โดย..เงาศิลป์
(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
ด้วยความเมตตาอารีของดำ ที่ช่วยสอนวิธีหาปลาให้จนมีความชำนาญ เราก็ย่ามใจวางแผนหาปลาในทุกช่วงน้ำลง เพียงแต่ต้องรู้เวลาน้ำขึ้นน้ำลงให้แม่น
การเป็นคนหาปลาแบบละโมบโลภมากก็เกิดขึ้น เพราะเราจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องทำงานหาเงินมาซื้อกินอีกต่อไป ซึ่งการซื้ออาหารบนเกาะนอกจากจะแพงแล้ว ในฤดูมรสุมมีผักอยู่ชนิดเดียวที่วางในเข่งเป็นเดือนก็ไม่เหี่ยว คือ กะหล่ำปลี และฉัน ซึ่งเดินทางผ่านดงกะหล่ำปลีบนดอยมานักต่อนัก มีหรือจะกล้าซื้อกิน เพราะทั้งรู้ทั้งเห็นว่ามันเต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง
“ยาย คืนนี้เราไปนอนที่ชายหาดเลยดีกว่า น้ำลงตอนเที่ยงคืนขี้เกียจเดินกลับน่ะ”
“เอาสิ จะได้นอนหลับชายหาดบ้าง อยู่ที่นี่เหมือนไม่ได้อยู่ทะเล” ฉันเออออ
เราจึงเตรียมเต็นท์ และเครื่องนอนเบาๆ สำหรับการไปหาปลา เพิ่มสัมภาระขึ้นมาอีกชิ้นสองชิ้นนอกจากตาข่ายที่หาซื้อไว้ใช้เองแล้ว และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ แมวน้อย
เรามีแมวตัวเล็กๆ อยู่หนึ่งตัว สีส้มสวยสด มันมาร้องเมี้ยวๆ ที่หน้าประตูบ้านในเช้าวันหนึ่ง ไม่อยากจะคิดว่ามีคนเอามาปล่อยหรอก แต่ในเมื่อถามบ้านใกล้ๆ แล้วไม่มีใครรู้จักมัน เราจึงได้รับเลี้ยงเอาไว้ น้าตั้งชื่อให้มันว่า “สีแย้ว”
สีแย้ว ตัวเล็กมาก ผอมด้วย กลัวหมาเป็นที่สุด มีอยู่คืนหนึ่งเราออกไปหาข้าวกินที่ตลาด กลับมาค่อนข้างดึก เห็นสีแย้วปีนขึ้นไปอยู่บนปางไม้มะยมหน้าบ้าน ตัวสั่นงันงกน่าสงสาร จากนั้นเราจึงไม่ปล่อยมันไว้นอกบ้านตามลำพังอีกเลย และครั้งนี้ก็เป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะจะขังมันไว้ทั้งคืนก็กลัวมันจะขี้เยี่ยวใส่บ้านจึงตัดสินใจอุ้มมันไปนอนที่ชายหาดด้วย
คืนนั้นสีแย้วน่าจะมีความสุขที่สุด เพราะมันได้สวาปามปลาสดๆ ไปหลายตัว แต่ฉันสิที่ต้องทนทรมานร่างกายจนกระทั่งรุ่งเช้า......เพราะ
หลังจากที่สมานไมตรีกับสุภาพบุรุษอังกฤษผู้มีกัญชามาฝากน้าเป็นประจำ ในยามที่เขาแวะมาดูน้านั่งทำงานแกะสลักหิน เขาสองคนก็สูบกัญชาพ่นควันใส่ปุ๋ยๆ จนฉันบ่นว่า เหม็นๆ ๆ นายอังกฤษจึงยื่นมวนกัญชามาให้ฉันแล้วบอกว่าถ้าเธอสูบแค่จื๊ดเดียวเธอจะไม่เหม็น แล้วฉันก็ทำตาม ปื้ดนึง จริงด้วย ความเหม็นขื่นกลายเป็นหอมหวาน จากนั้นฉันสูบกลิ่นควันหลงได้สบาย ไม่บ่นว่าเหม็นอีกต่อไป
คืนนี้แม้จะไม่มีนายอังกฤษ แต่น้าก็มีกัญชามาสูบส่วนตัว เมื่อช่วยกันวางตาข่ายในน้ำเสร็จแล้ว ฉันบอกว่าขอนอนหัวค่ำนะ น้าออกไปสูบนอกเต็นท์ละกัน แกพยักหน้าหงึกหงัก ถามฉันว่าหนาวไหม ฉันว่านิดหน่อย แล้วแกก็ยื่นมวนขาวๆ มาให้
“อ่ะ แก้หนาวซะหน่อย” ฉันรับมาทำตามแต่โดยดี เพราะเชื่อเช่นนั้นจริงๆ แล้วก็นอนหลับไป พอตื่นขึ้นมาตอนดึกเพราะถึงเวลาจะลงไปดูปลา น้าแกยังนอนเอกเขนกชมจันทร์สบายอารมณ์ มีเจ้าเหมียวนอนครางครืดๆ อยู่ข้างๆ
“น้า ลงไปดูปลากันเถอะ” น้างึมงำ พึมพำ ไม่ขยับตัว ฉันจึงนั่งลงข้างๆ
“เอาอีกหน่อยไหม จะได้ไม่หนาว” ส่งขนมหวานในมือมาให้ ฉันก็รับมาสูดสองสามปื้ดแล้วคืนไป
“ลงไปก่อนนะ เดี๋ยวจะตามไป” แกว่าแบบนี้ ฉันจึงไม่รอรี ถอดเสื้อผ้าชุดข้างนอกออก เหลือชุดว่ายน้ำเดินลุยน้ำลงไปปลดปลา น้ำไม่ลึกมากแค่ระดับเข่าเท่านั้น แต่ฉันก็ยังเปียกน้ำอยู่ดีเพราะทะเลน้ำนิ่งซะที่ไหน
คืนนั้นปลาติดตาข่ายเยอะพอสมควร ด้วยความดีใจจึงไม่ได้สนใจว่าเขาจะลงมาช่วยหรือเปล่า ปลดปลาเสร็จแล้วกลับมานอนต่อ รู้สึกหนาวมาก หนาวเข้ากระดูกดำ นอนขบฟันตัวสั่นงั่กๆ คนนอนข้างๆ หัวเราะหึหึ
ใจร้ายจริงๆ หลอกให้เราสูบกัญชาแล้วลงน้ำ มิน่าที่เขาพูดกันว่า พวกขี้ยามักจะกลัวน้ำ เพราะมันหนาวเหลือทนนี่เอง สมน้ำหน้าตัวเอง ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วฉันก็ชกเขาดังพลั่กเข้าที่แขน ก่อนจะแย่งผ้าห่มมาคลุมโปง คว้าเจ้าเหมียวมากอด แล้วค่อยๆ หลับไปในที่สุด
และแล้วฉันก็ถูกปลุกด้วยเสียงคนพูดคุยกันอยู่นอกเต็นท์ คนช่างหลอกตื่นแล้วกำลังคุยกับใครบางคน ฉันรีบมุดออกไปดู พบเด็กหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตาจากบังกะโลแห่งเดียวที่มีอยู่ที่หาดนี้
“ป้าให้ผมมาดูว่าใครมากางเต็นท์” เขาหันมาบอก ขณะที่ฉันโผล่หน้าออกไป
“ทำไมเหรอ” ฉันถาม
“ไม่รู้สิ ต้องถามป้า” เขาส่ายหน้า แล้วขอตัวกลับไปที่บังกะโล ฉันตะโกนตามหลังไปว่า เดี๋ยวจะแวะไปกินกาแฟนะบอกป้าด้วย
เก็บข้าวของเครื่องนอน และปลาที่ยังเป็นๆ ในถังน้ำ เดินไปบังกะโลซึ่งอยู่ห่างออกไปราวๆ 300 เมตร พอเราไปถึงป้าแกหัวเราะชอบใจเสียงดังลั่น
“กูนึกว่าฝรั่งมากางเต็นท์ จึงใช้ให้เด็กไปไล่ ที่ไหนได้คนกันเองนี่เอง มาๆ มากินกาแฟกัน” แกกุลีกุจอใช้ให้เด็กชงกาแฟแก้วใหญ่ๆ มาให้ ใส่นมข้นหวานเจี๊ยบ แล้วชวนคุยอย่างอารมณ์ดี
“จะหาปลาทำไมไม่ชวนพฤกษาเอาเรือออกไปตกปลาอินทรี มาหาปลาอะไรแถวนี้ ไม่เห็นจะมีของอร่อย”
ฉันจึงไม่กล้าโม้ว่าได้ปลากระบอกมาหลายตัว เพราะแกเชื่อว่าปลาอินทรีเท่านั้นที่คู่ควรแก่การกินแต่ในที่สุด คำสุดท้ายของแกที่ทำให้ฉันอึ้ง
“อย่ามากางเต็นท์แถวนี้เลย เดี๋ยวฝรั่งมันจะเอาอย่าง”
ฟังดูเหมือนจะขอร้องดีๆ แลกกับกาแฟฟรีๆ อย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะตลอดเวลาที่เดินกลับบ้าน ฉันครุ่นคิดเรื่องนี้ไปตลอดทาง สงสัยจริงๆ ว่าถ้าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เพื่อนกับลูกเขยของแก แกจะพูดว่าอย่างไรในเมื่อชายหาดที่เราไปกางเต็นท์ คนที่มีสิทธิจะไล่เรา คือ ดำ เท่านั้น
(อ่านต่อตอนที่ 6)
(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
ด้วยความเมตตาอารีของดำ ที่ช่วยสอนวิธีหาปลาให้จนมีความชำนาญ เราก็ย่ามใจวางแผนหาปลาในทุกช่วงน้ำลง เพียงแต่ต้องรู้เวลาน้ำขึ้นน้ำลงให้แม่น
การเป็นคนหาปลาแบบละโมบโลภมากก็เกิดขึ้น เพราะเราจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องทำงานหาเงินมาซื้อกินอีกต่อไป ซึ่งการซื้ออาหารบนเกาะนอกจากจะแพงแล้ว ในฤดูมรสุมมีผักอยู่ชนิดเดียวที่วางในเข่งเป็นเดือนก็ไม่เหี่ยว คือ กะหล่ำปลี และฉัน ซึ่งเดินทางผ่านดงกะหล่ำปลีบนดอยมานักต่อนัก มีหรือจะกล้าซื้อกิน เพราะทั้งรู้ทั้งเห็นว่ามันเต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง
“ยาย คืนนี้เราไปนอนที่ชายหาดเลยดีกว่า น้ำลงตอนเที่ยงคืนขี้เกียจเดินกลับน่ะ”
“เอาสิ จะได้นอนหลับชายหาดบ้าง อยู่ที่นี่เหมือนไม่ได้อยู่ทะเล” ฉันเออออ
เราจึงเตรียมเต็นท์ และเครื่องนอนเบาๆ สำหรับการไปหาปลา เพิ่มสัมภาระขึ้นมาอีกชิ้นสองชิ้นนอกจากตาข่ายที่หาซื้อไว้ใช้เองแล้ว และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ แมวน้อย
เรามีแมวตัวเล็กๆ อยู่หนึ่งตัว สีส้มสวยสด มันมาร้องเมี้ยวๆ ที่หน้าประตูบ้านในเช้าวันหนึ่ง ไม่อยากจะคิดว่ามีคนเอามาปล่อยหรอก แต่ในเมื่อถามบ้านใกล้ๆ แล้วไม่มีใครรู้จักมัน เราจึงได้รับเลี้ยงเอาไว้ น้าตั้งชื่อให้มันว่า “สีแย้ว”
สีแย้ว ตัวเล็กมาก ผอมด้วย กลัวหมาเป็นที่สุด มีอยู่คืนหนึ่งเราออกไปหาข้าวกินที่ตลาด กลับมาค่อนข้างดึก เห็นสีแย้วปีนขึ้นไปอยู่บนปางไม้มะยมหน้าบ้าน ตัวสั่นงันงกน่าสงสาร จากนั้นเราจึงไม่ปล่อยมันไว้นอกบ้านตามลำพังอีกเลย และครั้งนี้ก็เป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะจะขังมันไว้ทั้งคืนก็กลัวมันจะขี้เยี่ยวใส่บ้านจึงตัดสินใจอุ้มมันไปนอนที่ชายหาดด้วย
คืนนั้นสีแย้วน่าจะมีความสุขที่สุด เพราะมันได้สวาปามปลาสดๆ ไปหลายตัว แต่ฉันสิที่ต้องทนทรมานร่างกายจนกระทั่งรุ่งเช้า......เพราะ
หลังจากที่สมานไมตรีกับสุภาพบุรุษอังกฤษผู้มีกัญชามาฝากน้าเป็นประจำ ในยามที่เขาแวะมาดูน้านั่งทำงานแกะสลักหิน เขาสองคนก็สูบกัญชาพ่นควันใส่ปุ๋ยๆ จนฉันบ่นว่า เหม็นๆ ๆ นายอังกฤษจึงยื่นมวนกัญชามาให้ฉันแล้วบอกว่าถ้าเธอสูบแค่จื๊ดเดียวเธอจะไม่เหม็น แล้วฉันก็ทำตาม ปื้ดนึง จริงด้วย ความเหม็นขื่นกลายเป็นหอมหวาน จากนั้นฉันสูบกลิ่นควันหลงได้สบาย ไม่บ่นว่าเหม็นอีกต่อไป
คืนนี้แม้จะไม่มีนายอังกฤษ แต่น้าก็มีกัญชามาสูบส่วนตัว เมื่อช่วยกันวางตาข่ายในน้ำเสร็จแล้ว ฉันบอกว่าขอนอนหัวค่ำนะ น้าออกไปสูบนอกเต็นท์ละกัน แกพยักหน้าหงึกหงัก ถามฉันว่าหนาวไหม ฉันว่านิดหน่อย แล้วแกก็ยื่นมวนขาวๆ มาให้
“อ่ะ แก้หนาวซะหน่อย” ฉันรับมาทำตามแต่โดยดี เพราะเชื่อเช่นนั้นจริงๆ แล้วก็นอนหลับไป พอตื่นขึ้นมาตอนดึกเพราะถึงเวลาจะลงไปดูปลา น้าแกยังนอนเอกเขนกชมจันทร์สบายอารมณ์ มีเจ้าเหมียวนอนครางครืดๆ อยู่ข้างๆ
“น้า ลงไปดูปลากันเถอะ” น้างึมงำ พึมพำ ไม่ขยับตัว ฉันจึงนั่งลงข้างๆ
“เอาอีกหน่อยไหม จะได้ไม่หนาว” ส่งขนมหวานในมือมาให้ ฉันก็รับมาสูดสองสามปื้ดแล้วคืนไป
“ลงไปก่อนนะ เดี๋ยวจะตามไป” แกว่าแบบนี้ ฉันจึงไม่รอรี ถอดเสื้อผ้าชุดข้างนอกออก เหลือชุดว่ายน้ำเดินลุยน้ำลงไปปลดปลา น้ำไม่ลึกมากแค่ระดับเข่าเท่านั้น แต่ฉันก็ยังเปียกน้ำอยู่ดีเพราะทะเลน้ำนิ่งซะที่ไหน
คืนนั้นปลาติดตาข่ายเยอะพอสมควร ด้วยความดีใจจึงไม่ได้สนใจว่าเขาจะลงมาช่วยหรือเปล่า ปลดปลาเสร็จแล้วกลับมานอนต่อ รู้สึกหนาวมาก หนาวเข้ากระดูกดำ นอนขบฟันตัวสั่นงั่กๆ คนนอนข้างๆ หัวเราะหึหึ
ใจร้ายจริงๆ หลอกให้เราสูบกัญชาแล้วลงน้ำ มิน่าที่เขาพูดกันว่า พวกขี้ยามักจะกลัวน้ำ เพราะมันหนาวเหลือทนนี่เอง สมน้ำหน้าตัวเอง ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วฉันก็ชกเขาดังพลั่กเข้าที่แขน ก่อนจะแย่งผ้าห่มมาคลุมโปง คว้าเจ้าเหมียวมากอด แล้วค่อยๆ หลับไปในที่สุด
และแล้วฉันก็ถูกปลุกด้วยเสียงคนพูดคุยกันอยู่นอกเต็นท์ คนช่างหลอกตื่นแล้วกำลังคุยกับใครบางคน ฉันรีบมุดออกไปดู พบเด็กหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตาจากบังกะโลแห่งเดียวที่มีอยู่ที่หาดนี้
“ป้าให้ผมมาดูว่าใครมากางเต็นท์” เขาหันมาบอก ขณะที่ฉันโผล่หน้าออกไป
“ทำไมเหรอ” ฉันถาม
“ไม่รู้สิ ต้องถามป้า” เขาส่ายหน้า แล้วขอตัวกลับไปที่บังกะโล ฉันตะโกนตามหลังไปว่า เดี๋ยวจะแวะไปกินกาแฟนะบอกป้าด้วย
เก็บข้าวของเครื่องนอน และปลาที่ยังเป็นๆ ในถังน้ำ เดินไปบังกะโลซึ่งอยู่ห่างออกไปราวๆ 300 เมตร พอเราไปถึงป้าแกหัวเราะชอบใจเสียงดังลั่น
“กูนึกว่าฝรั่งมากางเต็นท์ จึงใช้ให้เด็กไปไล่ ที่ไหนได้คนกันเองนี่เอง มาๆ มากินกาแฟกัน” แกกุลีกุจอใช้ให้เด็กชงกาแฟแก้วใหญ่ๆ มาให้ ใส่นมข้นหวานเจี๊ยบ แล้วชวนคุยอย่างอารมณ์ดี
“จะหาปลาทำไมไม่ชวนพฤกษาเอาเรือออกไปตกปลาอินทรี มาหาปลาอะไรแถวนี้ ไม่เห็นจะมีของอร่อย”
ฉันจึงไม่กล้าโม้ว่าได้ปลากระบอกมาหลายตัว เพราะแกเชื่อว่าปลาอินทรีเท่านั้นที่คู่ควรแก่การกินแต่ในที่สุด คำสุดท้ายของแกที่ทำให้ฉันอึ้ง
“อย่ามากางเต็นท์แถวนี้เลย เดี๋ยวฝรั่งมันจะเอาอย่าง”
ฟังดูเหมือนจะขอร้องดีๆ แลกกับกาแฟฟรีๆ อย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะตลอดเวลาที่เดินกลับบ้าน ฉันครุ่นคิดเรื่องนี้ไปตลอดทาง สงสัยจริงๆ ว่าถ้าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เพื่อนกับลูกเขยของแก แกจะพูดว่าอย่างไรในเมื่อชายหาดที่เราไปกางเต็นท์ คนที่มีสิทธิจะไล่เรา คือ ดำ เท่านั้น
(อ่านต่อตอนที่ 6)