xs
xsm
sm
md
lg

พราว ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พราว ตอนที่ 12

แฟรงค์ยืนปรบมือตามจังหวะเพลงเพื่อกระตุ้นเด็กวัยรุ่นชายหญิงที่กำลังเต้นตามเทรนเน่อร์ที่จ้างมาสอน โดยที่มิกิกับมาร์คก็มาเรียนอยู่ด้วย ขณะที่บอยเต้นแบบบิดสะโพกไปมา จนเอมี่ต้องหันไปสะกิดบอกแฟรงค์
 
“โน่นเจ๊ ดูน้องชายเจ๊ดิ ติดเชื้อมาจากเจ๊ปล่าวเนี่ยะ”
แฟรงค์อ้าปากค้าง เดินปรี่เข้าไปหาบอยทันที
“อี อุ้ย ไอ้บอย มานี่เลยแก”
พูดพลางรีบลากคอเสื้อบอยออกจากห้องไป ก่อนจะหันมาพูดแกมบังคับน้องชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าฉันเห็นแกเต้นเป็นตุ๊ดฝึกหัดอีกทีล่ะก็ ฉันจะส่งแกไปฝึกทหาร”
“เป็นผู้ชายเต้นไม่ได้เหรอครับ”
บอยเถียงกลับไปแบบขำๆ ทำเอาแฟรงค์ถึงกับของขึ้น
“ฉันไม่ขำกะแกด้วยนะไอ้บอย แกต้องเป็นแมนเข้าใจมิ ? อย่าริอ่านเป็นตุ๊ด ตระกูลอุดมนุชของเรา เหลือแค่แกกะฉันอยู่ 2 หน่อ ก็ต้องเป็นแกที่จะต้องสืบทอดตระกูลอุดมนุช มีเมีย ปั๊มลูกปั๊มหลานต่อไป”
“พี่แฟรงค์คร้าบนี่ผมว่าผมก็แมนแล้วนะครับ พี่ยังไม่ไว้ใจผมอีกเหรอ”
แฟรงค์ส่ายหน้า ท่าทางขึงขัง “ยังแมนไม่พอ แล้วฉันจะช่วยฝึกแกให้แมนมากกว่านี้อีกแรงนึง”
บอยถอนหายใจเฮือก
“แล้วนี่พราวยังไม่ตื่นอีกเหรอเจ๊” เอมี่ที่เดินตามออกมา ถามขึ้นมาเบาๆ
“วันนี้ไม่มีงาน ปล่อยให้เค้าพักไป”
“เราต้องเทคิวพราวให้ละครแล้วนะเจ๊ อีก4-5คิว ก็ปิดกล้องแล้ว”
“เออ ให้ๆไป ปิดๆ ซะที พราวจะได้มีเวลาเตรียมตัวจัดงานหมั้นอย่างเป็นทางการกับคุณติณห์ อุ๊ย แค่คิดก็ฟินแล้ว ฉันจะช่วยเนรมิตให้เป็นงานระดับชาติเลยคอยดู”
“แต่หลังๆนี่มีแต่ฉากบู๊ทั้งนั้นเลยนะเจ๊”
เอมี่ออกแนวกังวล แฟรงค์ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ต้องพึ่งสแตนด์อินอีกแล้วล่ะซิ”

พราวยังอยู่ในชุดนอนกรุยกรายราวกับเจ้าหญิง นั่งเอนตัวเหยียดยาวอยู่ที่เก้าอี้เดย์เบด ตามองไปที่จอทีวี ที่หรี่เสียงเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยินเสียง เห็นแต่ภาพเคลื่อนไหวที่นักข่าวถ่ายมาจากหัวหิน เป็นตอนที่ติณห์คุกเข่ายื่นแหวนขอหมั้นเธอ
เธอดูข่าวไปพลาง มือก็จับแหวนหมั้นของติณห์ที่นิ้วไปด้วย ไม่ได้รู้สึกดีใจปลาบปลื้มอะไรเลย จนกระทั่งกล้องจับไปที่สมชาย ซึ่งยืนมองอยู่ใกล้ๆ หัวใจเธอก็กระตุก รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที จนต้องรีบกดปิดทีวี สงบจิตชั่วครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นมาดูแหวนที่นิ้ว พร้อมๆ กับที่ติณห์โทร. เข้ามือถือมาพอดี
“คู่หมั้นที่แสนดีของเธอโทรมาแล้วพราว เลิกฝันลมๆแล้งๆถึงนายสมชายซะเถอะ”
พราวกดรับสาย พร้อมกับลุกขึ้นเดินไปที่ยืนที่ระเบียง พยายามหลอกตัวเองให้สดใส
“มอนิ่งค่ะคุณติณห์”
“มอนิ่งครับเสียงสดใส สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหมครับ”
“มั้งคะ คุณเองก็เตรียมตัวไม่สบายใจบ่อยๆนะคะ อยู่กับพราว-พิชญาดา ชีวิตจะคู่กับข่าวกระดิกตัวนิดนึงก็เป็นข่าวแล้ว”
ติณห์ยิ้มร้าย แต่แสร้งปั้นเสียงเป็นผู้ชายแสนดี
“ผมเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับทุกสถานการณ์ตั้งแต่บอกกับตัวเองว่าผมจะทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะใจพราวให้ได้ แล้ววันนี้ ผมก็ทำสำเร็จ แหวนหมั้นของผม อยู่บนนิ้วของคุณ รักษาแหวนวงนั้นไว้ให้ดีนะครับ แหวนวงนี้ทำขึ้นเพื่อคุณพราวคนเดียวเท่านั้น”
พราวยิ้ม ยกมือขึ้นกรีดดูแหวน ไม่ได้นึกเอะใจกับคำพุดของติณห์
“นี่คุณทำแหวงวงนี้เพื่อฉันเหรอคะ รู้สึกตัวเองเป็นคนพิเศษมากเลย ฉันจะรักษาแหวนวงนี้ไว้ให้ดีที่สุดค่ะ”
“แล้ววันนี้ทำตัวให้ว่างไว้นะครับ ผมขอจองคิวคุณทั้งวัน บ่ายๆ เสร็จงานแล้ว ผมจะโทร. หา เราจะออกเดทกันอย่างเป็นทางการ”
พราวทั้งขำทั้งแปลกใจ “อย่างเป็นทางการด้วยเหรอคะ ? ออกเดทยังไง ?”
“ความลับครับ แล้วผมจะโทรไป สวัสดีครับ”
ติณห์วางสาย พลางยิ้มเยือกเย็น ก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าห้องๆ หนึ่ง พร้อมกับกดกริ่งหน้าห้อง ครู่เดียวประตูห้องเปิดออก จันทร์จรียืนอยู่ ใส่ชุดนอนเซ็กซี่ สีหน้าของเธอดูเศร้า ตาบวมแดงเหมือนผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน

“คุณติณห์ใจร้าย จรีตกเป็นของคุณเมื่อคืน วันรุ่งขึ้นคุณก็ไปขอนังพราวหมั้น คุณทำกับจรีได้ลงคอ ฆ่าจรีให้ตายซะดีกว่า”

ทันทีที่ติณห์ก้าวเข้ามาในห้อง จันทร์จรีเดินตามมากอดเขาทางด้านหลัง แล้วร้องไห้คร่ำครวญ ติณห์ยืนนิ่งอย่างรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมาเจอกับอะไร
 
“ผมถามคุณก่อนแล้วนะจรี ว่าแน่ใจนะว่าคุณรักผม คุณบอกว่ารัก ถึงผมจะมีใจให้คนอื่นคุณก็ยังรัก เป็นที่หนึ่งไม่ได้ คุณก็ยอมเป็นที่ 2 คุณจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับผม ก็นี่ไง ผมให้คุณได้ทำตามที่คุณต้องการแล้ว คุณได้กอดผม ได้อยู่กับผม อย่ามาเรียกร้องอะไรอย่างอื่นให้ผมหนักใจเลยนะ”
จันทร์จรีคร่ำครวญอะไรไม่ออก เรียกร้องอะไรก็ไม่ได้ เลยต้องมารยาออดอ้อนหวังมัดใจเขา
“แหม จรีไม่ใช่แม่พระนี่คะ สามีตัวเองไปหมั้นกับผู้หญิงอื่น จะได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไร จรีเป็นเมียนะคะ จรีก็ต้องหวงคุณ แค่หวงเฉยๆ ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้เลย”
ติณห์ยิ้ม พลางหันมาทำทีเป็นพูดปลอบ แต่ตั้งใจจะพูดเสี้ยมให้จันทร์จรีรู้สึกว่าเขาเป็นของเธอมากกว่า
“คุณก็รู้ดีนี่ว่าคุณเป็นเมีย คุณพราวก็แค่คู่หมั้นในทางพฤตินัย”
“ใช่ค่ะ นังพราวมันก็เป็นแค่หน้าตาทางสังคมภายนอก แต่จรีต่างหากที่เป็นคนๆ เดียวกับคุณแล้ว”
ติณห์ยิ้มน้อยๆพร้อมกับล้วงสร้อยเพชรราคาแพงออกจากกระเป๋ามาโชว์ต่อหน้าจันทร์จรี
“ถูกใจจรีไหม ?”
จันทร์จรีใส่จริตเต็มที่ “ถูกใจซิคะ จี้เพชรเม็ดใหญ่ สวยมาก”
“ผมเลือกมาเป็นพิเศษ สำหรับเมียของผม”
พูดพลางบรรจงสวมสร้อยให้ที่คอ จันทร์จรีเคลิ้ม เหมือนฝัน
“คุณสวยมาก สมแล้วที่เป็นคู่แข่งของพราว”
จันทร์จรียิ้ม หน้าเชิดอย่างทระนง
“แล้ววันนึงจรีต้องเหนือกว่าพราว ชนะพราวทุกอย่าง แล้วก็ชนะใจคุณด้วยนะคะคุณติณห์”
2 แขนของจันทร์จรี โอบไปรอบคอติณห์ พร้อมกับยื่นหน้าไปจูบเขา

ทางด้านพราวก็เลือกชุดสวยออกมาลอง พลางโพสท่าสวยอยู่หน้ากระจก พยายามทำตัวเองให้อยู่ในฐานะคู่หมั้นของติณห์ เพื่อช่วยให้เลิกคิดถึงสมชาย
“จะใส่ชุดไหนไปออกเดทกับคุณติณห์ดีน้า ออกเดทกับสุภาพบุรุษ มีรสนิยมอย่างคุณติณห์ ต้องดูดี มีระดับ”
แต่แล้วภาพของตัวเองกับสมชายเดินเลือกซื้อชุดถูกที่หัวหินก็แว่บขึ้นที่กระจก ถึงมันจะไม่หรูหราแต่ก็เปี่ยมสุข เธอรีบสลัดไล่ภาพฝันนั้นออกไป
“ภาพที่เห็นเป็นแค่มายา เราสร้างมันขึ้นมา เราพยายามปรุงแต่งมันให้เป็นความรักที่แสนหวานเหมือนในละคร แต่มันเป็นจริงไปไม่ได้ คุณติณห์เท่านั้น เค้าดีเยี่ยมยอด เป็นสุภาพบุรุษที่รักเราทำเพื่อเราได้ทุกอย่าง นึกถึงแต่หน้าเค้าไว้ พราว”
พลันแล้วเสียงมือถือก็ดังขึ้น พราวโยนชุดทิ้งลงบนเตียง บ่งบอกว่าในใจไม่ได้อยากออกเดทอะไรเลย “ฮัลโหล มีอะไรจ้ะมีน อะไรนะ?”

พราวนึกอยากรู้ทันทีเมื่อมีนบอกว่ามีเรื่องของสมชายจะบอก

ขณะที่แฟรงค์กำลังกำกับให้มาร์คช่วยเดินท่าแมนๆ ให้บอยทำตาม พราวก็เดินสะพายกระเป๋าลงมาจากห้องด้วยอาการร้อนใจ พลางพยายามคิดว่าจะหาทางออกไปจากบ้านยังไง
 
โดยที่แฟรงค์ไม่ห้ามหรือตามไปด้วย แล้วก็เห็นเอมี่เดินพูดโทรศัพท์ออกมาจากห้องทำงาน พออีกฝ่ายวางสายปุ๊บ พราวก็เข้าไปคว้าแขนทันที
“ไปกับฉันหน่อย”
พูดพลางเดินลากแขนเอมี่ พาเดินเฉียดๆ ไปที่แฟรงค์
“พี่แฟรงค์ เดี๋ยวพราวมานะ ไปช็อปปิ้งค่ะ ไปหยิบกระเป๋าแกมาดิ”
เอมี่รีบไปคว้ากระเป๋า ก่อนจะเดินตามพราวไปแบบงงๆ

พราวขับรถคันหรูเข้ามาที่บริเวณริมบึง จากนั้นก็ขับชะลอช้าๆ พร้อมกับกวาดตามองหา ก่อนที่จะจอดรถ แล้วเดินพุ่งตรงไปหามีน ที่นั่งรออยู่ที่ม้านั่งริมบึง เอมี่ลอบมองทั้งคู่อย่างแปลกใจ
“มีนมีเรื่องนายสมชายอะไรจะบอกฉันเหรอ ?”
“ก่อนที่จะบอกเรื่องบอดี้การ์ดสมชาย มีนมีเรื่อง เอ่อ ของคุณติณห์อยากจะบอกก่อนค่ะ”
พราวยิ่งอยากรู้ เอมี่เดินตามเข้ามายืนฟังด้วย
“วันที่คุณพราวเอ่อ ไปหัวหินกับบอดี้การ์ดสมชายน่ะค่ะ มีนไปงานแทนคุณ แล้วคุณติณห์ก็พามีนไปที่บ้านของเค้า เค้าก็เตรียมแหวนวงนั้นไว้ จะขอหมั้นน่ะค่ะ”
เอมี่ส่ายหัวดิก “โธ่เอ้ยมีน นึกว่ามีเรื่องตื่นเต้นเร้าใจอะไรซะอีก”
“มีค่ะ คุณจรีเค้าตามไปหึงหวงคุณติณห์ถึงบ้าน ไม่ยอมให้ขอหมั้น”
พราวตะลึงแทบไม่เชื่อหู
“ว่าไงนะ จรีมีสิทธิ์อะไรมาขวางฉันกับคุณติณห์”
เอมี่รีบเสริมทันควัน
“ใช่ นั่นบ้านคุณติณห์เค้า นางกล้าบุกเข้ามาตบตีพราวเลยเหรอ แล้วทำไมคุณติณห์ไม่ไล่มันออกไป”
“คุณติณห์ไม่ได้ห้ามเลยด้วยซ้ำค่ะ ปล่อยให้ตบตีกันอยู่อย่างนั้น มีนต้องเป็นฝ่ายพาตัวเองวิ่งออกจากบ้านมาเอง”
พราวขมวดคิ้ว ครุ่นคิด
“คุณติณห์ทำอย่างงั้นได้ไง ทำไมคุณติณห์ไม่ห้าม หรือว่าเค้ามัวแต่ตกใจ”
“มีนก็ไม่รู้ค่ะ แต่ตอนนั้นไม่ใช่มีแค่เค้าคนเดียวนะคะ มีคนขับรถอยู่ด้วย แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาห้ามเลย”
พราวเริ่มสับสน พลางก้มลงดูแหวนที่นิ้วนาง พยายามหาเหตุผลเข้าข้างติณห์
“คุณติณห์เค้าเป็นผู้ดีมีสกุล เค้าอาจจะไม่เคยชินเรื่องตบตีตลาดแตกแบบนี้ ก็เลยทำอะไรไม่ถูก ?”

อีกด้านหนึ่งจันทร์จรีซุกซบอยู่กับอกติณห์อย่างมีความสุข
“แหวนหมั้นที่นิ้วยัยพราวจะมีความหมายอะไร ในเมื่อตัวของเจ้าของแหวน จันทร์จรีนอนกอดอยู่นี่”
ติณห์เหลือบมองจันทร์จรี แล้วแอบยิ้มอย่างพอใจ จู่ๆ จันทร์จรีก็นึกถึงเรื่องสมชายขึ้นมาได้
“แล้วตกลง ยัยพราวกับไอ้บอดี้การ์ดสมชาย มีอะไรกันจริงๆ รึเปล่าคะ ?”
“ถ้ามี คุณพราวจะยอมตกลงรับหมั้นผมทำไม”
ติณห์แกล้งทำไม่เชื่อตามแผน
“แหม คุณติณห์ขา ยัยพราวเค้าเป็นถึงซูเปอร์สตาร์เบอร์ 1 นะคะ ถูกจับได้ ว่าแอบไปขลุกขลิกอยู่กับบอดี้การ์ดที่ทะเล 2 ต่อ 2 มันลดเกรด ดั๊มพ์ราคาตัวเองลงต่ำมากเลยนะ ยัยพราวก็เลยต้องใช้คุณมาอัพเกรดตัวเองไว้ไงคะ”
“ไม่มีหลักฐาน ไม่เห็นคาตา มันจะเป็นการใส่ร้ายป้ายสีเค้าเปล่าๆ ผมขอหลับสักงีบ บ่ายๆ ผมมีนัด”
ติณห์พูดเสี้ยมจบ ก็พลิกตัวออกจากจันทร์จรี แล้วก็แกล้งหลับตาลง จันทร์จรีลุกขึ้นจากเตียง พลางคิด

“อีพราว กูนี่แหละจะคอยตามแฉว่ามึงแอบกินกับไอ้บอดี้การ์ดเกรียนนั่น มึงไม่กระเด็นจากฐานะคู่หมั้นคุณติณห์ ก็ให้รู้ไป”

ติณห์แอบมองทางกระจกตู้ตรงหน้าที่สะท้อนให้เห็นแววตาของจันทร์จรี ที่พร้อมจะทำลายล้างพราวทุกวิถีทาง

“แล้วเรื่องนายสมชายที่มีนจะบอกฉันล่ะ มีอะไรเหรอ?”
พราววกกลับมาเข้าเรื่องสมชายที่เธอให้ความสนใจมากกว่าเรื่องของติณห์
“ตอนนี้บอดี้การ์ดสมชายเจ็บหนักค่ะ พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน”
หัวใจพราวหล่นวูบด้วยความเป็นห่วงเขา
“เค้าเป็นอะไร ตอนจากกันที่หัวหิน เค้าก็ยังสบายดีอยู่เลย”
“พอคุณพราวกลับไปแล้ว ก็มีไอ้โจรชื่อเจ๋งกับไอ้โม่งอีกคน เข้าไปรุมทำร้ายบอดี้การ์ดสมชายในบ้านพักค่ะ”
พราวใจหายวาบ พูดอะไรไม่ออก เหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่คอ เอมี่ก็พลอยตกใจไปด้วย
“ไอ้เจ๋ง ไอ้โจรค้ายามันตามไปถึงหัวหินเลยเหรอ แล้วอาการคุณสมชายหนักมากเลยเหรอ”
“ก็หนักอยู่ค่ะ ดีที่มีเอ่อ คนเข้าไปช่วย ไม่งั้นเค้าอาจจะตายก็ได้”
มีนยังไม่อยากบอกเรื่องสุดเขตต์กับตัวเองให้ใครรู้
“แล้วมาบอกฉันทำไม”
พราวเดินผละไปอย่างเจ็บปวด เอมี่ถอนใจ หันมาทำเสียงดุใส่มีน
“มีนก็ไม่น่าโทร. เรียกพราวมาบอกเรื่องนี้เลย ทำไมไม่ไปบอกเจ๊แฟรงค์ ก็รู้ๆ อยู่ว่าตอนนี้ชีวิตพราวกำลังวุ่นยังกับคิวรถ 2 แถว ทั้งเรื่องข่าว เรื่องนังจรี ทั้งเรื่องคุณติณห์ โอ๊ยเรียงแถวเข้ามาตรึม แล้วยังจะมาเรื่องนายสมชาย
ณ อัมพวาอีก”
“แต่มีนคิดว่า เรื่องบางเรื่อง คุณพราวควรจะรับรู้ด้วยตัวเองนะคะพี่เอมี่ โดยเฉพาะเรื่องคุณสมชาย ถึงเราจะทำเป็นไม่รู้กัน แต่เราก็รู้อยู่เต็มอก ว่าเค้าทั้งสองรักกันนะคะ”
เอมี่เถียงอะไรไม่ออก ได้แต่หยิบซองเงินออกมาจากกระเป๋า
“เจอกันพอดี นี่จ้ะ ค่าทำงานของมีนที่เตรียมไว้ให้”
“ขอบคุณมากค่ะ มีนกลับนะคะ”
มีนเดินผละไป เอมี่มองไปทางที่พราวที่เดินหายไปอย่างหนักใจ

พราวหลบมายืนพิงต้นไม้อย่างเจ็บปวด พอรู้ว่าสมชายกำลังเจ็บ ก็เป็นห่วงแทบบ้า ทั้งๆ ที่พยายามเลิกคิดถึงเขา เตือนตัวเองให้นึกถึงแต่ติณห์ ก่อนจะค่อยๆ ทรุดนั่งลงร้องไห้ อย่างไม่หลงเหลือคราบนางพญา
เอมี่เดินตามเข้ามาหยุดยืนมองอย่างสงสารเห็นใจ เพราะไม่เคยเห็นพราวร้องไห้เพราะใครขนาดนี้มา
พราวลุกขึ้นมากอดเอมี่ แล้วร้องไห้โฮ
“เอมี่ ฉันทิ้งนายสมชายไว้ที่หัวหิน แล้วกลับมากับคุณติณห์”
“เธอรักเค้าใช่ไหม”
พราวพยักหน้ายอมรับออกมาเป็นครั้งแรก
“ฉันรักเค้า ฉันรักนายสมชาย”
“โธ่เอ้ย แล้วเธอก็ดันไปรับหมั้นคุณติณห์เค้าซะแล้ว เฮ่อ ไม่ต้องร้องนะพราว เดี๋ยวตาบวม ไม่สวยนะ
อยากให้เพื่อนคนนี้ช่วยอะไร ก็บอกมาเลย ฉันจะช่วยเธอ”
“แกไปส่งฉันที่นึงได้ไหม ?”

เอมี่อ่อนใจรู้ทันทีว่าพราวตัดสินใจจะไปหาสมชาย

พราว ตอนที่ 12 (ต่อ)

สมชายในสภาพที่อ่อนเปลี้ยเพลียจากอาการบอบช้ำ และระบม กำลังคุยหน้าเครียดกับสุดเขตต์และสหวุฒิอยู่ในบ้าน
 
“แค่จับตัวไอ้โม่งนั่นได้ เราก็สาวถึงผู้บงการปองร้ายคุณพราวได้แล้ว”
สหวุฒิถอนหายใจ “ปัญหามันอยู่ที่เราจะจับมันได้ยังไงนี่ซิ แล้วมันจะโผล่ออกมาก่อการเมื่อไหร่ ?”
“โผล่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่ามีโอกาสมันลงมืออีกแน่ “
“เป็นไปได้ไหมครับว่าคนบงการอาจจะไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่อยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกลคุณพราวนี่เอง”
คำสันนิษฐานของสุดเขตต์ ทำเอาสมชายเครียด สหวุฒิรีบถามทันที
“คุณเห็นอะไร ที่มันชี้เป้าว่าต้องเป็นคนใกล้ตัวคุณพราว”
“ก็มันรู้ความเคลื่อนไหวคุณพราวทุกอย่าง บางที่ที่มันลงมือ ก็เป็นที่ที่คุณพราวไปแบบส่วนตัว ไม่เป็นข่าว ไม่มีใครรู้”
สมชายเริ่มฉุกคิดขึ้นมา
“อย่างเช่นฟิตเนสที่คุณพราวไป นอกจากผู้จัดการคุณพราวแล้ว ก็มีผมที่รู้ แต่ไอ้โม่งก็ตามไปลงมือจนได้ มันรู้ได้ไงว่าวันนั้นคุณพราวไปฟิตเนส ?”
“แต่วันนั้นไฮโซติณห์ก็ตามไปที่ฟิตเนสด้วยนะ”
สุดเขตต์ได้ยินที่สหวุฒิพูด ก็ยิ่งไม่ไว้ใจไฮโซติณห์
“แบบนี้ไฮโซติณห์จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยอีกคนได้ไหมครับ ?”
สมชายยิ่งฟัง เครียดขึ้นไปอีก แต่สหวุฒิยิ้มๆ เพราะไม่คิดว่าติณห์จะเป็นผู้ต้องสงสัย
“ถ้าไฮโซติณห์ไม่ใช่คู่หมั้นของคุณพราว ผมอาจจะใส่ชื่อเค้าไว้ในรายชื่อผู้ต้องสงสัยอีกคนก็ได้”
“เป็นคู่หมั้นแล้วสงสัยไม่ได้เหรอครับ ?”
สุดเขตต์ไม่วายข้องใจ สหวุฒิต้องรีบอธิบาย
“คืองี้ การจะสงสัยใครสักคน มันต้องมีอะไรบ่งชี้ว่าเค้ามีพฤติกรรมน่าสงสัย มีการกระทำบางอย่างที่เข้าข่ายจะก่อเหตุ หรือกระทำผิดได้”
สุดเขตต์ตัดสินใจพูดออกมา
“แล้วที่เค้าเคยให้คนขับรถใช้ปืนจี้ตัวผมไปข่มขู่ไม่ให้ยุ่งคุณพราวล่ะครับ เข้าข่ายว่ามีพฤติกรรมเป็นคนร้ายได้ไหมครับ ?”
สหวุฒิตกใจ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“ไฮโซติณห์น่ะเหรอทำแบบนั้น แล้วทำไมคุณไม่แจ้งความครับว่าถูกข่มขู่”
“ผมก็กำลังแจ้งความกับผู้กำกับอยู่นี่ไงครับ”
สมชายรีบสรุปก่อนที่ตัวเองจะไม่ไหว
“ผมว่าเราประมาทใครไม่ได้นะครับ ผู้กำกับให้ทีมตรวจสอบประวัติของนายติณห์ กับคนขับรถคนสนิทในทางลับด้วยดีกว่าครับ”
สหวุฒิพยักหน้าเห็นด้วย
“โอเค. ขอบคุณมากนะครับคุณสุดเขตต์ที่มาให้ข้อมูล ท่าทางสารวัตรไม่ไหวแล้ว เรากลับกันดีกว่าครับ พักผ่อนนะสารวัตร”
พูดพลางก็เดินนำสุดเขตต์ออกจากบ้านไป สมชายลุกเดินกลับขึ้นบันไดไปชั้นบนอย่างเพลียๆ

สุดเขตต์กับสหวุฒิเดินออกมาจากบ้านของสมชาย มองไปที่ประตูรั้ว ก็เห็นพราวกำลังเดินเข้ามา เธอมองสุดเขตต์อย่างแปลกใจ ที่เจอเขาที่นี่
“คุณพราว สวัสดีครับ มาเยี่ยมบอดี้การ์ดเหรอครับ”
พราวไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม “เค้าเป็นยังไงบ้างคะ ?”
สหวุฒิยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ไหนๆ คุณมาแล้ว ผมว่าเข้าไปเยี่ยมสารวัตรเองดีกว่าครับ แล้วนี่มาคนเดียวเหรอครับ ?”
“ค่ะ แต่ทำไมผู้กำกับมา 2 คนล่ะค่ะ กับนักข่าวคนนี้? จะมาทำข่าวให้มันเจาะลึกไปถึงไหนกัน”
พราวออกอาการไม่พอใจเช่นทุกครั้ง สุดเขตต์ถึงกับยิ้มหุบ
“ผมไม่ได้มาทำข่าวครับ แล้วผมก็เป็นตากล้อง ไม่ใช่นักข่าว”

“แล้วคุณมาบ้านนี้ทำไม นักข่าวส้มจี๊ดให้คุณตามมาทำข่าวแฉอะไรฉันอีก”

ก่อนที่พราวจะโวยวายไปใหญ่โต สหวุฒิก็รีบชี้แจง
 
“ใจเย็นๆครับคุณพราว คุณสุดเขตต์ไม่ได้มาทำข่าวหรอกครับ ผมเป็นคนเชิญเค้ามาเอง ในฐานะพยาน ที่ช่วยสารวัตรสมชายเอาไว้ที่หัวหิน”
พราวแทบไม่เชื่อหูตัวเอง พลางมองสุดเขตต์อย่างแปลกใจ
“ผมบอกคุณพราวแล้ว ผมไม่ใช่นักข่าว ผมไม่มีเจตนาร้ายกับคุณหรอก ผมว่าคุณพราวรีบเข้าไปเยี่ยมสารวัตรเถอะครับ สารวัตรต้องดีใจมาก”
พราวทำหน้าไม่ถูกที่สุดเขตต์ทำเหมือนรู้อะไรดีเกี่ยวกับเธอกับสมชาย

ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาอย่างช้าๆ สมชายคว้าปืนที่ซ่อนไว้ใต้หมอนถือเล็งไปที่ประตูด้วยสัญชาตญาณระวังภัย พลางพยายามลืมตาขึ้นมองอย่างเบลอๆ
“ใครน่ะ ?”
“ฉันเอง นายอย่ายิงนะ”
สมชายค่อยๆ ลดปืนลง พลางพยายามปรับม่านตาจนมองเห็นพราวยืนอยู่ชัดเจน
“พราว...นี่แกไข้ขึ้นหนักขนาดนี้เลยเหรอวะสมชาย ถึงกับตาฝาดเห็นซูเปอร์สตาร์พราวมาเยี่ยมถึงห้อง
หรือไม่แกก็คิดถึงเค้ามากเกินไป”
พราวถึงกับใจสั่นรัว เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่สมชายจะเผยความในใจแบบนี้ เธอเดินเข้าไปหยุดที่ข้างเตียงใกล้ๆ กับสมชายที่เก็บปืนแล้วนอนหลับตาก่ายหน้าผาก
“คุณไม่ได้ตาฝาดหรอก แต่คุณตาบอดมากกว่า ที่ไม่เคยเห็นอะไรดีในตัวฉันเลย”
พอโดนเหน็บเข้าไป สมชายถึงกับลืมตาผึง ผงกหัวขึ้นมองมาที่พราวเต็มตา อาการไข้เหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้ง
“นี่คุณมาจริงๆ เหรอ?”
“ใช่ แล้วฉันก็กำลังจะกลับ”
พูดพลางทำท่าจะหันเดินกลับ แต่กลับถูกสมชายคว้าแขนดึงตัวล้มลงมานอนกอดไว้
“คุณกลับมาหาผมแล้ว คิดเหรอว่าผมจะยอมให้คุณไปไหนอีก”
“ทำทุเรศอะไรของคุณเนี่ยะ ปล่อยนะ”
สมชายยิ่งกอดรัดแน่น
“ถ้าผมกอดคุณแล้วทุเรศ ผมก็จะยอมให้คุณด่าทุเรศทุกวันเลย เพื่อแลกกับการได้กอดคุณทุกวัน”
พราวยิ่งฟัง ก็ทั้งเจ็บใจ ทั้งโมโห
“คุณมาพูดพร่ำเอาตอนนี้ มันช้าไปแล้ว เห็นไหมนี่ แหกตาดูซะ ฉันมีคู่หมั้นแล้ว”
พราวโชว์แหวนหมั้นให้ดูตรงหน้า แต่เขากลับจูบหลังมือเธออย่างไม่แยแส
“อย่าว่าแต่แหวนหมั้นเลย ตอนนี้ไม่มีอะไรมาขวางผมรักคุณได้หรอก”
พราวตะลึงงัน “รักเหรอ? นี่คุณถูกฟาดกะบาลจนประสาทเสียไปแล้วเหรอ คนอย่างคุณอยู่ๆ มาบอกรักฉันเนี่ยะนะ พอเหอะ ฉันจะกลับแล้ว”
พราวขืนตัวจนลุกขึ้นหลุดจากอ้อมกอดของสมชาย พลางจะเดินออกจากห้อง สมชายรีบทำออเซาะ
“โอ๊ย หิว ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย อยู่คนเดียว ไม่มีใครดูแล อดตายแน่ๆ สมชาย ซูเปอร์สตาร์ใจดำ อยากกลับก็เชิญ”
พราวหันไปทำตาเขียวใส่

“คุณเสี่ยงตายมากนะ ที่มาบ่นหิวให้ดาราทำกับข้าวไม่เป็นอย่างฉันฟัง”

พราวเข้ามาในครัว พลางลงมือเตรียมจะทำข้าวผัดอย่างเก้ๆ กังๆ สมชายเดินเข้ามาเห็น ก็ส่ายหน้าขำ เดินเข้ามาสวมกอดจากข้างหลัง ทำเอาพราวแทบละลาย
 
ก่อนที่จะค่อยๆ อธิบายวิธีการทำ พร้อมกับอาศัยทีเผลอหอมแก้มพราวไปฟอดหนึ่ง ทำเอาเธอมือไม้อ่อนแทบจะปล่อยมีดร่วงลงพื้น
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันมีคู่หมั้นแล้ว อย่ามาทำแบบนี้”
“ผมก็บอกคุณแล้วไง ว่าไม่มีอะไรมาขวางผมรักคุณได้ ผมโง่มาตั้งนาน ที่ปล่อยคุณหลุดมือไปทั้งๆ ที่มีคุณอยู่แค่เอื้อม แต่วันนี้ผมจะไม่โง่อีก”
พราวรู้สึกอึดอัด เพราะขณะที่สมชายแสดงออกว่ารักเธอได้เต็มที่ แต่เธอกลับไม่สามารถทำตามใจปรารถนาได้ เพราะแหวนหมั้นค้ำคอเตือนสติอยู่
“คุณมันเห็นแก่ตัวที่สุด”
“ใช่ ผมทั้งเห็นแก่ตัว ทั้งปากแข็ง ปากหมา มีทิฐิ คุณจะด่าผมยังไงก็ได้ ผมยอมรับหมด แต่ผมจะไม่โกหกตัวเองและโกหกคุณอีกแล้ว ว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”
พูดพลางกอดพราวไว้แน่น จนเธอต้องหลับตาข่มใจ เพราะไม่อาจแสดงความรักตอบไปได้

สุดเขตต์พยายามกดมือถือหามีน แต่กลับไม่มีคนรับสาย เพราะในขณะนั้นอีกฝ่ายกำลังนอนอยู่ที่เครื่องMRI เพื่อตรวจเอ็กซ์เรย์
ร่างของมีนค่อยๆ เคลื่อนลอดเข้าอุโมงค์เครื่อง สีหน้าเธอเคร่งเครียด

มีนเปลี่ยนกลับมาอยู่ในชุดเดิมนั่งอยู่ต่อหน้าหมอด้วยสีหน้าซีดเซียว
“ไม่ดีเลยครับ”
เธอถึงกับคอตก แต่ยังฝืนยิ้ม ทั้งที่นัยน์ตาแห้งผาก
“มีนก็คิดอยู่แล้วค่ะ มันปวดหัวบ่อยขึ้น ไม่เหนื่อยไม่เครียดก็ปวด”
“คุณอาจจะมีอาการตาพร่ามัวลงเรื่อยๆ เห็นภาพซ้อน แขนขาชา อ่อนแรง เซ หูอื้อ วิงเวียน อาเจียน ชัก และอาจจะหมดสติได้นะครับ”
“แล้วมีนยังจะทำงานได้ไหมคะหมอ ?”
หมอส่ายหน้าช้าๆ อย่างอ่อนใจ
“คุณมีนครับ ถ้าคุณไม่รีบเข้ารับการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก คุณอาจจะไม่ได้ทำงานไปตลอดชีวิตนะครับ”

มีนเดินซึมๆช้าๆ มาตามทางในโรงพยาบาลหลังจากออกจากห้องหมอ บทสนทนาระหว่างเธอกับหมอยังก้องอยู่ในหู
“นอกจากค่าผ่าตัดจะแพงแล้ว หลังผ่าตัดมีนก็เสี่ยงจะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรืออาจจะไม่รอดก็ได้ใช่ไหมคะหมอ ?”
“การผ่าตัดทุกอย่างมีความเสี่ยงนะครับ แต่ทางโรงพยาบาลก็มีทีมแพทย์ พร้อมจะรักษาคุณอย่างดีที่สุดทั้งตอนผ่าตัด และฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายของคนไข้ให้กลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมหลังการผ่าตัดสมอง คุณควรจะรีบตัดสินใจนะครับ ก่อนที่จะไม่ทันการณ์”
มีนเดินมาหยุดพักที่เก้าอี้ ก่อนที่จะค่อยบทรุดกายลงนั่นอย่างอ่อนล้าทั้งกายทั้งใจ กำลังใจถดถอย พลางจับไปที่สร้อยพระของแม่ ที่สวมคออยู่
“แม่ ชาติที่แล้วมีนคงทำไม่ดีไว้ใช่ไหม ชาตินี้มีนถึงมาชดใช้กรรม”
เธอหลับตากล้ำกลืนความขมขื่นในชีวิตไว้ ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเหลือบไปเห็นโต๊ะของมูลนิธิที่มาตั้งรับบริจาคอยู่
“รับบริจาคค่าอาหารและค่ายารักษาโรคให้กับเด็กๆที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าบุญรักษา”

มีนผงกหัวขึ้น ลืมเรื่องเจ็บปวดของตัวเองไปหมดสิ้น พลางรีบเปิดกระเป๋า หยิบซองเงินที่เพิ่งได้จากเอมี่เป็นค่าทำงานออกมา แล้วลุกเดินไปที่โต๊ะบริจาคอย่างไม่ลังเลใจ

เธอหยิบแบงค์พันออกมาปึกหนึ่ง พลางจะใส่ลงกล่องบริจาค แต่แล้วก็หยุดคิดเปลี่ยนใจเมื่อมองไปเห็นป้ายที่เขียนติดเอาไว้ว่า
 
“กรุณาเขียนชื่อ-นามสกุลลงบนแฟ้ม หลังบริจาค เพื่อที่เราจะได้บันทึกชื่อของท่าน ไว้ในหนังสือแสดงความขอบคุณของมูลนิธิ”
เธอตัดสินใจเก็บเงินหมื่นลงในซองอย่างเดิม แล้วตั้งใจจะบริจาคเงินทั้งหมดในซอง พร้อมกับถือซอง
ยกมือไหว้ แล้วหลับตาอธิษฐาน
“ขอให้บุญกุศลที่ช่วยเหลือเด็กๆ ดลบันดาลให้คุณพราวแคล้วคลาดปลอดภัย จากภัยอันตรายที่กำลังเจออยู่นะคะ มีนจะช่วยบริจาคแทนคุณ เพราะถึงยังไง เงินก้อนนี้ก็มาจากคุณ”
มีนเขียนชื่อพราวลงหน้าซอง ก่อนจะหย่อนเงินทั้งซองลงในกล่องใส พร้อมๆ กับที่มือถือดังขึ้นมาพอดี

สุดเขตต์กำลังนั่งอยู่หน้าคอม ตามองรูปมีนที่ถ่ายมาจากหัวหิน มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์รอสาย มืออีกข้างเคาะโต๊ะอย่างกระวนกระวายใจ จนเมื่อเธอรับสายเขาถึงกับยิ้มอย่างโล่งใจ
“มีน คุณอยู่ไหนครับ ผมเป็นห่วงแทบแย่ โทรไปเป็นชั่วโมงแล้ว มีนไม่รับโทรศัพท์เลย”
“โทษทีค่ะ มีนไม่ได้ยินเสียง คุณสุดเขตต์มีอะไรรึเปล่าคะ ?”
“มีซีครับ ผมมีอะไรสำคัญมากจะบอกมีน บอกว่า...ผมคิดถึงมีนมากครับ”
มีนได้ยินก็ยิ้มเศร้าน้ำตาเอ่อๆ ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีคือได้เจอผู้ชายแสนดีอย่างสุดเขตต์
“มีนก็ คิดถึงคุณค่ะ วันนี้คิดถึงมากเลย”
สุดเขตต์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว จนแทบจะนั่งไม่ติด
“แล้วตอนนี้มีนอยู่ไหนครับ ผมไปหาได้มั้ย ?”
“คุณไม่ทำงานเหรอคะวันนี้”
สุดเขตต์รีบตอบทันที “อ๋อ ผมเพิ่งไปเยี่ยมสารวัตรสมชายที่บ้านมานะครับ เพิ่งจะถึงบ้าน”
“งั้นคุณรออยู่ที่บ้านนั่นแหละค่ะ มีนจะไปหา”

สุดเขตต์เด้งออกมาจากมุมทำงานอย่างตื่นเต้นดีใจ พลางรีบลนลานเข้าครัว เพื่อเตรียมทำอาหารไว้รอต้อนรับมีน

ข้าวผัดใส่ไข่ ไส้กรอก แครอท หอมใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ หน้าตาพิลึกพิลั่น
“นี่แหละ สุดฝีมือของฉันแล้ว ทำไมมองอย่างงั้น ไม่กล้ากินก็ไม่ต้องกินก็ได้นะ”
สมชายยิ้มล้อๆ “เสี่ยงตายกว่านี้ สมชายยังกล้าเสี่ยงมาแล้วเลย กะอีแค่กินข้าวผัดไหม้ๆ ของซูเปอร์สตาร์ ทำไมผมจะไม่กล้าเสี่ยง”
พูดพลางดึงเก้าอี้มานั่งลงเบียดข้างๆ พราวขยับจะหนี แต่เขากลับยื่นมือซ้ายกอดเอวเธอไว้
“จะหนีไปไหน ? ผมจะกินข้าว ไม่กินคุณหรอก”
สมชายมองจ้อง จนเธอหายใจไม่ทั่วห้อง รีบผลักหน้าเขาให้หันไปเบาๆ
“จะกินข้าวก็กินซิ“
สมชายหันมาพูดอ้อน “ผมจะกินยังไงเนี่ยะ แขนขวาผมก็เจ็บ แขนซ้ายก็ไม่ว่างซะแล้ว ช่วยป้อนหน่อยซิ”
“ไม่ได้ ฉันไม่ใช่คนใช้ของคุณ ฉันเป็นซูเปอร์สตาร์”
พราวทำเริ่ด เชิด หยิ่งใส่ แต่สมชายกลับเห็นว่าน่ารักน่าชัง พลางเอียงคอซบไหล่อ้อนเธอ
“งั้นนั่งซบไหล่ซูเปอร์สตาร์แบบนี้ ผมไม่กินข้าว ก็คงอิ่มเองแหละ”
พราวส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “อ่ะๆ ป้อนก็ป้อน”
“ผมไม่อยากกินข้าว แต่ผมอยากจะจูบคุณ”
มือที่ถือช้อนของพราวร่วงลงบนจานทันที

“คุณอย่ามาทำชีกอกับฉันนะ ฉันมีคู่หมั้นแล้ว แหวนอยู่นี่ คุณติณห์เค้าเป็นคนดี เค้าไม่ได้ทำผิดอะไร ฉันจะไม่ทรยศเค้า”
 




พราว ตอนที่ 12 (ต่อ)

สมชายรีบดึงมือพราวที่ขวางหน้าออก
 
“แต่คุณยอมทรยศหัวใจตัวเองงั้นสิ ไหนคุณบอกผมซิ ว่าคุณไม่ได้รักผม แต่รักไฮโซติณห์ แล้วผมจะปล่อยคุณไป”
พราวพยายามบังคับใจพูดออกมาอย่างยากลำบาก เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ
“ฉันไม่ได้รักคุณเลยนายสมชาย ฉันรักคุณติณห์ ได้ยินไหม ฉันรักคุณติณห์ ฉันไม่ได้รักคุณ”
พูดพลางน้ำตาคลอ บ่งบอกว่าคำพูดมันค้านกับใจ สมชายดึงเธอมาจูบทันที แต่เธอกลับผลักไหล่จนเขาผงะออก ก่อนจะลุกหุนหันจากโต๊ะไป

พราวเดินหนีมายืนใช้หลังมือปิดปากที่ถูกจูบ แล้วร้องไห้เสียใจ สมชายตามมายื่นมือกอดไหล่เธอไว้
“คุณอย่าร้องไห้ซิพราว”
พราวหันต่อว่าทั้งน้ำตา
“จะให้ฉันหัวเราะหรือไง ที่คุณแกล้งฉันแบบนี้ คุณสนุกมากใช่มั้ย”
สมชายเจ็บปวดไม่ต่างกัน
“สนุกตรงไหน ผมเจ็บจะตายรู้มั้ย ที่เห็นคุณรับหมั้นนายติณห์”
“แล้วที่หัวหิน คุณทิ้งฉันไว้ทำไม”
“ก็ผมกำลังสับสน ก็ใครจะไปคิดว่าเราจะรักกันได้ ผมมันนายสมชาย แต่คุณมันพราว
เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลย”
พราวกล้ำกลืนก้อนสะอื้นไว้
“ถ้างั้น คุณคิดถูกแล้วที่ทิ้งฉันไว้”
“ถ้าผมคิดถูก ผมจะเป็นอย่างงี้เหรอ”
สมชายพูดพร้อมกับกำหมัดทุบไปที่ผนังเบาๆ
“ช่วยไม่ได้ คุณทำตัวเองทั้งนั้น คุณต้องยอมรับสภาพ”
“ผมขอโทษ ผมทำให้คุณเสียใจ เสียน้ำตา”
พูดพลางยื่นมือมาจะเช็ดน้ำตาให้ แต่พราวกลับปัดมือออก
“ถ้ายังอยากให้เราเจอหน้ากันได้ ฉันขอร้อง อย่าทำให้ฉันลำบากใจอีก”
สมชายนิ่งงัน แต่สีหน้าบ่งบอกว่าเขาไม่หยุด จังหวะนั้นสายเรียกเข้าจากติณห์ก็ดังแทรกขึ้นมาพอดี พราวรีบเดินผละไปรับสาย ทิ้งให้สมชายมองตามด้วยอารมณ์หึงหวง
“ผมเสร็จงานแล้วครับ กำลังจะออกไปรับคุณที่บ้าน”
จันทร์จรีแอบยืนฟังยู่ที่นอกประตูห้อง อยากจะกรีดร้องออกมาใจแทบขาด
“ซอรี่ค่ะคุณติณห์ พอดีพราวออกมาทำธุระข้างนอกกับเอมี่น่ะค่ะ”
ติณห์หน้าตึงขึ้นมาทันที แววตาคอยระแวงสงสัยตลอดเวลา แต่ยังรักษาน้ำเสียงนุ่มๆไว้

“เหรอครับ คุณพราวคงไม่ปฏิเสธนัดเดทครั้งแรกของเรานะครับ รู้รึเปล่าครับ วันนี้เป็นครั้งแรกที่คนบ้างานอย่างผม กลับไม่มีกะจิตกะใจทำงานเลย ใจเอาแต่รอให้ถึงเวลานัดเดทของเรา คุณพราวจะให้ผมรอเก้อเหรอครับ”

คำพูดของติณห์ยิ่งทำให้พราวรู้สึกผิด ที่ตัวเองแอบออกมาหาสมชายแบบนี้
 
“ไม่รอเก้อหรอกค่ะ พราวจะทำให้คุณติณห์ผิดหวังกับเดทครั้งแรกของเราได้ยังไงกันคะ ที่ไหน? ที่เราจะไปออกเดทกัน พราวจะรีบไปหาคุณเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ติณห์ยิ้มน้อยๆ แววตาร้าย
พอวางสายจากติณห์ พราวก็กดหาเอมี่ ให้รีบมารับเธอทันที พลางคว้ากระเป๋าจะเดินไป
“แต่มันไม่ปลอดภัยสำหรับคุณนะ ให้ผมไปด้วย”
สมชายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง พราวถึงกับชะงัก
“ที่ผมไป ผมไม่ได้หึงนะ แต่ผมเป็นห่วงความปลอดภัยในชีวิตคุณ ขนาดที่หัวหิน ไอ้เจ๋งมันยังตามเราไปถูกเลย แล้วทำไมที่กรุงเทพ คุณไปไหนจะรอดพ้นสายตามันได้”
“อย่าเอาไอ้โจรค้ายามาขู่ฉัน คุณติณห์อยู่ทั้งคน เค้าต้องปกป้องชีวิตฉันได้ คุณน่ะ ดูแลตัวเองให้หายดีก่อนเหอะ ค่อยมาห่วงคนอื่น”
สมชายก้มลงมองแขนที่เจ็บอย่างหงุดหงิด

จันทร์จรีโวยวายใส่ติณห์ทันที เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะนัดเดทกับพราว ติณห์ยิ้ม แล้วตอบกลับมาอย่างใจเย็น
“หรือคราวหน้าคุณอยากจะเปลี่ยน ให้ผมนัดเจอคุณข้างนอก แล้วผมไปหาคุณพราวที่ห้องแทน”
“ไม่เอา จรีไม่ให้คุณมีอะไรกับนังพราวนะ จรีหวงของจรี”
“งั้นก็ทำตัวดีๆ รู้หน้าที่ของตัวเอง ผมไปนะ”
ติณห์เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้จันทร์จรียืนกำมือเกร็งอย่างเจ็บแค้น
“อีพราว ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก”
พลางอาละวาดปาข้าวของภายในห้องอย่างคุ้มคลั่ง ติณห์ยืนยิ้มอย่างเลือดเย็นอยู่ด้านนอก
“รักมาก ก็ยิ่งแค้นมาก บาดเจ็บมาก ก็จะยิ่งคลั่ง ทำได้ทุกอย่าง “


“ถ้าเห็นใครมีพิรุธ พยายามเข้าใกล้คุณ รีบโทรหาผมนะ”
สมชายไม่วายย้ำกับพราวด้วยความเป็นห่วง
พราวพยักหน้า พลางหันจะเดินไป สมชายเรียกไว้อีก
“เดี๋ยวคุณ ผมยังเป็นบอดี้การ์ดของคุณอยู่ใช่ไหม ?”
คำถามซื่อๆ แกมตัดพ้อน้อยใจของสมชาย ทำเอาพราวถึงกับอึ้งไป
“ทำไมไม่ตอบ ผมเป็นแฟนไม่ได้ รักคุณก็ผิด แต่ยังเป็นบอดี้การ์ดของคุณใช่ไหม?”
พราวไม่ตอบ รีบออกจากบ้านไป อย่างพยายามข่มความเจ็บในใจ สมชายเดินมาหยุดยืนมองตามอย่างเป็นห่วง พร้อมกับที่เหลือบไปเห็นกุญแจรถตัวเองวางอยู่บนโต๊ะ

“แกอย่าบอกพี่แฟรงค์เรื่องที่ฉันมาหานายสมชายนะ”
พราวหันไปย้ำกับเอมี่ขณะที่นั่งอยู่ในรถด้วยกัน
“ฉันจะปิดปากให้สนิท”
“แล้วอย่าบอกพี่แฟรงค์ เรื่องที่ฉัน เอ่อ...สารภาพว่ารักนายขวางโลกนั่นน่ะ”
“เรื่องนั้นน่ะเหรอ ถึงฉันไม่บอก ระดับเซียนเสพสมบ่มิสุขอย่าเจ๊แฟรงค์ เค้าก็รู้อยู่ตลอดเวลา ว่าซุปตาร์พราวไม่เคยลืมนายสมชาย ณ อัมพวาได้เลย”
พราวถอนหายใจเฮือก
“นั่นซิ ฉันเป็นพราวน่ะ ฉันหยิ่ง จองหอง ไม่แยแสใคร แล้วทำไมกะอีตาสมชายนี่ ฉันถึงได้จำๆๆ ไม่เคยไล่เค้าออกจากใจฉันได้เลย”
“มันง่ายจะตายไป ถ้าแกจะถอดแหวนหมั้นทิ้ง แล้วกลับไปหานายสมชาย แต่แกต้องแลกกับความเป็นพราวนะ”

พราวอึ้ง พลางก้มลงมองแหวนหมั้นที่นิ้วมือ

“ผู้หญิงหลายใจ นังแพศยา นอกใจกู”
 
ประเสริฐก่นด่าอย่างเคียดแค้น หลังจากที่เห็นข่าวพราวกับบอดี้การ์ดสมชายที่หัวหิน กับข่าวติณห์ขอหมั้นพราวจากไอแพด พลางใช้มีดกรีดรูปพราวบนผนังห้องจนเหวอะ นิ้วมือของมันก็ถูกมีดบาดจนเลือดเลอะไปหมด “พราวรับแหวนของผมไปแล้ว คุณจำไม่ได้เหรอ เป็นสัญญาว่าเราจะแต่งงานกัน อยู่ด้วยกัน เป็นของผมคนเดียว”
มันหยิบรูปพราวขึ้นมาคลอเคลีย พลางยิ้มอย่างเคลิ้มสุขอยู่กับมโนภาพของตัวเอง
“ไม่เอาน่าพราว คุณอย่าทำอย่างงี้ ผมจักกะจี๋ อะไรนะ อะไรนะ คุณรักไอ้บอดี้การ์ดสมชายเหรอ แล้วผมล่ะ ผมไม่ยอม คุณจะหมั้นกับไอ้ไฮโซติณห์ไม่ได้ ถ้าคุณทิ้งผมไป ผมจะฆ่าคุณ”
สีหน้าเคลิ้มฝันของมัน เปลี่ยนเป็นโกรธแค้น พร้อมกับปักมีดลงบนรูปพราว

สุดเขตต์ยืนยิ้มปลื้ม มองดูอาหารฝีมือตัวเอง ก่อนจะจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้รอต้อนรับมีน ครู่เดียวก็เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งเข้ามาจอด มีนเปิดประตูลงจากรถ มายืนชะเง้ออยู่หน้าประตูรั้ว
สุดเขตต์หน้าบาน รีบวิ่งไปไขกุญแจเปิดประตูรั้วออกมา พลางแกล้งถามผู้มาเยือน
“มาหาใครครับ ?”
“มาหาตากล้อง หน้าตาดีๆ แถวนี้มีไหมคะ ?”
“อ๋อ งั้นคุณมาถูกบ้านแล้วล่ะครับ “
แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มขำให้กัน
“แต่มีนมาแต่ตัวนะคะ พอดีรีบๆ ไม่ทันซื้ออะไรมาฝากคุณสุดเขตต์เลย”
“ผมไม่ต้องการของากหรอกครับ คุณมีนมาแต่ตัวกับหัวใจก็พอแล้ว”
สุดเขตต์พูดพร้อมกับส่งตาหวานให้ ทำเอามีนยิ้มเขินหน้าแดง
“หวานอย่างงี้ มีนคงไม่ใช่สาวคนแรกที่มาบ้านคุณแน่ๆ”
“ครับ คุณไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่มาบ้านผม แต่เป็นคนเดียวที่ผมอยากให้มา ผมว่าคุณอย่าพูดอะไรเลยครับมีน เข้าบ้านดีกว่า เพราะว่าพูดอะไรก็โดน เชิญเข้าบ้านครับ”
มีนส่งมือให้สุดเขตต์เดินจูงเข้าบ้านหวานๆ ด้วยอารามดีใจ เขาจึงไม่ทันล็อกกุญแจรั้ว

สุดเขตต์พามีนมานั่งที่โต๊ะอาหาร พลางทำหน้าที่สุภาพบุรุษดูแลเธออย่างดี มีนยิ้มปลื้ม ที่อย่างน้อยในความโชคร้ายของเธอ ก็ยังโชคดีที่ได้เจอคนดีๆ อย่างเขา หัวใจเธอร่ำร้องอยากจะบอกเขาว่าเธอกำลังเผชิญกับโรคร้ายใจแทบขาด แต่พออ้าปากกจะบอก เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ
สุดเขตต์ลุกขึ้นจะเดินไปดู แล้วก็ชะงักงันเมื่อมองเห็นส้มจี๊ดยืนอยู่นอกรั้ว
“ใครมาเหรอคะ?”
“ส้มจี๊ด”
มีนสะดุ้งโหยง รีบพูดอย่างลนลาน

“จะให้เค้าเห็นมีนอยู่กับคุณไม่ได้เด็ดขาดนะคะ เค้าต้องรู้ความลับเรื่องคุณพราวแน่ๆ”

ส้มจี๊ดแต่งตัวสวย มาพร้อมถุงอาหารและขนม หวังจะมาทำดีมัดใจสุดเขตต์ เธอกดกริ่งรออยู่นาน จนเริ่มหงุดหงิด พอเห็นว่ามอเตอร์ไซค์จอดอยู่ในบ้าน จึงถือวิสาสะเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปเอง
 
ส่วนสุดเขตต์ที่กำลังสาละวนพามีนหาวิ่งหาที่ซ่อนอยู่ เห็นส้มจี๊ดกำลังเดินมาจะเข้าบ้าน ก็ยิ่งตะลีตะลาน
“ยัยบ้า บุกเข้าบ้านมาเลยเหรอ”
“จะให้มีนหลบไปไหนคะ ?”
สุดเขตต์หันรีหันขวาง จะให้มีนขึ้นไปหลบชั้นบนก็ไม่ทันแล้ว เมื่อเห็นส้มจี๊ดผลักประตูเข้าบ้านมา เขาจึงตัดสินใจผลักประตูห้องน้ำเล็กชั้นล่างให้เธอเข้าไป
“หลบเข้าไปในนี้ก่อนก็แล้วกันครับ แล้วล็อกประตูเลย อย่าเปิดออกมาจนกว่าผมจะเรียกนะครับ”
มีนพยักหน้า พอสุดเขตต์ดึงประตูปิด ส้มจี๊ดก็เดินเข้ามาถึงพอดี
“สุดเขตต์ โธ่เอ้ย นึกว่าเป็นไรไปซะอีก แกทำไรอยู่ ฉันกดกริ่งเรียก ตะโกนเรียกอยู่ตั้งนาน ไม่ได้ยิน
หรือไง ?”
“เอ่อ ได้ยิน แต่ฉันยุ่งอยู่ในครัว แกถือวิสาสะเข้าบ้านฉันมาได้ไงเนี่ยะ”
ส้มจี๊ดยิ้มอย่างนึกขัน “ก็ประตูรั้วแกดันไม่ล็อกเอง ช่วยไม่ได้”
มีนยืนแอบอยู่หลังประตูห้องน้ำอย่างเครียดๆ พลางพยายามทำตัวนิ่งๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียง
แต่จู่ๆ อาการปวดหัวของเธอก็กำเริบขึ้นมา ตามมาด้วยอาการคลื่นไส้จะอาเจียน จนเธอต้องรีบเอามืออุดปิดปากไว้ ไม่ให้มีเสียงโอ้กอ้ากดังออกมา ส้มจี๊ดมองที่โต๊ะอาหาร เห็นกับข้าวเต็มโต๊ะ และจานข้าว 2 ที่ ก็สงสัย
“นี่อะไรเนี่ยะ แกจัดโต๊ะกินข้าวไว้รอใคร ?”
สุดเขตต์รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่านี่ ไม่ได้จัดไว้รอใคร ฉันหิว กำลังจะกินข้าว”
“กับข้าวเต็มโต๊ะ กินคนเดียวทั้งหมดเนี่ยะนะ กินคนเดียวแล้วทำไมต้องมีจานช้อนอีกชุดนึงด้วย”
สุดเขตต์ชะงัก แล้วรีบแก้ตัวแบบข้างๆ คูๆ
“ฉันคงรู้มั้ง ว่าแกจะมา”
ได้ผลส้มจี๊ดหายข้องใจ เปลี่ยนเป็นยิ้มพอใจแทน พลางวางถุงอาหารและขนมที่ซื้อมา เดินมานั่งลงที่โต๊ะ
“นั่งเฉยอยู่ทำไม สุภาพบุรุษตักข้าวให้สุภาพสตรีหน่อยซิจ๊ะ”
พูดพลางยื่นมือไปแตะมือสุดเขตต์แบบอ้อนๆ เขาตกใจดึงมือหนี
“มาจับมือฉันทำไมวะไอ้บ้า”
“ก็ฉันกำลังบ้ารักแกไง”
สุดเขตต์อึดอัด พูดอะไรไม่ออก แต่ส้มจี๊ดกลับมองเขายิ้มๆ
“กินข้าวก่อนก็ได้ เรื่องอื่นไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง วันนี้ฉันมีอะไรจะคุยกับแกเยอะแยะเลย เร็วซิ ตักข้าวๆ
เค้าหิวแล้วนะตะเอง”
สุดเขตต์ทำท่าขนลุก รีบตักข้าวให้ ส้มจี๊ดลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ฝีมือทำกับข้าวแกนี่ยังเชลล์ชวนชิมเหมือนเดิม ใครได้แกเป็นสามี โชคดีมากเลย”
ส้มจี๊ดพยายามพูดเข้าตัวเอง สุดเขตต์ฟังแล้วยิ่งกินไม่ลง ใจพะวงห่วงแต่มีน

ฟากมีนก็พยายามกลั้นอาการคลื่นไส้จนทรุดลงกับพื้นห้องน้ำ หูอื้อ ตาพร่ามัวไปหมด จนแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะควานหายาในกระเป๋า ได้แต่นอนหายใจหอบอย่างเจ็บปวดอยู่ที่พื้นห้องน้ำ

ติณห์จูงมือพราวเดินมาในห้าง ทำเอาผู้คนในห้างพากันแตกตื่นกับภาพคู่รักซูเปอร์สตาร์ เอมี่เดินตามมาห่างๆ หยุดมองอยู่ที่ชั้นล่างบันไดเลื่อน
“เล่นพาออกเดทสวีทต่อหน้าสายตาคนทั้งโลกแบบนี้ พราวเอ๋ย แหวนหมั้นมันรัดนิ้วเธอจนแน่นแล้ว คิดจะถอดออก ไม่ง่ายแล้วล่ะเพื่อน”
จากนั้นก็รีบกดมือถือรายงานแฟรงค์ทันที
“ฮัลโหลเจ๊ ตอนนี้พราวอยู่ที่ห้างกับคุณติณห์นะ ก็เค้านัดออกเดทกันน่ะดิ พากันเดินจูงกันขึ้นห้าง
เร็ตติ้งพุ่งกระฉูด ห้างแทบแตกอยู่เนี่ยะ”

“เดทครั้งแรกของเรา น่าจะเป็นที่เงียบๆ โรแมนติกๆ สำหรับคน 2 คนมากกว่านะคะ”
พราวอดไม่ได้ที่จะหันมาบอกกับติณห์เป็นเชิงตัดพ้อกรายๆ
“ผมทำให้คุณผิดหวังเหรอครับคุณพราว ?”
“ก็นิดนึงค่ะ เพราะฉันไม่ชินกับการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับคนเยอะๆ แบบนี้”
พูดพลางแอบๆมองไปที่เหล่าไทยมุงที่ยืนโอบล้อมเบียดกันอยู่รอบๆ ในใจนึกหวาดหวั่น เกรงว่าจะถูกปองร้าย
“ผมขอโทษจริงๆ ครับ ไม่คิดว่าจะทำให้คุณผิดหวัง แต่ผมอยู่เป็นโสดมานาน เมื่อผมตัดสินใจว่าจะรักใครสักคนแล้ว ผมก็ไม่อยากจะปิดบังหลบๆ ซ่อนๆ คุณพราวครับ ผมอยากให้คนทั้งโลกรู้ว่าคุณเป็นคนพิเศษของผม”
ติณห์พูดพร้อมกับจับแขนทั้ง 2 ข้างของพราวขึ้นมาจูบที่หลังมือ พลางโอบเอวเธอให้เข้ามาใกล้ แววตาเต็มไปด้วยความรัก จนเธอโกรธไม่ลง
 
“และผมโชคดีมากแค่ไหน ที่ได้รักผู้หญิงที่ผู้ชายทุกคนต่างฝันถึงอย่างซูเปอร์สตาร์พราว-พิชญาดา”

พราว ตอนที่ 12 (ต่อ)

เขาบรรจงจูบเธอเบาๆ ที่หน้าผาก ทำเอาพราวหลงเคลิ้มไปชั่วขณะกับความอ่อนโยนของเขา
 
อีกมุมหนึ่งสมชายยื่นหน้าอันบอบช้ำโผล่ออกมามอง เห็นจังหวะที่ติณห์จูบหน้าผากพราว ก็ขบกรามแน่นจนเป็นสัน เจ็บกายไม่เท่าไหร่ แต่ไม่เคยเจ็บปวดหัวใจเท่านี้มาก่อน
ขณะเดียวกันภาพที่ติณห์จูบหน้าผากพราว ก็มาปรากฏอยู่ในไอแพดของประเสริฐที่วางอยู่ เพราะมีคนนำมาโพสต์ใมนไอจี พร้อมข้อความบรรยายใต้รูป
“ ฟินเว่อร์ เจอพราวสวีตหวานกับไฮโซติณห์ที่ห้าง.... ณ บัดนาว ”
ในห้องของประเสริฐเหลือเพียงซากรูปถูกกรีดถูกฉีก พร้อมรอยเลือด แต่ไร้เงาเจ้าของห้อง ประตูห้องถูกเปิดทิ้งไว้ มีแต่ข้อความเขียนด้วยเลือดบนกระจกว่า
“แพศยา”

“แกกลับไปได้แล้วไปๆ ฉันเพิ่งรับงานใหม่มา ต้องรีบทำ”
สุดเขตต์พยายามตัดบท พลางทำเป็นลุกขึ้นเก็บจาน พร้อมกับที่คอยเหลือบตามองไปที่ห้องน้ำตลอดเวลา
“นี่คนนะเว้ย ไม่ใช่หมูหมา ไล่อยู่ได้ แกคิดว่าผู้หญิงอย่างฉันนี่ อยู่ๆ มาบอกรักแกเนี่ยะ ฉันไม่อายเหรอห่ะ คิดว่าหน้าฉันมันหนานักหรือไง ที่มาตามตื้อแก ทั้งๆที่แกไม่มีใจให้”
สุดเขตต์ส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“ก็แกรู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับแก แล้วแกจะทำทำไมวะส้ม?”
“ก็เพราะฉันไม่อยากเสียแกไปให้นังพราวหลอกใช้ไง”
พูดพลางโอบกอดสุดเขตต์ไว้แน่น
“แกปล่อยฉันนะเว้ยไอ้ส้ม คุณพราวเค้าไม่ได้มาหลอกอะไรฉันซะหน่อย”
ส้มจี๊ดยิ้มเยาะ
“มั่วทั้งบอดี้การ์ด มั่วทั้งไฮโซเนี่ยะนะ แกยังจะไปเข้าข้างแม่นั่นอยู่อีก ถามจริงเหอะ ยัยพราวมัดใจแกด้วยอะไร แกถึงได้หลงไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้”
สุดเขตต์ยังไม่ทันตอบ จู่ๆ ก็มีเสียงข้าวของตกในห้องน้ำดังแทรกออกมา เขารีบหันขวับไปมองด้วยความเป็นห่วง ส้มจี๊ดมองตาม
“มีใครอยู่ในห้องน้ำเหรอ ?”
สุดเขตต์หน้าซีด “เอ่อ ไม่มี ลมที่ช่องหน้าต่างคงพัดเข้าไปมามั้ง ของก็เลยร่วง”
“แน่ใจเหรอว่าไม่มีใครอยู่ในนั้น ?”
ส้มจี๊ดเดินจะไปดู แต่เสียงมือถือดังขัดขึ้นมาก่อน
“ฮัลโหล ค่ะ บอกอ. มีงานด่วน? งานอะไรเหรอคะ ยัยพราวกับไฮโซติณห์กำลังโชว์สวีตกันอยู่ที่ห้าง? เอ่อ ได้ค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
เธอกดวางสาย พร้อมกับหันมาปรายตามองสุดเขตต์แบบเหยียดๆ
“ได้ยินชัดหรือยัง ว่ายัยพราวกำลังทำอะไร แกมันก็แค่ของแก้ขัด หึ ไปด้วยกันไหม”
“ฉันไม่ไป แกจะไปก็รีบไป”
“กลัวทนดูภาพบาดตาไม่ได้ล่ะซิ”
ส้มจี๊ดรีบเดินออกจากบ้านไป สุดเขตต์ยืนเป่าปากโล่งอก

ส้มจี๊ดรีบออกจากบ้านมาใส่รองเท้า แล้วต้องชะงัก เมื่อเพิ่งสังเกตเห็นรองเท้าผ้าใบของผู้หญิงวางอยู่
“ต้องอยู่ในห้องน้ำแน่ ๆ”
แต่พอจะพุ่งกลับเข้าไปดูให้หายคาใจ บอกอ. ก็โทร.มาเร่งอีก เธอจึงจำยอมต้องรีบไป

สุดเขตต์ชะเง้อมองออกไปนอกบ้านจนแน่ใจว่าส้มจี๊ดขับรถออกไปแล้ว ก็รีบมาเคาะประตูห้องน้ำ แต่กลับไม่มีเสียงขานรับจากด้านใน เขาจึงตัดสินใจถีบประตูเข้าไป แล้วก็ต้องตกใจแทบช็อกเมื่อเห็นมีนนอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้นห้องน้ำ โดยมีขวดสบู่ล้างมือและกล่องทิชชู่ร่วงอยู่ข้างตัว
“มีนๆ คุณเป็นอะไรไป มีนได้ยินผมไหม? ตอบผมซิ”
เขารีบวิ่งปราดเข้าไปประคองตัวเธอขึ้นมา มีนค่อยๆ ขยับหัวลืมตาขึ้นช้าๆ
“ได้ยินค่ะ”
“คุณเป็นอะไรไปครับ ทำไมถึงนอนอยู่อย่างงี้ ?”
มีนพยายามพูดอย่างอ่อนแรง “มีนเป็นลมน่ะค่ะ”
“ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็น หน้าคุณซีดมากเลย มือไม้เย็นไปหมด ผมจะพาไปหาหมอนะครับ”
พูดพลางรีบช้อนตัวเธอขึ้นมา แต่มีนส่ายหน้า ยึดแขนดึงเขาไว้
“มีนแค่เป็นลม ไม่ต้องไปหาหมอหรอกค่ะ มีนเป็นอย่างงี้บ่อยๆ กินยาลมสักแก้วแล้วนอนพักสักแป๊บเดี๋ยวมีนก็หายแล้วค่ะ”
สุดเขตต์หน้าสลด “ผมขอโทษนะครับ ที่ปล่อยคุณไว้ในห้องน้ำนานเกินไป จนเป็นลมเป็นแล้ง นี่ถ้าคุณเป็นอะไรมากกว่านี้ ผมจะทำยังไง? ผมจะทำยังไง”
พูดพลางกอดมีนไว้กับอก แอบสังหรณ์ใจอยู่ลึกๆ กลัวว่าเธอจะจากเขาไป มีนพยายามอดกลั้นน้ำตาไว้
“คุณไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ คุณเป็นกำลังใจให้มีนแบบนี้ก็พอแล้ว”

สุดเขตต์รีบอุ้มมีนเดินออกจากห้องน้ำมาพักที่ด้านนอก

ขณะที่ติณห์เดินจูงมือพราวพาเข้าช้อปปิ้งร้านนั้นร้านนี้ สมชายก็แอบมาทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดคอยจับตาสอดส่องมองระแวดระวังไปในกลุ่มไทยมุงในห้างที่ตามดูตามถ่ายรูปเป็นขบวน เพราะเกรงว่าไอ้เจ๋ง กับไอ้โม่งจะแฝงตัวเข้ามาทำร้ายพราว
 
ประเสริฐโผล่เข้ามาที่ห้างเดียวกัน นิ้วมือของมัน ที่พันพลาสเตอร์ยาไว้ทั้ง 5 นิ้วมีเลือดซึมออกมา มันสวมหมวกแก๊ปมิดชิด พร้อมทั้งใส่แจ็คเก็ตดึงปกขึ้นสูงอำพรางตัว

พราวมองเครื่องประดับเพชรราคาแพงที่ละลานตาอยู่ในร้าน ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ติณห์ก้าวมายืนมองอยู่ด้านหลัง พลางแอบยิ้มเยาะ เพราะคิดว่าเธอคงหลงใหลบูชาของมีค่าพวกนี้
“เพชรแพรวพราว เลอค่าคู่กับคุณพราวมากเลยนะครับ สมแล้วที่คุณชื่อพราว”
พราวหันมายิ้ม “ขอบคุณนะคะที่ให้เกียรติคิดอย่างนั้นกับพราว
“ตัดสินใจได้หรือยังครับ ว่าคุณพราวอยากได้ชิ้นไหน ผมจะซื้อให้”
“ถูกใจหมดทั้งร้านเลยค่ะ แต่ไม่อยากได้”
ติณห์นึกแปลกใจ แต่ก็ฝืนยิ้มออกมา
“ถึงคุณพราวไม่อยากได้ ผมก็จะให้ครับ”
ขาดคำ เจ้าของร้านก็หยิบกล่องสร้อยเพชรออกมายื่นให้ติณห์
“คุณติณห์สั่งทำสร้อยพิเศษเส้นนี้ให้กับคุณพราวค่ะ”
พราวมองอย่างอึ้งๆ พร้อมกับที่ ติณห์รับสร้อยมาสวมให้ที่คอเธอ
“ขออนุญาตสวมให้นะครับ”
ส้มจี๊ดที่เพิ่งมาถึงห้างพร้อมๆ กับเหล่านักข่าวเล่มอื่น แหวกเหล่าไทยมุงเข้ามาทันช็อตเด็ดพอดี
สมชายยืนซุ่มดูอยู่ที่หลังเสาด้วยแววตาเศร้าสร้อย พลางสายตาก็มองไปเห็นด้านหลังชายสวมหมวกแก๊ปคนหนึ่งยืนอยู่ สองมือแปะติดอยู่กับกระจกร้าน พลางลูบไล้กระจกราวกับได้สัมผัสตัวพราว เขาเพ่งมองอย่างจับสังเกต แล้วก็หวนนึกถึงตอนที่พราวมานั่งแจกลายเซ็นในงานเปิดตัวพ็อกเก็ตบุ๊คของแฟรงค์
“ใช่คนๆ เดียวกับวันนั้นเปล่าวะ”
แล้วลางบอกเหตุก็เกิดขึ้น เมื่อมือที่ลูบไล้กระจกอยู่ เปลี่ยนเป็นค่อยๆ หดเกร็งลงขูดกรงเล็บกับกระจกราวกับจะฉีกพราวเป็นชิ้นๆ สมชายอ้าปากค้าง รีบเดินพุ่งไปหามันทันทีแต่เหล่าไทยมุงเกะกะขวางทางไปหมด
จังหวะนั้นติณห์พาตัวพราวออกมาจากร้านพาเดินไปพอดี เหล่าไทยมุงก็เฮโลตามกันไป สมชายมองไปที่กระจกจุดเดิม เห็นหลังมันไวๆ กำลังเดินปะปนกับเหล่าไทยมุงตามพราวไป เขารีบวิ่งแหวกผู้คนตามไป
ติณห์จูงมือพาพราวเดินจะไปที่ร้านอาหารที่จองโต๊ะดินเน่อร์ไว้ ประเสริฐก้าวตามหลังมาในกลุ่มไทยมุง แต่ยังไม่มีโอกาสลงมือ ส้มจี๊ดก็รีบเดินเข้ามาประชิดด้านหลัง พร้อมกับหยุดพราวด้วยคำถาม
“บอดี้การ์ดสมชายไปไหนเสียล่ะคะ หรือว่าพอมีคู่หมั้น ก็ไล่บอดี้การ์ดออกเพื่อลบคำครหา”
พราวหยุดกึกหันมามองส้มจี๊ดอย่างเอาเรื่องทันที ติณห์ทำทีเป็นดึงเธอให้เดินไป แต่พราวไม่ยอม
“เดี๋ยวค่ะ ฉันต้องตอบคำถามนักข่าวคนนี้ก่อน คุณรู้ได้ไงคะว่าฉันไล่บอดี้การ์ดออก”
“ก็ไม่เห็นเค้ามาดูแลคุณเหมือนที่หัวหินนี่คะ ไหนล่ะ บอดี้การ์ดสมชายอยู่ไหน ?”
ส้มจี๊ดทำเป็นหันมองหา นักข่าวคนอื่นๆพลอยผสมโรงไปด้วย
“ไม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไล่เค้าออก หรือเค้าไม่ได้เป็นบอดี้การ์ดของฉันแล้ว คุณเป็นนักข่าวนะคะ ไม่ใช่นักแต่งนิยาย เพราะฉะนั้นอย่ามโน”
ส้มจี๊ดหน้าชา เอมี่ที่เดินตามพราวมาข้างๆ แอบสะใจสุดๆ
ประเสริฐได้โอกาตอนสพราวยืนอยู่กับที่ชักมีดออกมา เดินแทรกอยู่ในกลุ่มไทยเงื้อตรงไปที่เธอ แต่เสียงสมชายตะโกนขึ้น
“พราว ระวัง”
พราวตกใจหันมามอง เห็นมีดแวววับอยู่ตรงหน้า สมชายแหวกไทยมุงเข้ามาโอบตัวเธอพาล้มกลิ้งไปกับพื้น ไทยมุงแตกตื่นชุลมุนทันที ประเสริฐแทงพลาดไปโดนส้มจี๊ด ล้มลงไปนอนกับพื้น
สมชายกับพราวมองมาเห็นหน้าประเสริฐอย่างชัดเจน
“ไอ้เทรนเน่อร์”
ประเสริฐตาถลนตกใจรีถือมีดวิ่งถลาหนีไปทันที ขณะที่สมชายก้มมองพราวที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างแสนห่วง
“คุณไม่เป็นอะไรนะ ?”
พราวส่ายหน้า ทั้งที่ปากคอสั่นด้วยความตระหนก สมชายรีบส่งตัวเธอให้เอมี่กับติณห์ พลางมองตามหลังประเสริฐที่วิ่งไป และส้มจี๊ดที่นอนเจ็บอยู่
“ใครก็ได้รีบตามรปภ.ของห้างมาเร็ว เรียกรถพยาบาลมาดูคนเจ็บด้วย”
จากนั้นก็รีบวิ่งตามประเสริฐไป ขณะที่พราวถูกเอมี่กับติณห์พาตัวหลบไป แต่สายตาของเธอยังหันมองตามสมชายไปด้วยความเป็นห่วง

ประเสริฐวิ่งมาด้านหน้าห้าง พร้อมกับรีบกระโจนขึ้นไปนั่งในรถแท็กซี่ ที่วิ่งเข้ามาส่งผู้โดยสารลงพอดี สมชายวิ่งตามมา แต่ไม่ทัน
“รถทะเบียนไรวะ โธ่เว้ย”
จากนั้นก็รีบากดมือถือโทร. รายงานสหวุฒิ
"ฮัลโหล ผู้กำกับ ผมรู้ตัวไอ้โม่งที่ตามทำร้ายคุณพราวแล้ว ว่ามันเป็นใคร ก็ไอ้ประเสริฐ ไอ้เทรนเน่อร์นั่นแหละครับ มันตามคุณพราวมาที่ห้างน่ะซิ จะแทง แต่พลาดแทงถูกนักข่าวแทน ผมเห็นหน้ามันเต็มตาเลย ตอนนี้คนเจ็บยังอยู่ในห้าง"
 
"ไม่รู้มีใครโทรแจ้งตำรวจท้องที่กับรถพยาบาลมาหรือยัง ไอ้ประเสริฐเหรอครับผมตามมันไม่ทัน มันหนีไปได้ แต่ผมว่าตามจับตัวมันไม่ยากหรอก เรามีที่อยู่บ้านมันอยู่ รีบส่งกำลังไปรอเลยครับ"

สมชายรีบเดินหน้าเครียดมาที่ห้องน้ำหญิง เห็นติณห์ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตู
 
“ผมบอกให้คุณรีบพาพราวไปไง ทำไมยังไม่ไปอีกครับ มาทำอะไรที่ห้องน้ำ”
“ก็คุณพราวเค้าขังตัวเองอยู่ในนั้น เรียกยังไงก็ไม่ยอมออกมา”
สมชายพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที เพราะทุกครั้งที่พราวสติแตกมักจะทำอย่างงนั้น
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ติณห์ทำท่าจะไม่ยอม แต่พอเห็นท่าทางของสมชาย ก็จำต้องขยับให้

สมชายเดินเข้ามาในห้องน้ำกว้างหรูหรา มีห้องสุขาเล็กๆ เรียงราย เอมี่ยืนเคาะประตูห้องน้ำร้องเรียกพราวด้วยความเป็นห่วง
“ผมจะคุยกับคุณพราวเองครับ คุณเอมี่ออกไปรอข้างนอกก่อน แล้วอย่าให้ใครเข้ามานะครับ”
เอมี่จำใจต้องเดินออกไป สมชายคิดอยู่ครู่หนึ่ง ว่าจะทำอย่างไรให้พราวเปิดประตู
“นี่คุณ ผมเองนะ ไม่ต้องกลัวแล้ว มันไม่กลับมาทำอะไรคุณได้อีก”
พราวตะโกนถามออกมาจากห้องน้ำ “คุณจับตัวมันได้แล้วเหรอ ?”
“เปล่า มันหนีไปได้”
สมชายตอบหน้าตาเฉย แต่ก็ได้ผล พราวเปิดประตูผัวะออกโวยวายใส่หน้าทันที
“อะไรนะ คุณปล่อยให้มันหนีไปได้ แล้วมาบอกไม่ให้ฉันกลัว จะให้ฉันเดินออกไปแล้วถูกมันวิ่งเข้ามาแทงอีกหรือไง ฉันเห็นมันเงื้อมีด ยังติดตาฉันอยู่เลย”
พูดพลางกอดแขนตัวเอง ตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว สมชายต้องจับแขน 2 ข้างปลอบ
“ทำใจดีๆครับ ไม่ต้องห่วง ไอ้เทรนเน่อร์มันหนีไปไหนไม่รอดหรอก รู้ตัวขนาดนี้ว่ามันเป็นใคร มุดหัวอยู่ที่ไหน ตอนนี้กำลังตำรวจตามไปล่าตัวมันแล้ว”
“คุณแน่ใจนะสมชาย ว่าจะตามจับตัวมันมาได้ แน่ใจนะ?”
พราวถามย้ำ พร้อมกับจับแขนเขาเขย่า สมชายพยักหน้า ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ
“ผมสัญญา จะเอามันเข้าคุก จะไม่มีไอ้โม่งที่ไหนมาตามรังควานชีวิตคุณอีก”
พราวถอนใจอย่างโล่งอก เริ่มสงบลง แต่ยังอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้
“ทำไมต้องมารังควานชีวิตฉันด้วย ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย ฉันไปทำร้ายอะไรเค้าไว้ ถึงได้เกลียดฉันมากขนาดนี้ ใช้สารพัดวิธีตามล่าตามฆ่าฉันมาตลอด บอกฉันซินายสมชาย ฉันมันสมควรตายนักเหรอ ที่เกิดมาเป็นพราว”
ขาดคำน้ำตาของเธอก็ร่วงเผาะ จนสมชายต้องดึงเธอมากอดไว้
“ไม่หรอก คุณอย่าคิดอย่างนั้น คุณควรภูมิใจมากกว่าที่เกิดมาเป็นพราว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอย่างคุณได้ คุณสู้ชีวิตมาเยอะ กว่าจะมีวันนี้ คุณต้องภูมิใจ และสำหรับผม คุณสมควรมีชีวิตอยู่ให้นานๆ เพื่อให้ผมรัก”
พราวอึ้ง ผละจากอกสมชายมามองหน้าเขา สมชายยิ้มจริงใจ พลางยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้
“หยุดร้อง เข้มแข็งต่อไปนะครับ เพราะยังมีไอ้เจ๋งอีกตัว ที่ผมยังมันจับไม่ได้”
จังหวะนั้นเองติณห์ก็เดินเข้ามาในห้องน้ำ มาหยุดมองภาพทั้งคู่ พราวรีบผละออกมา ขณะที่สมชายหันไปมองอย่างเซ็งๆ
“ผมบอกแล้วไงว่าอย่าให้ใครเข้ามา”
“ผมจะมาพาคู่หมั้นผมกลับ”
ติณห์เดินเข้ามา สมชายทำท่าจะไม่ยอม
“ผมเป็นบอดี้การ์ด ผมจะคุ้มกันคุณพราวไปส่งเอง”
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร พร้อมๆ กับที่พราวพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอกบอดี้การ์ดสมชาย คุณติณห์ดูแลฉันได้ ฉันจะกลับกับเค้า”
สมชายมองหน้าพราวอย่างผิดหวัง ติณห์แอบยิ้มสะใจ พลางจูงพราวเดินออกไป

สุดเขตต์เดินถือแก้วชาอุ่นๆออกมาวางที่โต๊ะ พลางจับหน้าผากมีน ที่นอนพักอยู่ที่โซฟายาว ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างครับมีน? สบายดีขึ้นรึยัง ?”
มีนพยักหน้ายิ้มๆ พลางยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“โอ๊ะๆ นอนต่อก็ได้ครับ รีบลุกไปไหน”
สุดเขตต์พูดพลางรีบนั่งลงที่โซฟาโอบไหล่มีนให้นั่งเอนมาซบไหล่เขา
“ผมอยากให้คุณนอนหลับอยู่ที่นี่ไปนานๆ หลับไปถึงเช้าเลย ที่ไม่ค่อยสบายอยู่ จะได้หายขาดไปเลย”
“มีนก็อยากหลับแล้วตื่นขึ้นมาแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วยเป็นอะไร”
สุดเขตต์นึกไปนึกมา ก็เริ่มจำได้ขึ้นมาลางๆ
“คุณเป็นลมบ่อยเหรอครับมีน ตอนที่คุณปลอมเป็นคุณพราวไปงานประมูลรูป คุณก็เคยเป็นลม ตอนนั้นเหมือนคุณจะปวดหัวมาก ปวดจนเกร็งน่ากลัว”
มีนแอบมีสีหน้าตกใจ
“คุณจำได้ ?”
“ผมจำได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณ ทางที่ดีคุณควรจะหาหมอ เช็คร่างกายดูหน่อยนะครับมีน คุณอาจจะเป็นไมเกรนหรืออะไรก็ได้ พรุ่งนี้ผมว่าง ผมพาไปหาหมอไหมครับ ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไว้มีนจะไปเองค่ะ เย็นแล้ว มีนต้องกลับล่ะค่ะ”
พูดพลางรีบลุกพรวดไปหยิบกระเป๋า ทำเอาสุดเขตต์เริ่มรู้สึกผิดสังเกต จังหวะนั้นส้มจี๊ดก็โทร. เข้ามือถือของเขาพอดี
“โทรมามีอะไรอีก? ห่ะ อยู่โรงพยาบาล? แกไปทำไรโรงบาล ถูกแทง ?”

มีนได้ยินก็ตกใจไม่แพ้กัน

สุดเขตต์รีบมาที่โรงพยาบาล พลางเดินมาตามทางหน้าห้องพัก มองหาห้อง แล้วก็เห็นเพื่อนนักข่าวของส้มจี๊ด กับตำรวจท้องที่ในเครื่องแบบเปิดประตูเดินคุยกันออกมาจากห้อง เขารีบเดินเปิดประตูเข้าห้อง เห็นส้มจี๊ดนอนหน้าซีดเซียวระบมแผลอยู่ที่เตียง
 
“ส้มจี๊ด เป็นไงบ้างแก ?”
ส้มจี๊ดไม่วายประชด “เสียใจใช่มั้ย ที่ฉันยังไม่ตายไปจากชีวิตแก”
พลางลุกหันขวับมาจะโวยวาย ทำให้เจ็บแผลถูกแทงที่ไหล่ สุดเขตต์ต้องถลาช่วยประคอง
“นอนนิ่งๆ ซิ เดี๋ยวแผลก็ฉีก แกได้ตายสมพรปากแกหรอก”
“ยังจะมาพูด ก็เพราะนังพราวของแก ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ ซวยจริงๆเลย ต้องมาถูกแทงแทนมัน”
ส้มจี๊ดกระฟัดกระเฟียดอย่างเจ็บใจ แต่สุดเขตต์กลับนึกห่วงไปถึงพราว
“ไอ้มือมีด มันเป็นใครวะ กล้าตามไปทำร้ายคุณพราวถึงในห้าง?”
“แกคิดว่าฉันจะรู้ไหมล่ะ ไปถามไอ้บอดี้การ์ดสมชายซิ มันช่วยยัยพราวไว้ แล้วปล่อยให้ฉันรับเคราะห์แทนนังพราว เจ็บใจจริงๆ”

รถตำรวจจอดจอดซุ่มอยู่หน้าบ้านประเสริฐ 2 คัน พร้อมเจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติงาน สหวุฒิยืนคุยอยู่ตำรวจคนหนึ่งหน้าเครียดอยู่ ครู่หนึ่งสมชายก็วิ่งเข้ามาสมทบ
“เป็นไงครับ ได้ตัวมันมั้ย ?”
สหวุฒิส่ายหน้า “ไม่เจอตัวมันที่บ้าน เจอแต่อย่างอื่น เพียบเลย เข้าไปดูในบ้านเองดีกว่า ไป”

สมชายเดินตามสหวุฒิเข้ามาในห้องนอนที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานกำลังถ่ายรูปเก็บหลักฐานกันอยู่ แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นรูปของพราวถูกฉีก กรีด ตัดเกลื่อนอยู่ที่พื้นพร้อมรอยเลือดตั้งแต่ประตูห้อง
“อะไรของมันเนี่ยะ มีแต่รูปของคุณพราวเต็มไปหมด”
“ไม่ใช่แค่ในห้องนอน ไอ้หมอนี่เก็บรูปของคุณพราวไว้เต็มบ้านไปหมด ในตู้ โต๊ะ ลิ้นชัก กล่องเก็บของ ทั้งชั้นล่างชั้นบนมีแต่รูปคุณพราว สันนิษฐานว่านายประเสริฐคงเป็นแฟนคลับตัวยงของคุณพราว”
สมชายส่ายหน้า “แฟนคลับโรคจิตน่ะซิ”
สหวุฒิเดินนำสมชายจนมาถึงโต๊ะ
“คงอย่างงั้น อาจจะจินตนาการไปไกลว่าคุณพราวเป็นคนรักของตัวเองด้วย ถึงได้คลุ้มคลั่งเมื่อเห็นข่าวคุณพราวหมั้นกับไฮโซติณห์ และมีข่าวว่าเอ่อ กิ๊กกั๊กกับสารวัตร”
พูดพลางชี้ไปบนโต๊ะ ที่มีรูปข่าวพราวหมั้นกับติณห์ และภาพเริงร่ากับสมชายที่หัวหิน สมชายมองรูปอย่างเครียดๆ จนมาเห็นไอแพดหน้าจอปิดอยู่
“แล้วเจออะไรในไอแพดบ้างไหมครับผู้กำกับ”
“สารวัตรลองกดเปิดหน้าจอดูซิ”
ทันทีที่สมชายกดเปิด รูปติณห์จูบหน้าผากพราวที่ห้างก็โชว์หราขึ้นมาที่หน้าจอ
“คงเป็นเพราะรูปนี้ ไอ้แฟนคลับถึงสติแตกตามไปเชือดคุณพราวที่ห้าง”
“นี่ดีนะ ที่ตัวเองบาดเจ็บแต่สารวัตรยังอุตส่าห์ห่วงคุณพราว ตามไปเป็นบอดี้การ์ดให้อีก ไม่ทิ้งเลย”
สหวุฒิพูดยิ้มๆ เพราะรู้ว่าสมชายมีใจให้พราว
“ถ้าคุณไม่ตามไปนะ ดูโน่น วงการบันเทิงต้องสูญเสียซูเปอร์สตาร์แน่”
สมชายมองไปที่กระจก แล้วก็ใจหายวาบ เมื่อเห็นคำว่า
“แพศยา”

“เป็นความสะเพร่าของผมเอง ผมเคยเจอไอ้นายประเสริฐแล้วสงสัยมันเคยถึงขั้นค้นตัวมันมาแล้ว แต่ดันไม่ถามชื่อแซ่มัน แล้วปล่อยมันไป แถมจำหน้าตามันไม่ได้ด้วย ปล่อยให้มันลอยนวลตามก่อเหตุอยู่ได้ตั้งนาน”
สมชายอดที่จะก่นโทษตัวเองไม่ได้
“แต่ตอนนี้ก็ชัดแล้ว ว่ามันเป็นไอ้โม่งที่ตามปองร้ายคุณพราวแน่ๆ ผมจะออกหมายจับมัน ส่งไปทุกท้องที่”
สหวุฒิสรุป แต่สมชายยังคาใจ
“แต่มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยนะครับผู้กำกับ มันเป็นแฟนคลับ มันคลั่งรักคุณพราว แล้วทำไมมันถึงแอบส่งน้ำกรดให้คุณพราว ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อต มันลงมือเหมือนคนที่อาฆาตแค้นเกลียดชังกันมากกว่านะครับ”
“ไว้ได้ตัวมันมา เราคงหายข้องใจเรื่องนี้ แต่สารวัตรไม่ต้องห่วง ผมไม่ตัดประเด็นสงสัย ว่าอาจจะมีไอ้โม่งอีกคนหนึ่งก็ได้ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ การดูแลรักษาความปลอดภัยให้คุณพราวต้องเข้มงวด”
สมชายรับคำ “ผมจะไม่ให้คุณพราวคลาดสายตาเลย เอ่อ ผมไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ ที่ผมจำเป็นต้องทำหน้าที่นี้ เพราะยังมีไอ้เจ๋งอีกตัว ที่มันจ้องจะเล่นงานคุณพราวอยู่ มันแค้นคุณพราว ก็เพราะผม
คราวนี้ถ้ามันโผล่มาอีกที ผมต้องจัดการมันให้ได้”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันหน้าดำคร่ำเครียด ประเสริฐก็ดอดมาซุ่มดูอยู่ด้านนอก ก่อนจะผลุบหายไป

สุดเขตต์เริ้มร้อนใจ เพราะเป็นห่วงทั้งพราว และมีน หากว่ามือมีดยังลอยนวล
“แกเช็คข่าวได้ไหมวะส้มจี๊ด ว่าตอนนี้ตำรวจตามจับตัวมือมีดที่ทำร้ายคุณพราวได้รึยัง ?”
“ทำร้ายคุณพราว ทำร้ายบ้าอะไร มันแทงฉันต่างหาก แกห่วงนังพราวจะถูกไอ้นั่นตามฆ่าอีกใช่มั้ย
ถ้าตำรวจยังจับตัวมันไม่ได้น่ะ สาธุ ขอให้ตำรวจจับมันไม่ได้”
สุดเขตต์เริ่มฉุน
“ไอ้ส้มจี๊ด แกเห็นชีวิตคนเป็นของเล่นเหรอวะ แกรู้ไหมถ้าเกิดเค้าเป็นอะไรขึ้นมา คนที่รักเค้า จะเสียใจมากขนาดไหน”
“แหมๆ คนที่รักเค้า รักยัยพราว คือแกน่ะเหรอ หึ อยากจะอ้วกว่ะ รู้ไว้ซะแก ก่อนที่ยัยนั่นจะหมดลม ผู้ชายคนแรกที่ยัยนั่นจะคิดถึงก็คือไอ้บอดี้การ์ดสมชาย กิ๊กลับๆของมัน คนที่ 2 ก็คือไฮโซติณห์ ส่วนแกไม่รู้อยู่ขุมที่เท่าไหร่ กลัวมันจะหมดลมเสียก่อนที่จะคิดถึงแกว่ะ”
สุดเขตต์มองส้มจี๊ด พลางส่ายหน้าอย่างหมดศรัทธา
“ขอบใจว่ะที่ช่วยสาธยายให้ฟัง รู้มั้ย ที่จริงแกก็เป็นผู้หญิงที่สวยมากคนนึง แต่ทัศนคติของแกที่มีต่อคุณพราว ทำให้แกดูน่าเกลียดมากในสายตาฉัน”
พุดจบก็หันเดินจะออกจากห้อง ส้มจี๊ดโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“แกหลอกด่าฉันเหรอไอ้สุดเขตต์ เห็นฉันง้อหน่อย ทำเป็นหลงตัวเอง แกมันก็ไม่ได้วิเศษอะไรนักหรอก แกออฟผู้หญิงมามั่วที่บ้าน นึกว่าฉันไม่รู้เหรอ แกซ่อนนังนั่นไว้ในห้องน้ำ ฉันเห็นรองเท้านังนั่นถอดอยู่หน้าบ้าน”
สุดเขตต์เปิดประตูค้าง หันมามองส้มจี๊ดอย่างโกรธจัด
“เค้าไม่ใช่ผู้หญิงอย่างงั้น ดีกว่าแกล้านเท่า รู้ไว้ซะด้วย”
พูดจบก็ผลุนผลันเดินออกไป ส้มจี๊ดอ้าปากค้าง

“มันยอมรับ มันซ่อนอีหนูไว้ในห้องน้ำจริงๆ นังนั่นมันใคร ?”

จบตอนที่ 12
กำลังโหลดความคิดเห็น