เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 12
เช้าวันใหม่กับชีวิตที่เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครา เนื้อนาง คำฝาย และประกายกำลังซ้อมเต้นรำวงอยู่กับกลุ่มรัญจวนและนางรำคนอื่นๆ นักดนตรีเล่นเพลงจังหวะสนุก
คำฝายยังเต้นไม่ค่อยลงจังหวะ จนต้องหยุดยืนนิ่ง เพราะตามไม่ทัน เนื้อนาง กับประกายหยุดเต้น คอยช่วยดึงคำฝายให้เต้นตามจังหวะ
แมงมันเดินเข้ามาดู มองไปเห็นเนื้อนาง ประกาย คำฝาย หยุดยืนนิ่งกันอยู่ ก็สั่งเสียงดัง
“หยุดๆ ดนตรีหยุดก่อน”
นักดนตรีหยุดเล่น ทุกคนหยุดซ้อม แมงมันหันไปทางพวกเนื้อนาง
“อะไรกัน พวกนั้นน่ะ คำฝาย เนื้อนาง ประกาย ทำไมไม่เต้น”
กำปุ้งสาระแน รีบใส่ไฟ “พี่แมงมันขา พวกเนื้อนางมันขี้เกียจซ้อม เอาแต่ยืนนินทา กำปุ้งได้ยินมันว่าท่าไม่สวย ใครคิด อุบาทว์ คิดมาได้ยังไง”
คำฝายแค้นจะด่าตอบ ประกายรีบเอามือปิดปากไว้แน่น
แมงมันมองจ้องกลุ่มเนื้อนางตาขวาง เนื้อนางเอ่ยบอกกับแมงมันเสียงหนักแน่น
“เราคนมาใหม่ จะกล้านินทาครูอย่างพี่แมงมันให้หมดทางทำมาหากินทำไมละจ๊ะ”
แมงมันเริ่มลังเล เพราะเชื่อเนื้อนางมากกว่า “แน่นะ พวกแกไม่ได้นินทาฉันอยู่นะ”
“นังกำปุ้ง มันโกหกค่ะพี่แมง” ประกายบอก
“จริงเหรอ” แมงมันหันไปทางกำปุ้ง “นังกำปุ้ง แกกล้าโกหกต่อหน้าฉันเหรอ”
กลุ่มรัญจวนเริ่มหน้าไม่ดีเพราะแมงมันโลเล กำปุ้งรีบออกหน้ายืนกราน
“คุณพี่แมงมันขา น้องเคารพคุณพี่เป็นดั่งนางพญาของแมลงทั้งโลก น้องจะกล้าโกหกคุณพี่ได้ยังไง พวกมันสิคะ บอกให้ซ้อมไม่ซ้อม พอน้องอ้างคำสั่งคุณพี่ มันบอกที่นี่ไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง”
“จริงเหรอ” แมงมันหันไปทางประกาย “ตกลงว่าแกโกหกฉัน”
คำฝายสุดทน “โว๊ย ถามอยู่ได้ จริงเหรอ ก็เบิ่งตาดูสิ ใช้หัวคิดด้วย ใครกันแน่ที่พูดความจริง”
แมงมันโกรธ “นังคำฝาย ปากหมาหาเรื่องอย่างเอ็งนี่ เดี๋ยวข้าจะเอาฝอยขัดหม้อขัดปากให้สะอาดเลย คอยดู”
กะเทยตกดอยเชียร์ใหญ่ “ตบมันดีกว่าค่ะ ตบให้หน้าเบี้ยว กรามหัก ดั้งบิด”
แมงมันแหวใส่ “บ้าเหรอ นังกำปุ้ง ตบมันหน้าแหก ทำงานไม่ได้ พ่อบุญน่านจะได้เตะข้าน่ะสิ”
พวกรัญจวนขัดใจ หน้าตาผิดหวังทั้งแถบ
แมงมันสั่ง “นังคำฝาย เนื้อนาง ประกาย แกต้องซ้อมเต้น ซ้อมจนกว่าฉันจะพอใจ ไม่งั้นไม่ต้องกินข้าว เอ้า ดนตรี บรรเลง”
พวกรัญจวนหัวเราะเยาะใส่พวกเนื้อนาง แมงมันตวัดตามอง รัญจวนพาพวกทำเต้นอวดว่าเก่งกว่า
คำฝายฮึดฮัดประสาคนอารมณ์ร้อน เนื้อนางกับประกายดึงไว้ แล้วเต้นตามจังหวะ
ต่างคนต่างซ้อมกันคนละด้าน สายตามองเขม่นไม่ยอมแพ้กัน
ม่อนดอยขับรถให้ณไตรมองหาเนื้อนางไปรอบๆเวียง ณไตรกับม่อนดอยแยกย้ายกันถามหาเนื้อนางไปคนละตรอก ซอกซอย ณไตรเอารูปเนื้อนางไปถามหาชาวบ้าน ชาวบ้านพากันส่ายหน้า
ณไตรกลับขึ้นมานั่งบนรถ ม่อนดอยขับออกไป สีหน้า แววตาณไตรที่ยังไม่หมดหวัง
เนื้อนาง ประกาย และคำฝายกำลังซ้อมเต้นท่าลีลาศตามที่แมงมันสั่ง รัญจวนกับพวกเต้นอวด ไม่ยอมแพ้
แมงมันจับคู่กับประกาย เนื้อนางจับคู่กับคำฝาย นักดนตรีเล่นเพลงสนุกจังหวะชะชะช่า
เนื้อนาง คำฝายฟังจับจังหวะแล้วเต้น คำฝายยังเต้นขัดๆ แมงมันสอนเสียงดัง
“นี่เต้นนะยะ ไม่ใช่ยืนเคารพธงชาติ หูฟังจังหวะสิยะ เอ้า 1 2 3 เด้ง 1 2 3 เด้ง”
แมงมันเด้งเอวแล้วหมุนอย่างคล่องแคล่ว คำฝายมองแล้วพยายามจับจังหวะ เนื้อนางคอยช่วยนำ
คำฝายเต้นสนุกตามจังหวะได้พร้อมๆแมงมัน นำเนื้อนางให้เต้นตาม
พวกรัญจวนเต้นไปมองหมั่นไส้ไป
คำฝายเปลี่ยนคู่มาเต้นกับแมงมัน เนื้อนางเต้นกับประกาย แมงมันจับคำฝายหมุน คำฝายหมุนตัวตรงตามจังหวะ พร้อมดนตรีจบ ท่าสวยงาม
เนื้อนาง ประกาย แมงมันมอง เห็นคำฝายเริ่มสนุก ชอบใจมากกับการได้เต้นแล้ว
คืนวันนี้ มีรำวงในวัดแห่งนี้ โดยจัดขึ้นที่ลานกลางแจ้ง ข้างโบสถ์ ได้ยินเสียงกลอง และดนตรีดังเร้าใจกระหึ่มขึ้น แลเห็นไฟวับแวมจากเวทีรำวง ที่ถูกประดับประดาด้วยธงหลากสี มีบันไดขึ้นไปบนเวทียกพื้นราวเมตรกว่าๆ
นักดนตรีเล่นเพลงรำวงสนุก ด้านล่างมีผู้ชายกำลังซื้อตั๋วจากบัวตองเพื่อมาโค้งสาวรำวง บุญน่านเป็นโฆษก มีนกหวีดห้อยคอ ยืนประกาศ
“เอ้า เร่เข้ามา เร่เข้ามา วันนี้รำวงคณะบุญน่าน บัวตอง พาสาวๆ สวยๆ น่ารัก จิ้มลิ้ม มาให้ท่านชิมถึงที่ ซื้อบัตรแล้วมาโค้งน้องๆ ไปรำให้ฉ่ำใจกันไปเลย”
ผู้ชายพากันจ่ายเงินสตางค์ให้บัวตอง แล้วเข้ามาเลือกสาวๆ
บรรดาสาวรำวงนุ่งกระโปรงสั้น สีสันสวยงาม แต่งหน้าทาปากจัดจ้าน นั่งไล่เรียงกัน ตั้งแต่รัญจวน สร้อยฟ้า
กำปุ้ง แมงมัน และสาวๆ คนอื่น
บุญน่านเป่านกหวีดดังปรี๊ด ผู้ชายพากันมารุมเข้าคิวโค้งเนื้อนางกับประกาย คนที่พลาดก็ไปโค้งสร้อยฟ้ากับรัญจวน เหลือคำฝายแต่งหน้าสวย ยิ้มกว้าง กับกำปุ้ง ที่ยัดหน้าอกจนใหญ่เกินจริง สองคนแข่งกันอวด ทั้งกวักมือ ทั้งดึงให้ผู้ชายมาโค้งออกไปรำ
เนื้อนางรำสวยงามไปกับผู้ชายในลานรำวง ประกายกับนางรำคนอื่น รำสวยงาม ทุกคนยิ้มแย้ม รัญจวน สร้อยฟ้า รำไปก็มองเนื้อนางด้วยความหมั่นไส้
คำฝายกับกำปุ้งได้รำกับลุงแก่ๆ กันทั้งคู่ บุญน่านเป่านกหวีดหมดรอบ
เนื้อนางยิ้มให้คู่รำ คำฝายรีบเข้ามาดึงเนื้อนางกลับไปนั่ง
“เอ้า รอบนี้ชะชะช่า ใครอยากเรียกเหงื่อ ยักย้ายส่ายเอว ก็ซื้อตั๋วกันเลย” บุญน่านประกาศ ตามด้วยเสียงเพลงลีลาศสนุกดังขึ้น
เนื้อนางถูกโค้งออกมาเต้นลีลาศ คำฝาย กับประกายถูกโค้งตามออกมา
เป็นรอบเต้นชะชะช่า พวกรัญจวนเต้นแรงสู้กลุ่มเนื้อนางที่เต้นหมุนวนอยู่ตรงข้ามกัน
ต่างฝ่ายต่างเต้นแรงไม่ยอมแพ้กัน
ที่ปางหิมวัตคืนเดียวกัน ม่อนดอยกับคนงานเดินคุยกันมาตามทาง
“พรุ่งนี้เข้าไปลากไม้กันตั้งแต่เช้ามืดเลยนะ”
ทุกคนกำลังจะเดินเลี้ยว แยกย้ายไปทางเรือนพักคนงาน ทันใดนั้นเอง มีร่างขาวๆ ผมยาว ลอยอยู่ที่นอกชานเรือนเนื้อนาง ม่อนดอยกับทุกคนมองเห็น
“เฮ้ย ใครวะ ใครอยู่ตรงเรือนเนื้อนาง”
ร่างผมยาวในชุดขาว ลอยอ้อมไปทางหลังครัว ทุกคนเริ่มกลัว แต่ม่อนดอยยังแข็งใจ
“ไป ไปดูใกล้ๆ”
ม่อนดอยเดินนำคนงานไปทางเรือนเนื้อนางทันที
อีกฟาก ได้ยินเสียงเพลงรำวงสนุกลั่นลานวัดสถานที่จัดงาน เนื้อนางรำสวยงามกับผู้ชายที่มาโค้งไม่หยุดหย่อน บัวตองนับเงินทั้งเหรียญ ทั้งแบงค์หน้าตายิ้มแย้มดีใจ บุญน่านร้องรำ เป่านกหวีดหมดรอบ ขึ้นเป็นเพลงลีลาศ จังหวะสนุก คำฝาย กับ ประกายเต้นออกลีลาสนุกเร้าใจ แมงมันมองอยู่ด้านข้างเวที เต้นไปด้วยอย่างชอบอกชอบใจ
ฟากม่อนดอยเดินนำคนงานที่กลัวผีตามหลังมา ทุกคนก้าวเข้ามาใกล้เรือนเนื้อนาง ม่อนดอยชะเง้อมอง
“สงสัยจะตาฝาด”
ร่างสูงผมยาวในชุดขาวโผล่ขึ้นทางด้านหลังเรือน ม่อนดอยกับทุกคนตะลึง เห็นร่างขาวผมยาวลอยหายลับเข้าทางป่าหลังเรือนเนื้อนาง ม่อนดอยแหกปากร้องลั่น
“ผะ ผะ ผี”
คนงานวิ่งหนีไปก่อน ม่อนดอยพอตั้งสติได้ ก็วิ่งโกยแนบไปอีกคน
“รอข้าด้วย”
งานรำวงที่ลานกว้างในวัด คึกคักได้ที่ ทุกคนกำลังเต้นร่อนสนุกสนาน เสียงนกหวีดหมดรอบ ทุกคนกลับมานั่ง
เนื้อนาง คำฝาย และประกายยิ้มแย้มสนุกสนานไปเสียงเพลง พวกรัญจวนชักนั่งไม่ติด มองจ้องพวกเนื้อนางด้วยความอิจฉา
นกหวีดดัง จังหวะเพลงลีลาศดังขึ้น ผู้ชายมาโค้งเนื้อนางก่อนใคร เนื้อนางจะเดินออกไปรำ รัญจวนแกล้งแหย่ขา จนเนื้อนางสะดุด ผู้ชายรับไว้ทัน
คำฝายเห็น ลุกพรวด “ขายาวนักใช่มั้ยอีป้ารัญจวน”
พวกรัญจวนลอยหน้ายั่ว คำฝายโมโห คว้าเก้าอี้ปาไปที่กลุ่มรัญจวน จนวงแตก
เนื้อนางตกใจจะเข้าไปช่วย แต่บุญน่านผลักเนื้อนางออกไปรำ แล้วหันไปเร่งนักดนตรี
นักดนตรีเล่นเพลงเสียงดังกลบ รำวงยังรำกันไป เนื้อนาง กับประกายมองชะเง้อมอง ด้วยเป็นห่วงคำฝาย
ด้านหลังเวที คำฝายจิกหัวรัญจวน แต่ถูกกำปุ้ง และ สร้อยฟ้ารุมตบตีคำฝาย
เสียงนักดนตรีเล่นเพลงเร็วจนจบเพลง
คำฝายโดนตบสลบลงไปนอนกองกับพื้นด้วยฝ่ามือสุดท้ายของรัญจวน
รุ่งเช้า บุญน่านยืนต่อหน้าทุกคน แผดเสียงด้วยความโกรธ
“ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามมีเรื่องกัดกันในคณะข้า ข้าไม่สนใจว่าพวกเอ็งจะเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหน แต่ที่นี่คณะข้า ใครทำให้เงินรายได้ข้าหายวับไปกับตา ข้าจะไม่เลี้ยงไว้เปลืองข้าวสุก”
นางรำกับนักดนตรีทุกคนอยู่กันครบ ด้านหลังบัวตอง หน้าตาโมโหมากพอๆ กับผัว
กำปุ้งฟ้อง “พวกเราไม่ได้เริ่มก่อนเลยค่ะ ใครๆ ก็เห็นนังคำฝายโยนเก้าอี้ หวังจะฆ่าปลิดชีวิตคุณพี่รัญจวน”
คำฝายไม่ยอม “อีป้ารัญจวนมันแกล้งขัดขาเนื้อนางก่อน”
รัญจวนสวน “เนื้อนางมันเดินเซ่อซ่า ไม่ดูตาม้าตาเรือเอง”
“สาบานต่อหน้าพระเลยมั้ยล่ะ ว่านังรัญจวนมันไม่ได้ทำ” ประกายจ้องเอาเรื่อง
บุญน่านโมโห ตะเพิดไล่ “จะแหกปากเถียงกันต่อหน้าข้าอีกนานมั้ย ไป ออกไปเถียงกันนอกคณะ นอกบ้านข้าโน่น”
ทุกคนเงียบกริบ บุญน่านมองกราดด้วยโมโห เนื้อนางสีหน้าไม่ดี
ฝ่ายณไตรยืนอยู่กับม่อนดอย คนงานอีก 2-3 คน ที่มารายงานเรื่องเห็นผีที่เรือนเนื้อนาง
“ผีมันไม่มีในโลกหรอก”
“มีจริงๆ พ่อเลี้ยง เมื่อคืนฉันเห็นเต็มสองตา ไอ้พวกนี้ก็เห็น มันโจษกันว่าน่าจะเป็น ผีคุณแขไข...ผีตายโหง”
คนงานยิ่งทำท่าผวากลัว
“เป็นไปไม่ได้ กลัวไม่เข้าเรื่อง ไป ไปทำงานกันได้แล้ว อย่าให้ฉันได้ยินเรื่องนี้อีก”
คนงานเดินออกไป ม่อนดอยหน้าจ๋อย แสงคำวิ่งมาจากอีกด้าน
“พ่อเลี้ยง คนงานออกไปเที่ยว มันว่ามีคณะรำวงมาเล่นอยู่ที่วัด ไกลไปจากปางหลายกิโล สาวรำวงคนนึงหน้าตาเหมือนเนื้อนาง”
ณไตรถามเร็ว “รำวงคณะอะไร”
ส่วนในบ้านรำวงคณะบุญน่านตอนนี้ บัวตองเทเศษเหรียญลงมาตรงหน้าทุกคน บุญน่านเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห
“ทั้งคืน ได้แค่นี้ จะพอยาไส้ซื้อข้าวกินมั้ย”
ทุกคนนั่งก้มหน้าเงียบ เนื้อนางมองแล้วพูดขึ้น
“ฉันขอโทษทุกคนที่เมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้นเพราะฉัน”
คำฝายนั่งฟังด้วยสีหน้าอดทนเต็มที่ ประกายกำผ้าถุงแน่น อดใจไม่ต่อล้อต่อเถียง เอาแต่จ้องหน้าพวกรัญจวน
สร้อยฟ้าค้อนตาคว่ำ เอ่ยขึ้น “คนอะไร อยู่ที่ไหนก็เดือดร้อนกันไปหมด”
“เนื้อนางขอโทษจ้ะ”
เนื้อนางยกมือไหว้รัญจวน คำฝายตาโต ไม่พอใจ
“เนื้อนางขอโทษแทนพี่คำฝาย ต่อไปจะไม่ให้มีเรื่องอีกแล้ว”
คำฝายฮึดอัด ประกายดึงคำฝายไว้มั่น มองว่าอย่าเพิ่ง
“แค่ไหว้มันน้อยไป ฉันอยากให้กราบขอโทษที่เท้า”
เห็นรัญจวนเหิมเกริม บัวตองแหวใส่
“มากไป นังรัญจวน ขอโทษแล้วก็ให้หายกัน อย่ามีเรื่องกันอีก แยกย้ายกันไปพักได้แล้ว ใครหน้าช้ำ หน้าบวม หน้าไม่สวย ข้าไล่ออกหมด”
“ไปเที่ยวซื้อของในเมืองกันดีกว่าค่ะ คุณพี่ อยู่ไปก็เกะกะลูกตา”
รัญจวน กำปุ้ง สร้อยฟ้า สะบัดหน้าใส่เนื้อนาง เดินปัดตูดออกไปก่อน
แมงมันรีบนำขบวนนางรำแยกย้ายกันขึ้นไปตามห้องพัก เนื้อนางมองตามหน้าตาไม่สบายใจ
ณไตรเดินเร็วรี่เข้ามาในวัด มีแสงคำ ม่อนดอยตามมาด้วย เห็นชาวบ้านกำลังกวาดลาน ณไตรพุ่งเข้าไปถาม
“ลุงครับ เมื่อคืนที่นี่มีคณะรำวงใช่มั้ย”
“มีๆ คณะบุญน่าน โอ๊ย...เมื่อคืนสนุก นางรำมันตบตีกัน เวทีกระจาย”
ณไตรหันมาทางแสงคำกะม่อนดอย
“รู้มั้ย คณะบุญน่านพักอยู่ที่ไหน”
เนื้อนางยังนั่งอยู่กับประกาย และ คำฝาย เนื้อนางยกมือไหว้บุญน่านกับบัวตอง
“เนื้อนางขอโทษน้าบุญน่าน น้าบัวตองด้วยนะจ๊ะ อย่าเพิ่งไล่เนื้อนาง พี่คำฝายกับประกายไปเลยนะจ๊ะ”
คำฝายกับประกาย ประสานเสียงยกมือไหว้บุญน่านกับบัวตอง
“ฉันขอโทษจ้ะ”
บุญน่าน บัวตองมองเนื้อนาง คำฝาย กับประกายอย่างอ่อนใจ
“ฉันจะอดทนเพื่อเนื้อนาง” คำฝายรับปาก
“เออดี เพราะไม่งั้นเนื้อนางมันไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีแต่คนหมั่นไส้ รังเกียจ” บัวตองว่า
“พี่คำฝายดูแลเนื้อนางตามคำสั่งตา อาจจะใจร้อนไปบ้าง แต่พี่คำฝายก็หวังดีจ้ะ”
บุญน่านกับบัวตองมองทั้งสามคน สีหน้ารู้สึกดีขึ้น
“พวกเอ็งนี่มันรักกันดี เอาเถอะ ข้าจะช่วยปรามๆ นังรัญจวนมันด้วย ยังไงพวกเอ็งก็มีคนมาโค้งเยอะกว่านังรัญจวน แต่อย่าลำพองใจล่ะ เพราะผู้ชายที่ชอบแบบแปลกๆ อย่างพวกนังรัญจวนมันก็มี ไปเล่นแต่ละที่ คนชอบมันก็ไม่เหมือนกันสามัคคีกันไว้เท่านั้น เราถึงจะไม่อดตาย”
สามสาวมองบุญน่าน กับบัวตองด้วยสายตาขอบคุณและเชื่อฟัง
ฟากม่อนดอยขับรถมาอย่างเร็ว มีแสงคำนั่งข้าง ณไตรนั่งด้านหลัง ทั้งสามคนสีหน้าใจร้อน อยากจะไปให้ถึงบ้านบุญน่านเร็วๆ
ขณะเดียวกัน เนื้อนางหอบผ้าแต่งเวที หลากสีขึ้นมา หันไปบอกประกายกับคำฝายที่กำลังจัดของ
“เดี๋ยวเนื้อนางเอาผ้าพวกนี้ไปตากแดดหน้าบ้านก่อนนะจ๊ะ”
สองคนมองพยักหน้า แล้วหันมาจัดของ วางให้เข้าที่กันต่อ เนื้อนางหอบผ้าเดินออกไป
ณไตรลงจากรถ มองไปที่ป้ายหน้าบ้านรำวงคณะบุญน่านบัวตอง แสงคำ ม่อนดอยตามลงมา เนื้อนางกำลังจะออกไปด้านนอก เห็นณไตรที่ยืนอยู่นอกรั้ว
“หนานไตร”
เนื้อนางใจหายวาบ วิ่งกลับเข้าไปด้านในทันที แสงคำผลักประตูเปิดออก ณไตรมองแล้วพุ่งเข้าไปทันควัน แสงคำ กับม่อนดอยเดินตาม
เนื้อนางหอบผ้าวิ่งกลับเข้ามา เจอประกาย กับคำฝายที่หันมามอง
“พ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงณไตรมาที่นี่”
บัวตองลงจากบันไดมาได้ยิน ก็หันมามองเนื้อนางที่มีสีหน้าตกใจมากๆ
ขณะที่ณไตร แสงคำ และม่อนดอย เดินตรงจะไปทางตัวบ้าน บุญน่านก้าวมาจากทางสวน
“อ้าว พ่อเลี้ยงณไตร”
“ผมมาหาเนื้อนาง เนื้อนางมาทำงานที่นี่ใช่มั้ย”
บุญน่านกำลังจะตอบ บัวตองก้าวออกมาจากในบ้าน
“เนื้อนางไม่ได้อยู่ที่นี่”
บุญน่านมองเมียงงๆ ที่เมียปฏิเสธ
“ต้องอยู่สิ ก็มีคนเห็นเนื้อนางอยู่ในคณะรำวง” ม่อนดอยว่า
“เนื้อนางเป็นเมียพ่อเลี้ยงณไตรไม่ใช่เหรอ เมียพ่อเลี้ยงจะมาเป็นสาวรำวงได้ยังไง” บัวตองบอก
“น้าบัวตอง ขอฉันกับพ่อเลี้ยงเข้าไปดูหน่อยได้มั้ย” แสงคำขอร้อง
บัวตองนิ่งไป บุญน่านมองแล้วถามขึ้น
“มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าถึงต้องมาตามหาเนื้อนาง”
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับเนื้อนาง เรื่องสำคัญมาก”
ณไตรหันไปมองทางบัวตองเป็นเชิงขอร้อง บัวตองบอกขึ้น
“อยากเข้าไปค้น ก็เชิญ”
ณไตรพุ่งเข้าไปทางตัวบ้านทันที แสงคำตามไปติดๆ บุญน่านหันมามองบัวตอง แล้วถามให้ได้ยินกันสองคน
“เนื้อนางอยู่ที่นี่ ทำไมแกไปบอกพ่อเลี้ยงว่าไม่อยู่”
“หรือเอ็งจะให้นางรำทำเงินอย่างเนื้อนาง หลุดมือไปจากคณะเรา”
บุญน่านเห็นแก่เงินเหมือนเมียขึ้นมาทันที
“เออจริง งั้นข้าเอง”
บัวตอง กับบุญน่านรีบตามสามคนไป
สามสาววิ่งมาด้านหลัง มองไปเห็นแต่คลองสายยาวตรงหน้า ประกายดึงแขนเนื้อนางถามอีกที
“คุยกับพ่อเลี้ยงอีกทีมั้ยเนื้อนาง”
“แสงคำกับไอ้ม่อนดอยก็มาด้วย คงไม่ได้มาจับตั๋วส่งตำรวจหรอก” คำฝายว่า
“เนื้อนางเกลียดพ่อเลี้ยง เค้าด่าว่าเนื้อนางเป็นผู้หญิงมากชู้หลายใจ เนื้อนางไม่อยากเจอเค้าอีก”
“สุดทางแล้ว จะหนีไปไหนได้เนี่ย”
ประกาย กับคำฝายมองไปอย่างนึกไม่ออก เห็นเนื้อนางมองไปที่น้ำในคลองอย่างตัดสินใจ
ด้านณไตรเดินเข้ามา มองไปรอบๆ แสงคำมองหา บัวตองกับบุญน่านตามเข้ามา
“เพิ่งกลับมาจากงาน นอนพักเอาแรงกันหมด อยากจะเปิดดูตามห้องเลยด้วยมั้ย หรือจะให้เรียกลงมาตั้งแถวต้อนรับพ่อเลี้ยง” บุญน่านว่า
“ไม่ต้องหรอก ฉันขออนุญาตแล้วกัน แสงคำ ม่อนดอยนายขึ้นไปดูทุกห้อง”
แสงคำกะม่อนดอยวิ่งขึ้นบันไดไปทันที ส่วนณไตรเดินแยกไปทางหลังบ้าน บัวตอง บุญน่านชักเริ่มสีหน้าไม่ดี
แสงคำและม่อนดอยวิ่งขึ้นมาบนห้องพัก ม่อนดอยเห็นห้องก็พุ่งไปเปิดประตู พอเห็นนักดนตรีผู้ชายที่นอนพักกันอยู่ก็ถอยออกมา วิ่งไปดูอีกทาง
แสงคำกำลังจะไปเปิดอีกห้อง แมงมันเปิดประตูออกมากับกลุ่มนางรำ พอเห็นแสงคำ แมงมันก็กรี๊ดในความล่ำสันบึกบึน แสงคำตกใจ
แมงมันกับนางรำเข้ามาดึงทึ้งลากตัวแสงคำจะพาเข้าห้องให้ได้
อ่านต่อหน้า 2
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 12 (ต่อ)
ณไตรเดินมาบริเวณหลังบ้าน มองหาไปรอบๆ บัวตองกับบุญน่านเดินตามมา
“เอาไว้ถ้าเราเจอ เราจะบอกเนื้อนางให้ หรือไม่ก็ไปบอกพ่อเลี้ยงว่าเนื้อนางอยู่ที่ไหน”
ณไตรเดินมาใกล้ริมน้ำ กวาดตามองไปรอบๆอีกครั้ง
“ถ้าเจอเนื้อนาง บอกเค้าด้วยว่า ทุกคนรอความจริงจากเค้า กลับไปบ้านหิมวัต สะสางเรื่องทุกอย่างให้จบ อย่าหนีเหมือนคนมีความผิดติดตัว”
ณไตรยืนมองอยู่อีกครู่ ม่อนดอยตามออกมา ส่ายหน้าว่าไม่เห็นเนื้อนาง ณไตรตัดสินใจเดินกลับออกไป บุญน่าน บัวตองรีบเดินตามไปส่ง
สักพัก เนื้อนาง ประกาย และคำฝายที่ดำลงไปซ่อนตัว โผล่ขึ้นมา ทั้งสามคนหายใจหอบ เกาะตลิ่งไว้อย่างแทบจะหมดแรง
สามหนุ่มกลับมาที่ปางแล้ว ณไตรยืนมองไปไกลสีหน้าผิดหวัง แสงคำนั่งอยู่ที่แคร่ ม่อนดอยมองทั้งคู่แล้วบอกขึ้น
“ถ้าเนื้อนางเป็นนางรำจริงๆ ยังไงก็ต้องออกมาทำงาน จะหนีสายตาคนเอาแต่เก็บตัวอยู่ไม่ได้หรอก” ม่อนดอยเอ่ยขึ้น
“แสงคำ ส่งคนของเราไปตามคณะรำวง คอยดูว่าไปเล่นที่ไหนในเมือง แล้วมาบอกฉัน”
“ได้ พ่อเลี้ยง”
“ยังไงเราก็ต้องเจอเนื้อนาง ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ นานแค่ไหน เนื้อนางจะต้องกลับมาที่ปางหิมวัต”
ณไตรมุ่งมั่นมาดหมาย ไม่เผื่อใจไว้สำหรับความผิดหวังสักนิด
ตอนนี้เนื้อนาง คำฝาย ประกายในเสื้อผ้าชุดใหม่ ผมกำลังหมาด บุญน่าน บัวตองมองทั้งสามคน
“ที่ข้าช่วยนี่เพราะเห็นว่าเอ็งคงไม่อยากเจอพ่อเลี้ยง”
“จ้ะ เนื้อนางไม่อยากเจอ ชีวิตเนื้อนางทุกข์เพราะรักมามากแล้ว เนื้อนางถูกเหยียบย่ำแค่ไหน เนื้อนางทนได้ แต่ถ้าต้องให้แม่นายมาดูถูกถึงแม่ ถึงตา เนื้อนางทนไม่ไหว ในเมื่อพ่อเลี้ยงเค้ารักแม่ รักครอบครัวของเค้า เนื้อนางก็รักแม่ รักตาของเนื้อนางไม่น้อยกว่ากัน เส้นทางของเนื้อนางกับพ่อเลี้ยง มันไม่ควรมาบรรจบกันตั้งแต่แรก ขาดจากกันได้แล้ว ชาตินี้ ก็อย่าเจอหน้ากันอีกเลย”
“โชคดีของเอ็งนะ เนื้อนาง ข้าเพิ่งรับงานที่หัวเมืองแพร่โน่นแล้วก็คงตระเวนเล่นแถบโน้นอีกหลายที่ กว่าจะกลับมาที่นี่ก็คงอีกนาน”
คำฝายกับประกายยิ้มโล่งใจ
เนื้อนางมองไปไกลลิบ แววตาหม่นเศร้า ปิดบังความรู้สึกรักและผูกพันกับณไตรฝังลงไปในใจทั้งหมด
หลายวันถัดมา ณไตรยืนมองคนงานที่มายกมือไหว้ลาออก ม่อนดอยเอ่ยบอก
“พวกมันกลัวผีคุณแขไข ตอนนี้ยิ่งหนักนะพ่อเลี้ยง มาหลอกแทบทุกคืน”
“เป็นไปไม่ได้”
“ผีคุณแขไขแน่ๆ ตายโหงอย่างนั้น มันเฮี้ยน อยู่ไม่ไหวแล้วจริงๆ”
คนงานพากันเดินออกไป ณไตรมองโมโห
“ไม่มีผีที่ไหนทั้งนั้น ใครอยากออกก็ออกไป รับคนงานใหม่ที่ไม่กลัวผีเข้ามา”
แสงคำรีบเดินเข้ามา ณไตรหันไปมอง
“คนงานที่เราให้ไปเฝ้าคณะรำวง มันกลับมาบอกว่า คณะบุญน่านเก็บข้าวของกันไปหมด ปิดบ้านเงียบ”
“ก็ตามสิ ว่าไปเล่นกันที่ไหน”
“ถามแล้ว ไม่มีใครรู้เลย”
ณไตรฟังแล้วสีหน้ากลัดกลุ้มซ้ำสองที่ยังตามร่องรอยของเนื้อนางไม่เจอ
คืนนี้ บรรยากาศเวทีรำวง เสียงเพลงสนุกสนานคึกคักดังลั่นบริเวณงานรำวง เนื้อนาง คำฝาย ประกายมีผู้ชายมาโค้ง พวกรัญจวนพยายามยื้อแย่งดึงผู้ชายให้โค้งพาตัวเองออกไปรำบ้าง
บนเวที เนื้อนาง คำฝาย ประกายรำสวย เป็นจุดสนใจ
แมงมัน บัวตองยิ้มปรบมือมองอย่างถูกใจอยู่ที่ข้างเวที
ส่วนณไตรยืนอยู่หน้าเรือนเนื้อนาง แสงคำ กับม่อนดอยอยู่ด้านหลัง ทุกคนถือคบไฟสว่างจ้าในมือ
“ดูสิว่าคืนนี้ ผีแขไขจะออกมาหลอกใครอีก”
ณไตรถือปืนรอ สีหน้าเอาจริง ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชน สว่างไปทั่วบริเวณ
ที่เวทีรำวง นักดนตรีกำลังเปลี่ยนเพลงเป็นลีลาศ บุญน่านตีกลองรัวด้วยความมันส์ เนื้อนาง คำฝาย ประกายเต้นสนุกสุดเหวี่ยง หนุ่มๆ พากันเปลี่ยนหน้ามารำด้วยไม่ซ้ำแต่ละรอบ เนื้อนางหมุนตัวตามจังหวะเพลงลีลาศอย่างพลิ้วไหวท่ามกลางนางรำทุกคนที่กำลังเต้นกับคู่เต้น
ร่างเนื้อนางในชุดสวยหมุนพลิ้วตามจังหวะ เสมือนเป็นดาวเด่นระยิบระยับแห่งค่ำคืน
5 ปีผ่านไป
เช้าวันนี้ได้ยินเสียงใสๆ ของเด็กชายตัวน้อยกำลังหัวเราะร่า วิ่งเล่นอย่างมีความสุข
“ตามมาให้ทันสิ วันดี ตามมาเร็วๆ”
เด็กชายอัศดายุวัย 5 ขวบ ลูกชาย ณไตรกับเนื้อนาง กำลังวิ่งเล่น มีวันดีคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
สาวสวยในเสื้อผ้าสีอ่อนหวานสวมหมวกปิดหน้า ก้าวมายืนมองอัศดายุ ในมือหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ สาวสวยนางนั้น ขยับตัวมองบรรยากาศสดชื่นรอบๆ วันดีหันมาเห็น ก็ถามขึ้น
“คุณมาหาใครคะ”
สาวเจ้าในอาภรณ์สวยงาม นำสมัย ยิ้มแย้มสดใส ย่อตัวลงยิ้มให้กับอัศดายุที่วิ่งมาตรงหน้า
“หนูคืออัศดายุใช่มั้ย”
อัศดายุมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่เคยเห็น วันดีมายืนข้างอัศดายุ
อรองค์ยืดกายตรง มองทั้งคู่แล้วยิ้ม พร้อมกับแนะนำตัว
“ฉันชื่ออรองค์ อรองค์ ติลกโชติ ที่จะมาเป็นครูของหนูน่ะจ้ะ”
อรองค์ สาวสวย ผมยาวดำขลับ แนะนำตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำ รอยยิ้มแววตาแจ่มใสแข่งกับดอกไม้เบ่งบานในอาณาจักรหิมวัต
ที่โต๊ะริมระเบียงบ้าน เห็นร่างๆ หนึ่งฟุบหน้าหลับอยู่ มีขวดใสเจียระไนตั้งอยู่ด้านหน้า พร้อมแก้วที่ยังมีเหล้าเหลือติดก้นแก้วอยู่นิดหน่อย
ร่างนั้นสะลึมสะลือลุกขึ้น จึงเห็นว่าเป็นธรรพ์ใบหน้ามีเคราเขียวครึ้ม มือธรรพ์คว้าแก้วเหล้าที่เหลือมายกกระดกขึ้น ทันทีที่ลิ้นแตะเหล้า เขารู้สึกขย้อนเพราะเหล้าค้างคืน หันไปบ้วนเหล้าทิ้ง ยกแขนเสื้อเช็ดปาก แล้วตะโกนขึ้น
“เฮ้ย ใครอยู่แถวนี้ เอาขวดใหม่มาให้ฉัน”
ธรรพ์รอนานแต่ไม่มีใครมา ธรรพ์มีสีหน้าฉุนเฉียว
“หายหัวไปไหนกันหมดวะ”
ธรรพ์มองไม่เห็นใครมารับใช้ ก็ลุกเดินออกไปอย่างคนที่ดื่มหนักเพราะความช้ำใจตลอด 5 ปี
ฝ่ายอรองค์ยื่นตุ๊กตาผ้าน่ารักให้กับอัศดายุเป็นการผูกมิตร วันดียืนอยู่ใกล้
“ฉันเอามาฝากหนูจ้ะ”
อัศดายุยังไม่รับ อรองค์ยิ้มหวาน ยื่นตุ๊กตาให้
“รับไปสิจ๊ะ อัศดายุ”
อัศดายุยื่นมือไปรับตุ๊กตามา อรองค์ยิ้มให้ ธรรพ์ที่ยังไม่สร่างเดินออกมาเห็น
“เอาอะไรให้อัศดายุ”
ธรรพ์เข้ามาดึงตุ๊กตาออก อรองค์มองอย่างแปลกใจ วันดีรีบบอกอรองค์
“คุณธรรพ์ลูกชายแม่นาย เจ้าของหิมวัต”
อรองค์มองธรรพ์แล้วยกมือไหว้สวยงาม
“ดิฉัน อรองค์ มาเป็นครูของคุณอัศดายุค่ะ”
ธรรพ์มองฉงน “ครู? ทำไมฉันไม่รู้เลยว่าอัศจะมีครูคนใหม่”
“คุณณไตรหามาให้เจ้า”
พอได้ยินคำว่าณไตร ธรรพ์ก็ฉุนเฉียว โวยขึ้นมาทันที
“ทำไม อะไรๆในบ้านนี้ก็ต้องณไตรคนเดียว เรื่องอัศดายุ ก็ต้องมาถามฉันสิ”
วันดีเห็นธรรพ์เริ่มโวยวาย ก็รีบเข้าไปใกล้กลัวธรรพ์จะคุมสติไม่อยู่หลุดพูดอะไรออกมา
“คุณธรรพ์ คุณอัศจะตกใจนะเจ้า”
ธรรพ์หันมองทางอัศดายุที่ยืนอยู่ก็คิดได้ ส่งตุ๊กตาคืนให้ อัศดายุรีบรับตุ๊กตาไป ธรรพ์อ้าแขนออก
“มาสิ อัศ มาให้อากอดหน่อย”
อัศดายุบอก “คุณอา...เหม็น”
ธรรพ์ชักสีหน้า อรองค์มอง วันดีรีบบอกอัศดายุ
“คุณอัศ กอดคุณอาหน่อยสิเจ้า”
อัศดายุไม่สนใจ วิ่งออกไปพร้อมตุ๊กตา ธรรพ์มองตามด้วยความเสียใจ อรองค์มองทั้งคู่สายตาเป็นคำถาม
วันดีไม่อยากให้อรองค์รู้อะไร ก็รีบพูดขึ้นกับธรรพ์
“ให้คุณครูไปพบคุณณไตรที่ปางก่อนนะเจ้า”
“ก็รีบไปสิ”
ธรรพ์มองอรองค์แล้วหันหลังกลับไปในบ้านไม่สนใจเรื่องของอรองค์สักน้อย อรองค์สงสัยหันมาถามวันดี
“ปาง...ปางอะไรหรือจ๊ะ”
วันดีมองอรองค์ที่หน้าตางุนงงสุดขีด
ไม่นานต่อมาอรองค์นั่งมาในรถ คนขับค่อยๆ ขับรถมา จนถึงหน้าปาง สายตาอรองค์มองไปที่ป้ายปางไม้หิมวัต แล้วเลื่อนสายตามองตรงไปตามทางที่นำเข้าสู่เข้าปาง
อรองค์เดินมาหยุดมองรอบๆ เรือนสำนักงาน แต่ไม่เห็นใคร อรองค์มองไปบนเรือนแล้วเดินขึ้นไป
เสียงแสงคำดังขึ้น “มาหาใคร”
อรองค์หันไป มองเห็นร่างกายกำยำของแสงคำ เดินมาทางด้านหลัง หญิงสาวตกใจ ก้าวขาถอยไปชนกับโต๊ะทำงานแล้วล้มลง
แสงคำก้าวเข้าใกล้ ยื่นมือตั้งใจจะดึงขึ้น อรองค์กระถดตัวถอยหนี
“อย่านะ อย่าเข้ามา”
แสงคำไม่สนใจ ย่อตัวดึงแขนอรองค์ขึ้น อรองค์ปัดมือแสงคำอย่างแรง
“อย่าทำอะไรฉัน”
แสงคำยัวะ ชักสีหน้าใส่ทันที “นี่ฉันกำลังช่วยเธอนะ ยืนประสาอะไร ถึงได้ล้มลงไป”
อรองค์ได้ยินน้ำเสียงแสงคำตำหนิ ก็ชักสีหน้าไม่พอใจ ถอยห่างอย่างไว้ตัว
แสงคำมองสำรวจอรองค์ “หน้าตาไม่ใช่คนงานที่นี่ มาสมัครงานล่ะสิ กลับไปซะ ที่นี่ไม่รับผู้หญิง”
“ฉันไม่ได้มาสมัครงาน”
“แล้วมายืนเกะกะทำไม ที่นี่มันที่ส่วนตัว ไม่ใช่ใครจะเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาได้”
“ฉันมาหาพ่อเลี้ยงณไตร”
“มีธุระอะไร แล้วจะให้บอกว่าใครมาหา มีชื่อมั้ย”
อรองค์ปรายตามองแสงคำ เชิดหน้าอย่างถือตัว
“กรุณาบอกพ่อเลี้ยงว่า ฉันชื่ออรองค์ ครูของคุณอัศดายุ”
“ครู งั้นก็รออยู่ที่นี่แหละ อย่าเที่ยวเดินเพ่นพ่าน โดนช้างเหยียบขึ้นมา เดี๋ยวจะไม่ทันได้สอนหนังสือ”
แสงคำมองไม่สนใจ เดินออกไปทางเรือนพักณไตร
อรองค์มองตามแสงคำ ไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเจอ
ณไตรอยู่ที่โต๊ะทำงาน บนเรือน ปิดสมุดบัญชีลง มองแสงคำที่มารายงาน ม่อนดอยยืนข้างณไตร
“เค้ามาเป็นครูของอัศดายุ แล้วทำไมถึงพามาที่นี่”
“ไปคุยเอาเองเถอะ พ่อเลี้ยง ผู้หญิงอะไร หัวสูง มองคนด้วยหางตา”
“สวยมั้ยวะ แสงคำ”
“ก็งั้นๆ”
“เอ็งน่ะ ชาตินี้จะมีใครสวยกว่าเนื้อนาง”
ม่อนดอยปากไว แซวให้ตลก แต่ณไตรเงียบ ไม่ขำ แสงคำก็นิ่งมองณไตร ม่อนดอยเลยจ๋อย ณไตรมองม่อนดอยกับแสงคำ แล้วพูดขึ้น
“ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เราก็จะรอ เนื้อนางต้องกลับมาที่นี่”
สายตาณไตรหม่นหมองลงเห็นถนัด แล้วเดินหันหลังออกไป ม่อนดอย กับแสงคำเดินตามออกไปด้วย
ขณะเดียวกัน ที่ศาลาริมน้ำหลังบ้านพักคณะบุญน่าน เห็นเนื้อนางกำลังมองภาพถ่ายตัวเองกับหนานไตร สายตาเนื้อนางถวิลหา มีแต่รอยอาลัยในแววตา
“เนื้อนาง”
เนื้อนางรีบเอาภาพถ่ายเก็บสอดไว้ในหนังสือนิยายภาษาอังกฤษของเจน ออสเตน หันไปมองเห็นคำฝาย
กับ แมงมันกำลังเดินตรงมาหา
เนื้อนางยิ้มให้ แมงมันพอเห็นเนื้อนางถือหนังสือก็ชะโงกมอง
“อ่านหนังสืออีกละ สนุกตรงไหน”
“สนุกตรงที่พี่แมงอ่านไม่ออกไงจ๊ะ” คำฝายสัพยอก
“อ๋อ เหรอ เดี๋ยวฉันจะสนุก แหกปากแกให้กว้างถึงหูเลยดีมั้ยนังคำฝาย”
แมงมันหมั่นไส้คำฝาย เนื้อนางหัวเราะ แมงมันหันไปชวนเนื้อนาง
“ไปซื้อของในเมืองกันดีกว่า เนื้อนาง ฉันอยากไปดูเสื้อใหม่ๆ”
“เดือนที่แล้วก็เพิ่งซื้อ” คำฝายค่อนขอด
“เอ๊ะ นังคำฝาย ขัดตลอดนะ มีสะตุ้ง สตางค์ก็ต้องใช้สิไม่ใช่เอาแต่เก็บ” แมงมันคว้ามือเนื้อนาง “ไป...ไปผลาญแบงค์เล่นกัน”
“พี่แมงมันไปกับพี่คำฝายเถอะจ้ะ” เนื้อนางออกตัว
“อะไรเนื้อนาง ทำงานรอนแรมไปทั่วเป็นเดือนๆ ได้เงินมาไม่รู้เท่าไหร่ ทำไมไม่เอาไปแต่งเนื้อแต่งตัว หาความสุขให้ตัวเองบ้าง มัวแต่อ่านหนังสือ”
“ก็เนื้อนางเค้าชอบแบบนี้ พี่แมงอยากไป ไปกับฉันก็ได้ แล้วอย่าลืมซื้อเสื้อให้ฉันใหม่ๆ สักตัวนะ” คำฝายบอก
“อย่างแก ฉันจะซื้อตะกร้อครอบปากให้” แมงมันมองค้อนเนื้อนาง “ไม่ไปก็ไม่ไป ทำยังกับต้องหลบๆ ซ่อนๆ ใคร”
แมงมันสะบัดหน้าพรืด เดินบิดตูดออกไป คำฝายหันมามองเนื้อนาง
“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว บางทีพวกเค้าอาจจะเลิกตามหาตั๋วแล้วก็ได้”
“เนื้อนางรู้นิสัยเค้าดี หนานไตร...เค้าไม่มีวันหยุด ไม่มีวันล้มเลิก ตราบใดที่เค้ายังไม่ได้สิ่งที่เค้าต้องการ”
คำฝายมองอ่อนใจ เนื้อนางเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิด เพราะรู้จักนิสัยพ่อเลี้ยงคนรักดี
ฝ่ายณไตรมองอรองค์ที่ยิ้มหวาน แสงคำยืนหน้าบึ้งใกล้ณไตร ม่อนดอยมองอรองค์ตาปรอย
“ที่จริงคุณอรองค์รอผมที่บ้านหิมวัตก็ได้ ไม่ต้องมาถึงนี่”
“ดิฉันอยากพบคุณที่เป็นนายจ้างก่อนน่ะค่ะ ที่จริงก็ไม่ลำบากอะไรเลยนะคะ ดิฉันออกจะตื่นเต้นด้วยซ้ำ” อรอนงค์ยิ้ม “ไม่เคยเห็นปางไม้เลย”
ม่อนดอยสายตาเพ้อกับรอยยิ้มอรองค์ แสงคำมองหมั่นไส้เพื่อน
“ที่นี่มีโรงเรียนมั้ยคะ ดิฉันมาช่วยสอนเด็กๆ ในปางให้ด้วยก็ได้”
ณไตรไม่ทันตอบ แสงคำสวนขึ้น
“ไม่ต้อง พวกเราสอนเด็กของเราได้”
ม่อนดอยขัด “แต่มีครูก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ”
“ดูแลลูกพ่อเลี้ยงก็เหนื่อยแล้ว ไม่ต้องนั่งรถมาถึงนี่หรอก”
“เอ็งจะกีดกันคุณครูคนสวยเค้าทำไมวะ”
อรองค์มองแสงคำ แล้วเมินหน้าหนี หันไปยิ้มกับณไตร
“หลังจากสอนคุณอัศดายุแล้ว ให้ดิฉันมาช่วยสอนเด็กๆ ที่นี่นะคะ”
“ถ้าคุณอยากมา ผมก็ไม่ห้าม แต่ยังไงผมก็อยากให้คุณสอนภาษาอังกฤษอัศดายุให้ดีที่สุด”
“ภาษาอังกฤษเป็นพิเศษเลยเหรอคะ”
“ครับ ผมจะส่งอัศดายุไปเรียนที่อังกฤษ”
“ไปตอนตัวน้อยๆ นี่เลยเหรอ พ่อเลี้ยง” ม่อนดอยแปลกใจ
“ใช่ ฉันอยากให้อัศดายุโตมาอย่างดีที่สุด ไม่ต้องรับรู้เรื่องอะไรที่นี่ พร้อมเมื่อไหร่ ฉันจะพาอัศดายุไปอังกฤษทันที”
ณไตรบอกทุกคนอย่างคนที่ตัดสินใจมาแล้วอย่างดี
บ่ายคล้อยจวนค่ำ เนื้อนางถือหนังสือเดินกลับเข้ามาหน้าเรือนกับคำฝาย รัญจวนนั่งให้สร้อยฟ้า กับกำปุ้งทาเล็บให้ มองเห็นเนื้อนางถือหนังสือ ก็พูดกระทบกระเทียบ
“ถือไปถือมา ทำโก้ว่าอ่านหนังสือปะกิดออก”
กำปุ้งสาระแนตามถนัด “อ่านออกแค่ตัวนึงซะละมั้งคะ คุณพี่”
“วันนี้น้ำข้าวมันหมดหรือไง หมาสามตัวแถวนี้มันถึงเห่าถึงหอนกันจัง” คำฝายรำคาญ
กำปุ้งลุกพรวด “น้ำข้าวไม่หมดหรอก แต่ข้าคันมือคันเท้าอยากดีดปากคนมาหลายวันแล้ว”
คำฝาย กำปุ้งจะพุ่งเข้าหากัน
แมงมันกระแอมมาก่อนตัว ทุกคนหันไปมอง เห็นแมงมันเดินถือถุงของกลับมาจากตลาด ทุกคนมองยำเกรง
“มันต้องขบ ต้องกัดกันทุกวันใช่มั้ย วันไหนไม่ได้ฟาดปากกัน มันกินข้าวไม่อร่อย”
“คุณพี่แมงมันขา นังคำฝายมันแกว่งปากมาหาส้นของน้องก่อนจริงๆ ค่ะ”
“พูดดีๆ นะ กำปุ้ง พวกเราไม่เคยหาเรื่องเธอก่อน อย่าหยาบคายให้มากนัก” เนื้อนางฉุน
สร้อยฟ้าค้อนควัก “ย่ะ แม่หน้าบาง”
คำฝายโต้ “หน้าพวกชั้นไม่ได้บางหรอก แต่หน้าพวกแกน่ะมันหนาเกินชาวบ้าน”
แมงมันตวาด “พอ ใครไม่หยุด ฉันจะให้คุณพ่อบุญน่านตัดเงินให้เรียบ”
ทุกคนเงียบกริบ เนื้อนางรีบดึงคำฝายขึ้นบันไดไปทางห้องพัก กำปุ้งมองตาม
“นึกว่าสวย คนโค้งเยอะ เลิศเลอนักเหรอยะ พวกฉันต่างหากที่เป็นตัวทำเงิน ผู้ชายต่อแถวรอโค้งยาวจากนี้ไปถึงถ้ำขุนตาลไม่อยากจะคุย”
แมงมันเดินเข้าไปตบผัวะเข้าแก้มกำปุ้งเต็มๆ
“ตื่นหรือยังนังกำปุ้ง”
“นี่มันฝ่ามือหรือฝ่าเท้าช้างคะ คุณพี่”
แมงมันตบอีกผัวะ คราวนี้ร่างกะเทยถึกถึงกับกระเด็นไป
สองสาวอยู่ในห้องพัก เนื้อนางเก็บหนังสือวางไว้อย่างดี คำฝายนั่งลงใกล้
“ไม่รู้ต้องทนอยู่กับกลุ่มนังผีบ้าสามตัวนี่ไปอีกกี่ปีกี่ชาติ เนื้อนาง ตั๋วไม่คิดถึงพ่อเลี้ยงเลยเหรอ”
“ไม่จ้ะ เนื้อนางไม่คิดถึงเค้า ถ้าจะคิดถึงก็แค่คุณหนูคนเดียว ป่านนี้คงโตน่ารักน่ากอด”
“ตั๋วก็ได้แต่คิดล่ะ แม่นายคงไม่ให้ตั๋วได้แตะคุณหนูอีก”
เนื้อนางได้ยินแล้วน้ำตาคลอๆ คำฝายมองสงสาร
“อย่าคิดมากเลยนะ เนื้อนาง อยู่อย่างนี้ ไม่สบายแต่ก็ไม่ลำบาก ยังไงก็ดีกว่าตั๋วต้องติดคุกเรื่องที่พวกมันหาว่าฆ่าแขไข”
“ลำบากแค่กาย เนื้อนางทนได้จ้ะ ทุกวันนี้เนื้อนางก็ขอแค่ให้ได้เจอคุณหนูอีกสักครั้ง อยากจะขอกอดเธอให้หายคิดถึง”
แววตาเนื้อนางหมองเศร้า ทอดสายตามองไปไกลเมื่อนึกถึงทารกน้อยที่เคยให้นมและรู้สึกผูกพันโดยประหลาด
เย็นนั้นอัศดายุนั่งอยู่ติดณไตร อรองค์ยืนมองทั้งคู่ ถัดมาคือวันดี และธรรพ์ที่ยืนตรงข้ามทุกคน
ณไตรก้มบอกอัศดายุ “ขยันเรียนกับครูอรองค์นะครับ จะได้ไปเรียนต่อเร็วๆ”
ธรรพ์ขัดขึ้น “ผมไม่อยากให้อัศไปเรียนอังกฤษ มันไกลหูไกลตาเกินไป อายุก็ยังน้อยแค่นี้ จะดูแลตัวเองได้ยังไง”
“เราคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะธรรพ์ ในเมื่อทุกคนยืนยันว่าอัศดายุเป็นลูกฉัน แกไม่เกี่ยว ฉันจะเลือกอนาคตให้เค้าเอง”
ธรรพ์ฟังแล้วอัดอั้นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามีฐานะแค่อา
“ผมก็เลยไม่มีสิทธ์เป็นห่วงหลาน เป็นได้แค่หัวหลักหัวตอ ให้หมามันปัสสาวะรดเล่น ไม่มีความสำคัญกับใครทั้งนั้น”
“ธรรพ์ ถ้าสมองแกคิดได้แค่นี้ ก็อยู่ห่างๆ อัศดายุดีกว่านะ”
ณไตรหันไปเห็นอรองค์ที่ยืนตกใจ ก็หันไปสั่งวันดี
“พาครูอรองค์ไปห้องพัก” ณไตรบอกอัศดายุ “อัศครับ ไปเล่นที่อื่นก่อน”
“ครับ คุณพ่อ”
เด็กชายอัศดายุรีบวิ่งออกไปอย่างว่าง่าย วันดีหันไปทางอรองค์
“ทางนี้เจ้า”
อรองค์เดินตามวันดีไปอย่างสงบเสงี่ยม ณไตรหันมามองธรรพ์ด้วยสายตาไม่พอใจ
อรองค์ที่เดินตามวันดีไปห้องพัก เลียบเคียงถามขึ้นหน้าตาสงสัย
“คุณณไตรเค้าจะไม่คิดถึงลูกเหรอคะ ส่งไปเรียนไกลขนาดนั้น”
“นายผู้ชายก็ส่งคุณณไตรกับคุณธรรพ์ไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เล็กๆ”
“ป้าวันดีคงจะอยู่ที่นี่มานานแล้ว”
วันดียิ้ม “ก็ตั้งแต่คุณธรรพ์เกิด”
“ทำไมคุณธรรพ์ ท่าทางเธอไม่อยากให้คุณอัศดายุไปเรียนต่อล่ะ”
วันดีหันมามองอรองค์ทันที อรองค์ตกใจ
“คุณมาเป็นครู...ก็สนใจแต่เรื่องสอนหนังสือเถอะ”
“ฉันพูดอะไรผิดไปเรื่องคุณธรรพ์เหรอ”
“ถึงห้องแล้ว”
วันดีตัดบทไม่ตอบ อรองค์เห็นกระเป๋าเดินทางวางอยู่หน้าห้องแล้ว
วันดีเดินออกไปเลย อรองค์ได้แต่มองตามวันดีด้วยแววตาสงสัย
ณไตรมองจ้องธรรพ์ที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ในสวน
“จะพูด จะทำอะไร หัดคิดให้มากกว่านี้หน่อย ธรรพ์ หรือถ้าแกจะเมาทั้งวันทั้งคืน จนคุมสติไม่อยู่ ก็ไปเมาในห้องแก อย่าโผล่หน้าออกมาให้อัศดายุเห็นตัวอย่างไม่ดี”
“ตัวอย่างดีๆ มันต้องเป็นพี่คนเดียวใช่มั้ย บ้านหิมวัตมันไม่มีใครประเสริฐเท่าพ่อเลี้ยงณไตร”
“ใช่ เพราะถึงจะผิดหวังแค่ไหน ฉันจะไม่ทำตัวสำมะเลเทเมาเหมือนแก เหล้ามันดับทุกข์ไม่ได้”
“ผมจะกิน มันเรื่องของผม ผมไม่ใช่เด็กที่พี่จะมาชี้เป็นชี้ตาย เหมือนที่แม่นายทำ”
“รับรองว่าฉันจะไม่ใช้วิธีของแม่นาย แค่แกพูดไม่คิดอีกคำ ฉันจะเตะแกให้กลิ้งอยู่ตรงนี้”
ณไตรมองเอาจริง ธรรพ์เหยียดยิ้ม
“คิดว่าผมกลัวเหรอ ไม่เลย ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะผมเหลือแค่นี้แค่ชีวิตตัวเอง ทุกคน...ที่ผมรัก มันตาย มันสูญหาย มันหลุดมือไปหมดแล้ว”
ธรรพ์ยิ้มขื่นขม ณไตรย้อนถามทันที “แกหมายถึงใคร”
“จะเป็นใครก็ช่าง มันเรื่องของผม พี่ไม่เกี่ยว แล้วสำหรับเรื่องของพี่ รู้ไว้เลย เนื้อนางเค้าไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”
“แกไม่มีหน้าที่ต้องสนใจเรื่องเนื้อนาง อย่าให้ฉันได้ยินแกพูดชื่อเนื้อนางที่นี่อีก ฉันไม่อยากให้อัศดายุได้ยินชื่อนี้”
“ต่อให้ตัดลิ้นทุกคน เรื่องบ้าๆ มันก็เกิดขึ้นมาแล้ว ยังไงพี่ก็ไม่มีทางลบชื่อเนื้อนางออกไปจากหิมวัตได้”
ธรรพ์เสียงแข็งใส่ แล้วหันหลังเดินฉุนเฉียวออกไป
ทิ้งให้ณไตรมองตามอย่างผิดหวังที่น้องชายกลายเป็นคนละคน
อ่านต่อหน้า 3
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 12 (ต่อ)
ตกตอนกลางคืน เนื้อนางนอนอยู่ในห้อง ถัดไปคือคำฝายที่นอนหงาย กรนเสียงดัง เนื้อนางได้ยินเสียงกรนก็ลุกขึ้น ขยับร่างคำฝายให้นอนตะแคง เสียงกรนเงียบไป เนื้อนางมองเลยไปที่นอนว่างข้างคำฝายที่ประกายนอนประจำ
“ประกายไปไหน ทำไมยังไม่ขึ้นมานอน”
เนื้อนางสีหน้าสงสัย
มุมหนึ่งในความมืดของศาลาหลังบ้านพัก ประกายกำลังเบียดชิดโอบรอบคอบุญน่าน ที่กำลังหอมแก้มประกายซ้ายขวา
“พอแล้วจ้ะ แก้มประกายช้ำหมดแล้ว”
“อย่าห้ามเลย ฉันคิดถึงประกายจะแย่”
“คิดถึงอะไร เห็นหน้ากันทุกวัน”
“เห็นแต่ตา กอดไม่ได้ จับก็ไม่ได้ มันอัดอั้นมากรู้มั้ย”
บุญน่านซุกไซร้ ประกายปัดป้องอย่างมีจริต
“ไหนพี่บุญน่านบอกว่าจะซื้อวิทยุใหม่ให้ประกาย”
“ไปสิจ๊ะ คืนนี้ออกไปเจอกันที่เดิม ประกายอยากได้อะไร พี่จะซื้อให้ทุกอย่าง”
เนื้อนางแอบมองอยู่มุมหนึ่ง ตกใจเมื่อเห็นประกายกับบุญน่านลักลอบเล่นชู้กัน
เช้าวันถัดมา ประกายเดินกลับเข้าบ้านมา แต่งหน้าทาปากเฉี่ยว ฉีดประโคมน้ำหอมขวดใหม่ที่เพิ่งได้มา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เนื้อนางที่ยืนรออยู่ พอเห็นประกายก็ตรงเข้าไปดึงแขน
“เธอทำอะไรลงไป ประกาย รู้หรือเปล่าว่ามันผิด”
“เรื่องอะไร” ประกายมองสายตาเนื้อนาง “อ๋อ เรื่องตาบุญน่านน่ะเหรอ ชั้นป่าวนะ เค้าเข้ามาหาฉัน เสนอโน่นเสนอนี่ให้เอง”
“หยุดเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ทุกคนจะรู้เรื่อง โดยเฉพาะน้าบัวตอง”
“เชอะ แก่ป่านนั้น ผัวยังยอมอยู่ด้วย ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
เนื้อนางโมโหบีบแขนประกายอย่างแรง “เธอกำลังทำผิดนะ ประกาย”
ประกายสะบัดออก “ไม่ต้องมาเตือนฉัน ดูตัวเองซะก่อนเถอะ เธอก็เป็นชู้ นอนกับคุณธรรพ์ น้องผัวไม่ใช่เหรอ แถมยังถูกผัวจับได้อีก”
เนื้อนางมีสีหน้าตกใจ ที่ประกายขุดเรื่องนี้มาหยัน
“เธอก็ไม่ได้วิเศษวิโสกว่าฉันนักหรอก กี่ผัวแล้วล่ะ ทั้งพ่อเลี้ยง ทั้งเจ้าแสนพรหม ทั้งคุณธรรพ์ ว่างๆ ก็คงจะมีไอ้แสงคำคอยเปลี่ยนเวรด้วยหรือเปล่า”
เนื้อนางมองประกาย ตัวสั่นด้วยความผิดหวัง
“เธอคิดอย่างนี้มาตลอดใช่มั้ย”
“เออ ฉันก็คิดของชั้นแบบนี้แหละ เลิกสั่งสอนฉันได้แล้ว ดูสภาพตัวเองก่อนเถอะ ต้องหนีไปอีกกี่ปี ถ้าฉลาดก็ปิดปากไว้ อย่ามาขวางทางสบายของฉัน”
ระหว่างนี้ กำปุ้งที่หลบฟังตั้งแต่แรก มองสองสาวด้วยสายตาร้ายกาจ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวหายไปอย่างเงียบกริบ
ประกายปัดเนื้อนางพ้นทาง เดินขึ้นบันไดไป ทิ้งให้เนื้อนางยืนนิ่งอยู่กับความเสียใจและผิดหวังในตัวเพื่อน
ฟากณไตรเดินออกมา เห็นร่างๆหนึ่งกำลังชะเง้อมองไปทางห้องอัศดายุ ณไตรก้าวเข้ามาเงียบกริบ เข้ามาซ้อนหลัง
“กำลังหาอะไรอยู่เหรอครับ”
เป็นอรองค์ที่ตกใจหันมาปะทะกับอกของณไตร ณไตรก้มมองอรองค์ที่อยู่ใกล้ระยะประชิด
“คือดิฉันมาดูว่าคุณอัศดายุตื่นหรือยังน่ะค่ะ”
ณไตรมองยังไม่เชื่อคำพูดอรองค์
“คือ” อรองค์อายๆ “ที่จริงอรตื่นเต้นน่ะค่ะ ไม่เคยอยู่กับธรรมชาติสวยขนาดนี้ เลยอยากออกมาเดินเล่น สูดอากาศบริสุทธิ์ ไม่ได้ตั้งใจจะออกมาเดินวุ่นวายตอนเช้าๆ ปลุกคนในบ้านเลยค่ะ”
ณไตรยิ้ม “งั้นมาตรงนี้สิครับ”
พ่อเลี้ยงเดินนำมาอีกด้าน อรองค์เดินตาม
“มุมนี้จะมีดอกไม้เยอะเลย”
อรองค์เดินตามมา หยุดใกล้ณไตร แล้วมองไปเห็นดอกไม้กระจิดริดขึ้นสะพรั่ง อรองค์ก้มลงไปดูดอกไม้ใกล้ๆ สีหน้าชื่นบาน หันมายิ้มสดใสกับณไตร
“สวยจังเลยค่ะ”
อรองค์เด็ดดอกไม้ขึ้นมาถือไว้ ณไตรมองจ้อง อรองค์มองณไตรแล้วถามขึ้น เสียงเกรงใจ
“ตั้งแต่มา อรยังไม่เห็นคุณแม่ของคุณอัศดายุเลย”
ณไตรหน้าขรึมลงทันที “อัศดายุกำพร้าแม่ครับ”
“โถ น่าสงสารเหลือกิน”
อรองค์เห็นใจ ณไตรมองนิ่ง
“ขอบคุณมากนะคะที่บอกอร อรจะได้ไม่ถามเรื่องนี้ให้สะกิดใจคุณอัศดายุ”
ณไตรยิ้มขอบคุณให้กับอรองค์
แสงคำเดินมากับม่อนดอย ผ่านโรงเรียน แสงคำหันไปมอง ม่อนดอยเห็นสายตาเพื่อนก็แซวขึ้น
“ไง มองหาคุณครูคนใหม่ที่จะมาสอนอยู่เหรอ”
“ปากมากนะเอ็ง ข้ามองผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้นึกถึงคุณครูหัวสูงคนนั้นหรอก”
“ร้อนตัวเลยนะ ข้าว่าครูอรองค์เค้าก็น่ารักดีนะ”
“ข้าเห็นเอ็ง ลองใครผ่านเข้ามาในปางก็น่ารักไปหมด คราวก่อนก็ประกาย”
“เฮ้อ นึกแล้วก็คิดถึงเนื้อนาง คำฝาย โดยเฉพาะประกาย คนสวยของไอ้ม่อน หายกันไปหมด ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงกันบ้าง ไม่ได้ข่าวคราวเลย”
สายตาแสงคำ ทั้งเป็นห่วง ทั้งคิดถึงเนื้อนาง
ฝ่ายประกายยอดดวงใจของม่อนดอย ถูกบัวตองจิกผมลงบันไดมา เนื้อนาง คำฝายวิ่งตามหลังมา
“ปล่อยข้า ปล่อย”
บัวตองลากประกายมาจนบันไดขั้นสุดท้ายแล้วเหวี่ยงลงไปกองกับพื้น
ด้านล่างกำปุ้ง รัญจวน และสร้อยฟ้ามองอยู่อย่างสะใจ แมงมันชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้
เนื้อนาง คำฝายเข้ามาประคองประกายลุกขึ้น
บุญน่านวิ่งเข้ามาดู เห็นบัวตองกำลังอาละวาด
“กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา มึงกล้าแย่งผัวกูใช่มั้ย นังประกาย”
บุญน่านสะดุ้งโหยงไม่คิดว่าเมียจะรู้
“เมียจ๊ะ เมียจ๋า แม่บัวตอง แม่ยอดขมองอิ่ม ฉันกับประกายไม่เค้ย ไม่เคยมีอะไรกัน แตะตัวสักนิดยังไม่เคย”
“ปากแข็งแบบนี้ มันต้องเอาอีโต้งัดปาก” บัวตองหันขวับไปทางประกาย “นังประกายแกให้ท่าผัวชั้นใช่มั้ย”
ประกายสวนคำ “ผัวป้าต่างหากที่มาออดอ้อนออเซาะชั้น บอกว่าเบื่อเมียเหนียงยาน”
“ไอ้น่าน ทีนี้ชีวิตแกจะยานยิ่งกว่าเหนียงชั้นอีก” บัวตองคำราม
ประกายหันมามองคาดคั้นเนื้อนาง “แกใช่มั้ย เนื้อนางที่เอาเรื่องนี้ไปฟ้อง”
“ฉันไม่ได้ฟ้องใครเลย”
คำฝายรีบบอก “ฉันกับเนื้อนางไม่เกี่ยวนะ”
ตัวต้นเรื่อง กำปุ้งหัวเราะคิกคักขึ้นมา เนื้อนาง คำฝาย และประกายหันไปมอง รู้ทันทีฝีปากใคร
“แกเองเหรอ อีแมงมุม” ประกายแหวใส่
“ช่วยไม่ได้ ฉันซาบซึ้งในบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของคุณแม่บัวตอง เห็นอะไรชั่วๆ ฉันก็ต้องแฉความจริง”
“เฉดหัวพวกมันออกไปเลยค่ะ คุณแม่บัวตองขา” รัญจวนบอก
“ฉันจะไล่มันออกให้หมด” บัวตองโพล่งขึ้น
แมงมันตกใจ “ว้าย แล้วงานที่รับไว้แล้วยาวเป็นหางว่าวละคะ คุณแม่ ยกเลิกไม่ได้นะคะ เงิน เงิน เงินไม่รู้ตั้งเท่าไหร่”
บัวตองพอได้ยินคำว่าเงินก็ชะงัก บุญน่านได้โอกาสรีบเข้าประจบเมีย
“เมียจ๊ะ เมียจ๋า เอาอย่างนี้มั้ย ที่จริงผัวก็ยังไม่ได้นอกลู่นอกทางอะไรมาก ถือซะว่า ผัวหาคนมาคอยรับใช้เมียอีกคน”
ประกายแหวใส่ “อะไรนะ จะให้ฉันเป็นเมียน้อยนังป้าบัวตองเหรอ”
บัวตองโกรธขึ้นมาอีก “อ้าว เฮ้ย เรียกใครว่าป้า เดี๋ยวตบหน้าตาแหก”
บุญน่านเองก็ฉุน “อย่าพูดมากนะ นังประกาย เอ็งมาแต่ตัว ถ้าไปก็ไปแต่ตัว ไม่ได้สักบาท”
ประกายหน้าเสีย บัวตองมองอย่างเจ้าเล่ห์ ยื่นข้อเสนอ
“แต่ถ้าเอ็งอยู่ เอ็งต้องช่วยข้าทำงาน ที่จริง คนอย่างข้า มีทองมาแลกเท่าหัว ข้าก็ยกผัวให้เลย แต่นี่เอ็งไม่มี ถ้าไม่อยากลำบาก ก็ยอมกินน้ำใต้เข่าข้า ช่วยข้าทำมาหากิน แล้วข้าจะแบ่งเงินให้”
“ประกาย อย่ายอมเป็นเมียน้อยใครอีก” เนื้อนางขอร้อง
“นังประกาย เอ็งยังสาวยังสวย จะมาแย่งผัวคนอื่นทำไม” คำฝายเสริม
“เค้าไม่ได้เรียกว่าแย่ง เค้าเรียกแบ่งกันใช้ ฉันก็จะสบายได้เป็นเมียหัวหน้าคณะ มันก็ดีกว่าเป็นลูกจ้างเฉยๆ”
กำปุ้งขัดใจ “ว้าย ทำไมเป็นแบบนี้ละคะ ต้องไล่พวกมันออกไปสิคะ ไล่ทั้งสามคนเลย”
สร้อยฟ้าผสมโรงไม่ยอม “พวกแกต้องพากันออกไปให้หมด”
ประกายมองไปทางเนื้อนาง และคำฝาย
“ฉันจะอยู่ที่นี่ ฉันไม่อยากระหกระเหินไปไหนอีกแล้ว”
กลุ่มรัญจวนเต้น ผิดหวังที่แผนขับไล่เนื้อนางกับพวกพลาด
“เวร...เวร...เวร...เวรกรรม รู้งี้ชั้นถวายตัวให้ตั้งแต่คืนแรกที่มาอยู่แล้ว” กะเทยกำปุ้งค้อนควักน่าขัน
แมงมันด่าด้วยความหมั่นไส้ “ทะเยอทะยานเป็นคางคกตะกายวอนะแก”
ประกายผู้รักสบายหน้าเชิดไม่สนคำพูดใคร บุญน่านแอบยิ้มลิงโลด แต่พอบัวตองหันขวับมามอง บุญน่านทำเจียมตัว
เนื้อนาง กับคำฝายมองประกายด้วยสายตาผิดหวัง
ฟากอรองค์นั่งสอนหนังสืออัศดายุอยู่ วันดีนั่งเยื้องๆ ทั้งคู่มองอัศดายุที่วิ่งเล่นเครื่องบินกระดาษ ปาแล้ววิ่งเก็บไปทั่ว อรองค์เห็นอัศดายุอยู่ห่างออกไป ก็เอ่ยถามขึ้นกับวันดี
“คุณอัศเปลี่ยนครูมาหลายคนแล้วเหรอคะ”
“ครูคนก่อนๆไม่เอาใจใส่เธอ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ตอนแรกฉันนึกว่าเพราะคุณอัศเอาแต่ใจ แบบเด็กขาดแม่”
วันดีหันขวับมามองอรองค์ “อย่าพูดถึงเรื่องแม่กับคุณอัศเด็ดขาด”
“มีเรื่องอะไรร้ายแรงเกี่ยวกับแม่ของคุณอัศเหรอคะ”
วันดียังไม่ตอบ อรองค์ซักต่อด้วยสีหน้ากังวล
“ฉันถามเพราะจะได้ระวังคำพูดที่จะไปกระทบกระเทือนจิตใจคุณอัศ”
“คุณแขไข เมียคุณณไตรถูกผู้หญิงใจร้ายฆ่าตายที่ปาง”
“ตายจริง ใครคะ ผู้หญิงใจร้าย”
วันดียังไม่ทันตอบ อัศดายุวิ่งเก็บเครื่องบินมาใกล้ วันดีหยุดพูด
ณไตรเดินมาจากอีกทาง พออัศดายุเห็นณไตร ก็วิ่งโผเข้าไปกอด
อรองค์หันไปมองณไตรกอดหอมอัศดายุด้วยความรัก โดยมีธรรพ์แอบดูอยู่ ด้วยแววตาเสียใจที่เห็นลูกชายตัวเองในอ้อมกอดของพี่ชาย
ณไตรหันมาทางอรองค์ “ขาดเหลืออะไร ก็บอกนะครับ”
“ผมอยากได้สีกล่องใหม่ ผมจะวาดรูปให้ครูดูครับ คุณพ่อ” เด็กชายบอก
“ป้าวันดีช่วยไปซื้อสี สมุด ดินสอใหม่ๆ ให้ตาอัศด้วย”
“เจ้า”
วันดีเหลือบมองอรองค์ก่อนจะถอยออกไป อรองค์ยิ้มแย้มกับอัศดายุในตักณไตร
“คุณอัศรู้มั้ยคะว่าดอกไม้เรียกว่าอะไร”
อรองค์วาดรูปดอกไม้ลงบนกระดาษ อัศดายุผละจากพ่อ เข้ามาช่วยอรองค์วาด
อรองค์สอนคำศัพท์ง่ายๆ ณไตรนั่งยิ้มมองเพลิน
ที่ถนนหน้าร้านขายอาหารในเวียง เนื้อนางกับคำฝายเดินกันมา สีหน้าทุกข์ใจทั้งคู่เรื่องประกาย
“ตั๋วไม่อยากอยู่ที่คณะน้าบุญน่านแล้วจริงๆ เหรอ เนื้อนาง”
“ประกายทำไม่ถูกนะพี่คำฝาย อยู่ๆ ไป เดี๋ยวก็ต้องมีเรื่องกันอีก ประกายไม่ยอมเป็นแค่เมียน้อยใครหรอก จำตอนที่อยู่ในคุ้มเจ้าแสนพรหมไม่ได้เหรอ”
“เฮ้อ ก็จริงนะ มีเรื่องให้ตบกันสนั่นแน่ๆ เอาเถอะๆ ค่อยคิดหาทางกันอีกที แวะร้านนี้หาของอร่อยๆกินกันก่อน”
คำฝายดึงเนื้อนางเข้าไปด้านในร้านอาหาร พักเดียววันดีก็เดินผ่านมา ในมือถือถุงของ ท่าทางคุ้นเคยกับเจ้าของร้านที่เอ่ยทัก
“วันนี้มาซื้ออะไรล่ะ วันดี”
เนื้อนางได้ยินคำว่า วันดี ก็หันไปมอง เห็นวันดียืนอยู่หน้าร้าน เนื้อนางใจหายวาบ รีบดึงคำฝายหลบไปด้านใน สองคนแอบมองวันดีที่ยังยืนคุยกับเจ้าของร้าน
“ซื้อสีไม้สมุดวาดรูปให้คุณหนูน่ะ”
เนื้อนาง กับคำฝายหลบกัน ยืนมองวันดี
“ไม่ซื้อไปทีละเยอะๆ ล่ะ” เจ้าของร้านถาม
“แค่นี้ก็พอแล้ว ใช้อีกไม่เท่าไหร่หรอก เดี๋ยวพ่อเลี้ยงก็จะพาคุณหนูไปเรียนเมืองนอกแล้ว”
เนื้อนางได้ยินคำว่าเมืองนอก ก็ตกใจ
ด้านหน้าร้าน วันดีหยิบขนมใส่ไส้ที่วางขายในถาด ยื่นให้เจ้าของร้าน กับเงินค่าขนม
วันดีรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกจ้อง ขยับมองมาด้านใน เนื้อนาง คำฝายหลบกันตัวลีบเล็ก
วันดีขยับมองอีกที เห็นชาวบ้านที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ วันดีจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เจ้าของร้านยื่นถุงให้
“อ่ะ แถมให้สองชิ้น”
วันดีหันกลับมาสนใจคนขาย
“ขอบใจจ้ะ ไปนะ”
วันดีมองไม่เห็นใครน่าสงสัย ก็เดินออกไป
คำฝายโล่งใจ หันไปมองเห็นสีหน้าเนื้อนางเป็นกังวล
“คุณหนูจะไปเมืองนอก”
เนื้อนางกลับจากเวียง เดินเร็วรี่ เข้าบ้านบุญน่าน คำฝายเดินตาม
“มันไม่ใช่เรื่องของเรานะ เนื้อนาง แม่นายกับพ่อเลี้ยงไม่มีวันยอมให้ตั๋วเจอคุณหนู”
“แต่นี่จะไปเรียนเมืองนอกเลยนะ พี่คำฝาย ไปกี่เดือนกี่ปีก็ไม่รู้”
เนื้อนางใจหาย สายตาเศร้า
“ไม่ใช่ลูก ก็เหมือนลูก คุณหนูกินนม เลือดในอกเนื้อนางมาตั้งแต่เกิด”
“เชื่อพี่นะเนื้อนาง ตัดใจซะ ยังไงคุณหนูก็ไม่ใช่ลูกตั๋ว เค้าเป็นลูกพ่อเลี้ยงกับแขไขที่ตายไปแล้ว”
คำฝายเดินห่างออกไป ทิ้งให้เนื้อนางคิดตามลำพัง
ประกายเดินมาจากอีกทาง ตรงมาที่เนื้อนาง
“เธอจะอยู่ที่นี่ต่อใช่มั้ย”
เนื้อนางหันไปมองประกาย
“ตอนนี้ฉันไม่ใช่แค่ลูกจ้าง ฉันก็เป็นเมียพี่บุญน่านคนนึง เธอเป็นเพื่อนฉัน ยังไงฉันก็ต้องเห็นเธอดีกว่าพวกรัญจวน ฉันจะบอกน้าบัวตองให้ขึ้นเงินค่ารำให้เธอ”
“ไม่ต้องหรอก ประกาย ฉันไม่คิดจะสบายทางลัด”
ประกายหน้าชาคิดว่าเนื้อนางด่าตัวเอง
“เธอมันหยิ่ง หัวดื้อ ใครๆเค้าก็อยากสบายทั้งนั้น ทำไมเธอถึงไม่อาศัยวาสนาของฉันตอนนี้ จะได้สบายไปด้วย”
“วาสนาควรมาจากความดี ความเพียรของตัวเอง ไม่ใช่มาจากเรื่องผิดศีลธรรม”
ประกายย้อน “เธอไม่เคยทำผิดเลยล่ะสิ วาสนาของเธอมันก็มาจากที่มีผัวเป็นพ่อเลี้ยงเหมือนกันนั่นแหละ”
“ฉันกับหนานไตรเรารักกันมาก่อน เราแต่งงานกันอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ฉันไม่เคยนอกใจหนานไตร”
เนื้อนางมองประกาย สายตาเป็นห่วงอย่างจริงใจ อยากเตือนสติเพื่อน
“ชีวิตคนเราต้องมีศักดิ์ศรีนะ ประกาย ถ้าเธอรักน้าบุญน่านจริงๆ ฉันก็ไม่ว่า แต่ถ้าเธอจะทำตัวเป็นเหลือบไร คอยสูบเลือดเนื้อผู้ชายเพื่อความสุขสบายวันนึงเธอนั่นแหละที่จะไม่เหลืออะไรเลย แม้กระทั่งความภูมิใจในตัวเอง”
“ฉันไม่ต้องการความภูมิใจ ฉันต้องการเงิน ความสุขสบาย เธอจะไปลำบากที่ไหนก็เชิญเถอะแต่ฉันไม่ไปด้วยอีกแล้ว”
ประกายหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไปทันที ทิ้งให้เนื้อนางยืนหน้าเศร้า ผิดหวังอยู่คนเดียว
“ฉันคงเตือนเธอได้แค่นี้ ประกาย”
เนื้อนางมองไปทางรั้วสายตาคล้ายตัดสินใจบางอย่าง แล้วเดินเร็วรี่ออกไปทันที โดยไม่มีใครเห็น
อ่านต่อหน้า 4
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 12 (ต่อ)
ขณะเดียวกัน ณไตร แสงคำ และม่อนดอย ยืนมองอรองค์ที่กำลังสอนเด็กสะกดคำอยู่ในห้องเรียน จากหน้าเรือนพักของแสงคำ ณไตรเอ่ยขึ้น
“ครูอรองค์เค้าอยากมาที่นี่ ฉันฝากนายดูแลด้วยนะ แสงคำ”
“ทำไมไม่ฝากม่อนดอย ไอ้แสงคำมันเกลียดครูอรองค์จะตาย”
แสงคำมองตาขุ่น ม่อนดอยยักคิ้วทะเล้น
“อย่าทะลึ่งน่ะ ม่อนดอย ครูอรองค์เค้าไม่เหมือนผู้หญิงแถวนี้ ฉันจะเข้าไปดูเรื่องตีตราไม้ ไปม่อนดอย ไปกับฉัน”
“ให้ผมไปกับพ่อเลี้ยงดีกว่า”
“ไม่ต้อง นายคอยดูแลครูอรองค์ที่นี่แหละ เผื่อเค้าต้องการอะไร แล้วถ้าเค้าขี้เกียจรออยากกลับบ้านหิมวัตก่อน ก็ช่วยไปส่งเค้าด้วย”
ณไตรคว้าคอม่อนดอยออกไปทางด้านในปาง
แสงคำหันไปมองอรองค์แบบไม่ค่อยเต็มใจ แต่สักพักก็ค่อยๆ หันสายตากลับมามองอีกครั้ง อรองค์กำลังสอนเด็กหันมาเห็นแสงคำที่ยืนจ้องอยู่ก็สบตาแบบเชิดๆ ไม่ชอบขี้หน้า หันกลับไปทางเด็กๆ
แสงคำทอดสายตามองอรองค์
อีกฟาก ที่บ้านหิมวัต อัศดายุถือลูกบอลมอง ธรรพ์ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“ครูอรองค์ไม่อยู่ ...ให้พ...” ธรรพ์อยากจะพูดว่าพ่อแต่ไม่กล้า “อาธรรพ์เล่นกับอัศได้มั้ยครับ”
อัศดายุถอยหนี
ธรรพ์ยิ้ม “วันนี้อาอาบน้ำมาแล้วนะครับ รับรองไม่เหม็น”
อัศดายุยิ้มพยักหน้าให้ แล้วอุ้มลูกฟุตบอลออกไปกลางสนามหญ้า ธรรพ์ตามไปติดๆ
อัศดายุกำลังเล่นเตะบอลกับธรรพ์ วันดีเดินเอาขนมมาวาง มองไปบนฟ้า เห็นเมฆครึ้มๆ มาแต่ไกล
“คุณหนูเข้าบ้านก่อนมั้ยเจ้า เดี๋ยวจะโดนละอองฝน”
อัศดายุไม่สนใจ เตะบอลกับธรรพ์ด้วยความเพลิดเพลิน วันดียืนยิ้มมอง คอยรอรับใช้
ส่วนที่บ้านพักบุญน่าน เนื้อนางเดินเลาะข้างตัวบ้านมา เห็นแมงมันกับนางรำกำลังกินผลไม้ นินทาผู้ชายที่มาโค้งกันอย่างสนุกปาก เนื้อนางอาศัยจังหวะทุกคนกำลังหัวเราะ เดินไปที่ประตู แล้วหลบออกไปอย่างรวดเร็ว
ฟากแสงคำยังยืนมองอรองค์กำลังสอนเด็กๆ อยู่
“เดี๋ยวกลับบ้าน กินข้าวแล้ว ครูมีเวลาให้เล่นครึ่งชั่วโมงนะคะ แล้วเราค่อยกลับมาเรียนกันต่อ”
เด็กๆ รับ “ค่ะคุณครู” / “ครับ คุณครู” พร้อมเพรียง
เด็กไหว้แล้วพากันออกไป อรองค์ยิ้มมองเด็กๆ
แสงคำลงจากเรือน เดินเข้ามาหา อรองค์กำลังเก็บของ พอเห็นแสงคำก็ถามขึ้น
“ที่นี่มีโรงเรียน แล้วครูล่ะ เคยมีครูหรือเปล่า”
แสงคำคิดย้อนภาพตอนเนื้อนางเคยเป็นครูที่นี่
“เคยมี”
“แล้วหายไปไหน”
“ไม่เห็นก็แสดงว่าไม่มีแล้ว จะถามให้ได้อะไร กลับไปบ้านหิมวัตได้แล้ว”
“คุณณไตรล่ะ ฉันจะกลับพร้อมคุณณไตร”
“พ่อเลี้ยงอยู่ในปางด้านใน ไม่รู้จะออกมาเมื่อไหร่”
“งั้นฉันก็จะรอ เพราะฉันจะกลับกับคุณณไตรคนเดียว”
อรองค์เดินถือหนังสือออกไป แสงคำมองแล้วหงุดหงิด แต่ก็ต้องจำใจเดินตามไป
ที่สนามหญ้าบ้านหิมวัต ธรรพ์กำลังเตะบอลอยู่กับอัศดายุอย่างสนุกสนาน อัศดายุหัวเราะเสียงใส วันดีคอยมอง ธรรพ์ส่งบอลไป อัศดายุรับไม่ได้ บอลกลิ้งไปด้านหลัง อัศดายุวิ่งตามไปเก็บบอลทันที
“คุณหนู อย่าวิ่งเจ้า”
“อย่าวิ่ง ตาอัศ เดี๋ยวอาเก็บให้”
ธรรพ์วิ่งตามไปอีกไม่ไกล เขาชะงักกึก เมื่อเห็นอัศดายุหยุดยืนมองบางอย่างอยู่
ธรรพ์มองเห็นมือใครคนหนึ่งที่ก้มลงเก็บบอลขึ้นมา ธรรพ์เห็นหน้าชัดๆ แล้วตกตะลึง คาดไม่ถึง
“เนื้อนาง”
เป็นเนื้อนางที่เป็นคนถือบอลอยู่ตรงหน้าเด็กน้อย
ธรรพ์นึกไม่ถึงว่าจะเจอเนื้อนางอีกครั้ง ด้านหลังวันดีตามมาเห็นก็ชะงักมอง คาดไม่ถึง
อัศดายุเอ่ยขึ้น “อาธรรพ์ บอลของผม”
เนื้อนางย่อตัว ยิ้มชื่น ยื่นบอลให้อัศดายุ แววตามีแต่ความตื้นตัน
“คุณหนู คุณหนูใช่มั้ยคะ”
อัศดายุคว้าบอลมา ธรรพ์เดินมาใกล้ วันดีรีบตรงดิ่งเข้ามา
เนื้อนางไม่สนใจใครนอกจากเด็กน้อยตรงหน้า ยื่นมือไปแตะแขนอัศดายุด้วยความคิดถึง
“คุณหนูของเนื้อนาง น่ารักเหลือเกิน”
“อย่าแตะคุณหนู”
วันดีกรีดเสียงขึ้นทันที อัศดายุตกใจตามเสียงห้ามของวันดี
“อย่ามาจับเรา” เด็กชายบอก
อัศดายุปาบอลใส่เนื้อนางอย่างแรง เนื้อนางไม่ทันตั้งตัว โดนบอลอัดเข้าหน้า ล้มลงหัวกระแทกพื้น
ธรรพ์ตกใจรีบวิ่งมา “เนื้อนาง”
“ใครก็ไม่รู้ เค้าจะจับผม” อัศดายุบอก
“ไม่ใช่ ตาอัศเค้าไม่ได้ทำร้ายหนู”
วันดีรีบเข้ามาดึงอัศดายุออกห่างเนื้อนาง
ธรรพ์รีบช้อนร่างเนื้อนางที่สลบ มีเลือดอาบขมับขวาขึ้นมา
“เนื้อนาง...เนื้อนาง”
คำฝายวิ่งลงมาจากด้านบน มากลุ่มรัญจวนที่กำลังนั่งกินผลไม้อย่างสบายอารมณ์
“พวกแกเห็นเนื้อนางมั้ย”
กำปุ้งแหวใส่ไม่แยแส “อย่ามารบกวนเวลาพักผ่อนของพวกฉัน”
สร้อยฟ้าแขวะ “แกเฝ้าประสาอะไรของแก ทุกทีเห็นตัวติดกัน”
แมงมันเดินถือถุงกล้วยแขกเข้ามา คำฝายรีบหันไปทางครูสอนเต้น
“พี่แมงมัน เห็นเนื้อนางมั้ย”
แมงมันส่ายหน้าเพราะกำลังกัดกล้วยแขก
“เนื้อนาง...เนื้อนางหายไปไหน...หรือว่า...” คำฝายสังหรณ์ใจ “บ้านหิมวัต”
ร่างเนื้อนางถูกธรรพ์อุ้มเข้ามาวางบนที่นั่ง วันดีจูงอัศดายุ เดินเร็วตามหลังมา
“โยนมันออกไปเถอะ คุณธรรพ์อย่าให้มันเข้ามาในบ้านเราอีก”
“เห็นหรือเปล่า ป้าวันดี เนื้อนางหัวแตก เลือดอาบอย่างนี้ จะจับเค้าโยนออกไปได้ยังไง ให้คนไปรับหมอเทพทัตมา”
ธรรพ์สั่ง แต่วันดียังยืนนิ่ง ธรรพ์ตวาดซ้ำ
“ยืนเฉยอยู่ทำไม ไปสิ”
วันดีจำต้องถอยออกไป ธรรพ์หันมามองเนื้อนางที่สลบอยู่ด้วยสายตาแปลกใจที่เห็นเนื้อนางกลับมาอีกครั้ง
ณไตรกับม่อนดอยเดินออกมาจากปางด้านใน ม่อนดอยถามขึ้น
“พ่อเลี้ยงจะกลับหิมวัตเลยมั้ย”
“กลับเลย ป่านนี้ครูอรองค์คงให้แสงคำไปส่งแล้วล่ะ”
ณไตรเดินเลี้ยวม่อนดอยตามไป
อรองค์นั่งรอชะเง้อมองรอณไตร แสงคำมองความมืดยามเย็นแล้วพูดขึ้น
“กลับได้แล้ว”
“ก็บอกว่าฉันจะรอกลับพร้อมคุณณไตร”
“ไม่รู้พ่อเลี้ยงจะออกมาเมื่อไหร่ฉันไปส่งก็ได้ พ่อเลี้ยงสั่งไว้”
“ฉันไม่รีบ รอได้”
“ไม่ต้องรอ กลับเดี๋ยวนี้” แสงคำชักหงุดหงิดรำคาญ
“เอ๊ะ แล้วทำไมนายต้องมาเร่งให้ฉันกลับด้วย”
แสงคำมีท่าทางอึดอัด สายตาอรองค์มองเป็นคำถาม แสงคำพูดออกมา
“ที่นี่ผีดุ”
“ในปางมีผีด้วยเหรอ” ครูสาวคนสวยตื่นเต้น
“มี หลอกคนงานจับไข้หัวโกร๋น อยู่ไม่ได้หลายคนแล้ว”
อรองค์หัวเราะเบาๆ อย่างไม่เชื่อ “ผีใคร ดุจัง”
“ผีผู้หญิงชื่อแขไขเค้าตายที่นี่”
อรองค์หยุดหัวเราะทันที มองแสงคำ
“คนงานเชื่อกันว่าวิญญาณตายโหงของแขไขยังไม่ไปไหน วนเวียนอยู่แถวเรือนเนื้อนางเก่า ใกล้ๆโรงเรียนที่เธอสอนนั่นแหละ”
เห็นอรองค์ลุกขึ้น แสงคำยิ้มเยาะ
“กลัวล่ะสิ จะกลับเลยใช่มั้ย”
“ฉันไม่กลับ ฉันอยากเห็นว่าที่นี่มีผีแขไขจริงๆ”
อรองค์มองมาด้วยสายตาดื้อดึง แสงคำมีสีหน้าอ่อนใจ
ผ่านไปสักระยะแล้ว เนื้อนางยังนอนสลบอยู่ มีธรรพ์คอยดูอาการใกล้ๆ เด็กชายอัศดายุมองด้วยแววตาสงสัย ถามขึ้น
“ใครครับ อาธรรพ์”
ธรรพ์มองอัศดายุแล้วบอก “แม่นมของอัศครับ”
อัศดายุสงสัย “แม่นม...แปลว่าแม่เหรอครับ”
ธรรพ์สะท้อนใจ ยังไม่ตอบ วันดีเดินเข้ามากับหมอเทพทัต ธรรพ์หันไปมอง
“พี่หมอ ช่วยดูเนื้อนางด้วย”
เทพทัตมองเนื้อนางแล้วถามธรรพ์
“ณไตรรู้หรือยังว่าเนื้อนางอยู่ที่นี่”
“ยัง เดี๋ยวผมจะให้คนไปบอก แต่ตอนนี้พี่ดูเนื้อนางก่อน”
เทพทัตเปิดกระเป๋า เอาผ้ากอซออกมากดแผลห้ามเลือด
ธรรพ์หันไปสั่งวันดี “พาอัศไปที่ห้อง”
วันดีมีสีหน้าเครียด มองจ้องร่างเนื้อนางอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินไปจูงมืออัศดายุไปทางห้อง แต่ก็ไม่วายเหลียวหลังมามองเนื้อนางด้วยสายตากังวล
ธรรพ์มองเนื้อนาง ที่เทพทัตกำลังล้างแผล พลางถามธรรพ์อีก
“แล้วแม่นายล่ะ”
“ไปพระนครกับจันตา น่าจะอีกหลายวันถึงจะกลับครับ”
“ดีแล้ว ไม่งั้นเป็นเรื่องแน่”
เทพทัตโล่งใจ สองหนุ่มมองเนื้อนางอย่างไม่สบายใจ เพราะรู้ว่าจะเกิดเรื่องถ้าเนื้อนางมาที่นี่อีก
ส่วนในเรือนสำนักงานที่ปางหิมวัต อรองค์ทำหน้าตาดื้อดึง แสงคำมองอย่างหงุดหงิด
“ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ ที่จะมาตามหาผี”
“ฉันไม่เชื่ออะไรที่ไม่เห็นด้วยตาตัวเอง”
“ถ้าคุณกลัวผีจนจับไข้ คนที่เดือดร้อนไม่ใช่คุณ”
“ฉันจะบอกคุณณไตรเอง ว่าฉันเต็มใจจะอยู่ที่นี่ รอเจอผี”
อรองค์มองไปรอบๆ บรรยากาศเริ่มมืดลง ทั้งปางเงียบ สงัด ใบไม้พัดตามแรงลม
“เออ..อยากอยู่ก็อยู่ ฉันจะได้สมน้ำหน้าตอนกลัวผี วิ่งหนีไปไหนไม่รอด”
แสงคำมองหมั่นไส้ หันหลังให้ อรองค์ไม่สนใจ วิ่งลงจากเรือนไป แสงคำตกใจหันมามอง รีบตามไป
เนื้อนางยังนอนสลบ ธรรพ์มองจนหมอเทพทัตทำแผลให้เสร็จ มีผ้ากอซเล็กๆปิดที่ขมับขวา เนื้อนางลืมตาฟื้นขึ้นมา วันดีที่ยืนมองอยู่พูดขึ้นทันที
“มันฟื้นแล้ว จับมันส่งตำรวจเลยเจ้า”
เนื้อนางได้สติ มองไปรอบๆ วันดีพุ่งเข้าไปจับยึดข้อมือเนื้อนาง
“ต้องล่ามโซ่มันส่งให้ตำรวจ”
“อย่า”
เนื้อนางปัดป้อง แต่วันดีไม่ยอม บีบข้อมือเนื้อนางแน่น
“ปล่อยเนื้อนางก่อน ป้าวันดี” เทพทัตสั่ง
“ปล่อยไม่ได้เจ้า มันเป็นฆาตกร มันฆ่าคุณแขไขที่ปาง”
“เนื้อนางไม่ได้ฆ่าใคร เนื้อนางถูกใส่ร้าย”
เนื้อนางบอก สะบัดสุดแรง หลุดจากมือวันดีได้ ก็หันหลังวิ่งทันที
ธรรพ์ตะโกนก้อง “เนื้อนาง...อย่าหนี”
วันดีวิ่งตามเนื้อนางไปก่อน ธรรพ์วิ่งตามไป เทพทัตมองตามหน้าเครียด
เนื้อนางกำลังวิ่งหนี ด้านหลังวันดีวิ่งตามมา “หยุดนะ นังเนื้อนาง”
ธรรพ์วิ่งแซงวันดีขึ้นไป “เนื้อนาง กลับมา เนื้อนาง”
วันดีรีบวิ่งตามธรรพ์กับเนื้อนาง
ส่วนอรองค์วิ่งมาที่หน้าเรือนเนื้อนางที่ตอนนี้แสงคำอาศัยอยู่ มีแสงคำวิ่งตามมาด้านหลัง
“ครูอรองค์ กลับบ้านหิมวัตได้แล้ว”
อรองค์ไม่ฟัง อยู่ๆ ลมพัดแรง ต้นไม้โอนเอน เสียงหวีดหวิวดังไปรอบๆ
“ผีแขไข ผีแขไขมาแล้วใช่มั้ย”
แสงคำมองระวัง ต่างกับอรองค์ที่ท่าทางตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นมาก
เย็นจวนค่ำ ขณะเนื้อนางวิ่งหนีมา แต่เริ่มอ่อนแรง วิ่งช้าลงๆ เนื้อนางเหลียวหลัง ธรรพ์วิ่งเข้ามาใกล้ก็รีบวิ่งหนี แต่ธรรพ์พุ่งเข้ารวบตัวเนื้อนางไว้ทันที
“ปล่อยฉัน ปล่อย”
เนื้อนางสะบัด แต่ธรรพ์รัดแน่นไม่ปล่อย
“เธอต้องอยู่ก่อน เนื้อนาง เราต้องการความจริง”
ณไตรรู้จากทัตเทพตามมาทัน ก้าวเข้ามาเห็นภาพธรรพ์ที่กอดรัดยื้อยุดเนื้อนางไว้ พ่อเลี้ยงมองตาขุ่น
“นี่สินะ ความจริง ของหญิงร้ายชายเลว”
เนื้อนางหันขวับไปมองณไตร ธรรพ์ปล่อยร่างเนื้อนางทันที วันดีวิ่งมาด้านหลัง ทุกคนมองณไตรที่เจอเนื้อนางอีกครั้ง ณไตรก้าวเข้ามา สายตาจับจ้องมองที่ร่างเนื้อนาง
เนื้อนางมองณไตร สองสายตาประสานกันหลากอารมณ์ทั้งคิดถึง ทั้งเจ็บปวด
“เนื้อนาง เธอหายไปไหนมา ฉันตามหาตัวเธอ กี่ปีกี่เดือน ฉันไม่เคยลืมว่าเธอทำอะไรไว้บ้าง”
“เนื้อนางก็ไม่เคยลืมว่า คนบ้านหิมวัตทำลายชีวิตเนื้อนางมากแค่ไหน”
ณไตรพุ่งเข้าไปกระชากข้อมือเนื้อนางเต็มแรง เนื้อนางที่ยังอ่อนเพลียพยายามดึงแขนออก
“ปล่อย”
“ฉันปล่อยเธอหนีไม่ได้อีกแล้ว”
“ปล่อย เนื้อนาง...เนื้อนาง...ไม่ผิด”
ณไตรกระชากแรง จนร่างเนื้อนางปลิวมาปะทะในอก ณไตรจ้องเนื้อนางหมดแรง ทรุดลง
ณไตรรีบช้อนร่างเนื้อนางขึ้นมาวันดีพูดขึ้นทันที
“วางมันลงเถอะเจ้า รีบจับมันส่งไปให้ท่านนายพลยศกร”
“เราต้องได้สะสางคดีแขไขแน่ๆ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ รอให้เนื้อนางฟื้นขึ้นมาก่อน เค้าจะไม่มีวันหนีไปไหนได้อีก”
ณไตรอุ้มร่างเนื้อนางที่สลบออกไปท่ามกลางสายตาธรรพ์กับวันดี
ฝ่ายอรองค์อยู่บนเรือนเนื้อนาง มองบรรยากาศที่ลมพัดแรง ใบไม้ปลิวว่อน ก็หันมาถามแสงคำ
“ไหนล่ะ ผีแขไข”
“เธอบ้าหรือเปล่า ถามหาผีอยู่ได้”
“ฉันไม่กลัวหรอกนะ ฉันอยากเห็น เมียคุณณไตรที่ถูกฆ่าตาย”
แสงคำได้ยินก็พรวดเข้ามากระชากมือ จ้องหน้าอรองค์อย่างเข่นเขี้ยว
“ใครบอกว่าแขไขถูกฆ่า”
“คุณแขไข เมียคุณณไตรถูกฆ่าตายที่นี่ ที่เรือนนี้ใช่มั้ย”
อรองค์ซักไม่หยุด แสงคำมองจ้องอรองค์อย่างไม่พอใจ
ณไตรวางร่างเนื้อนางลงบนเตียง เนื้อนางค่อยๆ ได้สติ ลืมตาขึ้นมามองเห็นณไตรอยู่ตรงหน้า
“หนานไตร”
ณไตรมองเนื้อนางแล้วจับไหล่ขึ้นมา “เธอหายไปไหนมา”
เนื้อนางมองเห็นสายตาคาดคั้นของณไตรก็นึกน้อยใจ
“คุณอยากให้เนื้อนางตอบว่าอะไร”
“เธอหายไปอยู่กับคณะรำ”
“ใช่ เนื้อนางมีผู้ชายมาโค้งขอรำ ขอเต้นด้วยทุกคืน”
ณไตรฉุนบีบไหล่เนื้อนางด้วยความเจ็บใจ
“อย่าท้าทายฉัน เนื้อนาง เธอทำอะไรผิดไว้บ้าง รู้ตัวมั้ย
“ไม่ เนื้อนางไม่ผิดอะไรเลย เนื้อนางไม่ได้ฆ่าคุณแขไข เนื้อนางไม่ได้นอนกับคุณธรรพ์”
ณไตรโมโห กระชากเนื้อนางขึ้นเผชิญหน้า
“ปากแข็ง ไม่ว่ากี่ปีกี่ปี เธอมันก็ผู้ร้ายปากแข็ง”
“เนื้อนางจะไม่ยอมรับผิดในสิ่งที่เนื้อนางไม่ได้ทำ”
“แต่ก็หนีหายไปซะหลายปี แล้ววันนี้ที่เธอกลับมา กลับมาหาใคร ฉันหรือไอ้ธรรพ์”
ณไตรเหวี่ยงเนื้อนางลงไปกับเตียงอย่างแรงด้วยความโมโหสุดขีด
อรองค์มองแสงคำที่อยู่ใกล้แค่ลมหายใจรดกัน
“มีคนบอกว่าคุณแขไข เมียคุณณไตรถูกฆ่าตายที่นี่”
“ไม่ใช่! เมียพ่อเลี้ยงชื่อเนื้อนาง”
แสงคำเสียงเข้มอย่างเดือดร้อนแทน
“เนื้อนางเป็นใคร...คนฆ่าคุณแขไขใช่มั้ยที่ชื่อเนื้อนาง”
แสงคำมองอรองค์สีหน้าโกรธจัด “เนื้อนางไม่เคยฆ่าใคร”
สิ้นเสียงแสงคำ ฟ้าผ่าดังเปรี้ยง อรองค์สะดุ้งกรี๊ดสุดเสียง แสงคำรวบอรองค์มาใกล้ มองระวังไปรอบๆ
เห็นเงาหลังเรือนเนื้อนางวูบไหว แสงคำหันไป
“แขไข”
อรองค์เงยหน้าจากอกแสงคำ มองตามไปทางหลังเรือนทันที
ม่อนดอยวิ่งมา ยกปืน เล็งไปทางหลังเรือน แล้วยิงเปรี้ยง เงาวูบหายไปในความมืดอย่างเร็ว
อรองค์ในอกแสงคำ ตกใจ ยกมือปิดหู แสงคำหันมองม่อนดอย
“ผีแขไขอาละวาดอีกแล้ว”
ด้านณไตรจ้องเนื้อนาง ด้วยสายตาแข็งกร้าว น้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“คุณหายไปไหน ทำอะไรกับใครมาบ้าง”
“คุณจะอยากรู้ทำไม ในเมื่อคุณไม่เคยเชื่อใจเนื้อนาง”
“แล้วคุณทำตัวให้ผมเชื่อใจได้บ้างมั้ย ทำไมคุณไม่กลับมาหาผมก่อน ทำไมคุณต้องกลับมาเจอไอ้ธรรพ์เนื้อนาง ทำไมไม่เป็นผมที่คุณกลับมาเจอคนแรก”
“เนื้อนางมาหาคุณหนู เนื้อนางไม่ได้ตั้งใจมาเจอใครทั้งนั้น นอกจากคุณหนู”
“โกหก”
“ถ้าคิดว่าเนื้อนางโกหกก็อย่าฟัง ปล่อยเนื้อนาง เนื้อนางไม่ได้มาหาคุณ”
เนื้อนางดันณไตรไม่ยอม รวบเนื้อนางไว้ เนื้อนางมองจ้อง โต้กลับ
“ตลอดเวลาที่หายไป เนื้อนางสบายดี มีความสุข ไม่เคยคิดถึงคุณเลย”
“แต่ผมคิดถึงคุณทุกลมหายใจ คิดถึงแววตาใสซื่อ คิดถึงใบหน้าหวานๆ ที่เอาไว้หลอกขยี้หัวใจผู้ชายทุกคน คุณไม่คิดถึงผม ลืมผมไปแล้วก็ไม่เป็นไร วันนี้ ที่นี่ผมจะทบทวนความทรงจำของเราให้คุณเอง”
ณไตรก้มลงจูบเนื้อนางอย่างรุนแรง บดขยี้เธอด้วยความรู้สึกอัดอั้นทั้งหมดภายในใจตลอดเวลา 5 ปีเต็ม
อ่านต่อตอนที่ 13