xs
xsm
sm
md
lg

เงา ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงา ตอนที่ 2

ชาลินีไม่ทันเห็นร่างของท่านชายวสวัต หล่อนเหลียวหน้าหันหาใครบางคน ผู้เป็นเจ้าของเสียงกึกก้องในหูเมื่อครู่นี้

สุวิทย์กำลังเคลิ้มคล้อยตระกองกอดชาลินีอยู่ นึกสงสัยในท่าทีนั้น
“อะไรเหรอครับ”
ชาลินีหันไปทางมุมที่ท่านชายเคยยืน พบว่าตรงนั้นว่างเปล่า มีเพียงบ๋อยเดินผ่าน
“เปล่าค่ะ” ชาลีนีลูบแขนตัวเองสีหน้างุนงง รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอีก
“อยู่ๆ ก็เหมือนขนลุกน่ะค่ะแล้วก็ร้อนจังสงสัยดื่มมากไปหน่อย” หล่อนว่า
“งั้น...ผมพาไป...” สุวิทย์ยิ้มพราย วาดหวัง “พักผ่อนหน่อยดีไหม”

สองคนออกจากฟลอร์ มานั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ตามเดิม กระเป๋าชาลินีวางอยู่ตรงนั้น สุวิทย์ประคองชาลินี แต่หล่อนกลับหยิบกระเป๋าถือใบเล็กแล้วบอกว่า
“ชั้นขอตัว กลับเลยดีกว่านะคะ”
“อ้าว” สุวิทย์งุนงงหนัก นึกว่าได้แน่แล้ว “ก็คุณมึน”
“ไม่มากขนาดกลับบ้านไม่ไหวหรอกค่ะ”
สุวิทย์ฉุนกึก อารมณ์ค้าง “อะไรกัน นี่คุณจะทิ้งผม กลับบ้าน ง่ายๆ แบบนี้เหรอ”
ชาลินียิ้มหวาน วางมือบนอกเขา “แค่ได้พบคุณคืนนี้ ชาลินีก็มีความสุขมากแล้วค่ะ แต่จะให้เลยเถิดไปกว่านี้...” หล่อนแกล้งทำเป็นชะงักไปนิดๆ บอกต่อด้วยน้ำเสียงสาแก่ใจปนเจ็บลึกๆ “ยังไง คุณก็ยังได้ชื่อว่า เป็นสามีของ...เพื่อนสนิท...ของชา”
“แต่ผมบอกคุณแล้วไง ว่ารออีกนิด ผมหย่าแน่”
ชาลินีถอนหายใจ สีหน้านิ่งขรึม
“ผมพูดจริงนะ” สุวิทย์รวบมือชาลินี ก้มจูบมือพูคำหวาน “คุณต่างหากที่เหมาะสมคู่ควร ผมรักคุณหลงคุณ แทบคลั่ง รู้ไหม”
“พิสูจน์ให้ฉันเห็นสิคะ ฉันจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง” ชาลินีมองจ้องหน้าสามีเพื่อน “คุณต้องขอหย่าจากปวีณา...ยิ่งเร็วเท่าไหร่...” หล่อนยิ้มพรายเอนหน้าไปใกล้แนบหน้ากระซิบริมหู จงใจหยอดเสน่ห์ยวนยั่ว ให้สุวิทย์คลั่งไคล้ “ชาลินีก็จะเป็นของคุณเร็วเท่านั้น...อย่าให้ชารอนานนักนะคะ”
ชาลินีจุ๊บเบาๆ ที่ติ่งหูเขาอย่างรวดเร็ว แล้วรีบผละออก
“กู๊ดไนท์ค่ะ”

ชาลินีเดินไปเลย สุวิทย์งุนงงไปชั่วขณะ วิมานทลายลงตรงหน้า ตามเกมไม่ทัน แล้วรีบเดินตามไป

ชาลินีเดินออกมาไม่มีอาการเมาแม้สักน้อย ยิ้มในสีหน้าสาแก่ใจลึกๆ ระหว่างนี้ นายพลบัญชา เดินมามีสาวเกาะแขนมาด้วย ทั้งสองพ่อลูกต่างชะงักที่เห็นกันในอโคจรสถานแห่งนี้

“อ้าว” ชาลินียกมือไหว้บิดา
“อ้าว..เรา...มาที่นี่เหมือนกันเหรอ”
ชาลินีจิกเล็กน้อย “หนูโสดนี่คะ หนูก็มาตามประสาคนโสด”พลางปรายมองสาวที่เกาะแขนบิดาอยู่
บัญชาหัวเราะ “ชั้นก็มาตามประสาชั้น”
ชาลินียักไหล่พรืดไม่ใส่ใจ “ค่ะ เห็นอยู่”
ท่านนายพลหัวเราะไม่ได้รู้สึกผิดอะไร “หนู...ไหว้พี่เขาสิ ลูกสาวชั้นเอง”
สาวคนนั้นตกใจ ปล่อยมือแทบไม่ทัน
“อุ้ย...ลูกของท่าน...เอ้อ...สวัสดีค่ะ” ยกมือไหว้ เก้อๆ หวั่นๆ
ชาลินีไม่มอง และไม่รับไหว้
“แล้วเรามากับใคร” บัญชาถาม
“พ่อสนใจด้วยเหรอคะ” ชาลินีมองสบตาบิดา
นายพลบัญชา หัวเราะเสียงดัง สุวิทย์เดินตามหลังมาทันพอดี
“ชาลินี...ชา...เอ๊ะ...ท่าน” สุวิทย์รีบยกมือไหว้
“อ้อ ที่แท้ก็มากับคุณเอง ปวีณาล่ะ อยู่ข้างในเหรอ”
สองคนอึกอัก
ชาลินีตัดบท “หนูไปล่ะค่ะพ่อ” รีบเปลี่ยนเรื่องหันมาหาสุวิทย์ “สุวิทย์ไม่ต้องเกรงใจ
นะคะ บอกปวีณาด้วยว่า ชั้นกลับได้”
สุวิทย์มีท่าทีเกรงๆท่านนายพล “เอ้อ...ครับ ขับรถดีๆ นะครับ”
“ไปล่ะค่ะพ่อ”
ชาลินีเดินไปเลย สุวิทย์อึกอัก ตามไปไม่ได้
“ท่านคะ เจอขนาดนี้ ลูกสาวท่านไม่ไปบอกภรรยาเหรอคะ” สาวนางนั้นค้อน
บัญชาหัวเราะ “ไม่หรอก บ้านชั้น ต่างคนต่างอยู่”
ท่านนายพลพาสาวเจ้าเดินเข้าไปด้านใน สุวิทย์หลบทางให้อย่างสุภาพ ถอนหายใจเสียดายโอกาส

ทางด้านคุณหญิงเพ็ญอยู่ในชุดนอน กำลังนั่งดื่มไวน์อยู่ลำพังตรงบาร์เหล้าในบ้าน เริ่มมีอาการมึนเมานิดๆ คุณนมที่ตอนนี้แก่ชราลงไปมาก เดินมาหา
“คุณหนูคะ ดึกมากแล้วค่ะ ขึ้นห้องเถอะ”
“ใช่ ดึกขนาดนี้ ผัวก็ยังไม่กลับ ลูกก็ยังไม่มา” เพ็ญหัวเราะหึๆ “มีแต่ไวน์ แล้วก็ นม..เหมื๊อนเดิม”
นมถอนใจ “คุณหนู ดื่มหนักขึ้นทุกวัน นมเป็นห่วงสุขภาพปลงซะบ้างเถอะนะคะ คุณหนูต้องรักตัวเอง”
“นมน่ะ พูดซ้ำซากแบบนี้ทู้กวัน นมไปนอนเถอะไป๊”
เสียงรถแล่นเข้าบ้านมา คุณหญิงและนมชะเง้อมอง
“คุณหนูชาลินีค่ะ”
คุณหญิงกระแทกตัวนั่ง รินไวน์ ชาลินีเดินเข้าบ้านมา
“คุณแม่ ยังไม่นอนเหรอคะ”
“ชั้นจะรอดูสิว่าคืนนี้ พ่อแก จะกลับหรือเปล่า”
ชาลินีชะงักไปนิด ไม่อยากเล่า ยักไหล่พรืด
“รอไปก็เสียเวลาเปล่ามั้งคะ แม่”
“ทำไม แกรู้อะไรมางั้นเหรอ”
“พ่อก็เป็นแบบนี้ ทั้งปีทั้งชาติ” ชาลีนีปิดปากหาว “หนูไปนอนดีกว่า”
ชาลินีเดินขึ้นห้องไป ปล่อยคุณหญิงเพ็ญนั่งดื่มเหล้า กินความทุกข์ โดยมีคุณนมมองอย่างห่วงใย

ชาลินีเข้าห้องมา มองตัวเองในกระจกอย่างพึงใจแล้วเริ่มแกะเครื่องแต่งกาย สร้อย ต่างหู นาฬิกา ออก สีหน้าหล่อนขรึมลงขณะมองไปในกระจก
ชาลีนีลุกเดินมาที่ตู้เล็กตรงหัวนอน ค่อยๆ เปิดตู้ออก มีกล่องไม้สวยวางอยู่ในนั้น ชาลินีมองกล่องไม้สีหน้าเรียบ ทำท่าเหมือนจะแตะกล่องไม้ แต่แล้วหดมืออย่างรวดเร็วแล้วปิดตู้ลงในที่สุด
“อดีต...ลืมมันให้หมด..ชาลินี”
ชาลินีใจแข็ง เคร่งเครียด

วันถัดมา ท่านชายวสวัตทรุดนั่งในห้องโถง มี สิริ กับ ภุมมะ ยืนรอรับคำบัญชา
“เสียดาย ที่สวรรค์มิให้มนุษย์หลงเหลือความทรงจำจากอดีตที่มันเคยถูกลงทัณฑ์ เพื่อให้หลาบจำและไม่ประพฤติผิดอีก แต่เพราะมนุษย์ไม่เหลือความจำนั้นเลย มนุษย์จึงทำผิดบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
สิริ ภุมมะ น้อมศีรษะรับ
ท่านชายถอนหายใจเบาๆ ระลึกถึงชาลินี
“เหมือนนาง ผู้เคยมีวิบากร่วมกันกับข้า”
ภาพชาลินีที่กำลังเต้นรำในฟลอร์กับสุวิทย์ผุดขึ้นมาในห้วงคิด

สีหน้าท่านชายขรึมมากขึ้น พาตัวเองค่ำดิ่งสู่อดีตชาติอีกครา

ค่ำคืนหนึ่งพระยาเจนศึกยืนหน้าเข้ม แววตา ดุดัน อยู่กลางเต็นท์ ในสมรภูมิรบ

พระสนมเอก อดีตชาติของชาลีนี ในชุดที่ดูเหมือนผ้าห่มผืนใหญ่ เดินเข้ามาในเต็นท์พระยาเจนศึก นางติดตามสองคนที่สวมชุดคลุมเช่นกัน เดินหลบออกไปจากเต็นท์
พระสนมยิ้มเย้ายวนเดินเข้าใกล้ พระยาเจนศึกดุเอา
“ที่นี่เป็นแดนสงคราม พระสนมลอบมาถึงที่นี่ คงมีเรื่องสำคัญ เกิดขึ้นอะไรขึ้นในอารามหลวงงั้นรึ”
พระสนมเยื้อนยิ้ม “ข้าน้อย มาตามหัวใจ”
พระยาเจนศึกขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร”
พระสนมเอกเดินเข้าใกล้ ยกมือออกจากผ้าขึ้นจะแตะอกพระยาเจนศึก
“อย่าว่าแต่แดนสงคราม ต่อให้ตามไปนรกขุมใด หากมีท่านอยู่เราก็จะไป...ข้าน้อยมา เพื่อบอกว่า หัวใจข้าน้อย ทรมานเหลือเกิน”
พระสนมเอกเดินเยื้องกรายไปใกล้ อ้อมไปหยุดเบื้องหลัง
“ข้ารู้ ที่ท่านพระยาเจนศึก ยอมเอาตัวออกมารบ แทนที่จะคุ้มกันในเมือง ก็เพื่อหนีหน้าข้า” พระสนมซบลงกับแผ่นหลัง “แต่ ท่านหนีหัวใจตัวเองไม่ได้ดอก...เหมือนที่ข้า หนีหัวใจข้าไม่พ้น” นางเลื่อนมือมากอดจากด้านหลัง “หัวใจของข้า โหยหาแต่รักจากท่าน”
“นางแพศยา”
พระยาเจนศึกเก็บความโกรธเกลียดไม่ไหว หันมา กระชากสองข้อมือของนางออก
เบื้องแรกพระสนมตกใจ แต่แล้วนางกลับยิ้ม ดันตัวให้ชิดอกพระยาเจนศึก
“จะเรียกข้าอย่างไรก็ได้ ขอเพียงให้ท่านรับรักจากข้า”
อีกมือของนางเลื่อนปลดเชือกผูกคอของเสื้อคลุม ผ้าผืนสวยเลื่อนลงกองกับพื้น เผยแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนาง สีหน้าตื่นตะลึงของพระยาเจนศึกเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
พระสนมช้อนตาเย้ายวนขึ้นสบตาพระยาเจนศึกจังๆ

ห้องเจ้าหญิง มุมหนึ่งในอดีตชาติ ผู้แสดงท่านชาย ภุมมะ สิริ /เจริญขวัญ (เจ้าหญิงฟ้ารุ่ง)
ท่านชายวสวัตพาตัวเองกลับสู่ภพปัจจุบัน สีหน้าขรึมนิ่ง ในแววตาเห็นแต่ความชิงชังฉายโชน มือกำที่เท้าแขนเก้าอี้แน่น
“คงอีกไม่ช้า...ที่สายใยแห่งกรรมวิบาก จะรัดร้อยให้เราจำต้องพบนางผู้นี้ ไม่ว่า จะต้องการหรือไม่ก็ตาม...” แววตาแข็งกร้าวอ่อนลง “รวมทั้ง...”

สายตาของท่านชายแปรเปลี่ยนไป ใบหน้างามอ่อนละมุนขึ้นทันที เมื่อคิดถึงอีกนางหนึ่งในอดีตชาติ

ภายในห้องส่วนตัวของเจ้าหญิงฟ้ารุ่ง ในวังท่านชายวสวัต ตอนนี้ ภาพเจริญขวัญในชุดเจ้าหญิงฟ้ารุ่งเมื่ออดีตชาติ งดงาม เปล่งปลั่ง ผุดซ้อนขึ้นมา
ท่านชายรำลึกถึงเจ้าหญิงด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน รำพึงรำพันออกมา
“นาง...อีกผู้หนึ่ง...” ท่านชายถอนใจสีหน้าเศร้าลง
ภาพเจ้าหญิงที่กำลังค่อยๆ หันมานั้น สีหน้าโสกเศร้า น้ำตาเต็มตา
ท่านชายจมอยู่ในความเศร้า
เจ้าหญิงฟ้ารุ่ง แม้น้ำตาเต็มตา แต่ยังเชิดหน้าอย่างผยองและทรนง มือยกกริชขึ้น คล้ายจะจ้วงแทงตนเอง
ท่านชายสีหน้าเศร้าหนัก ทุกข์ทน ค่อยๆ ปิดตาลง ไม่อยากนึกถึงภาพนั้น

“วิบากกรรม...ใครเล่าจะเลี่ยงหลีกได้”

อีกฟากหนึ่ง เสียงคุ้นหูของอรุณร้องเรียกดังขึ้น

“เจริญขวัญ...เจริญขวัญ”
เจริญขวัญค่อยๆ หันหน้ามาทางหน้าบ้านด้วยรอยยิ้มแสนสดใส
“อ้าว อรุณ”
อรุณ ชายหนุ่มวัยรุ่น รุ่นราวคราวเดียวกับ และเป็นเพื่อนชายที่สนิทที่สุดของเจริญขวัญ มีเป้สะพายหลังยืนยิ้มอยู่
“หวัดดี ขวัญ”
เจริญขวัญเดินปรี่ไปหาอรุณ ดวงแก้ว ตาพุด และยายปลั่งมองตาม
เจริญขวัญเขย่ามืออย่างยินดี “กลับมาเมื่อไหร่”
“มาเมื่อเห็นนี่แหละ”
สามคนอยู่ที่โต๊ะกลางศาลาในไร่เจริญขวัญแล้ว มีอาหารวางบนโต๊ะ เป็นพวกน้ำพริก และผักสด อื่นๆ
เจริญขวัญ ดวงแก้ว อรุณ ทานอาหารกันอยู่ มีผักสดน้ำพริก
อรุณกินข้าวเคี้ยวคำโตอย่างเอร็ดอร่อย แล้วสูดปาก
“เอ้าๆ พ่ออรุณ ไม่ต้องรีบร้อนกินนัก” ดวงแก้วส่งแก้วน้ำให้
อรุณหัวเราะ “คิดถึงน้ำพริกอาดวงแก้ว จะแย่ครับ” พลางยกมือเช็ดปากตัวเอง
เจริญขวัญยื่นกระดาษให้ “สกปรกจริง อรุณ เนี่ยนะ เด็กเรียนมหาวิทยาลัยเมืองกรุง เอามือเช็ดปากเหมือนเด็กปอหนึ่ง”
ดวงแก้วอดเหลือบมองเจริญขวัญไม่ได้ เกรงว่าจะคิดเสียดายไม่เรียนกรุงเทพฯ
“ยังอยู่กี่วันพ่ออรุณ ก่อนกลับอาจะได้ทำน้ำพริกใส่ขวดไปให้”
“อยู่อีกสองสามอาทิตย์น่ะครับ จะช่วยคุณอากับขวัญ แบ่งแปลงที่จะลงต้นส้มให้เสร็จเลย”
เจริญขวัญยิ้ม “อ๊ะๆ ขวัญต้องการแรงงานช่วยสร้างห้องสมุดให้เสร็จด้วยนะ”
“สั่งมาได้เลย เราทำได้หมดอยู่แล้ว”
อรุณเบ่งกล้ามแขนโชว์
เจริญขวัญหัวเราะ หยอกล้อ “จ้า แข็งแรงมากเลย”
อรุณกับเจริญขวัญหัวเราะให้กัน ดวงแก้วลอบมองหน้าลูกสาว ด้วยความกังวล ที่ลูกสาวกลายเป็นเพียงสาวชาวไร่ ขณะที่เพื่อนๆ ได้เรียนชั้นสูงทุกคน

ตกกลางคืน เจริญขวัญในชุดนอนสาวชาวไร่ มีผ้าคลุมไหล่สีนวลตาเอื้อมมือมาปิดหน้าต่างบ้าน เตรียมเข้านอน พอปิดหน้าต่าง หญิงสาวเดินไปยังห้องพระในบ้าน

ดวงแก้วจุดเทียน หน้าองค์พระที่วางงดงามสะอาดสะอ้านอยู่บนโต๊หมู่บูชาเล็กๆ ในห้อง ต่ำลงมามีรูปคุณเล็กในกรอบรูปตั้งอยู่ แล้วเริ่มจุดธูป เจริญขวัญเข้ามาทรุดนั่งข้างมารดา
“อาบน้ำสะอาดแล้วนะเรา”
“เรียบร้อยหมดจดค่ะแม่ ไม่เชื่อดมสิคะ หอมมั้ย”
ดวงแก้วยิ้ม หอมแก้มลูกสาว
“หอมลูก ชื่นใจแม่”
ดวงแก้วส่งธูปให้เจริญขวัญ เจริญขวัญขยับนั่งหลุกหลิกเล็กน้อย
“ไหว้พระนะลูก ต้องน้อมทั้งกายทั้งใจ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเอาใจน้อมเป็นที่ตั้ง ระลึกคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสอน และ พระสงฆ์สาวก ตั้งใจนะลูก”
“ค่ะแม่”
สองแม่ลูก พนมมือ หลับตา สวดมนต์ในใจ ดูสงบ งาม
ไม่นานต่อมาธูปจากสองมือแม่ลูกถูกปักลงในกระถางธูป ดวงแก้วหันมามอง เจริญขวัญกราบพระ แล้วหันมาก้มกราบรูปพ่อ
“ขวัญ แม่ถามจริง เคยเสียใจบ้างไหม ที่แม่ไม่ได้ให้ลูกไปเรียนกรุงเทพฯ เหมือนพ่ออรุณเพื่อนเรา”
“ไม่เลยค่ะแม่ อยู่บ้านเรา ขวัญก็เรียนได้เหมือนกัน ดีเสียอีกจะได้อยู่ใกล้แม่ อากาศบ้านเราก็ดีกว่ากรุงเทพเป็นไหนๆ”
“ห่างหูห่างตาแม่ แม่ก็ห่วงเรื่องสุขภาพเรา เฮ้อ..แม่ก็ได้แต่พูดซ้ำพูดซากอยู่นี่แหละนะ”
“ขวัญว่าแม่อย่ากังวลเลย ขวัญไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกค่ะ ขวัญจะอยู่กับแม่ ไปร้อยปีร้อยชาติเลย”
เจริญขวัญสวมกอดแม่ ดวงแก้วยิ้มชื่น

เจริญขวัญเดินเข้ามาในห้องนอน หยิบซองยาหลายซองมาดู อดถอนหายใจไม่ได้ แกะซองหยิบยา
แล้วรู้สึกเจ็บแปลบ ยาร่วงลงพื้น เจริญขวัญทรุดนั่ง กุมหน้าอก หน้าซีด พยายามสูดลมหายในยาวช้า
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...เราต้องไม่เป็นอะไร”
เจริญขวัญพยายามสูดลมหายใจยาว จนรู้สึกเหมือนดีขึ้น สีหน้าขรึมเศร้า กับตัวเอง เจริญขวัญโซเซลงนอนบนเตียงดึงผ้าห่มมาคลุมกอดกระชับไว้ หอบหายใจ

ในเงามืดตรงมุมห้องด้านหนึ่ง ท่านชายวสวัต ปรากฏกายขึ้นเป็นเงารางเลือน มองมายังเจริญขวัญด้วยแววตาอ่อนโยน ทอดยิ้มเศร้ามาให้ ขณะที่เจริญขวัญไม่รู้ตัว และพยายามข่มตาหลับลง

ท่านชายวสวัตหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตชาติ พระยาเจนศึก และขุนไกร เดินหน้าเคร่งมาตามทางเดินในวัดมีทหารติดตามเดินตามสองคน
องค์หญิงฟ้ารุ่งเดินมา สองมือถือพานดอกไม้เตรียมไปวัด นางกำนัลถือพานผลไม้
ทั้งพระยาเจนศึก และขุนไกร เห็นหยุดชะงัก คุกเข่าก้มหน้า รอให้องค์หญิงเดินผ่าน ทหารหยุดตามและคุกเข่าทั้งหมด
จังหวะที่องค์หญิงเดินผ่านหน้า สีหน้าอ่อนโยนมีรอยยิ้มบางๆ ชายตามองเป็นเชิงรับรู้ พระยาเจนศึกช้อนตามอง เห็นดวงหน้างดงามที่กำลังผ่านตน มองจ้องด้วยดวงตาซ่อนแววรัก
ดอกไม้ดอกหนึ่งในพานร่วงลงพื้น เจ้าหญิงเดินผ่านไป พระยาเจนศึกหยิบดอกไม้นั้นขึ้นมามองแล้วหันมองตามองค์หญิงฟ้ารุ่งด้วยดวงตาเป็นประกาย

ขุนไกรหันมามองพระยาเจนศึก อย่างนึกรู้ทัน เขาอมยิ้มบางๆ

อ่านต่อหน้า 2

เงา ตอนที่ 2 (ต่อ)

ท่านชายวสวัตนิ่งนึก แฝงตัวในเงามืดมองเจริญขวัญ หรือองค์หญิงฟ้ารุ่งอยู่ สีหน้าอ่อนโยน และอ่อนน้อม ดวงตาขรึมเศร้าทอประกายลึกล้ำ

เจริญขวัญยังคงนอนกอดผ้าห่ม ใบหน้าเซียวซีด ท่าทีอึดอัด นอนหลับโดยไม่สบายนัก

เช้าวันนี้ อิศราตักซุปป้อนไปที่ปากของย่าอุ่นที่เอนอยู่บนเตียงนอนในห้อง มีสี และ วัน ยืนรอรับใช้อยู่ด้านหลัง ย่าอุ่นทานนิดเดียวก็ไอออกมา อิศรารีบเช็ดปาก เอาแก้วน้ำที่มีหลอดดูดให้ย่าดูดน้ำ
ย่าอุ่นดื่มแล้วเบี่ยงหน้าหนีเมื่อพอ อิศราเอ่ยถามขึ้น
“คุณย่าครับ เมื่อคืนนี้ เห็นแม่บ้านบอก คุณย่าไม่ยอมนอนทั้งคืน”
ย่าอุ่นเครียด เงียบงันไป ใบหน้ายังคงดุ แต่ท่าทีอ่อนแรงลงไปมาก
อิศราบอกเสียงอ่อนโยนอักว่า “ถ้าคุณย่าไม่ได้หลับไม่ได้พักเลย คุณย่าจะไม่สบายนะ
ครับ หรือว่า คุณย่าจะให้ผมพาไปโรงพยาบาล”
คราวนี้ย่าอุ่นสวนทันควัน “ไม่! ชั้นจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ชั้นจะอยู่ที่นี่ ที่นี่มันบ้านชั้น” แววตาหญิงชราเหลือบมองลอกแลก ไปรอบห้อง “ฉัน...ฉัน...ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าคน..หรือผี” พูดมากๆ ก็เลยกระไอออกมาอีก
อิศราประคองช้อนคอขึ้น “คุณย่า ครับๆ ผมทราบแล้ว”
ย่าอุ่นเอ่ยขึ้นน้ำเสียงร้อนรน “อิศรา แกเบื่อย่าแล้วใช่ไหม แกอย่าทิ้งย่านะ แล้วย่าจะยกทุกอย่างให้แก บ้านนี้ ย่าก็จะให้แก”
“ผมไม่หนีไปไหนหรอกครับคุณย่า คุณย่าอย่าคิดมากสิครับ”
ย่าอุ่นสวน ไม่ฟัง และฟังก็ไม่เชื่อ “ถ้าแกทิ้งย่าไป ย่าจะไม่ยกอะไรให้แกเลย”
อิศราชะงักแล้วลอบถอนหายใจยาว
ไม่นานต่อมา อิศราเดินออกมาตรงระเบียงข้างสวน ท่าทางหงุดหงิดมาก แล้วพยายามหาเรื่องอื่นทำให้หายหงุดหงิด สุดท้ายเขาหยิบมือถือออกมาโทร.หาเกลอ
“เฮ่ย นิกร...คืนนี้ว่างมั้ย”
อิศราเดินออกไปเลย

ตกตอนกลางคืน นิกรนั่งดื่มอยู่ในห้องวีไอพีที่คลับโลกันต์แล้ว มีสาวๆ นั่งคลอเคลีย ส่วนอิศรานั่งดื่มมุมหนึ่งใบหน้าหล่อดูเคร่งเครียด จู่ๆ ท่านชายวสวัตเดินมาลงนั่งข้างๆ
“กังวลอะไรอยู่หรือ อิศรา”
อิศราใจลอยอยู่ ชะงักมองท่านชาย
ท่านชายเลิกคิ้ว “ขอโทษนะ ถ้าฉันละลาบละล้วงเกินไป”
“มิได้ครับ ผมเพียง...” อิศรายิ้มบางๆ “แปลกใจที่ท่านชายกรุณาให้ความสำคัญ กับคนอย่างผม”
ท่านชายฉงนในน้ำคำ “คนอย่างเธอ...เป็นยังไง”
“ก็ท่านชายเป็นมหาเศรษฐี ร่ำรวยล้นฟ้า ผม แค่คนธรรมดาๆ”
ท่านชายวสวัตหัวเราะขัน “เธอพูดเหมือนที่ทุกคนคิด ว่าเงินคือพระเจ้า”
“เงินมันคือใบเบิกทางสำหรับทุกอย่างในชีวิตล่ะครับท่านชาย ท่านอาจจะมีมาก เสียจนไม่รู้ว่า เงินมันสำคัญแค่ไหน”
“อาจเป็นได้...เธอนี่ ดูเป็นคนที่มีอะไรลึกๆ ที่น่าสนใจทีเดียวจะรังเกียจไหม ถ้า...” ท่านชายพูดทีเล่นจริงให้ขำๆ “คนมีเงินอย่างฉันจะขอคบหาเธอในฐานะที่มากกว่าแค่ลูกค้าที่มาเที่ยวคลับของฉัน”
อิศรางง “ฐานะไหนเหรอครับ”
ท่านชายเยื้อนยิ้มบอกว่า “เพื่อน”
อิศรามองท่านชายวสวัตอย่างพิศวงและค้นหา ท่านชายยิ้มเป็นมิตรมาให้ อิศราจึงค่อยยิ้มออกมา
“งั้น...คงเป็นเกียรติของผมอย่างยิ่งทีเดียวครับ ท่านชายวสวัต”
อิศราชูแก้ว ค้อมศีรษะและดื่มให้เกียรติ ท่านชายวสวัตยิ้มมองอิศราแน่วนิ่ง แฝงความนัยล้ำลึก
ระหว่างนี้เกรียงไกรเดินโอบสาวเข้ามาในห้อง พอเห็นท่านชายอยู่ด้วยก็ปราดมาหา
“ท่านชาย” เกรียงไกรไหว้ “ทราบไหมครับ เงินของท่านทำให้ผมไปต่อยอดได้ แถมเฮงสุดๆ เล่นได้ แทงถูก แม้แต่เสี่ยงซื้อหุ้น วันเดียวเท่านั้นราคาขึ้นพรวดๆ” เขาหัวเราะร่วน สุขล้น
ท่านชายยิ้มบางๆ “ยินดีด้วย”
“วันนี้ ผมก็เลยจะนำเงินมาคืน”
“เราทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว จะมาคืนได้ยังไง”
เกรียงไกรจุ๊ปากอย่างทึ่งๆ และนับถือ “ท่านชาย...งั้นคืนนี้ผมขอปิดห้องเลี้ยงทุกคนเลย” ชายหนุ่มหันไปทางเพื่อนๆ และสาวๆ “พวกเรา อยากกินอยากดื่มอะไร สั่งเต็มที่เลยคืนนี้ เราปิดบาร์!”
ทุกคนพากันปรบมือ เฮลั่น เกรียงไกรยิ้มกว้างเบิกบานเป็นที่สุด
ท่านชายวสวัตยิ้มมุมปากคล้ายยินดีด้วย อิศราลอบมองท่านชายอย่างทึ่งๆ

อยู่มาวันหนึ่งรถยนต์หรูแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์บ้านชาลินีตอนบ่าย พอประตูเปิดออกสามสาวก้าวลงจากรถทีละคน สีหน้าท่าทางเหมือนทั้งสามคนจะมาหาเรื่อง
ทั้งสามหยุดยืนคนมองหน้ากัน พบว่า ปวีณา สีหน้าเครียดกว่าเพื่อนอีก 2 คน

ชาลินี ยังคงอยู่ในชุดนอนสวมเสื้อคลุม เดินตามเด็กรับใช้ลงบันไดมา เห็นสามสาวยืนหน้านิ่งอยู่กลางโถง
“ไต้ฝุ่นหอบพวกเธอมาทำไมจ๊ะ” ชาลินีทัก พลางหาว “แต่เช้า” แล้วเดินนำสามสาวมานั่งที่โซฟา
วัลภาลงนั่งแล้วเอ่ยขึ้น “เช้าอะไรกัน นี่มันบ่ายสองแล้วนะเธ้อ”
เด็กรับใช้เอา กาแฟมาส่งให้ชาลินีที่ยิ้มให้กับเพื่อนๆ
“ทำไมตื่นสายนัก...เมื่อคืนไปไหนมา” ปวีณา ลวงถาม
ชาลินียักไหล่ไม่แคร์ “ก็ไปเรื่อยๆ แทบทุกคืน เอ๊ะ!” ชาลินีสะดุดหู พูดต่อด้วยน้ำเสียงเจือขำ “แล้วเธอจะมาอยากรู้ทำไม”
ปวีณาอึกอัก “ก็...”
อรอนงค์ดึงแขนปวีณาปรามไว้ “คืออย่างนี้จ้ะ เมื่อเช้ามีผู้หวังดีโทร.หาปวีณา บอกว่า เห็นคุณสุวิทย์ไปเที่ยวคลับกับผู้หญิงอื่น”
ชาลินีซ่อนแววตกใจอย่างมิดชิด
วัลภาเสริม “นี่ ๆๆๆ เขายังบอกอีกด้วยนะ ว่าโอ๊ย สวีทวี้ดวิ้ว กันน่าดู”
ปวีณาหึงขึ้นมาตีแขนวัลภา “ไม่ต้องบรรยายมากก็ได้”
ชาลินีวางแก้วกาแฟ ตีหน้าซื่อ “อย่างงั้นเชียวเหรอ แล้วเธอถามคุณสุวิทย์หรือยัง”
“ถามแล้วน่ะสิ เขาก็บอกว่า ทำงานดึกแล้วก็กลับบ้าน” ปวีณาว่า
ชาลินีย้อน “อ้าว...แล้วเธอ ไม่เชื่อสามีเธอหรือไง เอ๊ะ แล้วเธอสามคน บุกมาหาชั้นถึงบ้าน...พวกเธอ สงสัยชั้นหรือไง”
สามสามที่นั่งติดกัน ต่างเอนตัวมาจ้องชาลินีอย่างใคร่รู้ และอึดอัดใจ ชาลินีมอง ขำ เล่นเกมต่อ ทำทีเป็นโกรธ
“พวกเธอมาสงสัย...เพื่อน...แบบนี้...ชั้นโกรธดีมั้ยเนี่ย”
เห็นท่าทีจริงจังของชาลีนี คราวนี้สามสาวชะงัก อึ้งไปทั้งแถบ ชาลินีตีหน้าบึ้ง แล้วลอบยิ้มขำสะใจเล็กๆ

ไม่นานถัดมา สามสาวเดินออกมา ต่างคนต่างยังคงงุนงงสงสัยอยู่
อรอนงค์ค้อนควัก “เห็นมั้ย ชั้นบอกแล้วว่าอย่าผลีผลาม อยู่ๆก็มาโทษชาลินี เกือบโดนเพื่อนโกรธเลยเห็นมั้ย”
“แต่เดี๋ยวก่อนนะ ตกลงก็ยังไม่ได้คำตอบนี่นา ว่าเมื่อคืน ยัยชาลินีไปกับคุณสุวิทย์หรือเปล่า” วัลภาถามขึ้น
“งั้นกลับเข้าไปซักให้รู้เรื่อง” ปวีณาหันตัวจะกลับเข้าไปถามชาลีนี
สองสาวช่วยกันจับแขนดึงกลับมา “เดี๋ยวๆ”
“พอแล้วล่ะน่า จริงๆ พวกเราก็ไม่ถูกนะ หลักฐานอะไรก็ไม่มี อยู่ๆ ก็มาสงสัยชาลินีเค้า” อรอนงค์ตัดบทเป็นเชิงตำหนิ
ปวีณาไม่สู้เห็นด้วยนัก
“คอยดูนะ ชั้นจะสืบให้ได้ว่าคุณสุวิทย์ คิดนอกใจชั้นหรือเปล่า แล้วก็กับใคร จับได้ล่ะ..คอยดู”
ตัดไป
ฝ่ายชาลินียืนอยู่ระเบียงชั้นบน มองสามสาวที่เดินไปยังรถ แล้วเหยียดยิ้มมุมปาก
“อีกาคาบข่าวไปบอกเร็วดีมาก นี่ขนาดเพิ่งเริ่ม...เดี๋ยวก็ได้เห็นฤทธิ์ชั้นให้ลืมไม่ลงทีเดียว...เพื่อน”

ชาลีนียิ้มร้าย แค้นเคืองใจในตัวเพื่อนไฮโซทั้งสาม

ส่วนที่ไร่เจริญขวัญ อรุณวิ่งมาหาเจริญขวัญที่มือหอบดอกไม้อยู่

“เจริญขวัญ...นึกแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่” เด็กหนุ่มหอบหายใจ
เจริญขวัญหัวเราะ “ทำไมต้องวิ่งมาจนหอบแบบนี้”
“เราเจออะไรอย่างหนึ่ง ไปดูกันเร็ว”
อรุณจับข้อมือเจริญขวัญ
“อะไรของเธอ อรุณ”
“มาเถอะน่า”
อรุณ ฉุดมือเจริญขวัญเดินแกมวิ่งไปเหมือนเด็กๆ
ดวงแก้วยืดร่างจากที่ก้มดูแปลงผักอยู่อีกมุมหนึ่ง หันไปมองตามอรุณที่จับมือเจริญขวัญวิ่งไปอย่างเป็นห่วง ตาพุด อยู่ใกล้ๆ กำลังสั่งคนงานรดน้ำมองตาม
ดวงแก้วบ่น “เอ้า จะพากันวิ่งไปไหน เดี๋ยวก็เป็นลมขึ้นมาหรอกลูกเอ๊ย”
ตาพุดยืดตัวมองตาม หัวเราะเบาๆ

“เพิ่งเห็นวิ่งไล่จับกันตั้งกะตัวเท่าเมี่ยง เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว”

เจริญขวัญวิ่งมากับอรุณ จนหยุดที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งในไร่ หญิงสาวหอบแต่ยังสนุก
“อะไรน่ะ อรุณ”
อรุณยิ้มอยู่ หันมาเห็นเจริญขวัญหอบจนหน้าแดงแก้มปลั่งแต่ยังยิ้มได้ อรุณชะงัก หน้าเสีย
“ขวัญ เหนื่อยมากไปหรือเปล่า เราขอโทษ”
อรุณรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ แต่เจริญขวัญเบี่ยงหนี หัวเราะ
“เราไม่เป็นไร ไหน เธอจะให้เราดูอะไร” เจริญขวัญ เหลียวหาจนเห็น “อุ๊ย มีรังนกตกอยู่ใต้ต้นไม้” เจริญขวัญทรุดลงประคองขึ้นมาดู “น่ารักจังเลย โถ..เพิ่งเกิดด้วย ตัวนิดเดียวเอง”
“มันคงพลัดตกลงมาจากกิ่ง ขวัญเอาไปเลี้ยงไหม”
เจริญขวัญส่ายหน้า “ไม่เอาหรอก” พลางเงยหน้ามองอรุณ ยิ้มหวาน “อรุณ...”
“อ๊ะ อ๊ะ ทำเสียงแบบนี้อีกแล้ว”
“น่า อรุณคนดี...นะ นะ”
อรุณเกาหัว เงยมองต้นไม้
“แต่มันสูงนา”
เจริญขวัญยิ้มอ้อน “น่า...นะ นะ นะๆๆ”
สุดท้ายมืออรุณวางรังนกบนกิ่งไม้ เจริญขวัญเงยมองอยู่จากพื้น
“วางดีๆ อย่าให้ตกน๊า อรุณ”
“เราสิจะตก ตายละวา ขึ้นมาได้ จะไต่ลงยังไงเนี่ย”
เจริญขวัญหัวเราะ
ไม่นานนัก อรุณกระโดดลงพื้นได้ เจริญขวัญปรบมือ
“เก่งที่สุดเลย เพื่อนเรา”
“ทำเป็นชม จะใช้ล่ะก้อนะ ไอ้เราก็นึกว่าจะให้ขวัญเอาไปเลี้ยง”
“ไม่เอาหรอก พรากลูกพรากพ่อแม่ ขวัญกลัวบาป อีกอย่างลูกนกก็ต้องคิดถึงพ่อแม่มัน เหมือนที่ขวัญคิดถึงพ่อ”
เจริญขวัญเงยหน้ามองฟ้า เห็นก้อนเมฆ
อรุณเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน “เราว่า พ่อของขวัญก็ต้องคิดถึงขวัญ”
เจริญขวัญยิ้ม พยักหน้า มองท้องฟ้า
“จริง...หลายๆ ครั้ง ที่เรารู้สึกเหมือนว่า ..ใครสักคน..กำลังมองเรามาจากบนฟ้า”
เจริญขวัญยิ้มพรายมองฟ้า ไม่ทันรู้สึกหรือสังเกตว่าบนเงาของเมฆที่ท้องฟ้า มีภาพร่างโครงหน้าและดวงตาของท่านชายวสวัต มองมา
แสงแดดส่องกระทบหน้าเป็นประกาย เจริญขวัญเอื้อมมือเหมือนจะจับประกายพราวของแสงตรงหน้า
อรุณมอง แล้วหยิบมือถือมากดถ่ายภาพเจริญขวัญ ในจังหวะที่เธอแหงนหน้ายิ้มพรายไปยังท้องฟ้า

ขณะเดียวกัน แก้วน้ำอมฤตในมือท่านชายวสวัต มีเงาสะท้อนอยู่มุมบนสุด เป็นภาพอิริยาบถของเจริญขวัญเมื่อครู่นี้ แลเห็นบางๆ
ดวงหน้าท่านชายที่ถือแก้วมองอยู่นั้น ยิ้มเศร้า ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่ม และรับความทรมาน เห็นแสงสีแดงเพลิงเร่าร้อนผ่านลำคอลงไป ท่านชายหลับตาแน่น เจ็บปวดสุดจะประมาณ
เงาของชาลินีไปยืนตรงหน้าสร้อยคอเพชร ทาบกับเงาร่างของหล่อนพอดี ชาลินีเอียงคอมอง ความเหมาะเจาะงดงามของสร้อยเพชรบนร่าง อยากได้ สุวิทย์ก้าวเข้ามาด้านหลัง ยืนแนบชิดตัวชาลีนี
“ฮัลโล ชาลินี”

อีกมุมไม่ไกลนัก มีชายนักสืบแต่งชุดธรรมดา สวมแว่นตาเหมือนเด็กเนิร์ด เข้ามาแอบมองสองคน ยกมือถือถ่ายภาพ แล้วกดมือถือส่งรูปทางไลน์ทันที

ทางด้านปวีณา อรอนงค์ และวัลภา ทำเล็บเสร็จแล้ว กำลังจะจ่ายเงินออกจากร้าน เสียงมือถือดัง ปวีณาหยิบมากดดู แล้วต้องตกใจ

“ตายแล้ว”
“อะไรๆ”
วัลภา กับอรนงค์เข้าชิดก้มดูมือถือ สามสาวหัวชนกัน ในไลน์ เป็นภาพสุวิทย์ยืนชิดกับชาลินีตรงหน้าร้านเพชร สามสาวมองหน้ากัน ตะลึงงัน

ส่วนใน coffee shop โรงแรมหรูตอนนี้ สองคนนั่งอยู่ ชาลินีมีท่าทางสบายใจกว่า จิบกาแฟ ขณะที่สุวิทย์ลุกลนกว่า
“ปวีณาตามผมแจ นี่กว่าจะหาทางปลีกตัวมาได้ ต้องเล่นเอาเถิดเจ้าล่อแทบแย่”
ชาลินีซ่อนความรำคาญ สุวิทย์จับมือชาลินี
“ผมคุยกับคุณพ่อผมแล้วนะ ว่าผมจะขอหย่าจากปวีณา”
ชาลินีแค่นยิ้ม “จะมีเมีย จะหย่าเมีย ต้องผ่านการอนุมัติจากผู้ใหญ่…สุวิทย์คะ ถ้ามันลำบากยากเย็นนัก คุณอยู่กับปวีณาไปเถอะค่ะ”
สุวิทย์ขยับเข้าชิดโอบทันที
“ไม่ แค่มองหน้าเขา ผมก็เอียนเต็มที แต่คุณสิ..ผมอยากอยู่กับคุณ ผมรักคุณ ได้ยินไหม”
เสียงปวีณาดังขึ้น “ได้ยิน! ได้ยินเต็มสองหูเลย”
สุวิทย์สะดุ้ง หันมาพร้อมชาลินี เห็นปวีณา อรอนงค์ วัลลภา ยืนเป็นแผงอยู่เบื้องหลัง
ใบหน้าชาลินียามนี้ เหมือนมีรอยยิ้มบางๆซ่อนอยู่
ปวีณาแทบกรี๊ด เข้ากระชากแขนสุวิทย์
“จับได้คาหนังคาเขาแบบนี้ มีอะไรแก้ตัวอีกไหม” ทุบตีสุวิทย์พัลวัน
“เอ๊ ปวีณา” สุวิทย์ปัดป้อง ท่าทีรำคาญ
อรอนงค์มองจ้องชาลินี “เธอจริงๆ เหรอเนี่ย ชาลินี”
ชาลินียืดกายโดยไม่ยี่หระ
“ว่าฉันไม่ได้หรอกนะ ต้องถามปวีณาเอง ว่าเลี้ยงผัวยังไงให้คิดนอกใจเมีย”
ปวีณาสุดทน “อีบ้า อีชาลินี”
วัลภาด่าซ้ำ “เธอมันร้ายมากเลย”
“เหรอ...ร้ายเหมือนที่พวกเธอนินทาชั้นลับหลังหรือเปล่า” ชาลีนีย้อน ยิ่งพูดยิ่งเจ็บใจ “หาว่าชั้นมีฮาเร็มจับผู้ชาย หาว่าชั้นเป็นแค่พลอยหุงสีสวยไม่มีค่าเหมือนเพชรน้ำงามอย่างเธอ”
ปวีณา อรอนงค์ วัลภา ชะงัก คาดไม่ถึง
วัลภาหน้าเสีย “อุ่ย ได้ยินด้วยเหรอ”
ชาลินียิ้ม “มีปากนินทาคนได้ หัดมีตาหลังด้วยสิ ว่าใครเขาได้ยินกันบ้าง ...แล้วไงจ๊ะ ปวีณา เห็นหรือยัง ว่าพลอยหุงก็มีค่ากว่าเพชร..ปลอม”
“ชั้นก็ไม่ยอม สุวิทย์ พูดมาเดี๋ยวนี้นะ ว่าคุณจะเลือกใครเลือกนังนี่ หรือว่าชั้น”
“ผม” สุวิทย์อึกอัก แล้วขยับเข้าหาชาลินี “ขอโทษนะปวีณา แต่ผม ขอเลือกชาลินี”
“หา...” ปวีณาช็อก แล้วกรี๊ดสุดเสียง “อ๊าย...คุณทำกับชั้นอย่างนี้ได้ยังไง เราแต่งงานยังไม่ทันสามปี คอยดูนะ พ่อชั้น ไม่ยอมให้คุณหยามศักดิ์ศรีแบบนี้หรอก...นังชาลินี เธอ..เธอ…”
ชาลินีปลดแขนสุวิทย์ออก
“คุณเลือกชั้น ถามชั้นหรือยังว่า จะเลือกคุณหรือเปล่า”
สุวิทย์อึ้ง “อ้าว”
“ปวีณา จะรักษาผัวให้อยู่ในกำมือ ต้องใช้บารมีพ่อบังคับ เธอก็คิดเอาแล้วกัน ว่าผู้ชายอย่างนี้เธอจะอยู่กับเขาตลอดชีวิตงั้นเหรอ เป็นชั้นน่ะไม่เอาด้วยหรอกนะ ชั้นแค่อยากให้บทเรียน เธอเท่านั้น..โน่นน่ะ”
ชาลินีพยักพเยิดไปทางนักสืบที่ยืนอยู่ ทุกคนหันมองตาม
“คนที่ส่งแมสเซจไปหาเธอให้มาทีนี่ เป็นคนของชั้นเอง”
สุวิทย์งงไม่หาย “เดี๋ยวๆ นี่แปลว่า คุณหลอกปั่นหัวผม เพื่อแกล้งปวีณาเท่านั้นเหรอ”
ชาลินีหัวเราะ “เคลียร์กันเองแล้วกันนะคะ”
ชาลินีคว้ากระเป๋า ลุกเดินหนีไป
สุวิทย์งงเป็นไก่ตาแตก ปวีณาหายตะลึง เข้าทุบตีสามีพัลวัน น้ำตาไหลริน
“ทำไมคุณทำกับชั้นแบบนี้ เอียนชั้นนักเหรอ เอียนนักใช่ไหม ฮือๆ”
วัลภาหน้าซีดสงสารเพื่อน กอดปลอบปวีณา “ปวีณา ใจเย็นๆ อายคนเขา”
อรอนงค์ มองตามชาลินีแล้วจับมือกันเดินไล่ตามชาลินี สุวิทย์โมโหแต่ทำตัวไม่ถูก

ชาลินีเดินออกมาด้านหน้าโรงแรม อรอนงค์ตามมา
“เดี๋ยวชาลินี”
ชาลินีหยุด
“ทำไมเธอต้องทำกับเพื่อนขนาดนี้”
ชาลินีหัวเราะหยัน “โอ๊ย..หยุดพูดคำว่าเพื่อน ที่พวกเธอไม่เคยจริงใจด้วยซะทีเถอะ ที่จริงปวีณาน่าจะขอบใจชั้น ทีทำให้เขาตาสว่าง เห็นธาตุแท้ของสามี”
“กล้าพูดเข้าข้างตัวเองนะชาลินี...แต่ไม่ว่าเธอจะอ้างยังไงก็ตาม สิ่งที่เธอทำ มันเลวเกินไป”
อรอนงค์ด่า มองอย่างผิดหวังและโกรธรุนแรง สะบัดหน้าเดินกลับเข้าไป
ชาลินีชะงัก ฉุนอรอนงค์ แต่แล้วก็แค่นยิ้ม โดยไม่ใส่ใจ หันจะเดินไป แต่แล้วต้องชะงัก รู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ ชาลินีเหลียวหา รู้สึกคล้ายอารมณ์โหยหาอย่างลึกล้ำ
ในรถท่านชายที่แล่นเข้ามา มองจ้องชาลินีอยู่
ชาลินียังคงเหลียวหา ด้วยสีหน้าสงสัย แล้วจู่ๆ รู้สึกขนลุกเกรียว จนหล่อนต้องยกมือลูบแขนตัวเอง ก่อนตัดใจเดินออกไป
ครู่เดียวเท่านั้นรถท่านชายแล่นมาจอดหน้าโรงแรม ภุมมะเดินลงมาเปิดประตูให้ย่างนอบน้อม ท่านชายลงมา ค่อยๆ หันไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เห็นชาลินีกำลังเปิดประตูรถก้าวขึ้นนั่ง ปิดประตู ขับรถเคลื่อนออกไป

ท่านชายยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยาม

ที่ห้องจัดงานขนาดกลางของโรงแรม มีป้ายง่ายๆ เขียนบอกชื่องานว่า ‘พิธีมอบทุนการศึกษานักเรียนดีเด่น’ จากมูลนิธิแขไข

มีเด็กนักเรียนชายหญิงอายุ 12-13 ปี ยืนเข้าแถวอยู่บนเวที ส่วนท่านผู้หญิงแขไขนั่งอยู่ที่โซฟา ยิ้มบางๆ
พิธีกรยืนอยู่ด้านดำเนินการไป “มูลนิธิแขไข ได้ก่อตั้งโดยเจตนาของท่านผู้หญิงแขไขที่จะนำหารายได้เพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ยากไร้ ขาดทุนการศึกษามาเป็นเวลาสิบปีแล้วนะคะ และวันนี้ ก็มีเด็กนักเรียนที่จะได้รับทุนในครั้งนี้ สิบสองคน ขอประกาศรายชื่อเพื่อรับทุนการศึกษาจากท่านผู้หญิงเลยนะคะ คนแรก เด็กชาย กนก คำดี...”
ผู้คนในห้องปรบมือ เด็กชายกนกเดินไปไหว้ ท่านผู้หญิงยิ้มแย้ม ส่งซองให้
ท่านชายก้าวเข้ามายืนข้างหลังคนอื่นๆ ตรงหลังห้อง มองไป ร่วมเป็นประจักษ์พยานแห่งความดีของหญิงชรา

ท่านหญิงแขไขนั่งอยู่ที่โซฟา ท่าทางเพลียด้วยวัยชรา แต่มีรอยยิ้มของคนใจดีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
ร่างท่านชายวสวัตมายืนข้างๆ แล้วท่านหญิงหันมา สีหน้าประหลาดใจ
“อุ้ย” ท่านหญิงมองจำได้แม่น “อ้าว ท่านชายวสวัต”
ท่านชายวสวัตลงนั่ง ยิ้ม
“ไม่ได้เจอกันนาน ท่านดูไม่เปลี่ยนเลย” ท่านหญิงไอ “ขอโทษเถอะ ฉัน...ไม่ค่อยสบาย นี่ก็แข็งใจออกมา คิดว่าเป็นงานสุดท้ายแล้ว” หญิงชรายิ้ม “ต่อไป...คงพัก”
ท่านชายยิ้มนุ่มนวล อ่อนน้อม “ใช่...อีกไม่นาน ท่านผู้หญิงจะได้พักแล้ว”
ท่านหญิงชะงัก มองท่านชายวสวัตนิ่ง ท่านชายมองตอบด้วยแววตาอบอุ่น ยิ้มบางๆ
“ท่าน” ท่านหญิงแขไขพิศวงมองพินิจที่หน้าท่านชาย
ใบหน้าท่านชายวสวัต ปรากฏแสงสว่างอ่อนๆ เป็นประกายเพชร ส่องแสงออกมาโดยรอบ
ท่านหญิงชะงักไป ตะลึง “ท่านชาย...ท่านเป็นใครกันแน่”
ท่านชายยิ้ม ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองเหมือนห้ามพูด ก่อนลดมือลงอย่างรวดเร็ว
“เราเป็นประจักษ์พยานแห่งความดี ในสิ่งท่านผู้หญิงทำ และจะเป็นผู้รอส่งท่านผู้หญิงไปยังที่ที่คู่ควรแห่งความดีนั้น”
ท่านหญิงแขไขมองท่านชาย หายจากความตะลึง เป็นความปล่อยวางยิ้มตอบ ทั้งสองยิ้มให้กัน
“ได้เวลาที่ท่าน จะต้องปล่อยวาง อย่าติดห่วง ติดกังวลในจิตให้ยึดแต่เรื่องกุศลผลบุญ ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาทั้งชีวิต”

ระหว่างนี้อีกมุมหนึ่งของห้อง หญิง 1 ยืนมองมาทางท่านหญิง พลางขมวดคิ้วสีหน้าสงสัย หญิง 2 เข้ามาถาม
“มีอะไรหรือเปล่าคะ
“ท่านผู้หญิง น่ะสิคะ” หญิง 1 บุ้ยใบ้ไป
หญิง 2 มองตาม เห็นท่านหญิงแขไขนั่งท่าเดิม แต่ไม่มีใครเห็นร่างท่านชาย
“ไม่รู้ท่านนั่งพูดพึมพำอะไรคนเดียวอยู่ตั้งนานแล้วค่ะ” หญิง 1 ว่า
สองคนฉงน ที่เห็นท่านหญิงยิ้มอย่างปล่อยวาง กับเก้าอี้ว่างข้างตัวนั้น

เสร็จงานนั้น ยามเย็น ท่านผู้หญิงนั่งมาในรถ ที่แล่นมาตามถนน หญิงชราซบพิงพนักรถด้านหลัง ท่าทางอ่อนเพลีย
“พาฉัน...ไปกราบ...ที่วัดพระแก้วที”
คนขับมองกระจกหลัง
“แต่...ป่านนี้คงไม่ได้เข้าข้างในแล้วนะครับ แล้วก็รถติดมากด้วย”
ท่านหญิงบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าเต็มที “ไป...เถอะ...”
รถแล่นไป ท่านหญิงแขไขหลับตาลง
เกิดภาพขึ้นใต้จิตสำนึกสุดท้ายของหญิงชรา เป็นระลอกราวกับสายน้ำไหล
เริ่มจากภาพท่านพ่อและท่านแม่ของท่านผู้หญิง แต่งกายแบบคนมีชาติตระกูล สองท่านยืนอยู่สนาม
เสียงท่านแม่ร้องเรียก “หญิงแขไข”
ท่านแม่ทรุดลงอ้าแขน เห็นแขไข วัย 8 ขวบวิ่งเข้าสู่อ้อมแขนมารดา ท่านแม่ยิ้มแย้ม
ภาพต่อมา เป็นภาพสามีท่านหญิงแขไขยืนหันหลังอยู่ แล้วหันมายิ้มส่งมือมาให้ ท่านหญิงแขไขวัยสาวยื่นไปจับมือสามี
“ผมรักคุณ” สามีท่านหญิงยิ้มให้
ท่านหญิงแขไขวัยสาว และสามีกำลังนั่งสวดมนต์รับศีล หลังจากทำบุญด้วยกัน
ภาพสุดท้าย ท่านหญิงแขไขผู้ชรา กำลังก้มกอดเด็กกำพร้าที่สถานเลี้ยงเด็ก
“ไม่ใช่แค่อาหารของใช้หรอกที่เด็กเหล่านี้ต้องการ แต่เป็นความรัก”

เสียงคนรถดังขึ้น “ท่านผู้หญิงครับ ท่านผู้หญิง”
รถท่านหญิงจอดอยู่บริเวณหน้าวัดพระแก้ว เวลาเย็นจวนค่ำ ท่านหญิงหลับตาอยู่ คนขับรถอยู่ที่ประตูด้านท่านกำลังก้มเรียกเบาๆ
“ท่านผู้หญิงครับ”
ท่านหญิงเหมือนสะดุ้งตื่นลืมตา “หือม์”
“ถึงแล้วนะครับ ผมคงจอดรถได้ตรงนี้ ประตูวัดปิดแล้วครับ”
“ที่นี่...ดีแล้ว...ขอบใจมาก”
“ครับผม”
คนขับบรรจงปิดประตูแล้วเดินห่างออกมา
ท่านผู้หญิงลืมตาแทบไม่ขึ้น มองผ่านกระจกออกไป เห็นภาพวัดพระแก้วนอกหน้าต่าง เป็นภาพวัดแสนสวยในแดดอัสดง
ท่านผู้หญิง ยกมือขึ้นช้าๆ มาพนมกร สีหน้าท่านผู้หญิงสงบ ปล่อยวาง หมดแรงลงทุกขณะ
“อรหัง...อรหัง...อรหัง…” ท่านผู้หญิงหลับตาลงช้าๆ มือตกลงที่ตัก

รอบรถ และรอบบริเวณวัดพระแก้วอันสวยงามยามเย็นนี้ แลเห็นแสงบางใส พุ่งเป็นลำขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างน่าอัศจรรย์

อ่านต่อหน้า 3

เงา ตอนที่ 2 (ต่อ)

ณ มิติเหนือกาลเวลา ที่บรรจบระหว่างโลกและสวรรค์ ทุกแห่งหนดูสวยงาม แผ่นฟ้าสีฟ้าสด กว้างสุดตา ภูเขาตระหง่านอยู่ไกลลิบ น่านน้ำ และดงดอกไม้สีสดสวยงามราวภาพวาด

ท่านชายวสวัตในชุดสูทขาวยืนอยู่หันมายิ้มรับ ท่านหญิงไขไขสูงวัยก้าวเข้ามา มองรอบด้านอย่างตื่นตาในความวิจิตร เสียงทั้งคู่ที่คุยกัน ดังสะท้อนก้องกังวาน
ท่านหญิงแขไขเอ่ยถาม “ที่นี่ที่ไหนกันคะ”
“ที่บรรจบระหว่างภพวิญญาณแลสวรรค์” ท่านชายเยื้อนยิ้ม “ที่ที่ท่านจะได้เป็น...จะได้เห็น อย่างที่จิตของท่านเป็น”
ท่านชายยื่นมือให้ กลายเป็นมือของท่านหญิงแขไขในวัยสาว ยื่นเข้าจับมือท่านชาย บัดนี้ท่านหญิงแขไขกลายเป็นสาวสวยในชุดขาว ยิ้มบางๆ มองมา
“เรามีสิทธิเพียงรอส่งท่านเพียงที่นี่” ท่านชายบอกด้วยสีหน้ากึ่งเศร้า กึ่งสุข ขณะน้อมศีรษะให้ “ขออนุโมทนากรรมดีทีท่านได้ทำ” ท่านชายมองท้องฟ้าแล้วมองมายังท่านหญิง “บัดนี้ ได้วาระที่กรรมดีนั้น ได้ตอบสนองดวงจิตวิญญาณของท่านแล้ว เชิญ”
ท่านหญิงยิ้มบางๆ เหมือนผู้หลุดพ้นในภาวะมนุษย์โดยสิ้นแล้ว หันมองไปทางท้องฟ้าเบื้องหน้า เกิดลำแสงทอดมาอีกครั้ง ท่านชายจับมือท่านหญิงแขไข แล้วพากันหันหน้าไปทางท้องฟ้าเบื้องหน้า
ยินเสียงพระสวดดังแว่วๆ คล้ายเสียงขับกังสดาล
พริบตาหนึ่ง ท่านชายวสวัตแหงนหน้ามองตามส่งอยู่คนเดียว ร่างท่านหญิงหายไปแล้ว
แสงที่ทอดมาส่องกระทบใบหน้าท่านชาย ที่กำลังแหงนเงยมองอย่างอิ่มเอิบ ท่านชายวสวัตมองไปยังเบื้องบน น้ำตาคลอ ด้วยความปีติ

เมื่อมองจากจากท้องฟ้าลงมา เห็นร่างท่านชายอยู่ในชุดเดิม ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ในสนามในวัง มองท้องฟ้าอยู่ ก่อนจะถอนใจเบาๆ
“นานนักหนาแค่ไหนแล้ว และมีสักกี่ครั้ง ที่เราจะรู้สึกปีติกับหน้าที่ อันซ้ำซากของเรา” ท่านชายหันมา เรียกด้วยน้ำเสียงปรานี “สิริ ภุมมะ”
“เจ้าข้า” ทั้งสองน้อมรับ
“เจ้าทำงานหนักมานาน วันนี้ เราให้เจ้าได้พัก”
สิริ กับ ภุมมะ ดีใจจนแทบร้องไห้ โค้งก้มต่ำ น้อมรับเสียงเครือ “เจ้าข้า”
ท่านชายวสวัตมองไปบนท้องฟ้านิ่งนาน ใบหน้างามอิ่มเอิบใจ

อีกด้านหนึ่ง บนศาลาวัดแห่งหนึ่ง รูปชายวัย 50 ปี แต่งชุดเครื่องแบบตำรวจเต็มยศ ซึ่งที่แท้เป็นภุมมะตอนมีชีวิตอยู่นั่นเอง กรอบรูปถ่ายตั้งอยู่ข้างๆ ครอบครัวภุมมะ อันประกอบด้วย เมียภุมมะ อายุ 60 ปี ลูกสะใภ้ อายุ 35 ปี ลูกชาย วัย 40 ปี และหลานชาย วัย 10 ปี ที่วันนี้พากันมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ภุมมะ และฟังพระเจริญพุทธมนต์ หลังถวายสังฆทาน

มีพระสงฆ์รูปเดียวกำลังสวดมนต์อยู่ พอเสร็จ หลวงพี่ลืมตามอง แล้วต้องชะงัก ด้วยเบื้องหลังครอบครัว ภุมมะปรากฏร่างขึ้นเป็นเงาจาง ลงนั่ง พนมมือไหว้ หลวงพี่สงบใจ
“โยม ตั้งใจกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลให้...” หลวงพี่เหลือบมองภุมมะ “ญาติโยมบรรพบุรุษ ให้ดีนะ”
พระเริ่มเจริญพุทธมนต์อีก ครอบครัวประคองที่กรวดน้ำจับมือต่อๆ รวมใจ อย่างตั้งใจ พระปรือตามองทางภุมมะ
ภุมมะ เปลี่ยนร่างแล้วเป็นชายวัย 50 ในชุดตำรวจ พนมมือ สีหน้าปีติอิ่มบุญ

ในอดีตชาติ ภุมมะ เป็นตำรวจหนุ่มวัยฉกรรจ์ อายุ 35 ปี เกิดเรื่องร้ายขึ้นในชีวิต ตอนปี พ.ศ. 2500
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในป่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง รอบบริเวณเป็นต้นไม้รกครึ้ม ภุมมะ ลากคอโจร 1 ถูลู่ถูกังมา
“มึงจะพากูไปไหน ปล่อยกู๊”
ภุมมะโกรธแค้นสุดขีด ผลักร่างโจร 1 ลงพื้น
“โอ๊ย” โจรจะลุก
ภุมมะน้ำตาคลอด้วยความแค้น เล็งปืนไปที่โจร1
“มึงจะ..จะทำอะไร”
ภุมมะตะโกนใส่ “มึงฆ่าเพื่อนกู”
โจรนึกกลัว “มึงจะทำอะไร มึงเป็นตำรวจนะ มึงจับกูมาแล้ว ก็เอากูไปโรงพักสิวะ”
“มึงมันเส้นหนา เอามึงไปมึงก็หลุดออกมาอีก หรือถึงมึงติดคุก มันก็ไม่สาสม กับชีวิตเพื่อนกูที่ต้องตายเพราะมึงหรอก”
โจรร้องลั่น “อย่านะ..อย่า...”
เสียงปืนดังเปรี้ยงขึ้นหนึ่งนัด

มือผู้ร้ายวางอยู่ที่พื้น ภุมมะเอาปืนอีกกระบอก มายัดใส่มือโจรที่ตายไป ด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

วิญญาณภุมมะพนมมือ สำนึกผิดบาปอยู่ ครอบครัวลุกขึ้นยืน ลูกสาวประคองแม่ผู้ชราหลานชายถือกรอบรูป เดินคู่กับพ่อ
“คุณพ่อครับ คุณปู่ เป็นตำรวจที่เก่งมากใช่ไหมครับ” หลานชายเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้วลูก” ผู้เป็นพ่อบอก
หลายชายภุมมะยิ้มพยักหน้ารับรู้

ในมือเด็กชายวัย 10 ขวบ กอดประคองรูปภุมมะวัย 50 ในกรอบรูป เดินไปอย่างสุขใจ

อีกวันหนึ่ง อรุณขี่จักรยานมา มีเจริญขวัญซ้อน ตะกร้าหน้ารถมีข้าวของใส่ถุง และปิ่นโตในนั้น

“อีกไกลไหมน่ะ ขวัญ” อรุณถาม ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย
“ไม่ไกลจ้า เลี้ยวโค้งหน้าก็ถึงแล้ว” เจริญขวัญหัวเราะ “อยากตามมาเองนะ เราจะให้ลุงพุดมาส่งก็ไม่เชื่อ ปั่นไปเพื่อนจ๋า ปั่นไป”
อรุณฮึด ปั่นต่อ

สองคนอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ของคนงานไร่ เห็นหญิงยายชรานอนป่วยอยู่บนเสื่อ และ แม่เด็กๆ ที่ป่วยเช่นกันไอโขลกๆ อยู่ เจริญขวัญเอาถุงข้าวสารของแห้ง และ ปิ่นโตส่งให้ จ๊อด เด็กชายวัย 12 ปี อรุณนั่งอยู่ด้วย
“จ๊อด เอากับข้าวนี่ไปใส่จานให้น้องๆ กิน” เจริญขวัญบอกกับแดงผู้เป็นแม่ของเด็กๆ “แล้วนี่ข้าวสาร ของแห้งกับยาแก้ไข้นะจ๊ะพี่แดง”
“ขอบคุณมากนะคะ คุณขวัญ รบกวนคุณขวัญอยู่เรื่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ช่วยๆกัน แล้วนี่ยายเป็นไงบ้างคะ”
“ทรงๆเหมือนเดิมค่ะ” แดงไอ “พี่สิ ดันมาป่วย เลยไม่ได้ไปขายของ” แดงไอใหญ่
เจริญขวัญเห็นใจ อรุณลอบมองเจริญขวัญอย่างชื่นชม เจริญขวัญหันมอง เด็กๆ จ๊อด เด็กหญิงแจง วัย 10 ปี และ น้องเล็กเด็กหญิงจุ๊บ วัย 7 ปี ที่นั่งล้อมวงกินข้าวอยู่หน้าบ้านอย่างเซ็งๆ ก็สงสาร
สายตาเจริญขวัญมองไปเห็นตะกร้าที่ใส่มันฝรั่งหลายหัววางอยู่ ได้คิดบางอย่าง

บนแค่ไม้ไผ่ใต้ต้นไม้ใกล้ศาลายังสร้างไม่เสร็จ มันฝรั่งถูกตัดครึ่ง เจริญขวัญลงมือแกะลาย อรุณก็แกะ เด็กสามคนช่วยกันแกะลายด้วย
เจริญขวัญเทสีลงในจานเล็กหลากสีบนแคร่ เบื้องหลังเป็นศาลาห้องสมุดที่ยังไม่เสร็จมีผ้าฝ้ายหรือผ้าป่านสีขาวตัดแยกชิ้นวางเรียงๆ
“เอาเลย เด็กๆ จ๊อด แจง จุ๊บ ละเลงกันเลย”
สีหน้าเด็กๆ มีความสุขขึ้น ส่งเสียงเฮฮา ปั้มมันฝรั่งกับสีแล้วมาปั้มกับผ้า เจริญขวัญ กับอรุณ ทำด้วย
“ปั้มให้สวยๆ วางให้มีระยะห่างดีๆ นะจ๊ะเด็กๆ”
แจงถามเสียงใส “ของหนูสวยมั้ยคะพี่ขวัญ”
เจริญขวัญยิ้มตอบ “สวยค่า”
อรุณล้อ “แล้วของหนู สวยไหมคะพี่ขวัญ”
เจริญขวัญยิ้มกึ่งค้อนลากเสียงล้อ “สวยค่า น้องอรุณ...”
อรุณหัวเราะ ก้มหน้าปั้มสีแล้วแอบมองเจริญขวัญ
เจริญขวัญยิ้มแย้มเล่นกับเด็กๆ ช่างน่าประทับใจ อรุณนึกได้ ล้วงมือไปในย่าม ยกมือถือขึ้นมา ถ่ายภาพด้านข้างของเจริญขวัญ เสียงเสียงกดชัตเตอร์ดังแชะ
เจริญขวัญหันมา “แน๊ะ แอบถ่ายรูปเขาอีกแล้ว”
“ไม่แอบก็ได้ ถ่ายตรงๆ เลย จะได้เก็บไว้เผื่อประกวดชมรมถ่ายภาพที่มหาวิทยาลัย นะ” อรุณหันไปหาเด็กๆ “เอ๊า ทุกคน ทำอะไรก็ทำกันไปนะ ไม่ต้องสนใจพี่”
เจริญขวัญยิ้มแย้ม “เอาๆ ตามใจพี่เขาหน่อย เด็กๆ ทำกันต่อไป นี่ถ้าทำสวยๆ เดี๋ยวพี่ขวัญเย็บเป็นเสื้อให้เอาไหม”
เด็กๆ รับ “เอาค่า” / “เอาครับ” ขึ้นพร้อมกัน
เจริญขวัญยิ้มแย้ม ปั้มสีมันฝรั่งต่อ อรุณถ่ายภาพหญิงสาวอย่างเพลิดเพลิน

ค่ำนั้นฝาแล็ปท็อปบนโต๊ะอ่านหนังสือในห้องนอนของอรุณ ถูกเปิดขึ้น พร้อมๆ กับที่อรุณเสียบการ์ดจากมือถือโหลดรูปลงเครื่อง
อรุณคลิกดูภาพเจริญขวัญหลากอิริยาบถ และมีรูปเด็กๆ ที่เขาแอบถ่ายมา
บนโต๊ะยังมีภาพเจริญขวัญและอรุณกับเพื่อนอีกสองสามคนในชุดนักเรียนในวันจบเรียน เสื้อนักเรียนมีรอยขีดเขียน และรูปเจริญขวัญถือดอกไม้ใส่กรอบวางอยู่
อรุณมองดูรูปเจริญขวัญอย่างชื่นชมและหลงรักหมดใจ
“ขวัญ...”
อรุณก้มเอาหน้าลงวางหน้าบนท่อนแขนที่วางพาดบนโต๊ะมองรูปเจริญขวัญเป็นภาพสุดท้ายที่เธอแหงนหน้ามองท้องฟ้าพอดี
“เมื่อไหร่ จะเปิดหัวใจ มองเราเหมือนผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่แค่เพื่อน...ซะที”

คืนเดียวกันนั้นเจริญขวัญ กำลังตัดผ้าเด็กปั้มสีมาเป็นสี่แหลี่ยม และมาวางทาบบนเสื้อยืดหามุมจะเย็บติดกัน จนพอใจแล้วเริ่มร้อยเข็มกับด้าย ดวงแก้วเดินมายืนมอง
“ทำอะไรน่ะลูก”
“เย็บฝีมือปั้มสีของเด็กๆทำเป็นเสื้อให้เด็กๆ น่ะค่ะแม่ นี่...เสื้อยืดเก่าที่ยังดีของขวัญ เดี๋ยวทาบเย็บลงไปแป๊บเดียวก็เสร็จ”
ดวงแก้วยิ้มชื่น ลูบหัวลูกสาว “อย่าทำเพลินจนดึกล่ะลูก”
“ค่ะแม่”

ดวงแก้วยิ้มมองลูกสาวทั้งรักทั้งห่วงเหลือเกิน

คืนนั้น เด็กหญิง 5 คน มีผ้าผูกปิดตา และ ถูกผูกเชือกโยงข้อมือทั้งสองข้าง และผูกร้อยต่อๆ กัน ญาลากให้เดินตามกันมา เด็กร้องไห้กระซิกๆ

ญาตีคนหนึ่งเดินช้าไม่ทันใจ “เดินให้มันเร็ว ๆ ร้องไห้กันทำไมวะ หุบปากกันเดี๋ยวนี้” พลางหันไปทางบ้าน “ไอ้แก้ว เร็วๆ หน่อยสิ”
แก้ว อุ้มร่างไม่มีสติของเด็กคนที่หกมา มีกระสอบผ้าป่านคลุมมา
“นี่ เด็กมันนอนเงียบไม่ได้สติเลย ..ขนาดนี้แล้ว เขาจะเอาเหรอ”
“บอกแล้วไง ถ้าเขาไม่เอา ก็เอาใส่กระสอบนั่นแหละ ถ่วงน้ำมันทิ้งไปเลย”
ในรถตู้เด็กคนที่หกถูกวางนอนกับพื้นทีมีอีกห้าคนนั่งคุดคู้อยู่ แก้วและญามองเด็กๆ ด้วยสีหน้าเหี้ยมและกระหยิ่ม ปิดประตูปัง

รถตู้แล่นมา ในรถ เด็กหญิงถูกมัดด้วยเชือก นั่งกองกันพื้นด้านหลัง คนที่ป่วยนอนหนุนตักเพื่อน
แก้วเป็นคนขับรถ ญานั่งกินมะม่วงดองข้างๆ เหลียวหลังไปดูเห็นเด็กๆ เด็กคนหนึ่งอาเจียน
“เฮ้ย นั่งรถแค่นี้อ๊วก ให้ต้องมาล้างอีก เดี๋ยวปั๊ด”
“ต้องไปล้างทำไมเล่า ได้เงินแล้วก็โละคันนี้ซื้อใหม่กันเลย”
ญาตีผัว “ซื้อรถก็หมดเลยสิ ชั้นว่า เราไปเที่ยวเมืองนอกกันดีกว่า”
“จริงดิ..ดีๆ ไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะ”
“เจอคนทรัพย์หนาอย่างนี้ เราคงหากินได้อีกหลายครั้ง นะแก้วนะ”
สองคนผัวเมียหัวเราะเสียงน่าเกลียด

รถแล่นตามทาง ค่อนข้างเปลี่ยว
แก้วชะเง้อไปด้านหน้า ร้อง “เฮ่ย” ออกมา
“อะไร”
“ด่าน”
ญามองไป มีด่านตำรวจอยู่ไกลๆ
“อะไรวะ จะมาตั้งด่านอะไรแถวนี้”
“จับรถสิบล้อมั้ง เอาไงดี”
“แล้วจะขับไปหาพ่อแกให้ค้นรถหรือไง กลับรถไปวกอ้อมไปอีกทางสิ”
“เออๆ”
แก้วชะลอรถตู้ ถอยท้ายเข้าพงหญ้า แล้วเลี้ยวเข้าถนนเล็กๆ ข้างทาง

รถแล่นมาทางเปลี่ยวกว่าเดิม
“นี่ เคยมาทางนี้หรือเปล่า เปลี่ยวน่าดู” ญามองไปรอบๆ
“เคยผ่านมาที เดี๋ยววกขึ้นถนนใหญ่ข้างหน้าโน่น”

ถนนนสายใหญ่อีกเส้นที่รถแก้วกำลังจะขับขึ้นมา มีรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นออกมาจากความมืด ท่ามกลางหมอกควัน อย่างเงียบๆ ท่อไอเสียมีควันพุ่งออกมา
รถของแก้วและญา ออกจากทางเล็กกำลังพุ่งขึ้นไหล่ถนนใหญ่ ทันใดนั้นเอง แสงไฟจากรถบรรทุก สาดพุ่งเข้าใส่ แก้วและญาหันไปตามแสง อ้าปากร้องลั่น
คนขับรถบรรทุกคันนั้นคือ ภุมมะ สีหน้าขรึมเคร่งเหี้ยมเกรียมดูน่ากลัว รถบรรทุกพุ่งมา ชนโครมเข้าข้างรถตู้ แก้วกับญาหัวโยกหัวคลอน รถพลิกคว่ำ
แก้ว และ ญา อ้าปากร้องไม่มีเสียง ตัวหมุนคว้างพลิกตามรถกระจกด้านแตกกระจาย ร่างแก้วและญาทะลุกระจกออกมาร้องครวญคราง ไฟลามมาจากหม้อน้ำรถตู้
แก้วและญามองไฟดิ้นหนีไปไหนไม่ได้ ตาเหลือกลาน ไฟพุ่งเข้าท่วมร่างคนทั้งสอง แก้วและญาร้องโหยหวน

ตำรวจ 2 คนที่ด่านได้ยินเสียงรถชน ตามด้วยเสียงระเบิด ต่างคนต่างตกใจหันไปตามเสียง แล้วขึ้นมอเตอร์ไซค์ทันที
รถมอเตอร์ไซค์แล่นมาจอดที่จุดเกิดเหตุ ตำรวจ 2 คน ลงมาอย่างรีบร้อนพลางวิทยุแจ้งเหตุสถานี ตำรวจตรงมาตรวจสภาพ เห็นศพแก้วและญา ก่อนเดินมาอ้อมมาทางประตูด้านข้าง ได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากด้านใน
ตำรวจเปิดประตู พบเด็กหญิง 6 คน นอนกองกันอยู่ ร้องไห้ระงม มีเชือกผูกร้อยกันไว้ 2 ตำรวจตะลึง
วิญญาณ แก้วและญา ออกจากร่าง กำลังงุนงงอยู่ จู่ๆ มีเงาดำของมือหลายมือพุ่งมาม้วนตัวล้อมวิญญาณผัวเมียที่กรีดร้องดังโหยหวน ฉับพลันนั้นเองเหมือนมีพายุไซโคลนดูดดึงวิญญาณทั้งคู่ไปอย่างรวดเร็ว

ที่นรกภูมิ รอบๆ ลานตัดสิน เต็มไปด้วยแสงเพลิง วิญญาณแก้วและญาโดนปล่อยออกมาจากหลุมดำตกมากองพื้น แก้วและญากลัวตัวสั่นเทา มองไปรอบๆ เห็นนายริบาลหน้าถมึงทึง มองมา รวมทั้ง สิริ ภุมมะ
แก้วมองไปอีกทางเห็นท่านชายวสวัต ในคราบพญามาร “เอ๊ะ”
มุมที่ท่านชายปรากฏกายขึ้นนั้น แสงเพลิงลุกท่วมขึ้น ก่อนที่ดวงหน้าท่านชายจะปรากฏ ปีกสยายเบื้องหลังร่างท่านชายเป็นปีกไฟ
“ท่าน...ท่าน...” ญาตะลึง
ยมบาลมากดวิญญาณแก้ว และ ญา ให้ทรุดลง ทั้งสองตัวสั่นเทิ้ม พนมมือ หวาดกลัว ร้องไห้ไม่หยุด
“เจ้าวิญญาณบาป ข้า รอเวลาทีเจ้าจะถึงคราวต้องชดใช้บาปกรรมที่เจ้าทำ มานานเกินทน”
สองผัวเมียร้องระงม“กลัวแล้ว ลูกกลัวแล้ว”
ท่านชายตวาด “เจ้าวิญญาณถ่อย! ถึงตอนนี้เจ้ามาร่ำร้อง แล้วยามที่ผู้อื่น ร่ำร้อง ไหว้ วิวอนขอความเมตตา แต่เจ้ายังเฆี่ยนตี สาดน้ำร้อนใส่พวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก! ยามนี้สิ่งเดียวที่รอเจ้าคือการชดใช้กรรม! สิริ”
แก้วกับญาร้องไห้โฮ หมอบตัวสั่นเสา
“เจ้าข้า”
“โทษของมัน”
สิริก้าวออกมา กล่าวโทษ แก้วและญาฟังอย่างหวาดกลัว
“เจ้าข้า สัตว์นรก สองตนนี้ จับมนุษย์อื่นมา กักขังทรมาน เพื่อขายให้ตกเป็นทาสแห่งกามกิเลสที่โสมมและชั่วช้า!มันจักต้องตกสู่ ตปนนรก ร่างของพวกมันจะถูกเสียบลงแหลนหลาวเหล็กที่มีไฟนรกลุกท่วม ให้แผดเผาจนเนื้อไหม้เกรียมเร่าร้อนทรมาน แลจะมีหมานรกตัวเท่าช้าง เข้ากัดกระชาก แทะกินร่างจนถึงกระดูก ให้สัตว์นรกนั้นตายไป แล้วฟื้นคืนร่างใหม่ เพื่อโดนลงทัณฑ์ซ้ำเดิมนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชั่วกัปชั่วกัลป์เจ้าข้า”
เสียงขานรับเซ็งแซ่ “ตปนที...ตปนที...ตปนที”
“กลัวแล้ว ลูกกลัวแล้ว ฮือๆ” สองผัวเมียใจชั่วร้องลั่น
“ไสหัวมันไป! ชดใช้กรรม!”
สิ้นเสียงพญามาร มีเสียงขานรับเซ็งอื้ออึงรับเป็นทอดๆ “ชดใช้กรรม ชดใช้กรรม ชดใช้กรรม”
พร้อมกันนั้นเปลวไฟพุ่งมาห่อวิญญาณทั้งคู่ ที่กรีดร้องโหยหวน สองวิญญาณบาปแหลกสลายย่อยยับไป
เสียงท่านชายดังขึ้นอีก “ภุมมะ รายต่อไป”
“เจ้าข้า”

พญามารยืนอยู่กลางเปลวเพลิงร้อน

เช้าอีกวันหนึ่งบนโลกมนุษย์ คุณนมกำลังใส่บาตรอยู่ริมรั้วหน้าบ้านนายพลบัญชา แล้วลงนั่งเก้าอี้พลาสติกรับพรจากพระ ยกมือไหว้ท่วมหัว มีหญิงรับใช้สาวอีกคนคอยช่วย

“แม่คุณช่วยเก็บถาดเก็บโต๊ะเก้าอี้ให้เรียบร้อยนะ”
“ค่ะ คุณนม”
ขณะที่คุณนมจะหันตัวเข้าบ้าน ยินเสียงไก่เมียน้อยท่านนายพลเรียกไว้
“ยายคะ”
คุณนมหันมาเห็นไก่ยืนจูงมือลูกอยู่
ไก่เอาแต่ร้องไห้ คุณนมสงสาร แต่ไม่รู้จะว่าช่วยยังไง
“ท่านไม่ไปหาไก่ ไม่ไปหาลูกเลย เงินก็ส่งให้บ้าง ไม่ส่งบ้าง ป้าคะ ให้ไก่เข้าไปพบท่านหน่อยเถอะค่ะ”
“หนู เข้าไปพบจะมีประโยชน์อะไร นอกจากจะทะเลาะเบาะแว้งกันให้เด็กเห็น มันก็ไม่ได้”
“แล้วจะให้หนูทำยังไง” ไก่ร้องไห้โฮ “หนูคิดถึงท่าน หนูอยากให้ลูกได้เจอพ่อ”
นมถอนใจ “ยายเข้าใจ แต่ว่า หนูกลับไปก่อนเถอะนะ เดี๋ยวยายจะเรียนท่านให้ นะ เชื่อยาย”
ไก่ซับน้ำตาพยักหน้า คุณนมขยับมาลูบหัวลูบหน้าเด็กชายด้วยความสงสาร
“พ่อคุณเอ๊ย” พลางควักเงินจากในกระเป๋าเสื้อใส่มือเด็ก “เอาไปซื้อขนมนะลูกนะ”

คุณหญิงเพ็ญกำลังทานอาหารมื้อเช้าอยู่ มีคุณนมและแม่บ้านดูแล ทีวีในห้องทานข้าวกำลังเสนอข่าวเช้า 7 สี โดยกำลังขึ้นภาพข่าวตำรวจให้การช่วยเหลือเด็กหญิง 6 คน จากรถตู้ นำมาสอบสวนที่โรงพัก ภาพประกอบเป็นซากรถตู้ที่ถูกชน และขนศพแก้ว ญา และ ภาพที่โรงพัก เด็กหญิงใส่หมวก ก้มหน้า มีตำรวจสอบสวน และมีเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ นั่งข้างๆ
เสียงผู้ประกาศข่าวรายงานในทีวี “เมื่อกลางดึกคืนวานนี้ เกิดเหตุรถบรรทุกพุ่งชนรถตู้ จนคนขับรถและผู้โดยสารที่นั่งมาด้วยถึงแก่ชีวิตทันที ส่วนคนขับรถบรรทุกนั้น หลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นรถตู้ พบเด็กหญิงหกคน ถูกมัดไว้ที่เบาะหลัง สืบสอบสวนแล้วพบว่า เด็กผู้หญิงทั้งหก ถูกผู้ตาย ล่อลวงมาจากกักขังหน่วงเหนี่ยว และมีร่องรอยบาดแผล จากการถูกทำทารุณ”
ชาลินีลงมาจากชั้นบน เดินเข้าห้องมาระหว่างนี้ แม่บ้านรีบวางแก้วกาแฟ รินกาแฟจากกาให้ ชาลินีดูอินสตราแกรมในมือถือไม่ได้สนใจข่าวนัก
เพ็ญเอ่ยขึ้น “ทำไมมันถึงใจคอมันโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาแบบนี้”
นายพลบัญชา เดินเข้ามาชุดไปตีกอลฟ์
“จะไปแต่เช้าเชียวหรือคะ”
บัญชาก้มดูชุดตนเองเป็นเชิงตำหนิว่า ไม่เห็นหรือไง “ไปออกรอบเช้า แดดไม่ร้อนดี”
“เดี๋ยวค่ะ อีกสองวันทางสโมสรของดิฉันกำลังทำโครงการเพื่อเสริมสร้างอาชีพช่วยเหลือผู้หญิงที่ด้อยโอกาส คุณไปกับดิฉันหน่อยนะคะ งานนี้ดิฉันเป็นประธาน”
“คุณแม่คุณไม่ค่อยสบายไม่ใช่เหรอ ผมว่า ทำโครงการไปคอยเฝ้าดูแลคุณแม่ไม่ดีกว่าเหรอ”
เพ็ญโมโห “อ้อค่ะ ว่าจะทำอีกโครงการด้วย เฝ้าสามีไม่ให้มีเมียน้อย นายพล” คุณหญิงหัวเราะเยาะหึๆ “ทำมานานแล้วนี่ ได้ผลไหมล่ะ”
ท่านนายพลหัวเราะ คร้านจะทะเลาะ เดินออกไปเลย คุณหญิงหงุดหงิด
คุณนมเดินตามนายพลบัญชาไป
“ดูพ่อเธอนะ”
ชาลินีตามองมือถือตลอด “ค่ะแม่ ...อุ้ย”
“อะไรเหรอลูก”
ชาลินียิ้ม “เปล่าค่ะ แค่มันมีอะไรขำๆ ในอินสตราแกรม”
“คนสมัยนี่ ติดส่งรูปอัพรูปโชว์เรื่องส่วนตัว วันหลังสอนแม่เล่นบ้างนะ”
ชาลินีหัวเราะ คุณหญิงเพ็ญอิ่มพอดี ลุกเดินขึ้นไปข้างบน ชาลินีก้มมองในมือถือ
ภาพจากอินสตราแกรม เป็นภาพที่หล่อนยืนอยู่หน้า โดยมีสุวิทย์แทบกอดเบื้องหลัง มีข้อความเขียนบรรยายว่า
“วิธีหาสามีของสาวไฮโซ..คือตามจับสามีเพื่อน”
“เล่นไม่ยอมจบนะพวกนี้” ชาลินีหงุดหงิดรับอรุณ

นายพลบัญชากำลังจะขึ้นรถ คุณนม งกๆ เงิ่นๆ ตามมาเรียกไว้
“ท่านคะ ท่าน”
บัญชาถามเสียงเมตตา “คุณนม ว่าไง มีอะไร”
“คือ เมื่อเช้า มีผู้หญิงที่ชื่อไก่มาหาค่ะ มากับลูก” บัญชานิ่งอึ้งไปครู่ “นมไม่ได้ให้เข้าบ้าน กลัวมีเรื่อง” หญิงชราถอนใจ “เด็ก หน้าตาน่ารักเชียวค่ะ แต่ว่า..ดู เศร้าๆ”
บัญชาตัดบท “เข้าใจละ ขอบคุณมากนะคุณนม” ท่านนายพลขึ้นรถสั่งคนขับ “ไปได้แล้ว”
คุณนมมองตามอย่างละเหี่ยใจ

“กรรมเวรจริงๆ”

อ่านต่อหน้า 4

เงา ตอนที่ 2 (ต่อ)

ที่ไร่เจริญขวัญ ตาพุดตอกตะปูตัวสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ในขณะที่อรุณลงบันไดที่ปีนตอกบนหลังคา แล้วกระโดดตุ๊บลงพื้นใกล้เจริญขวัญที่ยืนอยู่ก้มมองมือตัวเอง สามคนกำลังต่อเติมศาลาเล็กๆ ในไร่ ที่ เล็กเคยสร้างไว้ แต่มาเสียชีวิตก่อน มีคนงานอีก 2 คน คอยช่วย

“ได้พรุ่งนี้ทำกันแต่เช้าอีกวัน เสร็จแน่ครับคุณขวัญ” พุดบอก
“เยี่ยมเลย ขอบคุณค่ะ ลุงพุด อรุณขอบใจนะจ๊ะ”
อรุณยิ้มพยักหน้าให้
“อ้าว นั่นมือเป็นอะไร” เจริญขวัญคว้ามืออรุณมาดู
อรุณชักมือหนี “เราไม่เป็นไร”
เจริญขวัญดึงกลับ “มาดูหน่อย อู้หู” หญิงสาวมองมือแล้วมองหน้าอรุณ
พุดชะโงกมามอง แล้วหัวเราะขัน “มือจับแต่ปากกาหนังสือเรียน นานนานจะมาจับค้อนจับตะปู มือแตกเอาเรื่องเลยนะครับ”
อรุณขัดเขินที่ตัวเองดูหยิบโหย่ง ไม่สมบุกสมบันต่อหน้าเจริญขวัญ

เจริญขวัญนั่งทายาและปิดพลาสเตอร์ที่มือให้อรุณที่แคร่ไม้ เด็กๆ 3 คนพี่น้องวิ่งเล่นกันอยู่ไม่ไกลนัก โดยทางด้านหลังเห็นพุด กับคนงานกำลังเก็บของ
“จะทำงานเอาหน้าขวัญซะหน่อย มือแตกโชว์เลย เสียหน้าชะมัด” อรุณว่า
“บ้าน่า ไม่เห็นต้องอายเลย คนนี่จ้ะไม่ใช่เหล็กไหล เอา เสร็จแล้ว”
อรุณส่ายหน้า “ฮึ เป่าให้ด้วยสิ”
“อื้อหือ เด็กชายอรุณนี่”
เจริญขวัญยิ้มขำ ก้มลงเป่ามือให้ อรุณลอบมองเจริญขวัญ ด้วยแววตาหลงรักเต็มๆ
เจริญขวัญเป่าอีก ช่างรัญจวนจนอรุณมองอย่างลืมตัว พอเจริญขวัญเงยมอง อรุณเกือบสะดุ้งที่ต้องสบตากันตรง เขาเสกลบเกลื่อนโดยการโวยวายเล็ก รีบดึงมือออกมา
“ขวัญน่ะ เป่าๆ ให้นี่ไม่รู้ลมปากขวัญจะพาเอาบาดทะยักมาติดหรือเปล่าเนี่ย”
“บ้า อรุณนี่” เจริญขวัญหัวเราะตีอรุณเบาๆ
อรุณมองเจริญขวัญหัวเราะตาม หน้าเผื่อนๆ

ตอนเย็นวันนั้น ดวงแก้ว กำลังตรวจซองยาของเจริญขวัญที่วางในถาดอยู่ เจริญขวัญถือแก้วน้ำมะพร้าวปั่นมาให้แม่ลองชิม
“แม่คะ ลองฝีมือน้ำผลไม้ปั่นขวัญหน่อย”
ดวงแก้วรับมา ชิม “ขอบใจจ้ะ”
“อร่อยพอจะเปิดร้านขายได้ไหมคะแม่”
ดวงแก้วกังวลเรื่องสุขภาพลูกสาว “ไหวเหรอลูก”
“เวลาว่างขวัญเยอะ ขวัญทำได้ ขวัญอยากช่วยแม่อีกแรงขวัญว่าจะขอแม่ทำร้านเล็กๆหน้าไร่ติดถนนใหญ่ ขายน้ำผลไม่กาแฟ แยมที่เราเอง”
ดวงแก้วขัดขึ้น “แม่ไม่ได้หมายถึงเวลา แต่หมายถึงสุขภาพขวัญ เดี๋ยวทำโน่นเดี๋ยวทำนี่ ห่วงตัวเองหน่อยลูกเอ้ย นี่ยาก็จะหมดแล้ว อาทิตย์หน้าไปหาหมอได้แล้ว”
เจริญขวัญบ่น “เบื่อโรคหัวใจรั่วนี่จัง หาก๊อกเข้าไปอุดได้ก็ดีสินะคะ” พอเห็นดวงแก้วหน้าเสียก็หัวเราะเย้า “ทำหน้าแบบนี้อีกแล้ว โอ๋ๆ อย่าคิดมากนะคะ ขวัญออกจะแข็งแรง”
ดวงแก้วยิ้มหัวไปกับลูกแม้จะไม่สบายใจนัก
เสียงเรียกของปลั่งเมียพุดดังขึ้น “คุณดวงแก้วค้า คุณดวงแก้ว”
สองแม่ลูกหันไปตามเสียงสีหน้าฉงน

ปลั่งเกาะที่หัวกระได หน้าตาตื่นเต้น ดวงแก้ว กับเจริญขวัญเปิดประตูออกมา
“พี่ปลั่ง มีอะไรจ้ะ”
“พี่หลาบค่ะคุณ ตาพุดว่าน่าจะไม่พ้นคืนนี้ ให้มาบอกคุณไว้”
ดวงแก้วตกใจ “ตายจริง งั้นเราไปด้วยกัน” หันมาหาลูกสาว “ขวัญอยู่บ้านปิดประตูลงกลอนดีๆ นะลูก เดี๋ยวแม่มา”
“ค่ะ แม่” เจริญขวัญเดินเข้าใกล้กระซิบถาม “แม่...ต้องไปดูคนจะตายด้วยเหรอ”
“ตอนอยู่ เขาทำงานกับเราเหมือนคนในครอบครัวนะลูก จะจากกันก็ควรส่งกันให้ถึงที่สุด”
ดวงแก้วเดินไปหยิบกุญแจ รีบเดินออกไป
“ไปพี่ปลั่ง”

ดวงแก้วขึ้นรถกระบะ ปลั่งนั่งข้าง ดวงแก้วขับรถออกไป เจริญขวัญมองตาม สีหน้าพลอยกังวลไปด้วย

ตรงมุมมืดใต้ถุนบ้านไม้เก่าๆ ของยายหลาบ คนงานไร่เจริญขวัญ มีหัวขโมยคนหนึ่งโผล่หน้ามาซุ่มมองดูลาดเลา

ตรงหน้ามีเสื้อผ้าตากอยู่ มือขโมยยื่นไปดึงเสื้อ ยัดใส่กระเป๋าย่ามที่ถือมา พลางชะเง้อไปด้านบนอีกที แล้วมองเห็นวิทยุเครื่องเก่าอยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้าน ก็ไปคว้าใส่ย่ามอีก ก่อนจะหันไปเห็น รถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ เจ้าหัวขโมยมองอย่างหมายมาด
ทันใดนั้น รถของดวงแก้วแล่นเข้ามา ขโมยผวาหลบหลังเสา แอบมอง ดวงแก้วและปลั่ง ลงจากรถ เดินขึ้นบ้านโดยไว ขโมยมองตาม
หลาบหญิงวัยกลางคนราว 50 ปี นอนซมอยู่กับฟูกเก่ากลางห้อง หายใจรวยรินแทบไม่มีแรงกระเพื่อม มี ผินผู้เป็นผัวอายุเท่ากัน ลูกสาววัย 30 ปี และวันลูกชายหนุ่มแน่น 26 ปี นั่งร้องไห้อยู่ใกล้ๆ พุดเดินไปเดินมาอยู่ เครียดจัด
ดวงแก้วและปลั่ง รีบเดินเข้ามา ดวงแก้วเดินไปนั่งกับพื้นข้างฟูก รับไหว้ทุกคน
ถามอาการคนป่วยเบาๆ “เป็นไงบ้าง เห็นอาการดีขึ้นแล้ว ทำไมมาทรุดลงขนาดนี้”
พุดตอบขึ้นว่า “ก็ไอ้ผิน ดันพาหมอผีอะไรไม่รู้ มารดน้ำมนต์ครับ หาว่าผีเข้า ไข้มาเลเรียเลยขึ้นมาอีก”
ดวงแก้วสงสารนัก “โธ่ ช่วยกันพาไปโรงพยาบาลอีกครั้งดีไหม”
พุดส่ายหน้า “ไม่ไหวแล้วครับเข้าขั้นตรีทูตแล้ว”
ดวงแก้วจับมือหลาบทีละข้าง มากุมซ้อนกันไว้ หลาบส่ายหัวพยายามปรือตา
“ใครน่ะ...คน.. ชุดเขียวๆ..ใคร..มารับเหรอ”
ทุกคนขนลุกซู่ หันรีหันขวาง ลูกสาวหลาบร้องไห้โฮ
“ไม่นะ แม่ แข็งใจไว้นะ ใครมารับก็อย่าไปนะ”
ปลั่งกระซิบพุด “สงกะสัย ที่เค้าว่า จะมีผีมารับวิญญาณตอนตายนะตาพุด..อุ้ย ชั้นขนลุก”
พุดหันมาทางผิน และหลานชาย “เฮ่ย พวกเรา ไป ไปช่วยกันตัด พวกกิ่งไม้ ที่มันโยงพาดตัวเรือนออกให้หมดเว้ย ไปๆ”
พุดกับ ผิน พร้อมลูกชายหลาบกุลีกุจออกไป ดวงแก้วหันมาทางปลั่ง สีหน้าฉงน
“ไปตัดกิ่งไม้อะไรกันตอนนี้”
ปลั่งอธิบาย “เค้าเชื่อกันน่ะค่ะคุณ ว่าถ้าบ้านไหนมีกิ่งไม้พาดมาตัวบ้าน พวกผีหรือวิญญาณจะปีนเข้าบ้านมาเอา” ปลั่งมองมายังหลาบ “เอ้อ...วิญญาณคนป่วยได้ไงคะ”
ดวงแก้วถอนใจส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ขัด

ทางฝ่ายหัวขโมยกำลังพยายามแกะห่วงโซ่ที่ล็อคกุญแจมอเตอร์ไซค์อยู่ขะมักเขม้น แว่วเสียงพุดกับผิน และลูกชายหลายลงบันไดมา ขโมยโผไปซ่อนในมุมหนึ่ง
“มา ดูทางนี้ก่อน นี่ไง กิ่งพาดไปทางห้องนั่นพอดี ช่วยกันหน่อยเว้ย”
พุด และสองคนพ่อลูก รีบไปยังต้นไม้ที่มีกิ่งพาด ช่วยกันโน้มกิ่งลงมาตัด
ขโมยซุ่มนิ่งอยู่ โดยที่ด้านหลังขโมย มีต้นไม้ และมีกิ่งไม้แห้ง พาดตัวบ้านอยู่ แต่หัวขโมยไม่เห็น

ท้องฟ้ามืดลง ค่ำมากแล้ว ทุกคนอยู่ในอาการโศกศัลย์ มองหลาบที่นอนหายใจรวยรินจวนสิ้นใจตายรอมร่อ ลูกสาวนั่งร้องไห้อยู่ ตาพุด ผิน กับวัน นั่งอยู่ ดวงแก้ว จับมือสองข้างของหลาบให้พนมกันไว้
“อย่าได้มีห่วงมีกังวลอะไรเลยนะ พี่หลาบ พี่เป็นคนดี เป็นเมียที่ดี เป็นแม่ที่ดีมาทั้งชีวิต” ดวงแก้วหันมาทางลูกสาว “บอกทางให้แม่เขาสิลูก อย่าร้องให้ให้แม่เขาเป็นห่วง”
ดวงแก้วขยับห่างออก ลูกสาวปาดน้ำตาและขยับเข้าใกล้หลาบ
“แม่จ๋า...พุทโธจ้ะแม่...พุทโธ..พุทโธ…”

ดวงแก้วระบายลมหายใจยาว มองภาพนั้นอย่างเข้าใจและนึกเวทนาคนอยู่ในคราเดียวกัน

ส่วนที่ใต้ถุนเรือน หัวขโมยสะเดาะโซ่คล้องมอเตอร์ไซค์สำเร็จ มันยิ้มกระหยิ่ม

“ได้แล้วเว้ย เสร็จกู”
หัวขโมยเข้าจูงรถมอเตอร์ไซค์ จะจูงออกไปนอกบ้าน แต่แล้วต้องชะงัก เสียหลัก รถล้มไปกับพื้น ร่างขโมยทรุดล้มตามลงไป มันพยายามถดถอยร่าง อ้าปากร้องไม่ออก ตาเบิกโพลง
เมื่อเห็นนายนิรบาล ตัวใหญ่ ทั้งสี่ เดินเหมือนลอยแวบหายแวบปรากฏ มาทางมัน ขโมยตาเหลือก ยกมือไหว้ท่วมหัว แต่แล้วร่างนายนิรบาลตรงไปที่ต้นไม้โดยไม่สนใจเจ้าขโมย แล้วทั้งสี่ร่างเดินไต่เฉียงขึ้นต้นไม้ เดินไล่ไปตามกิ่งไม้ หายไปในตัวบ้าน
พลันมีเสียงร้องไห้โฮ ดังมาจากบนเรือน “...แม่...”
ขโมยตัวสั่นเทา ตาเบิกโพลง บังคับตัวเองไม่ได้
นายนิรบาล ทั้งสี่ ปรากฏตัวอีกครั้ง พร้อมโลงที่แบกออกมาจากตัวบ้าน เดินผ่านเจ้าขโมยที่ตัวสั่นเทา แหงนหน้ามองอยู่อย่างตะลึงลาน
ร่างนายนิรบาลเคลื่อนผ่าน แล้วทันใดนั้น นายนิรบาลคนหลังสุดหันมามองสบตากับขโมยด้วยสายตาดุดัน เจ้าขโมยผวา ร้องเสียงหลง
“ผะ...ผีๆๆๆ ช่...ช่ว...ย...ด้วย”
ขโมยร้องลั่นฟังไม่เป็นภาษา กลัวจนแทบเป็นบ้า

วันต่อมาเจริญขวัญอยู่ในบ้าน ฟังเรื่องเจ้าหัวขโมยจากยายปลั่ง อย่างตื่นเต้นสนใจ
“อุ้ย แล้วสรุปว่า เจ้าหัวขโมยนั่น เจอผีจริงๆ เหรอคะ”
“จริงสิค้า ตอนที่ตาพุดจับส่ง ตำรวจมันก็เอาแต่ร้องๆ ว่า ผี ผียังกะจะเป็นบ้า ไปเลยค่ะ คุณดวงแก้ว ชั้นขอไปช่วยงานที่บ้านนั้นก่อนนะคะ”
ดวงแก้ว อยู่ใกล้ๆ พยักหน้า
“จ้ะ ฝากด้วยนะ บอกที่บ้านเขาด้วยว่า เย็นนี้ ชั้นเป็นเจ้าภาพเอง”
“ค่ะๆ”
ปลั่งเดินออกไป เจริญขวัญหัวเราะ ยังขันไม่หาย
“ขันอะไรลูก”
“ขำว่ามี่บ้านงานคืนนี้คงเล่ากันแต่เรื่องนี้ พรุ่งนี้คงดังทั้งอำเภอ”
“หนูอย่าทำเป็นหัวเราะไป เรื่องแบบนี้ ถ้าเราไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีจริง” สีหน้าดวงแก้วคล้ายชั่งใจ
“ค่ะแม่”
“ของเหล่านี้ ถ้าเราไม่พบไม่เห็นด้วยตาแล้ว ใครบอกก็ไม่เชื่อทั้งนั้นแหละลูก เขาถึงว่า มนุษย์เรามีกรรมเป็นเครื่องก่อกำเนิด มีกรรมเป็นที่สุดระหว่างอยู่นี่ยังมีกรรมเป็นเครื่องบังตาเสียอีก...ถ้าเราพยายามเข้าใจในเรื่องของกรรม บางที เมื่อเราถึง...เวลา...กรรมเราจะได้น้อย”
“แต่หนูเห็น คนบางคน ทำอะไรต่ออะไรไม่ดีมากมาย ก็เห็นมีความสุข ร่ำรวยนี่คะแม่”
“ก็เพราะกรรมดีเก่าเขายังอุปถัมภ์อยู่ไงลูก ที่เขาเรียกว่า กินบุญเก่า พอหมดบุญล่ะคราวนี้ กรรมชั่วที่ทำก็ปะดังประเดมาให้เจ้าตัวต้องชดใช้ล่ะ”
เจริญขวัญเชื่อ พยักหน้ารับ “ค่ะแม่”

ขณะเดียวกัน วัน สาวใช้ย่าอุ่น ถือถาดใส่กระติกน้ำและแก้วน้ำชามา หยุดยืนก่อนขึ้นบันได ขยับถ้วยให้ตั้งดีอีกครั้งแล้ววัน ก็รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมา ค่อยๆ ก้มมองใต้บันได แต่มืดไม่มีอะไร
วันถอนใจอย่างแรง “ทำไมอยู่ๆ เกิดขนลุกเกรียวขึ้นมา เนี่ย เพราะคุณแม่บ้านไม่ยอมให้เปิดไฟสว่างๆไว้แน่ๆเลย บ้านเลยดูอึมครึมน่ากลั๊ว”
วันขยับก้าวขึ้นบันไดช้าๆ พอถึงขั้นที่สาม มือผีนางหยก โผล่ทะลุออกมาจากช่องว่างระหว่างขั้นบันได จับขาวันหมับ วันมองลอดช่องเห็นหน้าผีนางหยกจ้องมาเขม็ง วันสะดุ้งสุดตัว ร้องวี้ด เซถอยตกบันไดไป
“ว้าย”
ถาดน้ำตกพื้นดังเปรื่องปร่าง

ขณะนั้นสีนั่งสัปหงกอยู่หน้าเตียงย่าอุ่นที่หลับอยู่บนเตียง สีสะดุ้งกับเสียงโครมครามข้างนอก
“วุ้ย อะไรน่ะ”
สีชะเง้อดูคุณหญิงอุ่น พบว่าท่านยังคงหลับอยู่ก็เบาใจ แล้วรีบลุกออกไปนอกห้อง

ปล่อยย่าอุ่นให้นอนหลับโดดเดี่ยวอยู่ในห้องอันอึมครึม

ด้านวันนั่งก้นจ้ำเบ้าขวัญกระเจิงอยู่ กระติกน้ำหก แก้วแตกเกลื่อนพื้นตรงตีนบันได สี ออกจากห้องย่าอุ่นลงบันไดมาพลางบ่น

“ทำไมทำเสียงดังโช้งเช้งอย่างนี้ คุณหญิงท่านเพิ่งจะหลับได้ อ้าว...ทำไมล้มจำเบ้าไปอย่างนั้น”
“กำลังจะขึ้นข้างบนค่ะ รู้สึกเหมือนใครมาจับขาจากใต้บันได้น่ะค่ะ..อุ้ย..ขนลุก”
“ใครจะมาจับขา ผีเหรอ”
“ว้าย” วันลุกพรวดกระโดดกอดแขนสี “ใช่แน่ๆ เลยค่ะ”
สีเอ็ดเอา “โอย ผีเผอที่ไหนมี ชั้นอยู่มาร่วมยี่สิบปี จนหลับตาเดินได้แล้วนี่ รีบไปเอาไม้กวาด เอาผ้ามาเช็ดเข้าเถอะ ไปเร็ว”
วันรีบไปอย่างกลัวๆ สีทรุดลงเก็บเศษแก้วทีละชิ้น
“ดีนะคุณหญิงท่านไม่เห็น ไม่งั้นโดนเฉ่งโดนหักเดือนไปแล้วแก”
สีเองชักไม่แน่ใจ มือที่เก็บเศษแก้วช้าลง ค่อยๆ หันไปดูที่ใต้บันไดอย่างหวาดๆ เหมือนว่าใต้บันได มีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น

ห้องนอนย่าอุ่นตอนนี้ ดูเวิ้งว้าง วังเวง ยาอุ่นนอนหลับตาปากเผยออ้าหายใจ อย่างคนไม่มีแรง
จากมุมห้องเงาดำทอดยาวออกมาตามพื้น ยาวมาจนถึงเตียงย่าอุ่นเหมือนน้ำไหลเป็นเงาดำมาช้าๆ ย่าอุ่นกระสับกระส่าย แล้วค่อยๆ ลืมตา ร้องหาสาวใช้
“ยายสี...ยายวัน...สี...วัน...”
พอตะโกน ย่าอุ่นก็ไอออกมาอีก ดวงตาย่าอุ่นหวาดระแวง กลอกดวงตาไปทางด้านซ้ายตัวเอง แต่ไม่มีอะไร ย่าอุ่นถอนหายใจยาว แล้วไอออกมาอีกนิดๆ ระบายลมหายใจยาวแล้วเผยอยิ้ม
“นังหยก ถึงชั้นจะนอนอยู่แบบนี้แต่แกก็ทำอะไรชั้นไม่ได้หรอก...เพราะแกก็แค่...” หญิงชรายิ้มกว้างเหมือนจะคุมสติไม่อยู่แล้ว “ผีในหัวของชั้นเท่านั้น..แกน่ะ ไม่มีจริง” ย่าอุ่นหัวเราะเสียงแหบแห้ง ออกอาการเพ้อ “ฮ่ะ ฮ่ะ ฮะ แกมันไม่มีตัวตน ฮ่ะๆ”
ดวงตาของย่าอุ่นเหลือบไปมาซ้ายขวานั้น เริ่มเหลือบลงที่ร่างกายตัวเอง แล้วดวงตาของย่าอุ่นก็เหลือกลานขึ้น เมื่อมีหยดน้ำหยดแหมะลงที่กลางตัว
ย่าอุ่นตกใจ แล้วค่อยๆ ช้อนตามองขึ้นไปด้านบน แล้วพบว่าสูงเหนือร่างย่าอุ่นขึ้นไป คือผีนางหยก ที่ลอยพลิ้วคล้ายอยู่ในสายน้ำและยังมีน้ำหยดลงมาแปะที่กลางหน้าผากไม่หยุด ย่าอุ่นกลัวจนร้องไห้
ผีนางหยกลอยลงมาคร่อมร่างย่าอุ่น ระดับเดียวกับหน้าหญิงชรา ก้มมองจนแทบชิดย่าอุ่นได้กลิ่นเหม็นสาบจนเบือนหน้าไปมา
“ผี...ไม่มีตัวตนงั้นเหรออีอุ่น!...นี่ไง ข้า อยู่นี่ไง”
ย่าอุ่นอึกอัก ตาเหลือก เปล่งเสียงร้องแต่ไม่มีเสียงลอดออกมา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นอกจากเบือนหน้าหนีไปมา
หน้าผีนางหยกเลื่อนลงจนชิดหน้าย่าอุ่น เอาสองมือที่มีนิ้วผิดรูปและเล็บยาว รวบบีบคอย่าอุ่นหัวเราะลั่น แล้วก้มลงจนใกล้อีก
“สะใจข้าเหลือเกินอีอุ่น ที่เอ็งได้ใช้กรรมบนโลก ต้องนอนทรมาน โดดกักขังในสังขาร ที่ผุพังของเอ็งแบบนี้...ยังไง ขยับอะไรไม่ได้ หนีข้าก็ไม่ได้ ฮะๆๆๆ แต่...นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ” กระแสเสียงผีนางหยกเจือเสียงสะอื้นเจ็บปวดแค้นใจ “กับความเลวชั่วช้าที่เอ็งทำกับทุกคนอีอุ่น...ข้าจะคอยเฝ้าดูเอ็งอยู่ใกล้ๆ จนเวลาใช้กรรมบนโลกของเอ็งหมดลง...แล้วข้าก็จะตามส่ง เอ็งให้ไปชดใช้กรรมใน” ผีนางหยกเน้นคำตอนท้าย “นรก!!”
ผีนางหยกกรีดเสียงหัวเราะดังโหยหวนบาดหัวใจนัก

ย่าอุ่นตาเบิกโพลง หวาดผวา น้ำตาปริ่ม เรื่องราวแสนเลวร้ายในอดีตที่ตัวเองก่อกรรมไว้ ผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ

อ่านต่อตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น