งตามหลังเป็นพรวน
รถไหลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เล็กตกใจวิ่งใกล้เข้ามา เจริญขวัญเริ่มรู้สึกตัวตื่น ค่อยๆ ลืมตามองมา เห็นพ่อและใครๆ วิ่งมาหา เจริญขวัญตกใจ หันไปอีกทางเห็นรถแล่นถอยมาใกล้ ไม้ที่วางนอนยาวล้ำออกมาจากท้ายรถแล้ว
ขณะที่เจริญขวัญตกใจอยู่นั้น เล็กมาใกล้โถมมาหาทั้งตัว ผลักลูกสาวกระเด็นไป รถแล่นถอยมาชนไม้หล่นใส่ เล็กเอามือดันรถด้วยสัญชาติญาณแต่มีเหล็กเส้นพุ่งเข้าเสียบท้องเล็ก มือตกลงข้างตัว ดวงแก้วตกใจตะลึง ขาอ่อน เจริญขวัญยืนตะลึงมองร่างพ่อ
ดวงแก้วโผมาหา ทรุดกับพื้นใกล้ร่างของเล็กที่เสมือนยืนคอพับพิงต้นไม้และมีเหล็กเส้นเสียบติดตรึงไว้ ดวงแก้วมือสั่นระริกยกแตะมือสามีร้องไห้โฮ
“คุณเล็ก”
เจริญขวัญตื่นตะลึง ช็อกคาที่ พวกตาพุดกับคนงานมาถึงต้นไม้ ตกใจพอกัน

คุณเล็กเสียชีวิตทันทีตั้งแต่วันนั้น ในไร่เจริญขวัญจึงเหลือเพียง 2 แม่ลูก ที่ยังคมจมอยู่กับความโศกศัลย์
วันนี้ ดวงแก้ว เจริญขวัญในชุดดำยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มองไปยังศาลาที่ยังสร้างไม่เสร็จ
ภาพใบหน้าเล็กที่สวมหมวก อันเป็นภาพวาดง่ายๆ ที่เจริญขวัญวาด ถูกหุ้มเคลือบด้วยพลาสติก เจาะรูร้อยเชือก เจริญขวัญเอาผูกแขวนไว้กับกิ่งไม้
ดวงแก้วดวงตาแห้งผาก เหม่อลอย น้ำตาซึมหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะร้องไห้ เจริญขวัญหันมามองแม่ ที่เอาแต่เหม่อลอยอย่างนั้น เอ่ยเรียกขึ้น
“แม่”
ดวงแก้วหันมามองลูกสาว เจริญขวัญ เหมือนคนใจจะขาด ร้องไห้โฮ
“ขวัญทำให้พ่อตายใช่ไหมแม่ พ่อตายเพราะขวัญใช่ไหม ขวัญขอโทษ”
เด็กสาวยกมือไหว้มารดา ร่ำร้อง สะอึกสะอื้นอย่างรุนแรง ดวงแก้วได้สติผวากอดลูก
“ไม่ลูก ไม่ อย่าพูด อย่าคิดอย่างนั้น”
สองคนกอดกันร้องไห้
“แม่จ๋า ขวัญคิดถึงพ่อ”
ดวงแก้วพยายามเข้มแข็ง “แม่รู้ลูก แม่รู้” เงยหน้ามองท้องฟ้า “คุณพ่อ ต้องคอยมองเรามาจากบนฟ้านะลูกนะ”
“พ่อ...พ่อจ๋า” เจริญขวัญสะอื้นหนักจนไอออกมา
ดวงแก้วพยายามทำตัวให้เข็มแข็ง กอดลูก ปาดเช็ดน้ำตาให้
“ชู่ว์ ใจเย็นๆ นะลูก แม่อยู่นี่” ดวงแก้วกอดลูกแน่น “หนูยังมีแม่นะลูกนะแม่จะดูแลหนูเอง”
แม่ลูกกอดกันร้องให้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น เจริญขวัญในอ้อมอกแม่ เงยหน้ามองท้องฟ้า
ราวกับมีสายตาใครมองจากมุมสูงลงมาที่สองแม่ลูก

อีกฟากหนึ่งกลุ่มคุณหญิงคุณนาย กำลังแจกของเด็กๆ ชายหญิง ที่หน้าตึกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้
ท่านผู้หญิงแขไข วัย 65 ปี ท่าทีแข็งแรง ใบหน้ายิ้มแย้ม ดูออกว่าเป็นคนจิตใจดี ท่านเป็นโต้โผของงานนี้ กำลังนั่งมองภาพการแจกของอยู่กับเจ้าหน้าที่
“ที่นี่เราอยู่ได้เพราะความช่วยเหลือของท่านผู้หญิง กับคณะจริงๆ กราบขอบพระคุณนะคะ”
ท่านผู้หญิงแขไขยิ้ม “แค่นี้ ถือว่ายังเล็กน้อย ฉันจะพยายามหาทางตั้งมูลนิธิเพื่อจะได้ช่วยเหลือกันได้ระยะยาว”
เจ้าหน้าที่ยกมือไหว้นอบน้อม “ท่านเมตตาเหลือเกิน”
ท่านผู้หญิงยิ้มตอบ แล้วมองไปอีกทาง เห็นเด็กชายคนหนึ่งไม่ได้เข้าแถวกับคนอื่น ท่านผู้หญิงลุกเดินมาหาเด็กชายคนคนนั้น ก้มลงยิ้มยื่นถุงขนมให้ เด็กมองแล้วอ้าแขน
“โถ ลูก...”
ท่านผู้หญิงแขไขสวมกอดเด็กด้วยความรัก และสงสาร โดยไม่มีท่าทีรังเกียจใดๆ
“ที่เด็กเหล่านี้ต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่ของใช้ของกินหรอกนะ...แต่เป็นความรัก”
สุนีย์ คนติดตามของท่านผู้หญิง วัยกลางคน อายุราว 40 ปี เดินมาหา
“ท่านผู้หญิงเจ้าคะ มี...สุภาพบุรุษ ท่านหนึ่ง ขอพบเจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงประหลาดใจ

สุภาพบุรุษท่านนั้น เป็นท่านชายวสวัตนั่นเอง และเวลานี้ยืนหันหลังอยู่ตรงมุมหนึ่งด้านนอกตึกสถานเลี้ยงเด็ก
ท่านผู้หญิงแขไข เดินมากับสร้อย เพ่งมองชายที่หันหลังอยู่อย่างพิศวง ท่านชายหันมา ยิ้มหล่อ ท่าทางสุภาพ ยกมือไหว้นอบน้อม ท่านผู้หญิงรับไหว้ ยิ้มตอบ ท่านชายยิ้มนุ่ม มองมา

ท่านผู้หญิงแขไข และท่านชายวสวัต นั่งห่างกันอยู่ที่โต๊ะสนามตัวหนึ่ง ท่านชายวสวัต หยิบซองใส่เงินหนามาวางบนโต๊ะ
“อะไรคะ” ท่านผู้หญิงประหลาดใจ หยิบมาแล้วเปิดดู “เงิน...มาให้ฉันทำไม”
“ท่านผู้หญิงมีงานหลายเรื่องที่อยากทำให้สังคมไม่ใช่หรือทั้งกับมนุษย์...เด็กๆ ที่นี่...แล้วยังเรื่องสร้างซ่อมหลังคาโบสถ์ วัดที่ท่านผู้หญิงหาทุนอยู่” ท่านชายว่า
ท่านผู้หญิงหัวเราะเบาๆ เยื้อนยิ้ม เอื้อนเอ่ย “ทราบเรื่องของฉันเยอะจริง ขอโทษเถอะค่ะ ฉันจำไม่ได้ ว่าเราเคยพบกันที่ไหนมาก่อน คนแก่ก็แบบนี้”
“เอาเป็นว่าผมเพิ่งมาเมืองไทย แต่เป็นคนที่รู้เห็น และชื่นชมในกรรมดีที่ท่านผู้หญิง ปฏิบัติ เสมอมา”
ท่านชายวสวัตยิ้มให้กับท่านผู้หญิง แววตาที่มองมาดูอบอุ่น และทรงอำนาจในที นั่นทำให้สีหน้าอันประหลาดใจของท่านผู้หญิงคลายลง กลายเป็นรอยยิ้มตอบอย่างอบอุ่น

กลุ่มคุณหญิงคุณนาย ชะเง้อมองไปยังท่านผู้หญิงและท่านชายวสวัต
คุณนาย 1 เพ่งมอง “ใครกันน่ะคะ หล่อเหลือเกิน”
ทุกคนเห็นท่านชายยิ้มคุยอยู่กับท่านผู้หญิงอีกครู่หนึ่ง ท่านชายจึงลุกขึ้น ก้มไหว้ลาท่านผู้หญิงแขไข

ท่านผู้หญิงมองตามจนท่านชายเดินลับกายไป สุนีย์และกลุ่มคุณหญิงคุณนายเดินออกมาสมทบ
คุณนาย 1 ถามทันที “ท่านผู้หญิงขา ใครกันคะหล่อเหลือเกิน”
“สุนีย์ เอาไปลงบัญชีให้หน่อย เขียนว่าเงินบริจาค จาก...ท่านชายวสวัต”
ท่านผู้หญิงยื่นซองให้คนติดตาม
“ค่ะ” สุนีย์เปิดซองตาโต “โอ้โฮ เงินสดด้วย กี่แสนก็ไม่รู้ ไม่ใช่น้อยๆ”
คุณนาย คุณหญิง ทั้งหลายตื่นเต้น
คุณนาย 2 เอ่ยขึ้น “ต๊าย ท่านชายวสวัตนี่ ท่าจะรวยมากนะคะ”
คุณนาย1 เสริม “แบบนี้เวลาเราจัดงานการกุศล ก็ต้องเชิญมานะคะ”

ท่านผู้หญิงยิ้มสงบ มีคำถามที่อธิบายไม่ได้อยู่ในใจ

ระหว่างเดียวกันนี้ รถท่านชายแล่นอยู่บนถนนสายหนึ่ง ท่านชายวสวัตนั่งนิ่งอยู่ในรถ ยิ้มเย้ยหยันล้ำลึกออกมา

“มนุษย์...ให้คุณค่าของการนับถือกัน เท่ากับจำนวนเศษกระดาษที่มี แค่นั้นก็พอแล้วกับการเคารพกราบไหว้” หัวเราะเสียดสีออกมา “ภุมมะ ข้าได้ซื้อพื้นที่ของข้าบนโลกแล้วสินะ”
ภุมมะที่ทำหน้าที่ขับรถ สีหน้าเคร่งขรึมไม่ตอบ ขับรถเคลื่อนช้าๆ ไปตามทาง ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบา เนิบช้าของท่านชายลอยลมมา

หลายปีต่อมา ล่วงเข้าสู่ ปีปัจจุบัน พุทธศักราช 2557
วันนี้รถคันหนึ่งขับมาตามทาง โดยมีทนายวันชัยเป็นคนขับ อิศรา ซึ่งเติบโตเป็นหนุ่มฉกรรจ์ รูปร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา แม้อยู่ใต้แว่นดำนั่ง อิศราเอนกายกอดอกหลับอยู่ข้างคนขับ จากทัศนียภาพตามสองข้างทางบอกให้รู้ว่าเป็นต่างหวัด วันชัยเหลือบมองส่ายหน้า ไม่ว่าอะไร

อิศรายังหลับอยู่ในรถ ไกลออกไป เห็นวันชัยยืนคุยกับชาวบ้านหนึ่งคน ซึ่งคุยมาสักระยะแล้ว ก่อนร่ำลากัน ชาวบ้านไหว้ วันชัยเดินกลับมาที่รถ เปิดประตูก้มมาปลุก
“คุณอิศ ตื่นยังครับเนี่ย”
อิศราขยับตัว หาว พร้อมกับบิดขี้เกียจ
ทนายวันชัยส่ายหัวเอือมนิดๆ “เรียบร้อยแล้วครับ ผมสั่งให้คนสวนหารั้วมาล้อมรอบเขตไร่ของคุณหญิงแล้ว อีกสองสามวันผมจะแวะมาพาเจ้าหน้าที่มาดูหลักเขต”
“โอเค ครับ” ชายหนุ่มขยับจะนอนต่อ ทนายเรียกไว้
“เดี๋ยว คุณอิศอย่าเพิ่งหลับ มาเปลี่ยนขับรถสิครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมจะขอลงไปบ้านญาติที่ปากช่องนี่แหละ อีกนิดเดียวก็ถึง”
“ก็...อาทนาย ขับก่อนก็ได้ครับ พอถึงที่อาจะลง ผมแตะมือต่อเอง”
วันชัยถอนใจ ก้าวขึ้นรถ ขับรถออกไปเอง

รถอิศราแล่นมาจอดบริเวณถนนในตัวเมืองปากช่อง ทนายวันชัยลง อิศราลงมาสลับขับต่อ รถเคลื่อนออกไปแล้ว ทนายวันชัยมองตามส่ายหน้าระอา
“ไม่เอาอะไรกับใครเล๊ย คุณอิศนี่”

รถอิศราแล่นมาเร็วกว่าเดิม ชายหนุ่มขับมา มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ อย่างเซ็งๆ มือถือที่วางข้างเบาะดัง อิศราเอื้อมมือกดรับสาย
“ว่าไง นิกร”
นิกรกำลังยืนดื่มกาแฟอยู่ที่ระเบียงห้องที่คอนโด เบื้องหน้าเป็นวิวกรุงเทพฯ มุมหนึ่ง
“เฮ่ย เราเพิ่งตื่น ยังไม่หายแฮงค์เลย นายอยู่ไหน”
อิศราตอบสีหน้าทั้งเบื่อทั้งเซ็ง “ตรงไหนของมวกเหล็กก็ไม่รู้”
“เก่งนะ ไม่ยักแฮงค์ ยังขับรถไปได้ ว่าแต่ไปทำไมวะ”
“คุณย่าให้พาทนายมาสำรวจสมบัติคุณย่า”
“เออ เกิดมาโชคดีมีย่ารวยนะแก แล้วไง คืนนี้เจอกันมั้ย ที่ไอ้เกรียงไกรมันชวน จะไปรึเปล่า”
“ดูก่อนนะ ถ้าไม่เพลียมากจะไป แค่นี้นะ”
อิศรากดวางหู โยนมือถือลงเบาะ ขับไปต่อ
รถอิศราแล่นมาเรื่อยๆ อิศรากำลังขับเพลินๆ ปุ่มน้ำมันหมดแดงวาบ อิศราก้มมอง
“อ้าว เวรละ”
อิศราต้องจอดรถข้างถนน พยายามสตาร์ทรถ แต่ไม่ติด พอมองที่ปุ่ม น้ำมันหมดไฟแดงโร่
“โธ่เว้ย” อิศราลงจากรถท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านสุดขีด
เวลาผ่านไปสักระยะ อิศรายืนรอ เดินไปเดินมา มองไปทางไหนก็เห็นแต่ถนนทอดยาวสองทาง
มีรถขับผ่านไปบ้าง อิศราพยายามโบก แต่ก็ไม่มีใครจอด เขายิ่งหงุดหงิด
เวลาผ่านไปอีก อิศราร้อนมองไปมองมา ตัดสินใจ กดปุ่มล็อคประตูแล้วเดินไปทางหนึ่ง มือถือวางอยู่ที่เบาะที่เดิม
อิศราเดินมาเรื่อยเพื่อหาคนช่วย อากาศร้อนระเบิด แดดเปรี้ยง เห็นเปลวแดดระยิบ
“เฮ่ย”

เจริญขวัญสวมหมวกใบเก่งของพ่อรวบผมเข้าเก็บในหมวกจนหมด ใส่เสื้อผ้าหลวมโคร่งกำลังใส่โซ่จักรยาน อยู่ริมถนนหน้าไร่เจริญขวัญ
อิศราเดินมาสภาพเหงื่อโชก เหนื่อยจัด มาเห็นคนซ่อมจักยานอยู่ก็ใจชื้น ก้าวจ้ำมาด้านหลัง
“นี่ น้องชาย”
เจริญขวัญชะงักมือ แอบงง ที่มีคนเรียกหาน้องชาย เหลียวหาสองข้าง
“มองหาใคร พี่เรียกน้องชายนั่นแหละ นี่ปั้มน้ำมันอยู่อีกไกลมั้ยเนี่ย”
เจริญขวัญยังไม่ลุกหันมา พยักหน้าไปอีกทาง พลางบอก
“ไปตามทางโน้น...อีกสักสองโล”
อิศราชะงัก เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิง จะดูหน้าก็ก้มอยู่นั่น แถมปีกหมวกบังอีก เลยไม่สนใจ
“เฮ่ย...อีกตั้งสองโล ไม่ไหว...ร้อนจะตับแตก นี่” เขาเรียกด้วยเสียงไม่มั่นใจ “น้อง ช่วยหน่อยได้ไหม ไป ซื้อน้ำมันใส่แกลอนมาให้พี่หน่อยพอดี...รถพี่จอดตายอยู่ทางโน้น”
อิศราพัดวีตัวเองไม่หยุด เจริญขวัญใส่โซ่เสร็จพอดี ลุกขึ้นหันมาหา อิศราชะงัก
“น้อง...ผู้หญิงจริงด้วย นึกว่าเด็ก”
เจริญขวัญเห็นอิศราเหงื่อโชก หน้าแดงท่าทางร้อน เอื้อมมือไปหยิบกระติกน้ำ ยื่นส่งให้
“อะไร”
เจริญขวัญยิ้มบอก “น้ำองุ่นค่ะ”
อิศราไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะสะอาดไหม รับมาดมแล้วเบ้ปากนิดๆ
“สกปรกหรือเปล่าเนี่ยน้อง ไม่มีพวกน้ำขวดเหรอ”
เจริญขวัญคลายยิ้ม เสียงเข้มขึ้น “ไม่มีค่ะ”
อิศราค่อยๆ ยกกระติกดื่ม ท่าทีกังวลว่าจะสกปรก ก่อนจะรู้สึกว่าอร่อย เลยดื่มอั๊กๆ เลยทีนี้ เจริญขวัญลอบมอง ขำกึ่งหมั่นไส้
“เอ้อ แล้ว..เรื่องไปซื้อน้ำมันเอาไงดี น้องช่วยหน่อยได้ไหม อ้อ พี่จ่ายเงินให้” อิศราควักกระเป๋ามายื่นเงินให้ แล้วยิ้มกว้าง “นะ”
เจริญขวัญตัดสินใจครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายลมหายใจอย่างเอือมระอา กับท่าทางลำพอง ขี้หงุดหงิดของอิศรา
เจริญขวัญขี่จักรยานไปเลย อิศราหุบยิ้ม ตกใจตาเหลือก วิ่งตามจักรยาน
“เฮ่ย น้องๆ จะไปไหนล่ะ จะไปซื้อน้ำมันให้พี่เหรอ”
เจริญขวัญไม่ตอบ เร่งปั่นล้ำหน้าหนีไปเลย อิศราชะลอเท้าเป็นงง
“เฮ้อ..พูดรู้เรื่องรึเปล่านี่” ชายหนุ่มส่งเสียงตะโกนตามไป “น้ำมันเบนซินนะน้องนะ”

เจริญขวัญขี่จักรยานเข้าไปในไร่แล้ว มีอิศราบ่นบ้าอยู่ด้านหลัง เจริญขวัญระอาปนขำๆ
“คนอะไร้ เอาแต่ใจตัวเองจริงๆ”

เจริญขวัญส่ายหัว แล้วขี่จักรยานไปต่อ

อิศรานั่งบนขอนไม้ตรงเพิงหน้าไร่เจริญขวัญ สีหน้าหงุดหงิด ชะเง้อมองหาเจริญขวัญ

“หายไปไหน เฮ่อ ไปซื้อน้ำมันให้รึเปล่าวะเนี่ย”
อิศราตบกระเป๋าตัวเอง หามือถือไม่เจอ
“เฮ่ย...มือถือ...เฮ่ย ดันทิ้งไว้ในรถซะอีก”
อิศราหันมาเห็นกระติกน้ำวางอยู่ ก็ยกขึ้นมา ดื่ม แล้วรู้ว่าหมด ก้มดู แล้วพยายามยกกระติกเทจนใส่ปากจนหยดสุดท้าย
ไม่นานนัก ตาพุดขับรถกะบะของไร่มาจอด ชะโงกหน้าออกมาจากรถ
“คุณ คุณที่รถน้ำมันหมดใช่มั้ย”
อิศรายิ้มออก “ใช่ครับ ใช่”
“เอ้า..ขึ้นรถเลยครับ”
อิศรายิ้มร่า วิ่งไปเปิดประตูขึ้นรถตาพุดไป

ตาพุดยกถังที่ใส่สายเทน้ำมันใส่รถให้อิศราเสร็จ อิศรายืนพิงรถมอง
“เสร็จแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
อิศราควักกระเป๋าเงินหยิบมาพันหนึ่ง “เอ้า” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง
ตาพุดมองเงินงงๆ
“รับไปสิ ฉันให้ อ้อ เอาไปแบ่งกับน้องผู้หญิงคนนั้นด้วยนะนี่กระติกน้ำของน้องเค้า ฝากคืนด้วย”
ตาพุดรับกระติกมามองค้อนอิศรา แล้วนึกได้ ควักกระดาษแผ่นเล็กออกมายื่นให้ชายหนุ่ม
อิศราเป็นฝ่ายงง “อะไร”
“คุณขวัญฝากมา อ่านดูสิครับ”
“คุณขวัญ” อิศรางุนงง แต่เปิดกระดาษออกอ่าน ที่กระดาษ มีลายมือเขียนไว้ว่า
“แค่คำว่า ขอบคุณ ก็พอ”
อิศราสะอึก หน้าม้านนิดๆ ตาพุดยักคิ้ว
“ไงครับ”
อิศรากระอึกกระอัก “ก็...เอ้อ...ขอบคุณ”
ตาพุดแกล้ง “อะไรนะครับ ไม่ได้ยิน”
อิศราหงุดหงิด “ขอบคุณ แต๊งกิ้ว ของคุณมาก”
“แหม มีภาษาปะกิดด้วย ผมรู้ภาษาจีน เซี่ยเซี้ยหนี่...” ตาพุดหัวเราะ “โอเค” แล้วตะเบ๊ะให้ “ไปล่ะครับ”
ตาพุดขึ้นรถ อิศรามองกระดาษในมืออีกครั้ง บ่นงึมงำ สีหน้าหงุดหงิด
“บ้า นี่จะหาว่าเราไม่มีมารยาทใช่ไหมเนี่ย”
ตาพุด โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถ
“เอ ผมคิดว่า ใช่นะครับ” ชายชราหัวเราะ “ไปล่ะครับ บ๊ายบาย”
รถตาพุดแล่นออกไป

อิศราขยำกระดาษ ก้าวขึ้นรถปิดประตูปัง ขับออกไป กระดาษถูกขยำโยนทิ้งไว้ข้างๆ มือถือนั่นเอง

วันต่อมา ท่ามกลางท้องฟ้าสว่างสดใส ตัดกับผืนน้ำทะเลสีครามนั้น ร่างอันงดงามของสาวสวยนางหนึ่งกำลังเล่นกีฬาทางน้ำอยู่อย่างเพลิดเพลิน ไม่ใช่ใคร เธอคือ ชาลินี
บนเรือที่ลอยลำอยู่กลางทะเล มีชายคนหนึ่งกำลังใช้กล้องส่องทางไกลมองไปที่ร่างงามของชาลินี เป็นสุวิทย์ สามีของปวีณา ที่กำลังมองชาลินีอยู่อย่างไม่วางตา
อีกมุมบนเรือลำเดียวกัน ปวีณา อรอนงค์ วัลภา กลุ่มก๊วนเพื่อนไฮโซของชาลินี นั่งอาบแดดกันอยู่ ท่าทางมีความสุข สายตามองไปที่ชาลีนี
ปวีณาเอ่ยขึ้น “ยายชาลินี ไปไหนๆ ไม่เคยพ้นการ โชว์ออฟ”
วัลภาเห็นด้วย “นั่นสิ คงคิดว่าตัวเองสวยซะเต็มประดา”
อรอนงค์ท้วง “เค้าก็สวยจริงนี่นา ดูหุ่นเขาสิ
ปวีณานึกออก “นี่ๆ จำ แมกกาซีนเล่มก่อนที่เขาถ่ายแบบสาวไฮโซกับคุณหญิงแม่เขาได้ไหม...ต๊าย เปิดดูตอนแรก ชั้นนึกว่าเค้าไม่ได้ใส่อะไร ซีทรูซะขนาดนั้น”
วัลภาค่อนขอด “ก็ป่านนี้แล้วยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน คงกะถ่ายโชว์สินค้า ให้ผู้ชายในฮาเร็มหล่อนน้ำลายไหล”
วัลภา ปวีณาหัวเราะกันแล้วทำไฮไฟว์ อรอนงค์ขำตาม แต่นึกตะขิดตะขวงในใจ
“นี่พวกเธอเป็นอะไร นินทาเพื่อนอยู่ได้”
วัลภาบอก “อ๊ะ เพื่อนมีไว้ให้นินทาไม่รู้เหรอ เธอลองลุกไปสิ เดี๋ยวพวกชั้นก็นินทาเธอ”
วัลภา ปวีณา หัวเราะกันอีก อรอนงค์พลอยหัวเราะตาม
“บ้า...อ่ะ นั่น มาแล้ว”
สามสาวมองไป สุวิทย์ที่ยืนห่างออกมามองตาม
ชาลินีก้าวขึ้นเรือจากเรือเล็ก ด้วยชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่ ชาลินีหยิบผ้ามาเช็ดผม สะบัดๆ ผมสวยไปมา ใบหน้าสวยและเรือนร่างอันสวยงามของชาลินี ทำเอาสุวิทย์ลอบมองอย่างพึงใจใต้แว่นดำ
วัลภายังอิจฉา พูดขำๆ “แหม ก็หุ่นแบบนั้น หน้าแบบนี้ จะไม่ให้อิจฉาไงไหว”

ที่ร้านอาหารชายทะเลบรรยากาศน่านั่ง บนเตาปิ้งย่าง เห็น กุ้ง หอย ปู ตัวโต ย่างอยู่ ควันฉุน โดยมีพนักงานคอยปิ้งให้ ทั้งหมดนั่งทานอาหารด้วยกัน สุวิทย์นั่งเคียงกับปวีณา กำลังแกะกุ้งให้ภรรยา มีวัลภาและอรอนงค์นั่งอยู่แล้ว สุวิทย์ เอากุ้งป้อนปวีณา
“อ้ำ ระวังนะครับ กำลังร้อน”
“ขอบคุณค่ะ ฮันนี่” ปวีณาทานอย่างอร่อย
วัลภากระแอม “แหม..แหม...สามีภรรยาคู่นี้ สวีทจนน้ำตาลเรียกพี่แล้วนะจ้ะ”
อรอนงค์ วัลภา หัวเราะกิ๊วก๊าว
ชาลินีในชุดใหม่ เดินมาพอดี หล่อนสวมหมวกรับชุดสวย สวมแว่นดำทรงเก๋อีกด้วย
“น่ารักจริง” ชาลีนีถอดแว่นออกยิ้ม “จะยั่วให้เพื่อนๆ อิจฉาหรือคะ”
สุวิทย์หัวเราะ
อรอนงค์ทัก “หิวไหมจ้ะ ชาลินี”
“โอ๊ย หิวตาลายแล้วจ้ะ เมื่อกี้คงใช้พลังงานมากไป อื้อหือ หอมฟุ้งเลย”
“เอาสินี่ไง” อรอนงค์ตักอาหารให้ “กำลังร้อนๆ”
“กุ้งนี่ผมแกะไว้พอดี เชิญครับ” สุวิทย์ตักกุ้งให้
ชาลินียิ้ม “เอาไว้ให้ปวีณาเถอะค่ะ ชาไม่ชอบทานของใคร”
ชาลินีปรายดวงตามหาเสน่ห์มองมายังสุวิทย์ วัลภากำลังยกช้อนตักอาหารเข้าปาก ชะงักเห็นภาพนั้นพอดี
ชาลินีทานอาหารไป ทำเหมือนไม่สนใจสุวิทย์ หัวเราะหัวใคร่กับอรอนงค์ แต่ยิ้มปรายตามองสุวิทย์นิดๆ

วัลภาเห็นอีก เหลือบมองคนนั้นทีคนนี้ที ท่าทีเคลือบแคลงสงสัยเอามาก

ขณะที่ชาลินีเดินทอดอารมณ์สบายๆ มาตามริมหาด พลัน มีมือใครคนหนึ่งดึงแขนชาลินีเข้ามาหลังต้นไม้ สุวิทย์นั่นเองเป็นคนดึงชาลินีมา

“อุ๊ย สุวิทย์”
“ชาลินี ผมคิดถึงคุณ”
สุวิทย์กอดชาลินี และจะจูบชาลินียกมือปิดปากเขา
“เล่นอะไรอย่างนี้คะ ไม่กลัวเมียเห็นเหรอ ปล่อยค่ะ”
สุวิทย์ยอมปล่อย “โธ่...คุณรู้ตัวบ้างไหมว่าคุณทำผมแทบคลั่ง ยิ่งตอนเห็นคุณในชุดว่ายน้ำอกผมจะระเบิดให้ได้ ผมชวนคุณมาแค่เราสองคนคุณก็ไม่ยอม”
ชาลินีหัวเราะ “มากับคุณสองคน เดี๋ยวชาลินีก็เสียท่าคุณน่ะสิ ชั้นไม่ชอบเรื่องลักกินขโมยกินของเพื่อนหรอกนะคะ”
“ผมบอกแล้วไง ว่ารอผมอีกนิด คุณก็รู้ ว่าคุณพ่อเขาเป็นหัวหน้าพรรคของพ่อผม ผมไม่อยากทำให้คุณพ่อมีปัญหา ไว้ให้ย้ายพรรคก่อน เถอะ ผมหย่าจากเขาแน่นอน”
“ถ้าความรักของคุณต้องรอคุณพ่อย้ายพรรค งั้นเรื่องของเราหยุดพักยาวไปเลยไหมคะ อย่าให้ชาลินีเสียเวลาเลยผู้ชายโสดคนอื่นมีออกถมไป”
ชาลินีจะเดินหนี สุวิทย์หงุดหงิด รวบแขนสองข้างชาลินีไว้
“จะฆ่าผมให้ตายใช่ไหม พูดแบบนี้”
ชาลินีจับมือสุวิทย์ออก “เอาไว้ให้คุณเป็นอิสระจริงๆ ก่อน ค่อยมาคุยกันนะคะ อ้อ..ถ้าตอนนั้น ชั้นยังว่างนะ”
ชาลินีหัวเราะยั่วยวน รีบเดินหนีไป ทิ้งสุวิทย์ไว้กับความงุ่นง่านของตัวเอง

ชาลินีเดินเร็วรี่มาแล้วหยุดหันกลับไปมองด้านหลัง หัวเราะคิก
“พ่อไก่แจ้เอ๊ย...ปวีณา ฉันจะเตือนเธอยังไงดีนะว่ามีสามีเจ้าชู้ขนาดนี้ นี่อุตส่าห์ชวนมาเที่ยวให้เห็นๆ ยังไม่รู้ตัวอีก”
ชาลินีเดินไปทางก๊วนเพื่อน

สามสาม อรอนงค์ ปวีณา วัลภา นั่งเม้าท์กันอยู่ที่เก้าอี้ริมหาดอีกมุมหนึ่ง
วัลภาเปิดประเด็น “ถามจริง พวกเธอไม่เคยสังเกต เวลาชาลินีกับคุณสุวิทย์ของเธอ เค้าคุยกันมองกันบ้างเหรอ”
ปวีณาหูผึ่ง “ทำไม มีอะไร มันเป็นยังไงเหรอ บอกสิๆ”
อรอนงค์ปลอบ “ใจเย็นๆ ลมเพชรหึงขึ้นแล้ว วัลภา เธอก็ชอบจับผิด”
“เฮ่ย ชั้นมันคนเรดาห์แรงต่างหาก ชาลินีเคยคบใครจริงจังมั่งถามหน่อย แล้วคุณสุวิทย์ก็เป็นลูกสอสอ อนาคตรอมอตอ ขนาดนี้ ใครมั่งไม่อยากได้”
“แต่ชาลินีพ่อเป็นนายพล คุณแม่คุณหญิง” อรอนงค์ท้วง
วัลภาโต้ “โอย นายพลเกษียณแล้ว คุณหญิงแม่ก็มีแต่งานสมาคม โฉบไปโฉบมา ชาลินีไปอเมริกาก็ไม่เห็นว่าจะจบอะไร งานก็ไม่ได้ มีแต่สวย ควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้า”
ชาลินียืนหลังต้นไม้ด้านหลังของสามสาว ได้ยินตลอด มือข้างตัวกำแน่น
“เธอนี่...ร้ายอ่ะ แต่ชาลินีเค้ามีผู้ชายในฮาเร็มตั้งเยอะนะ” อรอนงค์ว่า
“ชาลินี พยายามค้นฟ้าหาแต่ผัวรวยๆ มากกว่า แต่เขาเหมือนแค่พลอยหุงสีสวยที่ผู้ชายก็แค่อยากได้ เล่นๆ แล้วก็ทิ้งเท่านั้น” ปวีณาหัวเราะร่า
ชาลินีแค้น เจ็บใจมือข้างลำตัวหล่อนกำแน่นมากกว่าเก่า
ปวีณายังคุยข่มต่อ “ไม่เหมือนอย่างชั้น เพชรน้ำหนึ่งนะยะ ศักดิ์ศรีน่ะ คนละชั้น”
อรอนงค์ค้อน “แรงนะเธอนี่”
วัลภาเย้า “จ้า แม่เพชรน้ำหนึ่ง ว่าแต่ว่า เอ๊ะ ๆ ๆ สามีเธอกับแม่พลอยหุงหายไปไหนกันสองคน”
“ตายแล้ว จริงด้วย ไปไหนกันน่ะ ตายแล้วๆ” ปวีณาเหลียวรอบตัว
สามคนเริ่มหันมองหา
วัลภาแกล้งทำเป็นก้มดูใต้โต๊ะ “อยู่ใต้โต๊ะหรือเปล่า”
อรอนงค์ด่า “บ้า ใครจะไปอยู่ใต้โต๊ะ”
ชาลินีปรับสีหน้า สวมแว่นดำ เดินออกมา ยิ้มบางๆ
“ไปไหนมาน่ะ ชาลินี” ปวีณาทัก
“ห้องน้ำ ทำไมเหรอ....เพื่อน” ชาลินีเลิกคิ้วยิ้มมุมปาก
“เธอเห็นคุณสุวิทย์ของชั้นมั้ย”
ชาลินียิ้ม “เห็น... โน่นไง”
สุวิทย์เดินมาอีกทางหนึ่ง พร้อมขวดน้ำดื่มใส่ถุงมา
“สุวิทย์ ฮันนี่คะ ไปไหนมาคะตั้งนาน”
“ไปซื้อน้ำดื่มให้ไงครับ” สุวิทย์ส่งน้ำให้ทุกคน
ชาลินีดื่มน้ำสีหน้าเรียบเฉย มองสามสาวอย่างซ่อนความขุ่นเคืองไว้ในใจ มือกำขวดน้ำจนเกร็งพึมพำกับตัวเองเจ็บใจ “เพื่อน”
ชาลินีหันไปมอง สุวิทย์กับปวีณาที่คุยจู๋จี๋กันอยู่
สุวิทย์เหลือบตามามอง ชาลินีแอบส่งยิ้มหวานให้ สุวิทย์ชะงักลอบยิ้มพึงใจ
ชาลินีจิบน้ำ แต่ส่งสายตาหวาน หว่านเสน่ห์อันล้นเหลือไปที่สุวิทย์ ในท่าทีเย้ายวน

เสียงเพลงดังมาจากข้างใน ขณะรถอิศราแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าคลับชื่อดังแห่งนี้ตอนค่ำ
ประตูรถเปิดออก อิศราในชุดสูทเนี้ยบ ลงจากรถ เงยหน้ามองที่ป้าย โลกันต์ คลับ - logun club

จังหวะนี้ ไกลออกไปสายฟ้าฟาดเปรี้ยงกลางท้องฟ้า และเสียงฟ้ารองครืนครันมาไกลๆ

อ่านต่อหน้า 4

เงา ตอนที่ 1 (ต่อ)

ภายในคลับ ตกแต่งอย่างหรูหรา ดูดีมีรสนิยม เป็นคลับของคนรวย เสียงเพลงคลอเบาๆ ผู้คนในคลับแต่งกายหรู สวยงาม อิศราเดินผ่านกรอบประตูเข้ามา เหลียวหานิกร เพื่อนที่นัดไว้ พลางมองบรรยากาศโดยรอบอย่างตื่นตา

พนักงานในร้านมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกันหมด บ๋อย1 เดินมาตรงหน้าอิศรา สีหน้าบ๋อย 1 เคร่งขรึมและซีด
บ๋อยขวาง พูดทื่อๆ “ขอดูบัตรผ่าน”
อิศรางง “บัตรผ่าน”
“ไม่มี เข้าไม่ได้”
นิกรเดินมา “เฮ้ อิศรา” แล้ววิ่งตรงมา “เพื่อนอั๊วเอง นี่ บัตรของเราสองคน บังเอิญอยู่กะอั๊ว”
บ๋อยดูบัตรแล้วค้อมศีรษะนิดๆ “เชิญ”
สองคนเดินเข้าไป อิศราเหลียวมาดูบ๋อยที่ยืนนิ่งอยู่นั้น
“พนักงานตรวจบัตรที่นี่ หน้าตา ท่าทางพิลึกจริง”
บ๋อยใบหน้าซีดขรึม มองตามอิศราและนิกร

สองหนุ่มเดินคุยกันมาตามทางเดินอีกมุมหนึ่งในคลับโลกันต์
“คลับโลกันต์นี่มันเข้ายากสมคำร่ำลือจริงๆ แฮะ นายได้บัตรเชิญ หรือเรียกให้ถูก ต้องเรียกว่า บัตรผ่าน นี่มาได้ยังไงวะ” อิศราถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ก็ไอ้เกรียงไกรไงเล่า หมอนี่มันเล่นหนักที่นี่ เลยได้บัตรมาแจกเรา”
“ที่ใหญ่โต อยู่กลางเมือง เปิดบ่อนได้นี่ไม่ธรรมดา ของใคร” อิศราคาใจ
“เจ้าของเป็นเจ้าชายเชื้อสายมาทางเหนือๆ ของอินเดียหรือเนปาลอะไรโน่นเราไม่แน่ใจ แต่ท่านชอบออกสังคม บริจาคเงินการกุศลทีห้าล้านสิบล้าน บ่อยไป”
“ชอบบริจาคเงินการกุศล แต่มาเปิดบ่อน คนอะไรวะ มีสองด้านต่างกันสุดกู่จริงๆ” อิศราฉงนฉงาย
“ก็ทุกคนล่ะว้า บางคนสามด้านสี่ด้าน แล้วแต่จะแบด้านไหนให้ใครเห็น เฮ่ย...ทางนี้”
อิศราตามนิกรไป

นิกรพาอิศรมาจนถึงห้องหนึ่ง ทั้งสองก้าวเข้าไปในห้องกว้าง มีโต๊ะเล่นไพ่โต๊ะเดียว และมุมเก้าอี้โซฟารับรองลูกค้า มีรูปปั้นลูซิเฟอร์วางเป็นของตกแต่งอยู่มุมหนึ่ง
เกรียงไกรกำลังขมวดมุ่นกับการเล่นไพ่ ท่านชายวสวัต และ นักพนันชายอีก 4 คน มีผู้หญิงแต่งตัวสวย ยืนเบื้องหลังล้อมดูอยู่อีก 2-3 คน
อิศรา นิกร เดินมานั่งตรงมุมรับรองมองวงไพ่อย่างลุ้นระทึก
“เจ้าเกรียงไกรท่าจะเสีย ดูหน้ามัน”
บ๋อยถือถาดเครื่องดื่มมาให้สองหนุ่มเลือกหยิบ
“คนไหน เจ้าของคลับที่ว่าเป็นเชื้อเจ้าที่นายว่า” อิศราถาม
“นั่นน่ะ ที่นั่งดวลกับเจ้าเกรียงไกรอยู่...ท่านชายวสวัต” นิกรบุ้ยใบ้ไปยังท่านชาย
อิศรามองไปเห็นเพียงแผ่นหลังท่านชาย

บนโต๊ะไพ่ตอนนี้ คนนั่งเล่นอยู่อีกสองคน เป็นไพ่หมอบ เหลือเพียงเกรียงไกรเล่นกับท่านชายวสวัต
เกรียงไกรหยิบชิปหน้าตักเข้ากอง “ผมตาม ขอดู”
ริมฝีปากท่านชายคลี่ยิ้ม
“อยากดู” มือท่านชาย ดันกองชิปกองโตไปกองกลาง “งั้นก็ต้องให้สมคุณค่าหน่อยนะ เกรียงไกร”
เกรียงไกรพยายามเก็บอารมณ์ มองดูไพ่ในมือก็รู้สึกดีขึ้น หรี่ตามมองไปทางท่านชาย ก็เห็นเพียง ท่านชายนั่งถือไพ่แบบสบายอารมณ์ ยิ้มพราย
“คราวนี้ท่านมาลักไก่ผมไม่ได้แน่ ผมไม่เชื่อหรอก ว่าท่านจะมือดีกว่าผม” เกรียงไกรผลักชิปเข้ากองกลางหมดและพยายามยิ้ม
คนที่ดูอยู่ฮือฮา
นิกร อิศรา ลุกเดินเข้าร่วมวงคนมุง อิศรามองไปทางท่านชายที่กำลังยิ้มบางๆ
“ถ้าคุณเชื่อเช่นนั้น...”
เกรียงไกรเปิดไพ่อย่างมั่นใจ “Straight”
“โอ้โห เรียงสีเรียงสูงว่ะด้วย เพื่อน งี้เดี๋ยวต้องให้มันเลี้ยง” นิกรตื่นเต้นราวกับเล่นเอง
คนล้อมวงปรบมือ เกรียงไกรชูสองมือ มั่นใจมาก
มือท่านชายคลี่ไพ่วางแบกับโต๊ะ คนที่ปรบมือรามือลง เกรียงไกรหันมามองลุ้น
ริมฝีปากท่านชายวสวัตยิ้ม ไพ่ที่วางแต้มสูงกว่า คนที่รายล้อม ฮือฮา ปรบมือ
เกรียงไกรไม่เชื่อ “เฮ่ย เป็นไปได้ยังไง”
อิศราพึมพำ “Royal Straight Flush เรียงตัวใหญ่ทั้งนั้น”
นิกรเองก็ทึ่ง “โอ้โฮ...มือเทพนี่หว่า แบบนี้ ตายๆ ไอ้เกรียงไกร จบกัน”

อิศรามองไปที่แผ่นหลังท่านชายพลางขยับไปด้านข้างเพื่อดูหน้าท่านชายให้ชัดขึ้น แต่เก้าอี้ที่ท่านชายนั่ง มีคนยืนบังอยู่ อิศราขยับเข้าไปใกล้อีก
พอมองผ่านคนที่บังเก้าอี้นั้นไว้ ปรากฏว่า ไม่มีร่างท่านชายนั่งอยู่แล้ว
“อ้าว”

อิศราเหลียวหา อย่างแปลกใจ

บรรยากาศภายในห้องส่วนตัวท่านชายวสวัต ในคลับโลกันต์ ตอนนี้ วังเวง น่ากลัว ทั้งห้องมีแสงสลัวพอให้เห็น

สิริ และ บ๋อย 1 กดตัววิญญาณชาย 1 ที่เพิ่งตายมา ตรึงไว้
“อะไร นี่มันอะไรกัน จับอั้วมาทำไม ปล่อยนะโว๊ย”
วิญญาณ ชาย 1 ดิ้น ทำท่าจะลุก โดนสิริ กับบ๋อย1 กดลง
เสียงทรงอำนาจดังขึ้น “คุกเข่า คุกเข่า”
ท่านชายวสวัตในชุดดำชุดใหม่ เคลื่อนตัวออกมาจากมุมหนึ่ง ตรงมา
ชาย1 ตกใจ “ท่านชาย อะไรกันครับเนี่ย”
“เวลาของเจ้าบนโลกมนุษย์ หมดลงแล้ว จากนี้ เจ้า...ต้องทำงานรับใช้ข้า ตามสัญญาของเรา”
“สัญญาอะไร เวลาบนโลกหมด ผมไม่เข้าใจ” ชาย 1 คิด สีหน้างุนงง
ภุมมะก้าวออกมา ยื่นกระดาษชูขึ้นตรงหน้า ชาย1 จ้อง เห็นเป็นสัญญาที่มีลายเซ็นตัวเองกำกับ ชาย 1 หวนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นภายในห้องรับรองพิเศษของคลับโลกันต์
ท่านชายวสวัตนั่งอยู่ในนั้น เลื่อนกระดาษสัญญาบนโต๊ะไปตรงหน้าของ ชาย 1 ที่เล่นจนหมดตูด
ชาย 1 หัวเราะละโมบ “ท่านชายจะให้เงินผมเป็นล้าน แลกกับการเซ็นสัญญากันเล่นๆ กันแค่นี้เองเหรอครับ”
ท่านชายยิ้ม “จะได้ไม่คิดว่าชั้นให้ฟรีๆ ถือว่าฉันซื้อ...” พญามารทำเป็นคิด แล้วคลี่ยิ้มออกมา พูดทีเล่นทีจริง “วิญญาณของเธอแล้วกัน”
ภุมมะก้าวออกมาพร้อมถาด มีเงินตั้งวางอยู่ ชาย 1 ตาโต
ท่านชายพูดย้ำจริงจัง “คิดให้ดีก่อน เพราะถ้าเธอเซ็นสัญญาแล้ว บิดพลิ้วไม่ได้”
ชาย1 หันไปมองยังโต๊ะไพ่ ที่มีชายอีกสองสามคนเล่นไพ่กันอยู่ และมีบ๋อย 1 ยืนแจกไพ่สีหน้าราบเรียบนิ่งขรึม
ชาย1หันมาด้วยสีหน้ามีแววโลภมาก “ไม่เอาก็โง่สิครับ” เขาหัวเราะร่วนก้มลงเซ็นชื่อ “ท่านใจดีสมกับที่เขาร่ำลือจริง ๆ”
ระหว่างที่ชาย1 ก้มเซ็น ท่านชายมองคลายยิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
เมื่อได้เงินมา ชาย1 เล่นไพ่ อย่างมือขึ้น หัวเราะร่า ชิปถูกเลื่อนมาด้านเขากองโต บ๋อยชาย1 ยืนหน้าเรียบ

ไม่นานต่อมา ชาย1เมาแอ่นโอบบ่าหญิงสาวเข้ามาในห้องโรงแรมม่านรูด ท่าทางร่างเริงเต็มที่ พอมาถึงเตียง ก็ผลักหญิง1 ลง ก่อนจะควักเงินตามกระเป๋ากางเกงมาโยนลงบนเตียง หญิง 1 ท่าทางดีใจไปด้วย แต่สายตามีเลศนัย
ชาย1 ลงนั่งเตียงโอบหญิงสาวลงนอน แล้วก้มจูบ ชาย 1 เงยหน้าจากการจูบนั้น กำลังยิ้มอยู่ แต่พอมองหญิงสาวก็ตกใจตาเหลือกลาน ด้วยตอนนี้หน้าสวยของหญิงสาว กลายเป็นใบหน้าผี น่ากลัว
ชาย1ร้องลั่น จนเกิดอาการหัวใจล้มเหลว ผงะพยายามลุกจากเตียงโผไปทางประตู แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ตกใจสุดขีด เมื่อ บ๋อย 1 ปรากฏตัว แล้วอ้าปากคำราม ปากกว้างแหกหน้ากลายเป็นผีดูน่ากลัว
ชาย 1 ตะลึงตาเหลือกลาน หัวใจวาย ล้มตายคาที่

วิญญาณชาย1 จดจำได้ ผงะมองหน้าบ๋อย 1 ตะลึงงัน หวาดกลัวอย่างรุนแรง รู้ตนว่าตายแล้ว อารมณ์หลากหลายประดังมาทั้งเศร้าโศก ตกใจ และกลัว
“นี่...ผมตายแล้ว” ชาย 1 เงยหน้ามอง “ท่าน...ฆ่าผม เพื่อจะเอาวิญญาณผม” ชาย 1 ร้องไห้เป็นการใหญ่
“มันถึงเวลาที่เจ้าหมดวาระบนโลกแล้ว และเจ้าก็เป็นคนเลือกเอง บัดนี้ วิญญาณของเจ้าเป็นทาสของเราแล้ว...สิริ”
“เจ้าข้า” สิริน้อมรับ
“นำตัวมันไปทำงาน...ลงสู่ สัญชีพนรก”
“เจ้าข้า”
วิญญาณชาย1ดิ้นรนร้องโหยหวน

ตรงมุมโซฟารับรองในห้องเล่นไพ่ อิศรากำลังยกแก้วขึ้นจิบ แต่ต้องชะงักเหมือนได้ยินเสียงแว่วๆ อิศราเหลียวหา
“อะไรวะ” นิกรแปลกใจท่าทีเพื่อน
“นายได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ไหม อย่างกะเสียงคนร้อง”
“ได้ยิน” นิกรหัวเราะ “นี่ไง เสียงไอ้เกรียงไกรร้องโศกเศร้าอาดูร เสียดายเงินตั้งสี่แสน”
เกรียงไกรเซ็ง “โฮ๊ย อย่าย้ำ มันปวดใจ”
อิศราหัวเราะ “นายมันบ้า ดันหาญกล้าเอากระเป๋าเงินน้อยๆ ของนายไปเกทับกับกระเป๋ามหาเศรษฐี ไม่รู้จักดูตัวเองเลย ชื่อท่านอะไรนะ ท่านชาย วะสะ…”
เสียงท่านชายดังขึ้น “วสวัต”
อิศราชะงักหันมา เห็นท่านชายวสวัตยืนอยู่ ทรงสง่า ยิ้มบางๆ
“ฉันชื่อ วสวัต”
เกรียงไกรเอ่ยขึ้น “ท่านชายวสวัต ขอแนะนำให้รู้จักเพื่อนของผมเองครับ นี่นิกร ท่านเคยพบแล้ว ส่วนรายนี้ ชื่อ... อิศราครับ”
อิศราค้อมศีรษะไหว้อย่างงดงาม สองชายยืนมองสบตากัน เจอกันครั้งแรก
“ยินดีที่ได้รู้จัก...อิศรา”

ต่อมา ท่านชายนั่งที่เก้าอี้เดียวที่มีพนักพิง ท่าทางสง่างาม อิศรา เกรียงไกร และนิกร นั่งอยู่ที่ชุดโซฟา กับ ผู้หญิงทั้งสามคน ภุมมะ ยืนอยู่มุมหนึ่ง อิศราลอบมองท่านชายวสวัตไม่วางตา
ท่านชายพูดขึ้นโดยไม่หันมามองอิศรา “เธอจ้องฉันนานแล้วนะ อิศรา...” พลางหันมายิ้มให้ “ทำไม....ฉันเหมือน...ใคร...ที่เธอรู้จักงั้นเหรอ”
“เอ้อ...ขอโทษครับ คือ...ผมพยายามนึกว่าเคยพบท่านมาก่อนหรือเปล่า...แต่ถ้าเคยพบกันจริงๆ ก็ไม่น่าจะลืม”
ท่านชายมองอิศราอย่างลึกซึ้ง สีหน้ารำลึกถึงอดีตชาติ

เสียงรบพุ่ง และเสียงโห่ร้องดังกึกก้องขึ้น โดยในอดีตชาติ ท่านชายวสวัต เกิดเป็น พระยาเจนศึก ส่วน อิศรา เกิดเป็น ขุนไกร เป็นยอดนักรบทั้งคู่

ขุนไกรในชุดนักรบ ตัวเต็มไปด้วยเหงื่อและคราบเลือด มือถือดาบคู่หอบหนัก
“ข้าศึกล้อมเราแทบทุกด้าน คงเหลือแต่ทางช่องเขาสามยอดทางไปสู่คูเมือง ที่พวกมันมิรู้ ท่านพระยาจะจัดการเยี่ยงไร”
พระยาเจนศึก เหงื่อโชก ตัวเป็นมัน มีริ้วรอยเพิ่งผ่านการต่อสู้เช่นกัน หน้าตาดุและเหี้ยมเกรียมมากๆ
“แบ่งกำลังเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งต้านข้าศึกทางนี้ไว้ให้นานที่สุด อีกส่วนหนึ่ง ตามเรากลับไป ช่วยในเมืองหลวง”
ขุนไกรจะไป แต่หันกลับมา “อย่างนั้น ชาวบ้านที่เราคุมเป็นตัวประกันไว้เล่า...เราจักไปปล่อยมัน”
พระยาเจนศึกสวนออกมา “ไม่ได้ พวกมันอาจรู้เห็นทางลับที่เข้าเมืองแล้ว หากแพร่งพราย ข้าศึกไปตามทางลัดนั้นได้ เราจักไปช่วยในเมืองมิทันการ” พระยาเจนศึกประกาศก้อง “ฆ่ามันมันให้หมด! ไม่เว้นแม้ลูกเด็กเล็กแดง...อย่าให้เหลือแม้แต่ปากเดียว”

ขุนไกรตะลึง

ท่านชายวสวัตดึงตัวเองออกมา แต่ยังคงมองจ้องอิศรานิ่งอยู่อย่างนั้น มีสีหน้าเจ็บปวดกับความรู้สึกผิดชั่ววูบหนึ่ง อิศรามองท่านชายที่เงียบไปอย่างฉงน

สุดท้ายยิ้มเรียก “ท่านชายครับ”
ท่านชายวสวัตยิ้มบางเฉียบ “ฉันทำธุรกิจ ไปมาแล้วทั่วโลก เราอาจเคยพบกันที่ไหนสักที่...แต่อย่างว่า...มนุษย์...เอ้อ...คนเราก็อย่างนี้ ความทรงจำมักสั้น” ท่านชายหัวเราะเบาๆ “มักจำได้เฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้น ในชาตินี้เท่านั้น”
“โอย แล้วใครจะไปจำเรื่องชาติอื่นๆ ได้ล่ะครับ แล้วก็มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้” เกรียงไกรว่าพลางหัวเราะ
ท่านชายเยื้อนยิ้ม สามสาวลอบดูท่านชายตลอดเวลาอย่างทึ่งในความหล่อตลอด
“ก็เพราะไม่เชื่อว่ามีอดีต ถึงได้สนุก ไปวันๆ แบบนี้..ใช่ไหม”
คำพูดนั้นกระทบใจอิศราจังๆ “คงดีกว่าเศร้าไปวันๆ นะครับผมว่า” ชายหนุ่มหัวเราะ เสพูด “ก็พระท่านยังสอนไม่ใช่เหรอครับว่า อดีตไม่ต้องไปจำ อนาคตไม่ต้องไปนึก..แค่อยู่กับ ปัจจุบันก็พอ” อิศรายื่นแก้วไปกลางวง “เอ้า! เชียส”
ทุกคนหัวเราะกับอิศรา ท่านชายวสวัตมองอิศรา ยิ้มบางๆ แต่แววตาล้ำลึก


ขณะเดียวกันย่าอุ่นนอนหลับอยู่ วันสาวใช้นอนหลับอยู่ที่พื้นข้างเตียง ครู่หนึ่ง วันขยับตัวตื่น รู้สึกปวดท้อง ชะเง้อมองบนเตียง เห็นย่าอุ่นหลับเป็นปกติ จึงค่อยๆ ย่องเปิดประตูออกจากห้องไป
ย่าอุ่นนอนหลับอยู่ จู่ๆ มีหยดน้ำจากเพดานหล่น แปะ ลงที่หน้าผากหนึ่งหยด แล้วตามด้วยหยดที่สอง ย่าอุ่นขมวดคิ้วนิดๆ แต่ยังไม่ตื่น
ร่างย่าอุ่นนอนนิ่ง โดยด้านบนที่ตอนแรกว่างเปล่าอยู่ ปรากฏหัว ผม และร่างของผีนางหยกเคลื่อนห้อยหัวลงมาหาช้าๆ
ผีนางหยกคว่ำหน้าลอยละล่องพลิ้วคล้ายลอยบนน้ำ เป็นแนวขนาน กับร่างย่าอุ่นที่นอนเหยียดบนเตียงโดยไม่รู้ตัว

ทางด้านอิศรามองจ้องท่านชายวสวัต พลางถามเรื่องคาใจ
“ว่าแต่ว่า ชื่อของท่านชาย...ผมคุ้นๆ นะครับ ว่าเคยอ่านพบชื่อนี้มาก่อน” ชายหนุ่มนิ่งคิด “วสวัต...”
“วสวัตตีมาร ละมัง”
ท่านชายพูดสวนออกมา ยิ้มมองทุกคน ด้วยอาการเหมือนทีเล่นทีจริง
“ใช่เลยครับ ผมเคยอ่านเจอในหนังสือธรรมะ”
ท่านชายเลิกคิ้วฉงน “เธอ... อ่านหนังสือธรรมะ”
“ที่บ้านผม ตอนเด็กๆ เรามีแม่นม...เอ้อ พี่เลี้ยงของคุณอาผม ชอบขอให้ผมอ่านหนังสือให้ฟัง จำได้เลาๆว่า ชื่อ วสวัตตีมารน่ะ เป็นพญามาร ที่คอยไปก่อกวนพระพุทธเจ้าเสมอ ชุดใหญ่เห็นจะเป็นตอนพระองค์จะตรัสรู้”
“ใช่” สีหน้าท่านชายหวนรำลึก “ยามนั้น...พญามาร ส่งบรรดา กิเลศ ตัณหา ราคะไปก่อกวนพระองค์ก่อน แต่ไม่สำเร็จ มิหนำซ้ำ ยังโดนพระแม่ธรณีขึ้นมาบีบมวยผมกลายเป็นน้ำบ่าท่วมทั้งพญามารและกองทัพจนพ่ายแพ้จมหาย เป็นศึกใหญ่ที่ได้เห็นพระพุทธบารมี”
ทุกคนมองท่านชายอย่างทึ่ง ท่านชายเสหัวเราะ ลุกขึ้นยืน กางมือออกทั้งสองข้าง
“ตอนนี้ พวกเธอก็ได้เห็นตัวจริงของพญามารล่ะ เอ้า ดูกันซะให้เต็มตา
“แหม ถ้าพญามารมีรูปอย่างท่าน มีหวัง สาวๆขอสมยอมเป็นลูกน้องกันจ้าละหวั่น” นิกรหันไปทางสาวๆ “ใช่ไหมสาวๆ”
สาวสามคนหัวเราะกันคิกคักและส่งสายตาให้ท่านชาย
“ฉันเห็นแต่พอถึงเวลาเข้า ลูกน้องสาวๆ เอาแต่ร้องไห้ ขอหนีไปจากฉันทั้งนั้น”
“ต๊าย เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดค่ะ อย่างท่าน มีแต่ผู้หญิงขอตายในอ้อมแขน” หญิง 1 บอก
ท่านชายหัวเราะ “ถูกของเธอ...มีผู้หญิงตายในอ้อมแขนฉันมานักต่อนัก จนฉันเลิกนับแล้ว
ทุกคนหัวเราะตาม คิดว่าท่านชายพูดเล่น
ท่านชายยิ้ม แล้วแลเลยมามองหน้าอิศรานิ่งๆ อิศรายิ้มตอบ

ส่วนย่าอุ่นนอนกระสับกระส่าย มีน้ำหยดแปะ แปะ ลงบนหน้าเหี่ยวย่น สุดท้ายน้ำไหลเข้าปากจนย่าอุ่นไอออกมา และค่อยๆ รู้ตัว กะพริบตา น้ำยังหยดลงมาอีก ย่าอุ่นงุนงง เหลือบตามองด้านบน หัวและร่างนางหยก ลอยพลิ้วอยู่ ห้อยลงมาจากด้านบนเพดาน
ผีนางหยก ผมลุ่ย เปียกน้ำ ดวงตาข้างหนึ่งสีแดงก่ำ อีกข้างตาขาว มองมาอย่างโกรธเกรี้ยว ปากเผยอเห็นฟันแหลมคม
ย่าอุ่นตาเหลือกโพลง อ้าปากร้องแต่ไม่มีเสียง สบตากับผีจังๆ หน้าผีนางหยก ก้มลงช้าๆ ใกล้ชิดกับหน้าของย่าอุ่น จนเห็นรอยคราบเลือด และผมที่เปียกน้ำ
และแล้วมือเรียวเล็บแหลมของผีนางหยกข้างหนึ่ง ซึ่งมีรอยเชือกรัดข้อมือ เลื่อนมาช้าๆ ทำท่าเหมือนจะบีบคอ ย่าอุ่นตกใจตาเบิกโพลง ส่ายหน้าหนีมือผีนางหยกไปมา ร้องอึกๆ อักๆ ไม่มีเสียงลอดออกมา
วันเปิดประตูเข้ามาปิดลงเบาๆ และหาวหวอด เดินย่องเข้ามาแล้วชะงักมองไปที่เตียง เห็นย่าอุ่นหลับอยู่แต่เหมือนฝันร้าย หายใจฟืดฟาด สะบัดหัวไปมา
วันตกใจปราดเข้าไปหา “คุณหญิงคะ คุณหญิงคะ”

ส่วนที่ห้องเล่นไพ่ในคลับโลกันต์
เกรียงไกรโวยวายขึ้น “เฮ่ย เสาร์นี้อั๊วซื้อตัวเด็ดมาด้วย ถ้าได้แทง รับรองรวยเป็นล้าน เฮ้อ ไม่น่าเลย”
นิกรแขวะเอา “บ่นไม่เลิกเว้ย”
อิศราหัวเราะ มือถืออิศราที่วางบนโต๊ะ สั่นและมีแสงวาบขึ้น ท่านชายมอง อิศราเอื้อมมือมาคว้ามือถือยังไม่ทันมองดูเบอร์โทร.เข้า
ท่านชายบอกว่า “ที่บ้านโทร.ตามแล้ว อิศรา”
อิศราชะงัก มองท่านชายสีหน้าฉงน ท่านชายยิ้ม
“เวลาแบบนี้คงไม่ใช่ที่ทำงานโทร.ล่ะมัง”
อิศรากดรับพูดสาย “ฮัลโล...โอเค” แล้วกดปิดสายไป “ที่บ้านโทร.ตามจริงๆ ครับ” อิศราลุก “ไว้ผมจะแวะมาใหม่ ยินดีที่ได้รู้จักครับผม” เขาไหว้ลาท่านชาย
ท่านชายยิ้มพยักหน้ารับรู้
“ไปก่อนนะพวก”
อิศราเดินจากไป ท่านชายมองตามอิศราแล้วหันมามองเกรียงไกรที่ดื่มเหล้าเครียดๆ อยู่ แววตาลึกล้ำ

อิศราเดินรีบร้อนออกมา แต่พอหันไปมองห้องต่างๆ ของไนต์คลับ แล้วต้องประหลาดใจ ชะลอฝีเท้า เขาพบว่าในห้องเงียบไม่มีแขก มีเพียงพนักงาน ที่ต่างยืนนิ่งราวหุ่นเป็นจุดๆ ดูผิดมนุษย์
อิศรากำลังประหลาดใจถึงขีดสุด ภุมมะก้าวเข้ามาหาเงียบๆ อิศราหันมาแทบผงะ
“ต้องการอะไร...ครับ”
“เปล่า...แต่ว่า...”
อิศราหันไปอีกที เหล่าพนักงาน ทำตัวปกติ บ้างเดิน บ้างทำท่าจัดโต๊ะ อิศราจึงหันมายิ้มเก้อๆ กับภูมมะ ก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ภุมมะมองตามจนอิศราพ้นสายตาไป หันกลับมาสีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ดูเป็นผีมากกว่าเมื่อครู่
“หมดหน้าที่กลับไปยังที่ของเจ้า”

ขาดคำ เหล่าพนักงานชายหญิงเมื่อครู่กลายสภาพเป็นศพ ท่าทีเกรงกลัว ทยอยไหลเลื่อนถอยหลังเหมือนถูกดูดหายเข้ามุมมืดไป

ในห้องเล่นไพ่ตอนนี้ ท่านชายยิ้มพรายอย่างนึกสนุก

เกรียงไกรได้ฟังข้อเสนอแทบสำลักเหล้า “ท่านชาย อย่าล้อผมเล่นนา”
“ฉันล้อใครเล่นไม่เป็นหรอก แต่ว่าถ้าฉันให้ฟรี เดี๋ยวคนอื่นรู้ ก็จะพลอยมาขอเงินที่เสียคืนกันหมดมันก็ออกจะผิดแนวธุรกิจไปหน่อย ว่าไหม...เอางี้ เธอมีอะไรมาแลกไหมล่ะ”
เกรียงไกรโอดครวญ สีหน้าขี้โกง “แหม รถผมก็ยังติดผ่อนไม่หมด ไม่งั้นวางกุญแจให้เลย”
ท่านชายทำเป็นคิด ยิ้ม “งั้น วิญญาณล่ะ ขายไหม”
ท่านชายมองเกรียงไกร ลึกซึ้ง ยิ้มพราย
เกรียงไกรทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อ “วิญญาณเนี่ยนะครับ”
ท่านชายหัวเราะ “ใช่ แค่วิญญาณ ส่วนตัวตนฉันไม่เกี่ยว เธอจะไปขายตัวกับใครก็ได้”
“ทั้งตัวและหัวใจ มันขายเกลี้ยงไม่เหลือไปแล้วครับท่าน”
นิกร เกรียงไกร และ สาวๆ สามคน หัวเราะเห็นเป็นมุกสนุก
เกรียงไกรพูดขำๆ ยังไม่เชื่อ “แล้วผมต้องทำยังไง ต้องแสดงความจงรักภักดี หรือ ต้องรับใช้อะไรท่านล่ะครับ”
“ไม่ต้องทำอะไร พอเธอตาย วิญญาณเธอก็มาเป็นของฉันไง แบบพ่อมดไง” ท่านชายเหมือนพูดเล่น ขำๆ
นิกรเย้า “นี่ท่านกะให้เงินฟรีๆ นี่นา”
ท่านชายวางมาดงาม ยิ้ม แล้วเรียก “ภุมมะ”
ภุมมะมาจากเบื้องหลังพร้อมถาดกระดาษปากกามา และเงินสดเป็นปึก วางซ้อนอยู่ เกรียงไกรตาโต
“เธอจะลองคิดดูอีกทีก็ได้นะ เพราะ..ถ้าเซ็นแล้ว บิดพลิ้วไม่ได้”
“โอ๊ย ท่านใจดีขนาดนี้ ถ้าวิญญาณผมมีสิบดวงผมก็ขายสิบดวงครับ”
เกรียงไกรก้มลงเซ็นกระดาษสัญญา ท่านชายมองจ้อง
ครู่เดียวเกรียงไกรส่งกระดาษให้ ท่านชายรับมา ก่อนเหลือบมองภุมมะเป็นเชิงสั่ง ภุมมะวางถาดเงินตรงหน้าเกรียงไกร ที่ดีใจไม่คาดฝัน
“ท่านชาย ขอบคุณจริงๆ ครับ”
คนอื่นๆ ฮือฮา เกรียงไกรหัวเราะร่า
ท่านชายส่งกระดาษสัญญาให้ภุมมะ แล้วมองเกรียงไกรอยู่อย่างลึกล้ำพึมพำเบาๆ
“วิญญาณของเจ้า..เป็นของเราแล้ว”
ร่างท่านชายยามนี้ นั่งตรงกับรูปปั้นลูซิเฟอร์ เหมือนปีกอยู่ด้านหลังท่านชายพอดิบพอดี

วงหน้าสง่างามของท่านชาย ดวงตาเปล่งประกายเป็นสีแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง โดยที่คนอื่นไม่เห็น

สายวันถัดมา อิศราและคุณหญิงเพ็ญ พากันมานั่งรออยู่ในห้องโถงกลาง พร้อมกับแม่บ้าน สี และวัน สาวใช้
เพ็ญเอ่ยขึ้นว่า “อยู่ๆ ทำไมคุณแม่ช็อกขึ้นมา เฝ้ากันยังไง”
สีพูดเกรงๆ “วันบอกว่าลุกไปห้องน้ำแป๊บเดียวเองค่ะ กลับมาก็เห็นท่านนอนกระสับกระส่าย เหมือนถูกผีอำ
“ผีเผอ บ้าอะไร ดีนะหมอบอกไม่เป็นอะไร ไม่งั้นต้องหอบไปโรงพยาบาล เสียค่าใช้จ่ายอีกเท่าไหร่”
“ถ้าต้องเสียเงินเพื่อรักษาคุณย่า เท่าไหร่ก็ต้องเสียครับ เงินของคุณย่าเอง” อิศราบอก
“เธอก็เหมือนกันอิศรา เที่ยวกลางคืนทุกวัน อยู่ติดบ้านช่วยดูแลคุณย่าบ้างสิจ๊ะ” คุณหญิงตำหนิ
“ผมก็ดูอยู่แล้วทุกวัน แต่จะให้นอนเฝ้ากันยี่สิบสีชั่วโมง ผมก็ไม่ไหวครับ คุณอาล่ะครับ น่าจะมาหาคุณย่าบ่อยๆ”
“โอ๊ย งานอา ทั้งงานราษฎร์งานหลวงงานสมาคม ตั้งมากมายเวลาจะนอนยังแทบไม่มีเล้ย อิศราเธอนั่นแหละที่เป็นหลานรักเธอต้องดูแลรับผิดชอบคุณย่าให้ดีที่สุดสิ”
อิศราแอบรำคาญคุณหญิงเพ็ญ คุณหญิงค้อนอิศรา

ทางด้านชาลินีขับรถมาจอด ลงจากรถหน้าคลับโลกันต์ ตอนค่ำ สีหน้าหล่อนเคร่งขรึม

ไม่นานต่อมา ไวน์แดงราวกับสีเลือดมนุษย์ ถูกรินใส่แก้วใสทรงสวย พนักงานชงเหล้าตรงเค้าน์เตอร์บาร์ ยืนแก้วมาเสิร์ฟให้ชาลินีที่แต่งชุดสวยเซ็กซี่นั่งอยู่ที่บาร์ ชาลินีหยิบขึ้นมาส่องดูสีแดงของไวน์ในแก้วอย่างพึงใจ
ขณะกำลังดื่มด่ำรสไวน์อยู่นั้น สุวิทย์เดินมาหยุดดูทางเบื้องหลัง ชาลินีนั่งไขว่ห้าง เผยให้เห็นขาอ่อนเรียวสวย และ ชุดที่ผ่าหลังลึก ช่างน่าเย้ายวน สุวิทย์มองอย่างพึงใจหลงใหล เดินมาเอาอกแกร่งแนบชิดด้านหลังชาลินี เอามือข้างหนึ่งไปโอบวางบนเคาน์เตอร์จนดูเหมือนเขาโอบเธอไว้ พลางก้มพูดใกล้หู
“ชาลินี”
ชาลินีขยับตัวตั้งแต่มีอกเขาทาบแผ่นหลัง
“คืนนี้ คุณสวยระเบิดไปเลย สวยจนผมไม่อยากให้ใครโลมเลียมคุณแม้แต่ด้วยสายตา...ผมหวง”
ชาลินีหัวเราะเสียงใส ปรอยตาเซ็กซี่ แต่ทำหน้าบริสุทธิ์ “มีสิทธิ์อะไรมาหวงคะ นั่งเถอะคะ ยืนจนเหมือนโอบกอดแบบนี้ ชาลินี...เสียหายนะคะ”
สุวิทย์จำใจนั่งข้าง ทำท่ามันเขี้ยว “คุณนี่...ผมจะทำยังไงกับคุณดี”
ชาลินียิ้มกิริยาน่ารัก สุวิทย์กระดิกนิ้วเรียกบ๋อย สั่งเหล้าก่อนหันมาทางชาลินี
“วันนั้น ผมใจหายแทบแย่นึกว่าคุณตัดรอนผมซะแล้ว วันนี้พอคุณไลน์มา ให้มาพบ ใจผมมาเป็นกอง ว่าแต่” ชายหนุ่มแหย่ “มีอะไรให้ผมรับใช้รึเปล่า
“ต้องมีธุระด้วยหรือคะ” ชาลินีทำเป็นมองแก้ว พูดเปรยๆ “คุณมีหัวใจ คิดถึงคนอื่นเป็นอยู่คนเดียวหรือไง” หล่อนยกแก้วดื่มช้อนตามอง
สุวิทย์ตะลึง ดีใจแทบตกเก้าอี้
ชาลินีหันมาลอบยิ้มตรงมุมปาก แสร้งตีหน้ากึ่งเศร้ากึ่งเย้ายวน บ๋อยเอาแก้วเหล้ามาวางให้ สุวิทย์หยิบแก้วจะยกดื่ม ชาลินีแตะมือเป็นเชิงห้าม สุวิทย์งง
“เลิฟช็อต กันหน่อยเป็นไงคะ”
สุวิทย์อึ้งอีก ตะลึงความเย้ายวนนั้น มือที่ถือแก้วของชาลินีอ้อมคล้องแขนของเขาแล้วทั้งคู่ก็ดื่มพร้อมกัน สุวิทย์จ้องชาลินีไม่วางตา ชาลินีหรุบตาขณะดื่มแล้วช้อนตาขึ้นสบตาหวานซึ้ง สุวิทย์ยิ้มกริ่ม

ท่านชายวสวัตนั่งโดดเดี่ยวตามลำพังในห้องส่วนตัว หลับตานิ่งอยู่ แต่แล้วเหมือนสัมผัสความรู้สึกบางอย่างได้จากญาณรับรู้
ท่านชายหันมาอีกมุม สีหน้าขรึมเคร่ง แววตาลึกล้ำ

ในฟลอร์เต้นรำของคลับโลกันต์ตอนนี้ สุวิทย์โอบประคองชาลินี มือไล้ขึ้นตามใบหน้าสวยที่หลับตาซบอกเขาอยู่ สุวิทย์ประคองชาลีนีสโลว์ซบกับเพลงช้าที่คลออยู่
ท่านชายก้าวออกมาจากมุมหนึ่งเพียงครึ่ง มองมาทางชาลินี ด้วยสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาล้ำลึก ส่อแววรังเกียจเหยียดหยาม
ชาลินีเหมือนมีสัมผัสรับรู้ว่าถูกมองอยู่ เกิดภาพในหัวสมองของชาลินีราวสายน้ำไหลแรงเร็ว มันเป็น ภาพนรก เปลวไฟ และเสียงร้องกรีดโอดครวญ ตามด้วยเสียงท่านชายวสวัตที่ดังก้องขึ้น
“ที่นี่...คือที่ของเจ้า”
ชาลินีสะดุ้ง ชะงัก ตกใจ ลืมตาพลัน เหลียวหน้าหันหาใครบางคนอย่างไม่รู้ตัว
ท่านชายยืนแฝงตัวอยู่ในเงามืดครึ่งหนึ่ง มองมาทางชาลินีนิ่งอยู่

ชาลินีพิศวง ตื่นตะลึง แม้ไม่ทันเห็นสายตาอันดุเข้มของท่านชายวสวัตที่มองมา

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น