เงา ตอนที่ 9
ตอนค่ำวันเดียวกัน อรอนงค์นั่งอยู่คนเดียวในโถงบ้าน หยิบกรอบรูปเอกดนัยมาดูอย่างโศกาอาดูร ภาพความสุขของพี่น้องผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิด อรอนงค์หน้าเศร้า วางรูปลงข้างมือถือเอกดนัยที่วางอยู่ อรอนงค์หยิบมือถือมาจะกดปุ่มเปิด
เสียงของวัลภา และปวีณา ดังเจื้อยแจ้วเข้ามา “อร...ยายอรจ๋า”
อรอนงค์เปลี่ยนใจ วางมือถือลง
ปวีณาเดินโอบบ่าวัลภาเข้ามา ทำให้วัลภาต้องย่อตัว
“ย่อตัวอีกหน่อยสิ”
“ย่อได้แค่นี้ แหม..นี่แค่ท้องสองเดือน อีกหน่อยท้องเจ็ดแปดเดือนเพื่อนไม่ต้องอุ้มไปไหนต่อไหนเหรอ” วัลภาค่อนขอด
“แหม...” ปวีณาหันเห็นอรอนงค์ “ยายอรๆ นี่ๆ ชั้นได้มาแล้ว” พลางชูบัตรเชิญในมือ
วัลภาดึงแย่งบัตรมาชูเอง “บัตรงานกุศล ที่วังท่านชายวสวัตจ้าเสียงตังค์ไปแล้วเรียบร้อย”
อรอนงค์รับบัตรมายิ้มร้าย “ขอบใจ”
“โผล่หน้าไปให้มันเห็น ให้แสบๆ คันๆ ซะบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าพวกเราไม่แน่” ปวีณาว่า
ค่ำวันงาน อิศราในสูทหล่อเนี้ยบก้าวเข้ามาในห้องโถง ท่าทางหงุดหงิดไม่น้อย อิศราหันไปมองรูปคุณย่าอุ่น ด้วยแววตาตัดพ้อ มืออิศราล้วงกระเป๋ากางเกง และสิ่งที่ติดมือมา คือซองยาที่ชาลินีให้ไว้ อิศราก้มมองทอดถอนใจ
เสียงดวงแก้วดังขึ้นจากหัวบันไดชั้นบน
“คุณอิศคะ”
อิศราชะงัก เอายาซุกใส่กระเป๋ากางเกง หันไปหา เห็นดวงแก้วยืนอยู่ตรงปลายบันไดยิ้มมองมา อิศรามองผ่านช่องลูกกรงบันได เห็นร่างไหวๆ ของเจริญขวัญก้าวลงบันไดมา อิศรามองจ้อง
ดวงแก้วยิ้มให้ขณะหันไปเอื้อมมือรับมือของลูกสาวพาเดินลงมาช้า
อิศรามองตะลึงในความงดงามของเจริญขวัญ คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา ดวงตามีแววชื่นชมฉายชัด
ค่ำนั้นบริเวณหน้าตึกวังท่านชาย ประดับไฟ ตกแต่งเพียงบางส่วน แต่ดูสวยงามและยิ่งใหญ่เหลือล้น
งานถูกจัดขึ้นในโถงกลางอันหรูหรา บรรยากาศโดยรอบโอ่อ่า แขกทยอยเข้างานมาแล้วประปราย ตรงมุมห้องโถงมีการตกแต่งดอกไม้เป็นจุดๆ อย่างโดดเด่น สวยงาม
ชาลินีในชุดสีแดง รองเท้าสีแดงเพลิงเข้าชุด หล่อนเกล้ามวยสูง ผมเป็นลอนม้วนโชว์รูปหน้า เครื่องประดับมีเพียงเข็มกลัดติดเสื้อสีแดงเพลิงนั้น ทว่าดูสวยสง่าราวเจ้าหญิง หล่อนกำลังเหลียวหาท่านชาย
คุณหญิงเพ็ญ และนายพลบัญชา คอยต้อนรับไหว้แขก ครู่หนึ่งคุณหญิงเลี่ยงมาหาชาลินี
“วังสวยเหลือเกิน ท่านตกแต่งก็สวยสมวัง แล้วนี่ท่านอยู่ไหน แม่จะได้ขอบคุณท่าน แขกเริ่มมาแล้ว ถามถึงท่าน”
“เดี๋ยวชาไปตามนะคะ” ชาลินีเดินไปทางบันได
คุณหญิงยิ้มแป้น นายพลเดินมาใกล้แม่ลูก
“หน้าบานไปนิดนะคุณ สำรวมนิดหนึ่งก็ได้”
“คุณจะมาขัดอะไรชั้นนะ คนมางานเขาอยากรู้กันจนตัวสั่น ว่าเราจะดองกับท่านชายหรือไง ถึงได้มาจัดงานในวังท่าน แล้วจะไม่ให้ชั้นปลื้มได้ไง”
“ท่านชายที่เต๊ะๆ หยิ่งๆ นั่นน่ะเหรอ ก็ให้มันแน่ซะก่อนเถอะ เดี๋ยวไม่ใช่เรื่องจริง จะเสียหน้าลูก ฉีกหน้าผม”
“ทีอย่างนี้มาห่วงหน้า ทีมีเมียไปทั่วบ้านทั่วเมืองฉีกหน้าชั้นเป็นปีๆ ละคะ”
ผัวเมียสะบัดค้อนควักกันเอง จนมีแขกคู่หนึ่งเดินเข้ามา สองคนก็หันไปปั้นยิ้มไหว้ตามมารยาททันที
นักดนตรีชาย วงดนตรีสามชิ้น ล้วนหน้าซีดขาว ยืนเล่นดนตรีบนเวทีเล็กๆ ตรงมุมห้อง เสียงเพลงดูวังเวง น่ากลัว ชาลินีเดินผ่านตัวแขกในงาน ก็ยิ้มทักทาย ก่อนเดินเลยไปจนถึงบันได ที่มีสิริ ภุมมะ ยืนอยู่
ชาลินีมองขึ้นไปยังหัวบันได แล้วมองสองคนอย่างไม่ค่อยอยากเสวนาด้วย
“ท่านชายล่ะ...” สองคนเงียบกริบ ชาลินีเสียงขุ่น “ชั้นถามว่า ท่านชายอยู่ไหน แขกมาตั้งเยอะแล้ว”
สิริ กับ ภุมมะ มองหน้ากันแล้วไม่ตอบอะไร ชาลินีรำคาญจะก้าวขึ้นบันได สิริ ภุมมะ ก้าวมาขวาง
สิริบอก “ท่านชาย จะมา เมื่อถึงเวลา”
สองคนมองชาลินีเหยียดๆ ชาลินีเม้มปาก ค่อยๆ ถอยหลัง สีหน้าหงุดหงิด ครั้นพอหันมาก็สบตากับกลุ่มนักดนตรีที่หน้าซีดขาว มองหล่อนพร้อมกัน สีหน้าเยาะหยันเช่นกัน
ชาลินีหงุดหงิด เดินหนีไป
บริกรหน้าซีด เดินถือถาดแก้วน้ำดื่ม ให้แขกในงานทั้งหลาย คุณหญิง กับ นายพลยังรับแขกอยู่ด้านหน้า
คุณนาย 1 ทักทาย “ได้มาเห็นวังของท่านชายวสวัต ก็งานนี้เอง” พลางยิ้มมีเลศนัย “หรือว่า เป็นจัดงานควบงานเปิดตัวว่าที่ลูกเขยคะ คุณหญิงเพ็ญ”
“งานการกุศลงานเดียวคะ ส่วนเรื่องอื่นน่ะ” คุณหญิงยิ้มกับลูกสาว “ดิฉันปล่อยเป็นเรื่องของเด็กค่ะ”
นายพลบัญชาเอือมเมีย หันไปคว้าแก้วเครื่องดื่มจากบริกร แล้วต้องชะงักมอง บริกรหน้าขรึมซีดขาว จนนายพลมองอย่างแปลกใจ หมอไพโรจน์เข้ามาพอดี
“พี่บัญชา พี่หญิง สวัสดีครับ”
“หมอ มาแล้ว ขอบใจมากนะจ้ะ” คุณหญิงยิ้มร่า
“ยินดีครับพี่หญิง”
“หมอ...” บัญชากระซิบ “ถูกหลอกมางานสังคมอีกแล้วสิ”
ไพโรจน์หัวเราะขัน มองไปทางชาลินีที่ยืนคุยกับแขกอยู่ พลางคอยหันไปมองทางบันไดเป็นระยะ หมอมองชื่นชมความสวยของชาลินี
สามสาวในชุดสวยเดินเข้ามาหน้าทางเข้าตึก หยุดพร้อมกัน อรอนงค์มาในชุดราตรียาวสีดำ สามคนมองหน้ากัน แขกยืนอยู่ในงานประปราย ขณะสามสาวเดินเข้ามา
วัลภามองรอบ “โอ้โฮ สวยจังเลย”
อรอนงค์บอกอย่างแค้นใจ “รวยอย่างนี้นี่ไง มันถึงสลัดน้องชั้น”
“ท่านชาย ก็อาจจะเป็นอีกรายที่ถูกหลอกน่ะสิ” ปวีณาว่า
สามสาวเดินเข้างาน เจอคุณหญิง นายพล และหมอไพโรจน์ ยินอยู่ พนมมือไหว้โดยพร้อมเพรียง
“สวัสดีค่า”
“อ้าว หนูๆ สวัสดีจ้า หมอ รู้จักกันหรือยัง เพื่อนๆ ของชาลินีเขา”
“สวัสดีค่ะ” สามสาวไหว้หมอ
“สวัสดีครับ”
วัลภากระซิบเพื่อน “หมอ หล่อซะด้วย”
รถอิศราแล่นมาจอดหน้าตึกใหญ่ อิศราลงจากรถ อ้อมมาเปิดประตูให้เจริญขวัญ มีแขกเดินผ่านหลังตรงไปที่ด้านในวัง
“เชิญครับ”
มือเจริญขวัญกำบนตักท่าทีประหม่า
“ไม่ต้องกลัว ไปกับพี่”
อิศราก้มหน้ายิ้มปลอบ คว้ามือเจริญขวัญ
ชาลินียืนอยู่กลางห้องโถง กับชุดสีแดงเพลิงของเจ้าหล่อน ทำตัวเป็นเจ้าของงาน มีแขกยืนคุยกัน เพิ่มขึ้นอีก 2-3 คน แขก 2 มองไปทางบันไดแล้วร้องขึ้น
“อุ๊ย”
แขกคนอื่นๆ หันมองตามไปเป็นจุดเดียว มีเสียงฮือฮาดังเป็นทอดๆ
ท่านชายวสวัตในชุดสูทขาวสะอ้านตา ก้าวลงมาจากบันไดช้าๆ ชาลินีมองตามสายตาผู้คนไปที่บันได แต่ถูกแขกสองคนยืนบัง ชาลินีแหวกคนออก จนแลเห็นท่านชายเริ่มเดินลงจากบันได ชาลินียิ้มพราย เดินผ่านผู้คนไปยืนรอกลางห้อง
ชาลินียืนโดดเด่น ท่านชายในชุดขาว เดินลงบันไดมาช้าๆ เยื้อนยิ้มงามสง่า
แขกในงานมองอย่างชื่นชม พากันส่งเสียง “หล่อจัง” / “เท่ห์จังเลย” ไม่ขาดปาก
ท่านชายหยุดยืนตรงที่พักกลางบันได ท่วงท่างดงามราวเจ้าชาย ทอดยิ้มบางๆ ชาลินียิ้มภาคภูมิ หลงรักเต็มใจ ตะลึงจ้องกับความงามสง่าทุกอิริยาบทของท่านชายพญามาร
สามสาว อรอนงค์ ปวีณา วัลภา เองก็ตะลึงแล
“ท่านชายวสวัต เจอกี่ครั้งก็ยังหล่อบาดใจ” วัลภายิ้มเคลิ้ม
ชาลินีเดินช้าๆ ไปหยุดกลางโถงกลางหน้าบันได ที่รายล้อมด้วยคนที่มองจ้องเจ้าหล่อนเป็นตาเดียว มีแสงแฟลช จากนักข่าวช่างภาพกดถ่ายรูประรัว
ท่านชายมองมาทางชาลินี ยิ้มหล่อ เดินมาหา ชาลินียื่นมือไปหาท่านชายช้าๆ ท่านชายรับมือชาลินีมาสัมผัสเพียงปลายนิ้ว หากแต่กระนั้นยังส่งกระแสความร้อนออกไป จนชาลินีสะดุ้ง แต่ก็อดกลั้นไว้ ทำยิ้มสวย
ท่านชายปรายยิ้มรู้ทัน แล้วก้มจุมพิตมือชาลินี กึ่งสุภาพกึ่งแกล้ง ชาลินีปลื้มเหลือแสน นักข่าวถ่ายรูประรัว แสงแฟลชวูบวาบไม่ขาดตอน
“ท่านชาย กำลังคิดอยู่เลยค่ะ ว่าต้องไปตามมั้ย” ชิลินียิ้มหวานทัก
“ถึงเธอจะไม่ต้องการฉัน ฉันก็ต้องตามมาพบเธอจนได้”
ชาลินีขวยเขินใส่จริต “แหม...ท่านชาย ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ”
จังหวะนี้อิศราเดินเข้ามาหยุด อีกมุมแล้วยกมือไหว้ นายพลบัญชา คุณหญิงเพ็ญ และหมอไพโรจน์ ท่านชายวสวัตมองไปด้านหลังอิศราแล้วคลี่ยิ้มกว้างออกมา ชาลินีเอะใจ เหลียวมองตามสายตาท่านชาย
เห็นอิศราหันไปเป็นเชิงเรียกเจริญขวัญให้เดินเข้ามาในงาน
เจริญขวัญก้าวเข้ามาท่าทางประหม่า ในชุดเดรสสั้นสีขาวสวยงามราวเจ้าหญิง เกล้าผมสูง
ท่านชายยิ้ม เดินผละออกจากชาลินีไปเลย ชาลินีตะลึงท่านชายก้าวมาอย่างช้าๆ มี นักข่าวตามมา
เจริญขวัญยกมือไหว้ชดช้อยสวยงาม ท่านชายยกมือรับไหว้
ชาลินีมองจากทางเบื้องหลังท่านชายแววตาวาววับ หึงหวงระคนริษยา นักข่าวถ่ายภาพสองคนท่านชายและเจริญขวัญ
แขก 3 คุยกันเองกับเพื่อน บุ้ยใบ้ไปทางเจริญขวัญอย่างชื่นชมอีกว่า “นั่นใครน่ะ สวยเหลือเกิน”
ชาลินีได้ยินยิ่งร้อนรุ่มด้วยแรงริษยา
เจริญขวัญยิ้มแย้มกับท่านชายอยู่ อิศรามองอาการอ่อนโยนของท่านชายอย่างประหลาดใจ และเริ่มไม่ค่อยสบายใจ
ท่านชายทอดสายตามองเจริญขวัญอย่างอ่อนโยน
“ดีใจ ที่ได้พบคุณอีก”
ท่าทีเจริญขวัญยังตื่นเต้นไม่หาย “ค่ะ”
“วันนี้เธองามมาก ชุดนี้สวยดี”
“เอ้อ..ขอบคุณค่ะ” เจริญขวัญกระซิบ “พี่อิศพาไปซื้อค่ะ ขวัญยังไม่ค่อยชินเลย กลัวหกล้มจัง”
ท่านชายวสวัตหัวเราะเสียงนุ่ม ชาลินีตั้งสติ เดินไปหาท่านชายและเจริญขวัญ อิศรามาเข้ากลุ่ม
“มาแล้วเหรอจ้ะน้องขวัญ คืนนี้สวยสุดๆ ไปเลย”
“คุณชาลินีต่างหากค่ะที่สวยเหลือเกิน”
ชาลินีหัวเราะคิก “ขอบใจจ้ะ อุ๊ย ท่านชายดูสิคะ อิศยิ้มกริ่มเชียวพาน้องขวัญมาออกงานครั้งแรก”
“ผมไม่คิดว่า จะได้เห็นคนมากันเต็มวังแบบนี้”
“โอกาสพิเศษไงล่ะ เพื่อ...” ท่านชายยิ้ม เน้นคำ “สังคม...สงเคราะห์”
วงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลง ชาลินีหันมาทางท่านชาย
“ท่านชายคะ เต้นรำกันหน่อยนะคะ”
“เต้นรำรึ...ลองดูก็ได้”
ท่านชายวสวัตยื่นมือไปอย่างสุภาพ ชาลินียิ้ม ยื่นมือไปจับมือท่านชาย กิริยาน่ารัก
ท่านชายพาชาลินีไปกลางห้อง ตรงกับแชนเดอร์เลียระย้าสวย ประคองพาชาลินีเต้นรำพลิ้วในฟลอร์อย่างสวยงาม ทุกคนมองมาด้วยสายตาชื่นชม ชาลินีปลื้มมาก เท้าของทั้งสองพลิ้วไปตามจังหวะดนตรี ท่านชายปรายตามอง เยื้อนยิ้มเล่นเกมกับชาลินี
“ท่านชายเต้นรำดีเหลือเกินค่ะ ชารู้สึกเหมือน ตัวลอย ยังกับว่า เท้าของท่านชายไม่แตะพื้นเลยแม้แต่นิดเดียว”
ท่านชายยิ้มขันแกมเยาะ “เธอรู้ไหม โบราณเขาว่า เทพเจ้าหนึ่ง ปีศาจหนึ่ง ยามเดิน เท้าไม่ถึงดิน ร่างกายไม่มีเหงื่อ ไม่มีเงา เทพมีกลิ่นหอม ปีศาจมีกลิ่นเหม็น”
“งั้นชา ก็คงอยู่ใน...” ชาลินีชะม้อยตามองพูดเสียงหวานหยดย้อย “อ้อมกอดของเทพ”
ท่านชายหัวเราะในลำคอ “หรือไม่ เธอก็อาจจะประจันหน้าอยู่กับ กึ่งเทพกึ่งปีศาจก็ได้”
“ไม่จริงหรอกค่ะ ชาเชื่อลางสังหรณ์ของผู้หญิง”
ท่านชายไม่ตอบ เพียงแค่นยิ้ม
ฝ่ายคุณหญิงเพ็ญ นายพลบัญชา และ หมอไพโรจน์ มองคู่เต้นรำ กันคนละอารมณ์
คุณหญิงนั้นเป็นปลื้มเหลือล้น “สวยสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก”
ขณะที่ท่านนายพลหมั่นไส้ภริยา “และที่เหมาะที่สุด ก็คือรวยด้วยใช่ไหม”
คุณหญิงค้อนควักสามี “แล้วมันผิดตรงไหนคะ ที่รวยด้วย”
หมอไพโรจน์มองท่านชายไม่วางตา สีหน้าเคลือบแคลง
ฟากสามสาวเดินตามกันมาอีกมุมหนึ่ง ใกล้กับภุมมะที่ยืนนิ่งอยู่
อรอนงค์หมั่นไส้ชาลินีเอามากๆ “ดูมันสิ ให้ท่าน่าดู”
“ฉันปราดเข้าไป คัท แย่งเต้นเลยดีไหม” วัลภาทำไม้ทำมือ
ปวีณาเชียร์ใหญ่ “เอาเลยๆ”
วัลภาจะไป แล้วถอยกลับ “ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวหน้าแตก”
อรอนงค์มองอย่างคับแค้นใจ ยิ่งเมื่อนึกถึงน้องชายที่ตายไป
วัลภาเมื่อถอยมาเพิ่งรู้สึกตัวว่ายืนใกล้ภุมมะ เงยหน้ามองภุมมะก้มมองมาหน้าขรึมและดุ วัลภาขยับมาหาเพื่อน
“เธอ...เราไปตรงอื่นกันดีกว่านะ”
อิศรา กับ เจริญขวัญ ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งกับแขกในงาน เจริญขวัญมองชาลินีที่เต้นรำกับท่านชายอย่างตื่นเต้น
“เหมือนในหนังเลยนะคะ คุณชาลินีเต้นสวยจัง”
อิศรายื่นมือมาหา
เจริญขวัญงง “คะ”
“ไป...ไปเต้นกัน”
เจริญขวัญส่ายหน้าดิก “ไม่ค่ะ”
อิศราหัวเราะ
ชาลินีกับท่านชายเต้นรำกันอยู่ ช่างภาพคนหนึ่ง ยกกล้องตามถ่ายตลอด แล้วเอามาเช็คดู เมื่อคลิกและเลื่อนภาพดู พบว่ามืดดำทุกเฟรม
“เป็นอะไรวะ” ช่างภาพงง ตั้งกล้อง พยายามถ่ายใหม่อีก
ชาลินียิ้มอยู่กับทานชายปรายไปมอง
“นักข่าวถ่ายรูปกันน่าดู พรุ่งนี้คงประโคมข่าวกันใหญ่”
ท่านชายเพียงยิ้มบางๆ ชาลินีปรายมองอิศราและเจริญขวัญ
“อิศราอี๋อ๋อแม่สาวน้อยไม่ยอมห่าง ดูสิคะ”
ท่านชายพูดโดยไม่หันไปมอง
“ความดี ความงาม ความบริสุทธิ์จากภายในของมนุษย์ มักดึงดูดสิ่งดีงามเข้าหาตัว และผลักไสความชั่วให้ห่างออกไป”
ชาลินีชะงักไปนิด ยิ้มแปลกแปร่งกับน้ำคำนั้น ลวงถามกึ่งยั่วเย้ากึ่งกระหายใคร่รู้
“แล้วท่านชายล่ะคะ ท่านจะถูกดึงดูดเหมือนอิศราหรือเปล่า”
“คนดีย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา และเป็นที่เกรงกลัวของ...ปีศาจ”
เจอดอกนี้ชาลินีชะงัก ไม่พอใจ แล้วแสร้งหัวเราะ “มิน่า อิศราถึงได้เอาอกเอาใจนัก เพราะ...” น้ำเสียงหล่อนเย้ยเยาะ เพราะรู้ว่าที่จริงอิศราทำเพื่อบ้าน “คุณค่า ของเด็กคนนั้น”
ท่านชายปรายมองชาลินีอย่างรู้ความในใจ มือที่แตะหลังของชาลินีดึงกระชับเข้ามา จนชาลินีรู้สึกตื่นเต้น เงยมองท่านชายนัยน์ตาหวานหยด
ท่านชายหน้าขรึมหรุบตามองสบตาชาลินี มุมปากแค่นยิ้ม
“ท่านชาย”
ท่านชายเด็กคนนั้น อยู่คนละโลกกับฉัน ต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่เธอ มักเลือกที่จะเข้ามาอยู่ใน โลกเดียวกับฉัน..
ชาลินีจ้องตา กระซิบเสียงเสน่ห์ “เพราะชาเต็มใจค่ะ”
ท่านชายยิ้มมุมปาก
คุณหญิง นายพล และ หมอไพโรจน์คุยกันอยู่
“พี่หญิง รู้จักกับท่านชายวสวัต มานานแค่ไหนแล้วครับ”
คุณหญิงเพ็ยโกหก “อ่อ ก็ สนิทกันพอควรล่ะจ้ะ”
บัญชาแกล้งไอ คุณหญิงค้อน บัญชาหัวเราะเบาๆ หันมาถามไพโรจน์
“หมอถามทำไม สนใจที่จะรู้จักท่านชายนี่ อีกคนแล้วงั้นเหรอ”
“เปล่าครับ...ผมแค่..สงสัย”
เพลงจบพอดี ทุกคนปรบมือเกรียว ท่านชาย และชาลินีหยุดเต้น ชาลินีอิ่มเอม ภาคภูมิ
สามสาวอยู่กันอีกมุมหนึ่ง ทุกคนในห้องยังคงปรบมือ ชาลินีดูเฉิดฉายกลางห้องกับท่านชาย
อรอนงค์ค่อนขอด “ฉันอยากรู้นัก ว่าถ้าทุกคน รู้เช่นเห็นชาติของชาลินีแล้วจะเป็นยังไง”
ชาลินียิ้มให้กับคนที่ปรบมือรอบตัว หันมามองท่านชาย ท่านชายไม่มองหน้าชาลินี เดินผละออกไป
ชาลินีหน้าเสียไปนิด รีบเดินนวยนาดตาม
อิศราและเจริญขวัญ ยืนอยู่ ท่านชายเดินมาหา ยิ้มอ่อนโยน นุ่มนวลกับเจริญขวัญ
“โอ้โฮ ท่านชายครับ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเต้นรำได้เก่งขนาดนี้”
“ทำไมไม่พาคุณเจริญขวัญไปเต้นล่ะ”
“ไม่ยอมไปครับ”
“เอ้อ ขวัญเต้นไม่ได้หรอกค่ะ เคยแค่เรียนที่โรงเรียน”
ท่านชายยิ้ม ชาลินีเดินตามมา ดนตรีขึ้นเพลงใหม่พอดี
“ไม่ลองกับของจริง จะรู้ได้ยังไง”
ท่านชายยื่นมือไป ยิ้มพราย เจริญขวัญขัดเขิน ชาลินีหึงจับจิต อิศราประหลาดใจ
“มาสิ”
เจริญขวัญงงๆ ขัดเขิน หันมามองอิศราเป็นเชิงถาม อิศราพยักหน้า มือเจริญขวัญเคลื่อนไปให้ท่านชายจับอย่างสุภาพ ชาลินีหน้าเสีย
ท่านชายพาเจริญขวัญออกไปกลางฟลอร์ ชาลินีมองตามหงุดหงิดแทบไม่อยากทน แต่ต้องปั้นหน้ายืนคู่กับอิศรา แขกในงานยังยืนรายล้อม ท่านชายและเจริญขวัญ
เจริญขวัญดูขัดเขินอยู่มาก ท่านชายยิ้ม โอบแตะหลังเธอแผ่วเบา
“กลัวหรือ”
“ค่ะ”
“ไม่ต้องกลัว”
ท่านชายเริ่มขยับเท้าก้าวเต้น เจริญขวัญก้าวตาม สองคนเต้นรำอย่างสวยงาม
เจริญขวัญมองท่านชายตลอดเวลา เหมือนถูกดูดดึงเข้าหา เป็นการเต้นรำ เป็นคู่เต้นรำที่แสนงดงาม แสงกระจ่างรอบตัวยิ่งทำให้ทั้งคู่โดดเด่นขึ้นมาเป็นทวี ผู้คนรายล้อมแทบไม่มีความหมาย
เจริญขวัญเงยหน้ามองสบตาท่านชาย เช่นเดียวกันท่านชายมองจ้องเจริญขวัญไม่วางตา สองคนเต้นรำท่ามกลางท้องฟ้าสีทองราวกับอยู่ในแดนสรวง
ชาลินีและอิศรามองจ้อง ท่านชายวสวัตยังคงเต้นรำอยู่กับเจริญขวัญ ท่ามกลางผู้คนรายล้อมที่มองอยู่ สายตาอิศราเล็งแลอย่างเคลือบแคลง แล้วต้องสะดุ้งก้มลงมองมือตัวเอง พบว่านิ้วชาลินีจิกกำข้อมือเขาจนแน่น
“ชา”
“ดูสิอิศ เด็กของเธอ ให้ท่าท่านชายเหลือเกิน”
อิศรามองไปทางเจริญขวัญ ชาลินีสะบัดหน้ามามองอิศราบอกด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม
“อย่างนี้แล้ว ถ้าเธอไม่รีบจัดการ จะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ”
อิศราหน้าเคร่ง มองไปทางคู่เต้นรำ จ้องหน้าของท่านชายวสวัต และ เจริญขวัญ อย่างเคลือบแคลง
อ่านต่อหน้า 2
เงา ตอนที่ 9 (ต่อ)
ท่านชายและเจริญขวัญ โลดแล่นเต้นรำกันอย่างพลิ้วไหว งดงาม ท่ามกลางสายตาผู้คนรายล้อมที่มองมาด้วยความชื่นชม เจริญขวัญตื่นเต้นและขัดเขินไม่คลาย มือท่านชายที่ประคองหลังสัมผัสเพียงบางเบา
ท่านชายเยื้อนยิ้ม “เห็นไหม เธอเต้นได้ดี คนมองเธอชื่นชมกันทั้งนั้น”
“เขามองท่านชายต่างหากคะ ที่มาเต้นกับผู้หญิงเปิ่นๆ อย่างขวัญ” เจริญขวัญหน้าแดง ตื่นเต้น
ท่านชายหัวเราะเบาๆ
“ท่านชายคะ ขอบคุณนะคะ”
“เรื่องอะไร”
“ที่กรุณา ทำให้ขวัญมีความทรงจำแบบนี้” เจริญขวัญหลบตา หัวเราะไร้เดียงสา ขัดเขินไปหมด “ขวัญคงต้องจำจนวันตายเลยค่ะ”
รอยยิ้มบางๆ ที่ระบายอยู่บนใบหน้าท่านชาย พลันแววตาเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลง ตระหนักได้ว่า อยู่กันคนละโลก
“หวังว่า ฉันจะเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับเธอ เจริญขวัญ”
เจริญขวัญสัมผัสความเศร้านั้นได้ เงยหน้ามอง ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ระคนสงสัย
“ท่านชาย”
“เธอรู้ไหม คืนนี้ เธอทำให้ฉันระลึกถึง...ใครคนหนึ่ง”
เจริญขวัญฉงน “ใครคะ”
ท่านชายมองผ่านเจริญขวัญไป “เจ้าหญิง ที่ทรงสิริโฉมงดงาม จิตของพระนางบริสุทธิ์ มุ่งแต่ทางธรรม แต่…”
เจริญขวัญรับฟังอย่างตื่นเต้นสนใจ “ทำไมคะ”
ท่านชายบอกเสียงเศร้า “แผ่นดินร้อนเป็นไฟ เพราะข้าศึกบุกมาเข่นฆ่าและจับสตรี ไปข่มเหงอย่างโหดเหี้ยม”
เจริญขวัญตกใจ “ตายจริง ถ้าอย่างนั้น เจ้าหญิงองค์นั้น...”
ท่านชายวสวัตมองหน้าเจริญขวัญ ราวกับรำลึกจดหมายเรื่องราวในชาติภพอดีต
เรื่องราวครานั้น ประตูห้องในตำหนักเจ้าหญิงฟ้ารุ่งเปิดออก นางกำนัลสองคนตกใจถดกายถอยเจ้าหญิงฟ้ารุ่งนั่งสง่าอยู่บนตั่ง ยกกริชแทงหน้าอกตัวเองอย่างองอาจ เยี่ยงขัตติยะนารี
พระยาเจนศึก และขุนไกร ซึ่งยกดาบฟันข้าศึกหน้าประตู ก้าวพรวดเข้ามาแทบจะพร้อมกัน
ชะงักตกใจ ร่างเจ้าหญิงฟ้ารุ่งขาดใจตายต่อหน้า นางกำนัลร้องไห้ระงม
ใบหน้างามของท่านชายวสวัต เหมือนรำลึกภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงนิดเดียวกลั้นแววเจ็บปวด เจริญขวัญยังมองอย่างสนใจอยู่
ท่านชายทอดเสียงนุ่ม เศร้าลึก “เมื่อข้าศึกบุกถึงส่วนใน จึงพบเพียงร่างที่ปราศจากลมหายใจ...นางเลือกจะปลิดชีวิตขององค์เองเพื่อรักษาเกียรติแห่งขัตติยะวงศ์”
เจริญขวัญอุทาน “น่าสงสารจังเลย”
ท่านชายเจ็บปวดลึกล้ำ ใต้เสียงนุ่ม “ที่น่า...เสียดาย...คือ เจ้าหญิงเลือกจะปลิดชีวิตตนเอง ก่อนที่นายทหารสองคนจะเข้าไปช่วยเพียง ชั่วลมหายใจเดียว”
เจริญขวัญยิ่งสงสาร “โถ...นายทหารสองคนนั้น คงเสียใจมาก”
ท่านชายมองเจริญขวัญนิ่ง “ใช่...มันเป็นภาพจำที่เจ็บปวด และทำให้เขาทั้งสองโกรธตัวเอง จนวันตาย”
ท่านชายก้มมองเจริญขวัญด้วยสายตาล้ำลึก เหมือนมองเจ้าหญิงพระองค์นั้น
สองคนโลดแล่นเต้นรำอย่างงดงามกลางฟลอร์
ช่างภาพคนเดิม ตามกดถ่ายภาพ ท่านชายปรายตามอง ช่างภาพเช็คภาพในจอของกล้องถ่ายรูป แต่พอไล่เฟรมดู มีปรากฏภาพเดียวที่ถ่ายติดอย่างสมบูรณ์ เป็นภาพของท่านชายกับเจริญขวัญที่เต้นรำอยู่
คุณหญิงเพ็ญ หมอไพโรจน์ นายพลบัญชา มองอยู่เช่นเดียวกับคนอื่นๆ คุณนาย 1 หันมาถามคุณหญิง
“เอ๊ะ แม่สาวน้อยนั่นใครคะ สวยจัง แฟนของท่านชายเหรอคะ”
“อุ้ย ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่” คุณหญิงแอบหงุดหงิด
ส่วนอิศรายืนคลางแคลงใจอยู่อย่างเก่า เช่นเดียวกันกับชาลินีที่ยืนมองอย่างริษยาอยู่ ข้างๆ เป็นแขก 2 คน ที่มองท่านชาย เจริญขวัญอยู่ พูดคุยกันพอให้ได้ยิน
“ผู้หญิงนั่นใครนะ” แขก 2 ถาม
แขก 3 บอก “นั่นสิ หล่อ สวย สมกันจัง”
ชาลินีได้ยินแอบกัดริมฝีปาก โกรธถึงขีดสุด
“ได้ยินไหมอิศรา แล้วเธอก็มัวเฉยแบบนี้เหรอ...”
อิศราเริ่มหงุดหงิด “จะให้ผมเข้าไปแย่งเต้นรำเลยหรือไง ฉันไม่ทำอะไรเด็กๆ แบบนั้นหรอก”
ชาลินีพลันนึกแผนชั่วขึ้นมาได้ “เอายาที่ฉันให้มาหรือเปล่า”
อิศราล้วงออกมาแล้วยัดใส่มือชาลินี “เอ้า เอาของเธอคืนไป”
ชาลินีรับยามา กำแน่น มองไปทางท่านชายและเจริญขวัญทั้งหึงหวงและริษยา ส่วนอิศรามองไปทางท่านชายและเจริญขวัญอย่างสับสน
ท่านชายกับเจริญขวัญ โลดลิ่วพลิ้วไหวไปตามท่วงทำนองอ่อนหงวาน ดูงดงามเทียบเคียงกัน
อิศรามองจ้อง ไม่สบายใจนัก และไม่มั่นใจว่าท่านชายชอบเจริญขวัญไหม สุดท้ายเขาเดินออกไปจากตรงนั้น
เพลงจบลง ทุกคนปรบมือเกรียวกราว ท่านชายก้มศีรษะให้เจริญขวัญตามมารยาท เจริญขวัญขัดเขิน ดนตรีเริ่มใหม่ คู่เต้นรำอื่นก้าวเข้ามาในฟลอร์ มีคุณหญิงเพ็ญกับนายพลบัญชา และแขกอีก 2 คู่
อิศราเดินเข้ามาด้านหลังท่านชายในจังหวะนี้
“ท่านชายครับ”
ท่านชายหันมา อิศรายิ้ม
“ขออนุญาตนะครับ”
ท่านชายก้มศีรษะให้ถอยออก อิศรายิ้ม เดินเข้าหาเจริญขวัญ จับมือเธอ เจริญขวัญเงยหน้ามองตาใสซื่อ มือของอิศราเคลื่อนมาโอบด้านหลังเจริญขวัญนุ่มนวล ยิ้มเย้า
“เด็กน้อย...เหยียบเท้าท่านชายไปบ้างหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ...อุ๊ย” เจริญขวัญหัวเราะแต่เหยียบอิศรา
อิศรายิ้มขัน กลั้นเจ็บ “น่าน”
“ขอโทษค่ะ”
อิศราหัวเราะ เต้นรำกับเจริญขวัญ
ท่านชายยืนมองอิศราและเจริญขวัญนิ่ง ชาลินีเดินมาใกล้ เอ่ยขึ้น
“สองคนนั่น จะว่าไป ก็ดูสมกันดีนะคะ ท่านชาย”
ท่านชายขรึม มองไป
ชาลินีเอ่ยต่อ “ท่านชาย...เต้นกับชาอีกสักเพลงไหมคะ”
ท่านชายเผลอปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่” แล้วหันมาปรายยิ้ม “ฉันเหนื่อยแล้ว”
ชาลินียิ้มท่านชายมองไปทางอิศราและเจริญขวัญ
อิศราและเจริญขวัญเต้นรำ อยู่กับคู่อื่นๆ ในฟลอร์ยังมีมีท่านนายพลและคุณหญิงเพ็ญเต้นรำอยู่ด้วย
อีกฟาก ดวงแก้วเดินมาที่กรอบประตู ชะเง้อดูรถอิศราว่ากลับมาหรือยัง
เสียงร้องเพลงของวันดังขึ้น “เขากอดกันแน่แล้ว...เขาจูบกันแน่แล้ว”
ดวงแก้วขำ มองไป
เห็นวันนั่งกอดเข่าร้องเพลงอยู่ตรงระเบียง ก่อนที่สีเดินเข้าตีแขนเผียะ
“มาส่งเสียงโหยหวนอะไรยะ ไม่ไปหลับไปนอน”
“นอนได้ไง รอเปิดประตูให้คุณอิศ...เฮ้อ...” วันเท้าคางตาปรอย “เขากอดกันแน่แล้ว...เขาจูบ...กันแน่แล้ว”
สีหมั่นไส้ “ยังไม่หยุดร้องอีก เสียงยังกะแพนด้าคลอดลูก”
“นั่น แท้งไปแล้ว นี่ ๆ ป้าสีไม่รู้สึกเหรอ วาเดี๋ยวนี้ คุณอิศ เอะอะอะไรก็” วันทำเสียงเล็กเสียงน้อย “น้องขวัญ น้องขวัญ...ฮึ นังวัน หมดความหมายไปเลย”
“เดี๋ยวๆ ขอข้าทำความเข้าใจนิดนึงนะ” สีผลักหัววัน “เอ็งเป็นเมียคุณอิศหรือไง มาทำเป็นเสียงเล็กเสียงน้อยหึงเขาเนี่ย”
“ป้าก็” วันบ่นอุบอิบ “แหม...คนเราก็มีสิทธิ์ฝัน”
“อุ้ยตาย อีบ้า ฝันบ้าๆ ไม่ดูตัวเองเร๊ย เออ นี่ แต่ถ้าเกิดคุณอิศกะคุณขวัญ เขาจะชอบกันขึ้นมา ก็ดีสินะ”
“ได้ไง เขาพี่น้องกัน” วันท้วงเสียงดัง
“ที่ไหนกัน ที่คุณนมเคยเล่าให้ข้าฟัง คุณพ่อคุณอิศราเป็นลูกติดของสามีเก่าของคุณหญิง จะว่าไปก็ไม่ได้ดองเป็นญาติอะไรกับคุณชาลินีหรือคุณหญิงเพ็ญด้วยซ้ำ คุณอิศราเองก็รู้”
ดวงแก้วเพิ่งรู้เรื่องนี้ ถึงกับชะงัก นิ่งงันไป
งานการกุศลของคุณหญิงเพ็ญดำเนินไปอย่างสวยงามราบรื่น ที่ห้องหนึ่งของวัง มีการจัดโต๊ะ แบบ sit down dinner ไว้รองรับแขกในงาน
อิศรา เลื่อนเก้าอี้ให้เจริญขวัญลงนั่ง
“ขอบคุณค่ะ”
อิศราลงนั่งติดกับเจริญขวัญ
คุณหญิงเพ็ญ เดินมากับนายพลบัญชา และ ท่านชายวสวัต มีสิริตามหลัง
“แหม ไม่ทราบจะขอบคุณท่านชายขนาดไหนที่กรุณาเสียสละเพื่องานคืนนี้ ทั้งสถานที่ อาหาร โอ เพอร์เฟ็คท์ไปหมดเลยค่ะ”
“ด้วยความยินดี เพื่องานสังคมสงเคราะห์ของคุณหญิง”
ท่านชายเดินมาหยุดข้างอิศรา สิริ เลื่อนเก้าอี้ให้ท่านชาย มีที่ว่างระหว่างท่านชาย และ เจริญขวัญ ท่านนายพลลงนั่งติดอิศรา ฟังคุณหญิงแล้วแค่นหัวเราะ เอียงหน้าไปหาอิศรา
“อาของเธอ เข้าสังคมเก่งชะมัดเลยเนอะ”
อิศรายิ้มขำ
คุณหญิงมองค้อนสามี “ท่านคะ จะไม่ทักไม่ชวนท่านชายคุยบ้างเหรอคะ”
“จะให้ผมคุยเรื่องอะไร ผมเข้าสังคมไม่เก่งเหมือนคุณหรอกนะ”
ท่านชายยิ้ม “ท่านนายพลบัญชา ผมได้ยินมาว่า ท่านเป็นข้าราชการที่ดีมาเสมอแม้หลังเกษียณ ก็ไม่คิดทำอะไรที่...ลบหลู่เกียรติของตัวเอง”
บัญชาชะงัก แต่รู้สึกดีขึ้น ยิ้มชื่น
“ใครนะ ช่างนำเรื่องของผมมาเล่าให้ท่านชายฟัง” บัญชาหัวเราะร่าอย่างภาคภูมิใจ
ท่านชายวสวัตเยื้อนยิ้ม
บริกรเข้ามาเสริฟ์ไวน์ บัญชามองมาทางเจริญขวัญ
“แม่หนูคนนี้ คือลูกสาวคุณเล็กที่เพิ่งมาอยู่กรุงเทพฯ ใช่ไหมอิศรา”
“คุณพ่อของชาลินี ท่านพลบัญชา”
เจริญขวัญรีบไหว้ท่านนายพล “ขอโทษนะคะ ขวัญไม่ทราบ”
“ไม่เป็นไร เห็นว่ามาจากต่างจังหวัด แต่นี่ดูไม่ออกเลย สวยเหมือนสาวๆกรุงเทพฯ”
“หือม์ ทีอย่างนี้ คุยถนัดนะคะท่าน” คุณหญิงเพ็ญเหยียดยิ้ม จิกกัดสามี
บัญชาหงุดหงิด ดื่มไวน์
เจริญขวัญ มองบรรยากาศรอบตัวอย่างขัดเขิน ไม่คุ้นชิน อิศราลอบมอง
“แม่ชาลินีไปไหนเนี่ย”
ชาลินีอยู่ในห้องน้ำ หล่อนล้างมืออย่างแรงและเร็วตามอารมณ์ริษยา ชาลินีมองเงาตัวเองในกระจก เห็นเป็นภาพที่ท่านชายเต้นรำกับเจริญขวัญอย่างอ่อนโยน นุ่มนวล ซ้อนขึ้นมา
ชาลินีหมุนปิดปุ่มน้ำอย่างแรง แววตาในกระจกเห็นเพลิงริษยาฉายโชนชัดแจ้ง
ชาลินีเดินหน้าเคร่ง หงุดหงิด เดินออกมาหน้าห้องน้ำ ชะงักมองไปเมื่อเห็นสามสาวยืนหันหลังให้อยู่ แล้วหันมาหาพร้อมกัน สีหน้าชาลินีตกใจระคนโกรธ
“พวกเธอ...ใครเชิญให้มา”
ปวีณาย้อน “เอ๊า ก็ขายบัตรเพื่อการกุศลไม่ใช่เหรอ เอ๊ะ หรือไม่ใช่”
วัลภาเยาะ “นั่นสิ ชั้นว่างานโชว์พาวว่าจะจับท่านชายวสวัตมากกว่า”
ชาลินีคุมสติตัวเองได้ เชิดหน้า ยิ้มสู้ “อ๋อ มีกึ๋นพอจะดูออกเหมือนกันเหรอ”
อรอนงค์หยัน “ใช่ ดูออก ว่าท่านชายไม่ได้ทำท่าอะไรพิเศษกับเธอนักนี่ เห็นที่เต้นรำกับผู้หญิงคนนั้น สวีทมากกว่ากับเธออีก”
สามสาวหัวเราะกิ๊ก
ปวีณากับวัลภาลอยหน้าเยาะ “หน้าแตก...หน้าแตก”
ชาลินีฉุนจัดโดนจี้ใจดำ อรอนงค์เหยียดยิ้มมุมปาก
“เอ๊ะ หรือว่าท่านชาย จะรู้ว่าเธอ เน่าเฟะ มาขนาดไหน”
“เออ...ถ้าไม่รู้ พวกเราจะไปเรียน “นำเหน๋อ” ท่านเลยมั้ย” ปวีณาว่า
วัลภายิ้มระรื่น “อุ๊ย เริดจ้า”
ชาลินีโกรธ เค้นเสียงต่ำ “อย่ามาทำเรื่องบ้าๆ ในงานนี้นะ ไม่งั้นฉันจะให้คนลากพวกเธอออกไป ต่อหน้าพวกนักข่าวในงาน ให้ได้เป็นข่าวดังในสังคมไปเลย”
วัลภาเห็นท่าทีเอาจริงก็ชักกลัวหน้าแหย “เธอกล้าเหรอ”
ชาลินีเอาจริง “ลองดูมั้ยล่ะ”
สามสาวอึกอัก ชาลินีจ้องดุ
ปวีณาหันมาทางอรอนงค์ “เอาไงดี” ลูบท้องตัวเอง “ฉันท้องอยู่ด้วย”
อรอนงค์เข่นเขี้ยว จดสายตามองจ้อง อย่างจงเกลียดจงชังกับชาลินี
ด้านหมอไพโรจน์ถือสคริป์เดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง
“พี่หญิงครับ...” หันไปเห็นท่านชาย “ท่านชาย สวัสดีครับ”
ท่านชายวสวัตก้มศีรษะทักตอบ “คุณหมอ”
คุณหญิงเพ็ญลุกไปหา
“วันนี้คุณหมอมาช่วยเป็นพิธีกรให้ค่ะท่านชาย”
“ในคิวนี่บอกว่ามี โชว์พิเศษจากท่านชายด้วย แต่ไม่มีชื่อโชว์ท่านชายจะตั้งชื่อไหมครับ” หมอถาม
“ชื่อ...สมิงร้ายจากโลกันต์ เป็นยังไง” ท่านชายบอกทีเล่นทีจริง
ไพโรจน์ทวนชื่อ “สมิงร้าย จาก โลกันต์”
ท่านชายยิ้มบางๆ
“คุณหมอ เริ่มงานเลยดีไหมคะ เดี๋ยวจะช้า”
“ครับ..เอ้อ..เจ้าหน้าที่สเตจไม่มีเหรอครับพี่หญิง”
ท่านชายปรายตามองมาทางสิริเป็นเชิงบอก สิริขยับมาหาไพโรจน์
“เชิญ”
ไพโรจน์มองหน้าสิริ แล้วอึ้งไปนิด ก่อนจะเดินตาม
สามสาว อรอรงค์ ปวีณา วัลภา เดินมานั่งโต๊ะหนึ่ง ไม่ค่อยพอใจกันนัก
“นี่ไม่ติดว่าเพื่อนท้อง ชั้นว่างานนี้ มีสวย” วัลภาบอก
“อย่าพูดเลย เราจะไปพูดอะไรกับใครได้ ถ้าไม่มีหลักฐาน”
อรอนงค์เอ่ยขึ้น “เรากลับกันเลยดีมั้ย”
“อยู่ๆ ให้มันแสบๆ คันๆ ระแวงๆ พวกเราไปงี้แหละอร มันดีอย่างน้อยมันจะได้ไม่สุขเต็มร้อย” วัลภาว่า
อรอนงค์มีสีหน้าเคร่งขรึม
ชาลินีเดินหงุดหงิดมาในห้องจัดเลี้ยง ชะงักมองที่โต๊ะท่านชาย เห็นเจริญขวัญ มีอาการตื่นตา และมองรอบด้านอย่างสนใจ คุยกับท่านชายวสวัตอยู่
ชาลินีหยุดมองด้านหลัง หมั่นไส้ท่าทีใสซื่อของเจริญขวัญ ที่กำลังคุยกับท่านชาย
ท่านชายเยื้อนยิ้ม “หายตื่นเต้นหรือยัง”
“ที่นี่สวยเหลือเกิน ทุกคนก็แต่งตัวกันสวยๆ ทั้งนั้น”
ชาลินีปรับสีหน้า เดินมาที่โต๊ะ ลงนั่งตรงกลางระหว่างท่านชายและเจริญขวัญ
“น้องขวัญก็สวยไม่แพ้ใคร จริงไหมจ๊ะอิศ”
อิศรายิ้มนิดๆ เจริญขวัญยิ้มถ่อมตัว ท่านชายมองเหตุการณ์
ชาลินียิ้มอยู่ ไฟทั้งห้องดีมแสงลง
ทันทีที่แสงสลัวลง ใบหน้าชาลินีในเงาดำก็คลายยิ้มลงและมองเจริญขวัญจงชังและริษยา
ไฟสปอตไลท์จับที่โพเดี้ยมมุมเวที ไพโรจน์เดินเข้าไปที่โพเดี้ยมนั้น
“สวัสดีครับ แขกผู้เกียรติ ที่ใจบุญทุกท่าน ผม นายแพทย์ไพโรจน์ มารับหน้าที่เป็นพิธีกรสำหรับงานในคืนนี้ครับ”
แขกปรบมือ
“มองไปทางไหนก็เห็นแต่ใบหน้าของผู้ที่มีใจบุญกันทั้งนั้นนะครับ เพราะงานนี้ เรามาเพื่อร่วมบริจาคเป็นค่าบัตร เพื่อหารายได้เพื่อช่วยเด็กกำพร้าที่ขาดแคลน ก่อนอื่นผมคงต้องขอขอบพระคุณผู้ที่ให้การสนับสนุนหลักในเรื่องของการจัดงาน ทั้งสถานที่และโชว์พิเศษในค่ำคืนนี้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ขอเสียงปรบมือให้กับ ท่านชายวสวัต ครับ”
แขกปรบมือ ท่านชายเพียงยิ้ม ก้มศีรษะ ให้ โดยไม่ลุกยืน ชาลินีปรบมือภาคภูมิใจเว่อร์ อิศรา และ เจริญขวัญปรบมือด้วยมารยาท
“และแน่นอนงานในค่ำคืนนี้เกิดขึ้นได้เพราะ ประธานผู้จัดงานของเรา ซึ่งทำให้ เราได้เงินเพื่อการกุศลทั้งสิ้นเป็นเงินสามแสนห้าหมื่นเจ็ดพันบาท ครับ ขอเสียงปรบมือให้กับ คุณหญิงเพ็ญภาวีร์ ครับ”
คุณหญิงเพ็ญลุกขึ้นยืนภาคภูมิ โบกมือให้ แขกปรบมือคนที่โต๊ะปรบมือกันเกรียว
เจริญขวัญปรบมือด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตื่นเต้นกับการออกงานครั้งแรก
ชาลินียิ้มปรบมือ หันไปจะคุยกับท่านชาย เห็นท่านชายปรบมือพลางมองผ่านตนไปที่เจริญขวัญ
ชาลินีหึง ยกแก้วไวน์ดื่ม แล้วชะงักมองแก้วไวน์ในมือ ยิ้มร้ายมีเลศนัยขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองแก้วไวน์ของเจริญขวัญที่ตั้งอยู่
หมอไพโรจน์ดำเนินรายการต่อ “และต่อไปนี้ จะเป็นการแสดงชุดพิเศษ ที่ได้รับการสนับสนุนจากท่านชายวสวัตอีกเช่นกัน กับโชว์ที่มีชื่อว่า สมิงร้ายจากโลกันต์ ครับ”
แขกปรบมือ
ที่โต๊ะท่านชาย ชาลินีปรบมือ จะหันมาคุยกับท่านชาย
“เอ๊ะ ท่านกรุณาจัดโชว์ให้ด้วย” ชาลินีชะงัก ด้วยเก้าอี้ที่ท่านชายวสวัตว่างเปล่า
“อ้าว ท่านชายไปไหน...” หล่อนหันมาทางอิศรา “อิศ”
“ไม่รู้สิ ไม่ทันมอง”
ไฟบนเวทีกลายเป็นแสงสีแดงเพลิง เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ แขกในงานปรบมือ ดนตรีกระหึ่มขึ้น เสียงกลองตีกระหน่ำ คนหันไปมองการแสดงบนเวทีอย่างสนอกสนใจ ไฟทั้งห้องหรี่แสงลงอีก
ชาลินีมองตามโต๊ะ พบว่าทุกคนกำลังสนใจบนเวที
ชาลินีเปิดกระเป๋าหยิบซองยาออกมา ตามองที่แก้วไวน์สีแดงของเจริญขวัญ สักครู่มือชาลินีเลื่อนมาปล่อยเม็ดยาลงไปในแก้วอย่างรวดเร็ว ยาในแก้วไวน์ละลายอย่างรวดเร็ว
เจริญขวัญไม่รู้เรื่อง อิศราเองก็ไม่รู้เรื่อง
ชาลินียิ้มสาสมใจกับตัวเอง แล้วหันไปยิ้มระรื่นปรบมือกับโชว์บนเวที
อ่านต่อหน้า 3
เงา ตอนที่ 9 (ต่อ)
พลันไฟที่บนเวทีสาดขึ้นมาเป็นแสงเพลิงคบไฟประดับจุดขึ้นได้เอง
เสียงท่านชายวสวัต ดังกึกก้องเหมือนมาจากรอบทิศทาง จนผู้คนหันไปมองโดยรอบ
“มนุษย์เอ๋ย จงดู จงรับรู้ จง เป็นประจักษ์พยาน วิญญาณจากโลกันต์”
ร่างของนักเต้น พันด้วยผ้าแดงยาว ถลาออกมาสู่เวที มาจากทิศทางไหนไม่มีใครรู้ แขกปรบมือฮือฮา
ไพโรจน์ที่ยืนอยู่ข้างเวที สีหน้างุนงง สิริยืนขรึมอยู่เบื้องหลัง
“เอ๊ะ นักแสดงเข้ามาทางไหน ไวจริง”
สิริมองหมอไพโรจน์นิ่งไม่ตอบ หมอละสายตาจากสิริมองไปบนเวที สิริปรายยิ้ม
ร่างสามสาวนักเต้น ลีลาดูเร่าร้อน เย้ายวน ราวกับเป็นตัวแทนแห่ง กิเลศ ตัณหา และราคะ กระนั้น
แขกผู้ชายอมยิ้ม นายพลบัญชายิ้มชอบใจ คุณหญิงค้อนควัก
ปรากฏร่างชายนักเต้นออกมาบนเวที สามสาวถลาเข้าหา เล้าโลมกันไปมาพร้อมกับที่สามสาวเอาผ้าแดงพันหมุนรอบตัวชายหนุ่ม
สักครู่หนึ่ง ร่างชายคนนั้นถูกรัดรึงด้วยผ้าแดงจนดิ้นไม่หลุด สายปลายผ้าถูกดึง จนรัดแน่น
สาวนักเต้น1หนึ่งหยิบมีดปลอมมาแทง ร่างชายคนนั้นทรุด ขณะที่อีกสองคนดึงรั้งปลายผ้าแดง
แสงเพลิงสีแดง สว่างพุ่งอีกครั้ง สามทั้งสามคนเต้นเร่าร้อน ดนตรีเงียบ สามสาวคุกเข่านิ่ง
สปอตไลท์จับที่ร่างชาย 1 ที่ค่อย ๆ ลุกยืนยืดกายตรงคล้ายซอมบี้ นิ่งก้มหน้า ผ้าแดงที่พันรอบระโยงรยางค์เหมือนตาข่ายแมงมุมกระนั้น
เสียงท่านชายดังกึกก้อง “วิญญาณบาป เจ้าทำอะไรมา”
ชายที่ถูกพันด้วยผ้าแดง เงยหน้าขึ้น สีหน้าขาวซีด ปากดำ หน้าตาน่ากลัว เหมือนศพ ผู้ชมร้องฮือฮาเล็กน้อยด้วยความตกใจ
ชายนักเต้น1 ดิ้นรน ร้องโหยหวน “ข้า...ยักยอกเงิน รีดไถ ใส่ร้ายคนบริสุทธิ์”
แขกด้านล่างสามสี่คน มีอาการสะดุ้ง บางคนสำลักน้ำก็มี
ท่านชายเอ่ยขึ้น “กรรมของเจ้า เจ้าโดนลงทัณฑ์อย่างไร...ตอบ”
ชายนักเต้น1 ร้องโอดโอย “โอย...หลายขุมนัก...ข้าโดนจับใส่ขื่อ ตรวน...โดนกรีดท้อง ควักใส้ นกตัวใหญ่มาจิกกิน โอย..เจ็บเหลือเกิน... ฮือๆ ข้าตายแล้วฟื้นใหม่...ไฟนรกโลกันต์แผดเผา..โอย ร้อน ร้อนเหลือเกิน..โอ๊ย...”
ชายคนนั้นกรีดร้องโหยหวน เจ็บปวดสุดจะประมาณ
กลองตีกระหึ่มรุนแรง แสงไฟ สาดไปมา ลามเลียเหมือนไฟลุก นักเต้นชาย 1 กรีดร้อง
ผู้ชมบ้างสะดุ้ง บ้างมีอาการเหมือนร้อน เริ่มเช็ดเหงื่อ
ส่วนที่โต๊ะนายพลบัญชา อิศรา เจริญขวัญ คุณหญิง ชาลินี
“ทำไมมันร้อนอย่างนี้” บัญชาว่า
อิศราหันมามองเจริญขวัญ เห็นเธอดูภาพบนเวทีแล้วเริ่มกลัว ฝ่ายชาลินีดูแล้วหงุดหงิด
ไฟบนเวทีดีมลง ครู่เดียว ร่างผู้ชาย 1 คนนั้นหายไปราวมายากล กลายเป็นร่างผู้หญิง ผมสยายยาว หน้าขาวปากแดง
นักแสดงอีกสาม คือนักเต้นชาย 1 หญิง 2 คุกเข่าเต้น จู่ๆ นักแสดงสาวเงยหน้าขึ้นมามองผู้ชม หัวเราะกรีดแหลมบาดทรวง ผู้ชมมองอย่างตะลึง ตัวแข็งกันทั้งแถบ
นักแสดงสาวกรีดเสียงแหลมเล็กประหลาด “ข้า...สวย...ฮ่าๆ ใครๆ ก็...ต้องการข้า...ฮ่าๆ...ลูกใคร ผัวใคร...ข้า...ก็ไม่สน...ฮ่าๆ...ข้าคือ หญิง งามเมือง ฮ่าๆ”
นักเต้นชาย1 เข้าเต้นเล้าโลมนัวเนียนักแสดงสาวระหว่างหล่อนพูดพร่ำ
ชาลินีชะงักเหมือนถูกแทงใจดำ มองตะลึง เริ่มผวากลัว
“แต่...ความสวยของข้า ความสาวของข้า มันไม่ทน ข้าต้องเหี่ยว..ต้องแก่..แล้วข้าก็ต้อง..ตาย...”นักแสดงสาว ก้มหัวพับไปคาเวที
คุณหญิงเพ็ญ และคุณนายคนไม่อยากแก่ ดูแล้วอึดอัดใจ ร้อนรุ่ม ซับเหงื่อระวิง
ดนตรีโหมกระหึ่ม กระหน่ำขึ้นมาอีก แสงไฟโลมเลียพวยพุ่งขึ้นตาม นักแสดงทั้งหมด เต้นอย่างร้อน ทุรนทุรายในไฟนรก
เสียงท่านชายดังกึกก้อง “เจ้าต้องชดใช้กรรมอย่างไร...ตอบมา”
นักแสดงสาวคนกลางที่ถูกพันด้วยผ้าแดง กรีดร้อง เมื่อเงยหน้าขึ้น พบว่าหน้าเปลี่ยนไป เผือดขาวเป็นดวงหน้าของวิญญาณน่ากลัว คนดูผงะตกใจกลัว
นักแสดงสาวคนกลางร้องโอดโอยราวกับไม่ใช่การแสดง “โอย เจ็บ เจ็บเหลือเกิน...หนามต้นงิ้ว มันตำ เนื้อขาดหมดแล้ว โอย...หมาเหล็ก อีกาปากเหล็ก กัดทึ้งร่างข้ากระจุย...โอย มันฉีกกัดอวัยวะของข้า...โอ๊ย..อย่า...อย่า...หนามต้นงิ้วแหลม ปักร่างพรุนหมดแล้ว...โอย”
ดนตรีกระหึ่ม แสงไฟสีแดงสาดใส่ทุกคนบนเวทีออกอาการร้อนรุ่มอยู่กับผ้าริ้วสีแดงนั้น
ที่โต๊ะสามสาม อรอนงค์นั่งนิ่ง วัลภาเกาะปวีณาแจ
“นี่มันการแสดงบ้าอะไรเนี่ย”
ปวีณาปิดตา “น่ากลัวจังเลย”
ฟากชาลินีมองอย่างตะลึงงัน ตัวแข็งเกร็ง เจริญขวัญหันเห็น
“คุณชาลินี”
ชาลินีละล่ำละลัก “ภาพ...ภาพนั้น...คุ้นตาเหลือเกิน”
เจริญขวัญแตะตัวชาลินี “คุณชาลินีคะ”
ชาลินีสะดุ้งสุดตัว “หือ...”
“เป็นอะไรไปคะ”
“เปล่า” ชาลินีเสยกแก้วดื่ม
บนเวทีดนตรีกระหึ่ม ไฟสลัวลงเล็กน้อย แล้วสว่างวาบดั่งแสงเพลิง ปรากฏร่างชายชุดดำ ชายเสื้อยาวถึงเท้า สวมหน้ากากดำ และสวมฮู้ดครอบศีรษะ ไม่มีใครรู้ว่าที่แท้คือท่านชายวสวัต ท่านชายหัวเราะเสียงดังกึกก้อง
“เจ้าวิญญาณบาป ไสหัวไป ชดใช้กรรม”
ร่างนั้นตวัดมือไปครั้งใด นักเต้นทั้งหมด จะเร่าร้อน เจ็บปวด กรีดร้องโหยหวน แสงเพลิงลุกโหมท่วมบนเวที
เจริญขวัญสีหน้าหวาดกลัวอย่างคนกลัวการทำบาป ขณะที่อิศราดูอย่าง งุนงง ส่วนชาลินี ผวากลัวกว่าใครบีบมือแน่น คนดูเริ่มปิดหน้า บ้างร้องอย่างตกใจ
คนดูด้านล่างระส่ำระสาย สปอตไลท์แสงเพลิงสีแดงสาดไปมารอบห้อง
คุณหญิงเพ็ญ กังวลกับแขกรอบตัวที่มีอาการหวาดผวา และร้อนรุ่มกันมากขึ้น เผลอลุกพรวด
“หยุดเถอะ พอได้แล้ว”
ฉับพลันทันใด ไฟบนเวทีสว่างขึ้น นักแสดงบนเวทีหายไปจนหมด แม้แต่ผ้าแดงผืนนั้นก็หายไปสิ้น คงเหลือเพียงแต่ร่างท่านชายในชุดคำ สวมฮู้ดครอบศีรษะ ยืนนิ่ง สง่างามนั้น ผู้คนหันรีหันขวาง สีหน้าสงสัย
ความเงียบ หวั่นผวา ปกคลุมไปทั่ว
ร่างท่านชายบนเวที ยกมือ สะบัดไปรอบทุกโต๊ะ
“จงดู...แล้วสำนึก...ถึงกรรม ของตัวเอง...”
ทุกคนงุนงง
ร่างในชุดดำยืนนิ่งกลางเวที สิริ กับภุมมะ เดินเข้าหาร่างท่านชาย เพียงแวบเดียวก็ถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นเป็นร่างสง่างามของท่านชายในชุดขาวดังเดิม เหลือเพียงหน้ากาก สิริ กับ ภุมมะ ถอยออกจากเวที
ท่านชายปลดถอดหน้ากากออกช้าๆ ทุกคนเห็นเป็น ท่านชายวสวัต ต่างพากันฮือฮา อิศราลุกขึ้น ปรบมือ
“บราโว ท่านชายวสวัต”
แขกทุกคนปรบมือตาม ท่านชายยืนนิ่ง ขรึม หล่อเหลา มองลงมายังทุกคน
หมอไพโรจน์ เดินเข้ามาที่โพเดี้ยม
“ขอเสียงปรบมือให้กับนักแสดงทุกท่าน และท่านชายวสวัต อีกครั้งครับผม”
ทุกคนปรบมือ
ท่านชายเดินออกมากลางเวที หล่อ สง่าและทรงอำนาจ ยืนนิ่งกลางเวที มองรอบๆ ห้อง จนนักข่าวที่ทำท่าจะกดชัตเตอร์ กลับเกรงในอำนาจนั้นยังลดกล้อง ไม่กล้าถ่ายภาพ
ท่านชาย ก้าวลงมาช้าๆ
หมอไพโรจน์เอ่ยขึ้น “ขอเชิญนักแสดงทุกคนออกมารับรางวัลจากท่านประธานจัดงานด้วยครับ”คุณหญิงเพ็ญเดินหาท่านชาย สีหน้าคุณหญิงเจื่อนๆ จากการดูโชว์ที่น่ากลัวมากกว่าน่าสนุก
“ท่านชายคะ ทางเราได้จัดของขวัญไว้สำรับนักแสดง”
ท่านชายขัดขึ้นเสียงนุ่ม “พวกเขากลับไปยัง ที่อยู่ ของเขาแล้ว”
“อ้าว แต่พวกนักข่าวอยากถ่ายภาพรวมทำข่าวน่ะค่ะ”
ท่านชายหัวเราะเสียงต่ำลึก “ให้เขาบรรยายไปได้เลยว่า” พลางมองไปยังหมอไพโรจน์ “ภาพจริง จากโลกันต์”
ท่านชายยิ้ม ก้มศีรษะน้อยๆ เป็นเชิงลา ก่อนเดินลงไป คุณหญิงเพ็ญยิ้มเจื่อนๆ
ไพโรจน์หันมองตามทานชาย ยิ่งรู้สึกได้ว่าท่านชายมีอะไรที่น่าสงสัย ค้นหา
“แปลกจริง”
“นั่นสิ เริ่มต้นดี๊ดี ตอนจบ คนบ่นกันตรึมเลย เฮ้อ...”
“เปล่าครับ ผมหมายถึง พวกนักแสดงหายไปทางไหน ผมไม่เห็นทางเข้าออกเลย..แล้วทีมงานแสง เสียง เขาไปซ่อนกันตรงไหนผมไม่เห็นใครเลย”
“พี่ก็ไม่รู้”
คุณหญิงเดินหงุดหงิดตามลงไป หมอไพโรจน์เง็ง
ที่โต๊ะอิศรา ชาลินียังคงรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับการแสดง
“ท่านชาย ลงทุนร่วมแสดงให้ดูด้วย ทำไมท่านน่ารักอย่างนี้นะ”
“คงเพราะเสน่ห์คุณชาลินีล่ะมั้ง ใช่มั้ย” อิศราหยอก
ชาลินีค้อนยิ้มพราย “ท่านชาย สง่าเหลือเกินบนเวที”
ท่านชายวสวัตมาทางเบื้องหลังลงนั่งที่เดิม
“ขอบใจที่ชม”
ชาลินียิ้มหวาน “ท่านชายขา..ยอดเยี่ยม เพอร์เฟ็คท์จริงๆ ค่ะ”
“จริงเหรอ..เมื่อกี้ยังเห็น เธอหน้าซีดอยู่เลย” อิศราเหน็บ
“แหมก็..มันดู..สมจริงนี่ แม้แต่อากาศก็ร้อนขึ้นมา ยังกับ...”
“อยู่ในนรก...หวังว่า แขกผู้ใจบุญของเธอคงชอบ”
ท่านชายหัวเราะ ปรายตาไปทางหนึ่ง ทุกคนมองตาม
พบว่าแขกเริ่มทยอยมาไหว้ลาคุณหญิงเพ็ญ ขอตัวกลับ หมอไพโรจน์ มองด้วยสีหน้าไม่ดี
ส่วนนายพลบัญชาหันมองตาม หัวเราะหึๆ
“การแสดงที่คงแทงใจดำหลายคน จะว่าไป ก็ผมด้วย”
“ท่านชายไปหานักแสดงมาจากไหนครับ..ที่จริง มันน่ากลัวมากกว่าน่าสนุก”
ท่านชายหัวเราะ “งั้นรึ แต่โลกันต์ก็เป็นแบบนี้ จะไปหาอะไรน่าสนุกจากที่นั่น”
“ผมว่า ไฟ เสียง ยังไม่ค่อยเนียน แต่นักแสดงเต้นได้ดี โดยเฉพาะท่านชาย ดูน่ายำเกรงมาก”
ท่านชายหัวเราะอีก “นักแสดง หรือ ฉันก็ไม่ได้แสดงอะไรมาก แค่ทำท่าเหมือนจริงเท่านั้น”
ชาลินียิ้มจะหันคุยกับท่านชาย แต่ท่านชายกลับชิงถามเจริญขวัญที่นั่งหน้าซีดก่อน
“คุณเจริญขวัญล่ะ คิดว่ายังไง”
ท่านชายคุยข้ามหน้าชาลินี ทำให้ชาลินีต้องสะกดสีหน้า เสดื่มไวน์
“ภาพบนเวที เหมือนภาพวาดที่ขวัญเคยเห็นในวัดค่ะ...น่าสงสารคนพวกนั้น”
ใบหน้าท่านชายเคร่งขรึม สำรวมขึ้น “ทำไม”
“พวกเขาทำกรรมไว้มากจึงต้องชดใช้กรรมนั้น แต่พวกเขาก็ยังมีเวลาหมดเวร ไม่เหมือน...”
“คุณกำลังพูดถึง”
นัยน์ตาเจริญขวัญทอประกายอ่อนโยนบริสุทธิ์ใจมองมายังท่านชาย “ค่ะ ท่านยมบาล ขวัญมักภาวนาให้ท่านมากกว่าใคร”
ท่านชายชะงัก ปีติล้ำลึก “ขอบใจ...ขอบใจ เขาคนนั้นก็คงจะรู้”
ชาลินีทนริษยาไม่ไหว คว้าแก้วไวน์ยกขึ้นช่วนดื่ม
“เรามาดื่มให้กับการแสดงสุดวิเศษนี้กันดีกว่า เพื่อขอบคุณท่านชาย อิศ เอาแก้วให้น้องสิจ๊ะ”
อิศรายิ้ม เอื้อมหยิบแก้วไวน์ให้เจริญขวัญ
ท่านชายชะงักมอง รับรู้ ไม่ได้ห้าม แต่เป็นห่วง เจริญขวัญรับมา
“มาค่ะ พ่อคะ อิศ น้องขวัญ ดื่ม ให้ท่านชายค่ะ”
ทุกคนยกแก้ว เจริญขวัญเงอะงะทำตาม
แก้วไวน์จ่อจดปากเจริญขวัญในขณะที่ทุกคนดื่ม ท่านชายมองขรึม เครียด ตาดุ ชาลินีมองเจริญขวัญ ที่ดื่มเพียงนิดเดียวก็ลดแก้ว
“น้องขวัญ อะไรจ๊ะ ดื่มนิดเดียว นี่ออกงานสังคมแล้ว ต้องหัดดื่มของพวกนี้บ้างจ้ะ เอ้า ดื่มอีกหน่อยสิจ๊ะ”
เจริญขวัญเกรงใจ ยกแก้วดื่มอีกนิด แต่พอจะลดมือลง มือของชาลินีก็ไปช้อนมือช่วยดันแก้วให้ดื่มอีกเป็นเชิงบังคับ
“น่า อีกนิดนึง”
อิศราไม่อยากดู “พอเถอะชา”
ชาลินีจ้องอิศรา พยายามสื่อความนัย “น่า จิบไปนิดเดียวจะรู้รสอะไร ดื่มอีกนิดจ้ะขวัญ”
สภาพเจริญขวัญเหมือนถูกกรอกบังคับให้ดื่มเพิ่ม ชาลินียิ้ม อิศรามองอย่างเริ่มเข้าใจ
มือท่านชายกำแน่นที่ตักอย่างโกรธ ตวัดตามองแก้วเจริญขวัญ เหมือนส่งกระแสจิต แก้วไวน์ที่ถูกมือชาลินีช้อนขึ้นนั้น ลื่นกระดกแรงจนน้ำในแก้วกระฉอก สีแดงรดลงเสื้อเจริญขวัญ
“อุ๊ย”
อิศราตกใจ รีบเอาผ้าเช็ดให้เจริญขวัญ
อิศราดุชาลินี “ชาทำไมทำแบบนี้ เลอะหมด”
เจริญขวัญตกใจ “เอ้อ...ขวัญ ถือแก้วไม่ดีเองค่ะ”
ชาลินีหมั่นไส้เจริญขวัญ แสร้งยิ้ม “ขอโทษนะจ๊ะน้องขวัญ ตาย พี่ซุ่มซ่ามจริงๆ เลย ไป พี่พาไปทำความสะอาดในห้องน้ำดีกว่า นายอิศมาเช็ดๆ อะไรตรงนี้ คนอื่นมองใหญ่แล้ว”
ชาลินีลุกท่านชายลุกอย่างสุภาพบุรุษ อิศราหงุดหงิดลุกเลื่อนเก้าอี้ให้เจริญขวัญ ชาลินีโอบเกี่ยวแขนเจริญขวัญที่หน้าเสียไปเหมือนสนิทสนม
“มาจ้ะน้องขวัญ”
อิศรา มองตามอย่างหงุดหงิดชาลินี ท่านชายมองตามแล้วมองอิศราซ่อนความไม่พอใจ หมอไพโรจน์เข้าด้านท่านชาย
“ท่านชายครับ”
ท่านชายหันมองมายังหมอไพโรจน์นิ่งๆ
ชาลินีพาเจริญขวัญมาห้องน้ำทำดีด้วย หยิบผ้าเช็ดมือในห้องน้ำเปิดน้ำชุบผ้า
“ขอโทษจริงๆ โกรธพี่หรือเปล่านี่ ทำชุดสวยๆ เลอะหมด”
“ไม่ค่ะไม่ แต่ เสียดายชุดจัง พี่อิศซื้อมา ราคาตั้งแพง”
ชาลินีส่งผ้าให้ เจริญขวัญรับมารีบเช็ด
ชาลินีแอบยิ้มมุมปาก หันไปเปิดกระเป๋าถือหยิบลิปสติกมาทาไปชวนคุยไป
“ขวัญนี่โชคดีนะ ปกติท่านชายวสวัตไม่ค่อยแสดงอาการเมตตากับใครมาก นอกจาก ผู้หญิงที่ท่านสนิทๆด้วย นี่ท่านคงเห็นว่าเป็นเด็กมาจากบ้านนอก วันนี้ก็ดู..แต่งตัวแปลกเป็นพิเศษ เหมือนนางซินแปลงรูป”
เจริญขวัญเช็ดคราบไวน์อยู่ชะงัก แล้วหัวเราะอย่างคนมองโลกดี
“ค่ะ แล้วนางซินก็ต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิมนะคะ”
ชาลินีหัวเราะ “นี่ ตอนที่ขวัญไปเต้นรำกับท่านชายน่ะนะ นายอิศงี้ ลุ้นแทบแย่แน่ะ”
“ทำไมเหรอคะ”
“ก็กลัวน้องขวัญจะเผลอไปเหยียบเท้าท่านชายเข้าน่ะซี้ ต๊าย ถ้าทำให้ท่านเสียหน้ากลางงานแย่เลย” ชาลินีตบบ่าเบาๆ “แต่ก็ดีล่ะละ ผ่านมาได้”
เจริญขวัญชะงักมองแล้วยิ้ม เริ่มสะกิดใจนิดหน่อยแต่ไม่คิดมาก
ชาลินีอวดโอ้ ล้วนเพ้อกับตัวเองด้วย “ท่านชาย ดีกับพี่มากเลย เห็นมั้ยจ๊ะ ทั้งวัง ทั้งงานทุกอย่าง ท่านทุ่มเทให้เต็มที่” หล่อนยิ้มระบายลมหายใจอย่างสุขสมขณะมองตัวเองในกระจก “นี่ พี่ควรจะทำยังไงดีน้าถึงจะตอบแทนน้ำใจท่านได้”
ภาพสองสาวในกระจกยามนี้ ต่างกันสุดขั้ว ชาลินียิ้มมองตัวเองอย่างสุขล้น ส่วนเจริญขวัญงกๆ เงิ่นๆ กับการเช็ดเสื้อที่เปื้อนเลอะ ไม่เห็นสายตาชาลินีที่เหลือบมองมาอย่างหมั่นไส้
ท่านชายวสวัต กับ หมอไพโรจน์ เดินมาคุยกันตรงมุมหนึ่ง หมอไพโรจน์เอ่ยขึ้นท่าทีขรึม
“ท่านชายมักมีอะไรทำให้ผม ประหลาดใจอยู่เรื่อยเลยครับ อย่าง การแสดงในวันนี้”
“ทำไมเหรอ”
“ก็...ผมอยู่ใกล้เวทีที่สุด แต่ผมไม่เห็นนักแสดง ตอนขึ้นหรือออกจากเวทีเลย ราวกับว่าพวกเขาหายตัวไปเฉยๆ”
“นักมายากล ยังทำตึกทั้งหลัง หายไปต่อหน้าต่อตาไม่ใช่เหรอ”
“ท่านชายจะบอกว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของมายากล”
“หมอ” ท่านชายยิ้ม หันไปหยิบแก้วบนโต๊ะที่วางใกล้ๆ “หมอเห็นแก้วนี่ไหม บางคนมองเห็นแก้วน้ำ บางคนมองที่รูปทรงมัน บางคนก็เห็นน้ำในแก้ว และบางคนเห็นที่ว่างที่เหลือในแก้ว”
“ครับ...ทัศนคติของคน ขึ้นอยู่กับสิ่งทีตัวเองคิด”
“สิ่งเหล่านี้ ทั้งหมด มันคือภาพลวงตา มองให้เห็นเนื้อหาที่แท้จริงของมัน อย่ามองเพียงรูปลักษณะ ที่มันไม่คงทนสิหมอ”
หมอไพโรจน์ยังงงอยู่ ท่านชายวางแก้ว หัวเราะเบาๆ มองอย่างเมตตาและล้ำลึก
“ผมไม่เข้าใจ”
ท่านชายยิ้ม แล้วหันหลังกลับ เดินออกไปเลย
ทิ้งหมอไพโรจน์ ให้งงงันอยู่อย่างนั้น
อิศราเดินเร็วรี่มาหน้าห้องน้ำอย่างเป็นห่วง ชาลินีเดินยิ้มออกมาจากห้องน้ำก่อน
“เจริญขวัญล่ะ”
“เดี๋ยวก็ออกมา”
“เธอทำบ้าอะไรของเธอ”
ชาลินียิ้มขัน “บ้า?.. เธอต่างหากที่ต้องขอบใจชั้น”
อิศรางง ชาลินียื่นหน้ามากระซิบที่ใบหูเขา
“คืนนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่เธอจะรวบหัวรวบหางแม่สาวน้อยของเธอนะอิศ (ยิ้ม) เพื่อบ้านหลังเก่าและเจ้าสาวคนใหม่ของเธอ”
อิศราชะงัก “เธอ...”
“รีบๆ พาเขาไปก่อนที่ยาออกฤทธิ์เถอะ”
อิศราอึ้ง “งั้น...ไวน์นั่น”
ชาลินียิ้มขยิบตาตอบ อิศราตกใจ ขยับจะว่าต่อ
“ก็เธอมัวแต่ช้า อยากให้เด็กของเธอตกไปของ..คนอื่น รึไง” ชาลินีตัดบท เน้นคำ จ้องมาเหมือนกิริยาย่าอุ่นที่ทำกับเขาเสมอ “อยากเป็น...หมาหัวเน่าคนไร้บ้านหรือไง”
อิศราอึ้ง พอดีเจริญขวัญออกมา
ชาลินียิ้มพยัก “มานั่นแล้ว”
เจริญขวัญออกมา ยิ้มแห้งๆ ที่ชุดเปื้อนไป ดูน่าสงสารเหมือนลูกแกะซื่อๆ
ชาลินีปรายยิ้มให้อิศรา ที่สีหน้าดูออกว่าไม่ค่อยสบายใจนัก
อ่านต่อหน้า 4
เงา ตอนที่ 9 (ต่อ)
แขกชายหญิงคู่หนึ่งเดินบ่นกันออกมายังรถลานจอดรถ หน้าตึกวังท่านชาย แต่ละคนท่าทางร้อนรุ่ม
“การแสดงบ้าๆ” ชาย 1 กระซิบ “นี่มันจงใจจะด่าเราหรือเปล่า”
“ดิฉันจะไปทราบเหรอคะ” หญิง 1 ดมยาดมในมือ “ไปเถอะค่ะ ดิฉันจะเป็นลม”
สองผัวเมียเดินขึ้นรถ รีบขับออกไป
อิศราเดินนำมาสีหน้าขรึม คิดหนัก เจริญขวัญเดินตามมา หน้าจ๋อย มองอิศรา
“ขวัญเลยทำให้พี่อิศหมดสนุกเลย”
อิศราออกจากภวังค์ “อ้อ..เอ้อ ไม่หรอก
เจริญขวัญเดินๆ อยู่ เริ่มมีอาการมึน ซวนเซ ควานคว้าแขนอิศรายึดไว้
อิศราชะงักมองอย่างไม่สบายใจ รู้ว่ายาเริ่มออกฤทธิ์
เจริญขวัญเบลอแต่ยังไม่รู้ตัว “เอ้อ ขอโทษค่ะ..เอ๊ะ ทำไมอยู่ๆ มันมึน”
“คง...เพราะดื่มไวน์” อิศราหลบตาวูบ “คนไม่เคยดื่ม ก็เป็นแบบนี้”
อิศราโอบประคองเจริญขวัญขึ้นรถ เจริญขวัญนั่งในรถ อาการสะลึมสะลือ ตาจะปิดรอมร่อ อิศราเอื้อมไปดึงสายรัดนิรภัยเสียบให้ มองหน้าเจริญขวัญ แล้วเดินอ้อมไปที่นั่งคนขับ ขับออกไปช้าๆ
ฝ่ายชาลินียืนยกแก้วไวน์ดื่มอย่างมีความมุ่งมั่นมาดหมาย ว่าจะกำจัดเจริญขวัญให้พ้นทางไปได้ แต่แล้วก็ต้องเซ็งเมื่อเห็น สามสาวเดินมากับนายพลบัญชาและคุณหญิงเพ็ญ
“ตอนที่มีการแสดงนะคะ หนู ต้องปิดตาเลยค่ะไม่อยากดูกลัวลูกในท้องตกใจ” ปวีณาว่า
“อาก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน” คุณหญิงเห็นด้วย
ชาลินีเดินมาขัด “พวกเธอยังไม่กลับกันอีกเหรอ”
อรอนงค์บอกสีหน้าเรียบ ยิ้มในสีหน้า “กำลังจะกลับ แต่ก็ต้องกราบลาผู้ใหญ่ ตามมารยาทสิ...ทำไม เธอกลัวว่าฉันจะ..พูดอะไรงั้นเหรอ”
ชาลินีหน้าตึง แล้วหัวเราะกลบ
“ฉันน่ะเหรอจะไปกลัวอะไร จะไปก็ไปสิ สวัสดี”
สามสาวหน้าเคร่ง ยกมือไหว้ลาคุณหญิงเพ็ญและนายพลบัญชา ก่อนเดินไป
บัญชาถามลูกสาว “ลูกทะเลาะกับเพื่อนๆ เหรอ ทำไมดู แปลกๆ”
“คนมันขี้อิจฉาก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ”
“เรื่องของเด็กๆ อย่าไปสนใจเลยค่ะ เอ แม่ไม่เจอท่านชายวสวัตเลย แม่เหนื่อยเหลือเกิน”
“ก็กลับกันเลยสิ ผมก็ล้าเต็มทน”
“เดี๋ยวหนูลาท่านให้เองค่ะ” ชาลินียิ้มแฉ่ง “พรุ่งนี้รอดูรูปส่งข่าว เดี๋ยวก็หายเหนื่อยนะคะแม่”
คุณหญิงเพ็ญ กับนายพลบัญชา เดินออกไป
ชาลินียิ้มมองส่งตามหลังไป
สักครู่หนึ่งชาลินีเดินเข้ามาหน้าโถงบันได มองไปรอบๆ อย่างฉงนฉงาย ทั้งห้องโล่ง ว่าง ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งอะไรเหลืออยู่ ดูวังเวง
“เก็บของกันรวดเร็วจริง...ไปไหนกันหมด” ชาลินีร้องเรียก “ท่านชายคะ...ท่านชาย”
ชาลินีเหลียวมองรอบกาย เห็นแชนเดอร์เลียสวยอลังการเหนือศีรษะ ก็ยิ้มฝันหวาน รอนานแล้วแต่ไม่มีใครออกมาเลย
“ท่านชายคะ...ท่านชายอยู่ไหนคะ”
ชาลินีตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ
“ท่านชาย”
ชาลินีขึ้นบันได ผ่านรูปปั้นลูซิเฟอร์ตรงกลางบันได
ด้านอิศราแล่นรถมาจอดใต้สะพานสวย โดยในรถเจริญขวัญยังอยู่ในอาการสะลึมสะลือ อิศราดับเครื่อง หันมามอง
ใบหน้าเจริญขวัญดูงดงาม ท่าทีเคลิ้มๆ ยังไม่ได้หลับสนิท อิศราขยับเข้าใกล้ ยกนิ้วไล้แก้มนวล เพ่งมองหน้าเจริญขวัญนิ่ง ริมฝีปากเจริญขวัญเผยอนิดๆ ดูเย้ายวนเหลือเกิน
อิศราเครียด กดดันอย่างหนัก เคลื่อนหน้าเข้าใกล้เกือบจะชิดหน้าเจริญขวัญ
ด้านหลังรถอิศราที่จอดอยู่ ร่างท่านชายวสวัตในชุดดำพญามาร ก้าวเข้ามายืนมองอย่างโกรธขึ้ง แต่ไม่อาจทำอะไรได้ ทำได้เพียงแค่ เป็นประจักษ์พยานแห่งกรรมสองคนตรงหน้า
อิศราโน้มตัวเคลื่อนหน้าเข้าใกล้ เหมือนจะจูบปากเจริญขวัญรอมร่อ เจริญขวัญก็ยังไม่รู้ตัว
อิศราหลับตา นึกถึงภาพเจริญขวัญมองหน้าอิศราตอนเล่าเรื่องในชีวิตให้ฟัง แล้วน้ำตาไหลเป็นทางด้วยความสงสาร
นึกเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว อิศราลืมตา กัดปาก โกรธตัวเอง อิศราออกมาจากรถอย่างโกรธตัวเองที่คิดไม่ดีกับสาวซื่ออย่างเจริญขวัญ
ชายหนุ่มระบายอารมณ์ฉุนเฉียว ด้วยการเตะลมแล้งข้างกาย
ท่านชายมองจ้องอยู่ ดวงตาคลายลง สีหน้าดูโล่งใจ และมีความเมตตาต่ออิศราขึ้นมาอีกนิด ก่อนจะเดินหายไปในเงามืด
อิศรานั่งมองท้องน้ำด้านหน้าข้างรถ ขณะที่เจริญขวัญยังสะลึมสะลืออยู่ในรถ อิศราโมโห หงุดหงิด สับสนกับความคิด ดี-ชั่ว ของตัวเอง
ฟากชาลินีเดินขึ้นบันไดมาถึงระเบียงเหนือบันไดแล้ว แชนเดอร์เลียใหญ่ โคมไฟระย้ายังเปิดอยู่ ชาลินี เดินมาช้าๆ เหลียวมองซ้ายแลขวา
“ท่านชายคะ”
ฉับพลัน ไฟแชนเดอร์เลียดับวูบลง ชาลินีสะดุ้ง ทั่วระเบียงกว้างดูเวิ้งว้าง เหมือนบ้านร้างกระนั้น ชาลินีค่อยๆ ถอยหลัง อย่างหวาดผวา
ยินเสียงเด็กทารกร้องจ้า อุแว้...อุแว้ ชาลินีชะงัก
“เสียง...เสียงเด็กที่ไหน” ชาลินีชะงัก เหลียวแลหาที่มาของเสียง
“อุแว้...อุแว้”
ชาลินีผวา ค่อยๆ ถดตัวถอยหลัง เหมือนหาทิศทางไม่เจอ ชาลินีถอยหลังมาเรื่อยจนถึงขอบบันได ท่าทีคล้ายกับว่าเธอจะตกบันได
“เสียงเด็กที่ไหนกัน” ชาลินีหอบหายใจอย่างรุนแรง กลัวจับจิต หันหลังขวับจะเดินลง แล้วต้องผงะเมื่อเห็นภุมมะยืนทะมึนอยู่ที่ขั้นบันไดด้านหลัง
“ว้าย...” ชาลีนีชะงักยังกลัวอยู่ เขม้นมองจนเห็นว่าเป็นใคร “แก...เอ้อ...ทำไม อยู่ๆ ก็ไฟดับ...แล้ว...เสียงเด็กร้อง”
ภุมมะยิ้มมุมปาก หน้าตาในเงามืด ดูน่ากลัว
“ทำไม...คุณกลัว เสียงเด็กงั้นเหรอ”
ชาลินีคุมสติได้ แต่หวั่นหวาดกับสีหน้าและน้ำเสียงภุมมะ ไม่ค่อยอยากมอง
“ท่าน...ท่านชายล่ะ ท่านชายอยู่ไหน”
ภุมมะหัวเราะเบาๆ ฟังดูน่ากลัว “ไม่ต้องตามหาท่านหรอก...ถึงเวลา..คุณก็จะได้พบท่านเอง”
ชาลินีฉุน “บ้า พูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย ถอยไปนะ”
ภุมมะยิ้มถอยหลีกทาง ชาลินีวิ่งหนีลงบันไดไป ภุมมะเหลียวมองตามเหยียดยิ้มดูแคลน
ทางด้านเจริญขวัญหลับสนิทไปแล้ว อิศราเปิดประตูรถเข้ามา ฉีกซองผ้าเย็นที่เดินไปซื้อมา ค่อยๆซับหน้าเจริญขวัญให้ได้สติ อิศราซับหน้าให้อย่างนุ่มนวล
เจริญขวัญค่อยๆ รู้สึกตัว ลืมตาตื่น เห็นใบหน้าอิศราอยู่ใกล้เพียงคืบ เจริญขวัญเขิน ขยับตัว
“พี่อิศ”
“เราเมาไวน์ หลับไป พี่ไม่อยากพากลับบ้านไปแบบนั้น”
จากตกใจสีหน้าเจริญขวัญเปลี่ยนเป็นประทับใจ “ถ้าแม่รู้ว่าขวัญดื่มเหล้า แม่ต้องไม่ชอบแน่ๆ ขอบคุณนะคะพี่อิศ”
อิศรายิ้มไม่สนิทใจนัก เจริญขวัญยิ้มมองอิศราอย่างเชื่อใจ
อิศราพาเจริญขวัญเดินมานั่งตรงมานั่งริมแม่น้ำ ส่งขวดน้ำให้ดื่ม
“รับลมสักครู่ เดี๋ยวขวัญก็จะหาย..มึน”
“น่าอายจังเลย”
“ไม่หรอก”
ลมแรงเจริญขวัญห่อกายด้วยความหนาว อิศราถอดสื้อสูทมาคลุมให้
“ขอบคุณค่ะ”
สองคนมองทอดสายตาไปยังแม่น้ำ
“สวยจังเลยค่ะ สงบดีด้วย..สงบเหมือนที่บ้านไร่..เฮ้อ พูดแล้วคิดถึงบ้าน”
อิศราฟังแล้วสะท้อนใจความซื่อใส แสนดี ของเจริญขวัญ เขารู้สึกผิด ทอดถอนใจ
“ขวัญ”
“คะ”
“พี่ว่าจะถาม...วันนั้น ขวัญร้องไห้ คงสมเพชเรื่องราวชีวิตพี่มากสินะ”
เจริญขวัญชะงัก “เปล่านะคะ”
“งั้นก็คงสงสาร แต่มันเป็นเรื่องอดีต สมัยพี่เด็กๆ ขวัญร้องไห้ทำไม”
“ขวัญ เพียงแต่คิดว่า..พี่คงโตมาอย่าง ว้าเหว่เหลือเกิน”
อิศราเลยเป็นฝ่ายชะงัก
“พ่อขวัญตาย แต่ขวัญก็ยังมีแม่ และทุกครั้งที่ขวัญคิดถึงพ่อขวัญก็จะยิ้ม มีแต่ความทรงจำที่ดี...ขวัญคงไม่กล้าไปสงสารพี่หรอกค่ะ..แต่ขวัญสงสารเด็กผู้ชายคนนั้น...คนที่โหยหาอ้อมกอดของใครสักคน”
อิศราซึ้งจนน้ำตาคลอ เสทำเป็นหัวเราะพยายามข่มอารมณ์
เจริญขวัญมองอิศราอย่างไม่เข้าใจอารมณ์เขานัก
มืออิศราเอื้อมมากุมมือเจริญขวัญที่วางบนตัก เจริญขวัญก้มมองมือ เงยหน้ามองสบตาอิศรางงๆ
อิศรามองอย่างจริงใจ ลึกซึ้งเป็นครั้งแรก “ขอบคุณ”
เจริญขวัญยิ้มบางๆ แสนซื่อและงดงาม จนอิศรามองซึ้ง ลอบถอนหายใจ แม้ยังไม่รักแต่ก็เห็นน้ำใจบริสุทธิ์ของเธอ
สองหนุ่มสาวนั่งนิ่ง ในบรรยากาศอันสวยงามโรแมนติก ริมน้ำใต้สะพานแสนสวยของกรุงเทพฯ
ท่านชายวสวัต ยืนมองทั้งสองคนในเงามืดห่างออกมา แล้วหันตัวกลับเดินห่างจากสองคนมาทุกที ดวงตาท่านชายวสวัต มีประกายจากน้ำตาคลอๆ ในสีหน้าอันเคร่งขรึม
ท่านชายวสวัตเดินช้าๆ ไปหยุดนิ่งริมน้ำอีกมุม ห่างสองคนออกมา ดูโดดเดี่ยว อ้างว้าง และเงียบเหงามากกว่าใคร
ทางด้านชาลินีเปิดประตูเข้าห้องนอนมา อย่างหงุดหงิดฉุนเฉียวที่ไม่เจอท่านชาย หล่อนโยนกระเป๋าถือทิ้งไปอย่างแรง
“บ้าที่สุด”
ชาลินีคิดถึงเหตุการณ์ในวัง ตอนได้ยินเสียงเด็กร้องบนระเบียงหัวบันได ชาลินีสลัดภาพนั้นทิ้งยกมืออุดหู อัดอั้นจนแทบจะร้องไห้
“บ้า เสียงบ้าๆ ชั้นไม่อยากได้ยิน” ชาลินี
ชาลินีโกรธผลุนผลันตั้งใจจะเดินเข้าห้องน้ำ แต่ปลี่ยนใจตรงไปยังตู้ที่เก็บกล่องไม้ข้างประตู เปิดตู้ แล้วทรุดลงหยิบกล่องไม้ออกมา มองนิ่ง
กล่องไม้ถูกวางลงบนเตียงชาลินีลงนั่ง วางกรรไกรข้างกล่อง ชาลินีมองกล่อง พยายามใจแข็ง กัดริมฝีปาก ค่อยๆ เปิดกล่อง พบว่าด้านล่างกล่องไม้ มีซองสีน้ำตาลที่ยังไม่รู้ว่ามีอะไรในซองหนานั้น ด้านบนสุด มีถุงมือคู่ของทารกหญิง วางอยู่
ชาลินีพยายามใจแข็ง หยิบถุงมือคู่นั้นขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา และเผลอยกถุงมือเล็กๆ นั้นมาดอมดม หลับตานิ่ง
ชาลินีสะอื้นฮักกอดถุงมือนั้นแนบอกชั่วขณะหนึ่ง สุดท้ายหล่อนพยายามจะตัดใจ มือของชาลินีคว้ากรรไกรมา
มือชาลินีข้างหนึ่งถือถุงมือคู่นั้น อีกมือสั่นเทา หยิบเอากรรไกรมาง้างจะตัด
“จะเก็บมันไว้ทำไม ชาลินี มันเป็นอดีต ต้องลืม เรากำลังจะมีอนาคตใหม่ กับท่านชายไง ลืม...ตัดอดีตทิ้งเสีย...ชาลินี”
ชาลินีน้ำตาร่วงรดแก้มเป็นสาย พยายามอย่างมากที่จะเข้มแข็ง คมกรรไกรถูกงับลงเหมือนจะตัด
แต่แล้วชาลินีทำใจไม่ได้ ปากรรไกรทิ้ง ร้องไห้โฮ ก่อนจะจับถุงมือนั้นกลับลงกล่องปิดฝาอย่างแรง
ชาลินียกเข่ามากอดเข่าตัวเอง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ตอนสายวันถัดมา หนังสือพิมพ์ในมือของชาลินี มีภาพข่าวท่านชายกำลังเต้นรำกับเจริญขวัญชาลินีโมโห ขยำหนังสือพิมพ์โยนทิ้ง หันหาคุณหญิงเพ็ญที่กำลังดูรูปจากช่างภาพที่เป็นคนถ่ายรูปงานเมื่อคืนนี้ ที่นั่งอยู่ข้างๆ
ชาลินีแย่งรูปจากมือแม่
คุณหญิงโวย “อ้าว แม่ดูอยู่”
ชาลินีดึงรูปทั้งปึกนั้น ออกมาทีละใบอย่างรวดเร็ว ไม่พอใจเพิ่มขึ้นทุกที อาละวาด
“นี่มันอะไร ถ่ายรูปภาษาอะไร มีรูปท่านชายอยู่รูปเดียวที่เต้นรำกับนังเด็กนั่น รูปที่ท่านเต้นรำกับชั้นล่ะ รูปอื่นๆ ล่ะ รูปบนเวทีล่ะ”
“ไม่ติดเลยครับ ที่มีท่านชายก็รูปนั้นรูปเดียว เมื่อคืนผมต้องรีบส่งให้หนังสือพิมพ์ก็เลยส่งรูปนั้นไปก่อน”
ชาลินีแหวใส่ “ใคร ใครไปสั่งแกให้ทำแบบนี้ อวดรู้จริงๆ”
คุณหญิงตกใจกับท่าทีลูกสาว “ยายชา อะไรนักหนา ใจเย็นๆ สำรวมหน่อยสิ”
“แม่คะ!! นี่มันงานของหนูเหมือนกันนะคะ ท่านชายยกวังให้ ทำให้ทุกอย่าง ก็เพราะหนู แม่ก็รู้” ชาลีนีหันมาทางช่างภาพ “ฝีมือถ่ายรูปของแกแย่มาก! ไม่ได้เรื่อง! ทีหลังชั้นไม่ใช้แกอีกแล้ว!”
ช่างภาพจ๋อยสนิท “ผมขอโทษครับ”
ชาลินีทั้งโกรธทั้งผิดหวัง หันไปยกกองรูปภาพถ่ายปาลงพื้น
“อ๊าย...” ชาลินีกระแทกเท้าเดินออก
คุณหญิงเพ็ญมองตาม ไม่ค่อยชอบใจอาการของชาลินี ค้อนตามหลังไป ก่อนหันมาทางช่างภาพที่กำลังเก็บรูป
“เดี๋ยวๆ เอารูปมาให้ชั้นเลือกก่อน ชั้นเลือกรูปที่ชั้นสวยๆ จะได้ส่งข่าว” คุณหญิงยิ้มแย้มชอบใจ “งานการกุศลของคุณหญิงเพ็ญ”
ชาลินีเข้าห้องมา ทั้งโมโห ทั้งโกรธ ผิดหวังแทบร้องไห้ เดินพลุ่งพล่านกำมือตัวเองแน่น แล้วนึกถึงภาพท่านชายที่ก้มมองชาลินีระหว่างเต้นรำ ชาลินีเผยอยิ้ม
แต่แล้วภาพท่านชายที่เต้นรำ ยิ้มหัวกับเจริญขวัญอย่างอ่อนโยนผุดซ้อนขึ้นมาหลอกหลอน สีหน้าชาลินีกราดเกรี้ยวขึ้นมาอีก
“ไม่...ท่านชายต้องเป็นของชาลินีคนเดียวเท่านั้น” คิดปราดเดียว สีหน้ามีหวังขึ้นมา “นายอิศ”
ชาลินีถลาไปหยิบมือถือ กดปุ่มโทร.ออกออย่างอย่างร้อนรน
“ฮัลโล อิศเหรอ”
ด้านอิศรา เดินเร็วลงบันไดมา ดวงแก้วกำลังจัดแจกันดอกไม้อยู่ในห้องโถง
“คุณอิศ ตื่นแล้วเหรอคะ รับอาหารเช้าเลยมั้ยคะ”
อิศราเหลียวหา “ไม่ล่ะครับ ผมจะไปธุระ เอ้อ...น้องขวัญล่ะครับ”
“ตื่นมาตอนเช้า แล้วก็บ่นปวดหัวค่ะ เลยขึ้นไปพัก”
อิศราพยักหน้ารับรู้อย่างรู้สึกผิด ยิ้มไม่ค่อยออก เดินออกไปเลย
สองคนอยู่ตรงศาลาริมคลองหลังบ้าน ชาลินีเข้ามาหาอิศราด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เธอนี่มันโง่จริงๆ ชั้นเอาโอกาสใส่พานให้เธอง่ายๆ เธอกลับโยนทิ้งซะนี่”
“วิธีการบ้าๆ น่ะสิ”
อิศราแค่นหัวเราะ กระแทกตัวลงนั่งกอดอก เหยียดขายาว
“ถึงชั้นจะอยากได้บ้านคืนแค่ไหน แต่ถึงขนาดจะให้ชั้นปล้ำผู้หญิงที่ไม่มีสติน่ะนะ มันทุเรศ”
ชาลินีโกรธ กัด “เฮอะ พ่อสุภาพบุรุษ”
สีหน้าอิศราขรึมลง “ฉันคงเกลียดตัวเองน่าดู ถ้าทำกับขวัญแบบนั้น”
ชาลินีชะงัก ตาโต ยื่นหน้าเข้าใกล้หน้าอิศรา
“หรือว่า...เธอ..หลงเสน่ห์แม่สาวน้อยบ้านไร่นั้นเข้าแล้ว”
อิศราหันมาประจันหน้าใกล้ๆ “แล้วมันจะไม่ดีตรงไหน ถ้าชั้นจะได้บ้านมาพร้อมกับผู้หญิงดีๆสักคน”
ชาลินีหมั่นไส้ “ผู้หญิงดีๆ เต็มปากเต็มคำเชียวนะ งั้นก็..ขอให้เธอโชคดี ให้ได้สมใจ อย่าได้พลาดแล้วกัน”
อิศรายังคงหงุดหงิดตัวเองอยู่ ส่วนชาลินีก็ฮึดฮัดที่ทุกอย่างไม่ได้ดังใจเลย
ฝ่ายเจริญขวัญอยู่ในชุดอยู่บ้าน นั่งทานผลไม้อยู่ตรงระเบียงบ้าน มีดวงแก้วปอกมะม่วงให้
“เมื่อคืนมีแต่คนแต่งตัวสวยๆ นะคะแม่ มีเต้นรำด้วย”
“หนูเต้นกับเขาหรือเปล่า”
“ค่ะแม่” เจริญขวัญหัวเราะเขิน “กับท่านชาย วสวัตค่ะ ท่านชวน ขวัญไม่กล้าปฏิเสธ กว่าจะจบเพลง ตื่นเต้นแทบแย่”
ดวงแก้วรามือจากการปอกมะม่วง สีหน้าครุ่นคิด
“แล้วท่านชายยังจัดการแสดงให้ด้วยนะคะแม่ ตอนแรกที่ประกาศว่าชื่อชุด สมิงร้ายจากโลกันต์ ขวัญก็เฉยๆ นะคะ แต่พอดูแล้ว...ขวัญขนลุกซู่เลยค่ะ”
ดวงแก้วฉงน “ทำไมล่ะลูก”
“คนแสดง แต่งหน้าเหมือน ผีเลยค่ะ น่ากลัวมาก แล้วตอนที่ทำเหมือนไฟลุกทุกคนแสดงว่าเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน..มันดูสมจริงมากเลย แล้วยิ่งตอนที่ท่านชายออกมาแสดงเป็นท่านยมบาล”
ดวงแก้วประหลาดใจ “อะไรนะลูก ท่านชายน่ะเหรอ แสดงเป็น...ท่านยมบาล”
“ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกค่ะแม่ ท่านสวมชุดเสื้อคลุมสีดำ สวมหน้ากาก ท่านดูยิ่งใหญ่ น่ากลัว คนดูร้องกรี๊ดก็มีนะคะแม่”
ดวงแก้วอึ้งไป
เจริญขวัญเล่าต่อ “แล้วที่น่าแปลกนะคะ พอการแสดงจบ นักแสดงคนอื่นก็หายกันไปหมด พิธีกรประกาศเรียกก็ไม่ออกมา”
ดวงแก้วแก้ตัวไม่อยากให้ลูกคิดมากแต่ตัวเองคิด “เขาเสร็จงานก็ต้องกลับสิลูก”
เจริญขวัญยังงุนงงเล็กน้อย “แม่คะ...แม่เชื่อไหมคะว่าบางคนมีรัศมี”
“หนูหมายความว่ายังไง”
“จริงนะคะแม่...หนูเคยเห็น...ท่านชายวสวัต..เหมือนมีรัศมีกระจ่างรอบตัว” เจริญขวัญพูดคล้ายรำพึงกับตัวเอง
ดวงแก้ววางมีด หัวเราะเสียงแปร่งปร่า
“หนูน่ะเพ้อเจ้อ แต่ว่า...หนูไปดูการแสดงแบบนี้มาไม่ค่อยดี แม่ว่า...หนูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ไปทำบุญกับแม่ดีกว่า”
แท็กซี่แล่นมาจอดหน้าโบสถ์ เจริญขวัญ กับดวงแก้ว ทั้งสองคนสวมชุดสีขาว ก้าวลงจากรถ มองไปอุโบสถวัดเบื้องหน้า ใต้ท้องฟ้าดูยิ่งใหญ่ งดงาม
เด็กวัดกำลังปัดกวาดพื้นโบสถ์อยู่ ดวงแก้ว เดินตรงไปหาเด็กวัด ในขณะที่เจริญขวัญเดินดูภาพวาดที่ผนังโบสถ์
“จะขอนิมนต์พระ ถวายสังฆทานหน่อยน่ะจ้ะ”
เจริญขวัญ ชะงักมองภาพที่ผนัง
“แม่..แม่คะ”
ดวงแก้วเข้ามาหา เจริญขวัญยังตะลึงมองภาพเขียนเก่าคร่ำคร่า มีรอยแหว่ง สีซีดหายบ้างนั้นอยู่
“ภาพนี้....เหมือนกับการแสดงเมื่อคืนนี้เลยค่ะแม่”
ดวงแก้วมองภาพที่ผนัง เป็นครั้งแรกที่เห็นภาพวาดเก่าคร่ำคร่าบนผนัง เป็นภาพนรก มีร่างผู้หญิงเสียบกับต้นงิ้ว มีเลือดไหลเหมือนผ้าแดงที่พัน
เจริญขวัญมองตะลึงงัน
ทั้งสองแม่ลูกนั่งตรงหน้าพระสงฆ์ที่นั่งเรียงกันอยู่หน้าพระประธาน ถวายสังฆทาน พระเจริญพระพุทธมนต์ สองแม่ลูกพนมมือรับพร
เจริญขวัญส่งที่กรวดน้ำให้แม่ แต่ดวงแก้วบอก “หนูกรวดน้ำเถอะลูก เดี๋ยวแม่แตะหนูเอง”
เจริญขวัญกรวดน้ำ ดวงแก้วมองลูกสาวอย่างแสนรัก ห่วงใย และเป็นกังวลหนัก
เจริญขวัญอธิษฐานในใจระหว่างเสียงพระสวด
“สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวร อย่าได้พยาบาทเบียดเบียน ซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย”
เจริญขวัญ ชะงักนิดหนึ่ง กรวดน้ำสุดท้าย
“ขอแผ่บุญกุศลนี้ ไปถึงเทพเจ้าทั้งหลาย ที่รักษาตัวข้าพเจ้าอยู่ก็ดี นอกจากนี้ ทั่วสากลพิภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านยมบาล”
ฝ่ายท่านชาย ยืนหันหลังมองภาพเขียนนรกภูมิอยู่ในวัง ก่อนจะหันมาช้าๆ แววตาสุขล้ำ ปีติล้น ได้ยินเสียงเจริญขวัญลอยหวิวๆ แผ่วๆ มา
“ขอให้ท่านยมบาล จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด”
สีหน้าท่านชายวสวัต ปีติลึกล้ำ ทว่าน้ำเสียงสั่นเครือ
“เจริญขวัญ”
ยามนี้ท่านชายผู้แสนยิ่งใหญ่ กลับดูน่าสงสารเป็นที่สุด และน่าเวทนาเหลือเกิน
อ่านต่อตอนที่ 10