คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
รถไฟไทยเป็นการคมนาคมขนส่งมวลชนที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ นับเป็นหลักไมล์วัดความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟสายใต้ที่นำพาความเจริญก้าวหน้า และการเปลี่ยนแปลงมาสู่ชุมชนริมทางรถไฟ และชุมชนสถานีชุมทางในภาคใต้ โดยเฉพาะชุมทางทุ่งสง และชุมทางหาดใหญ่ เส้นทางรถไฟนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ชุมชนอย่างเห็นทันตา โดยเฉพาะการส่งลูกหลานจากบ้านนอกไปศึกษาเล่าเรียนที่กรุงเทพมหานคร
แต่การรถไฟแห่งประเทศไทย ก็ถูกกล่าวขานในทางเสียหายพอๆ กับความสะดวกที่ได้จากการมีเส้นทางรถไฟ เช่น การไม่ตรงเวลา ความสกปรกของห้องน้ำห้องส้วม รถไฟไปถึงไหนความสกปรกไปถึงนั่น การขาดทุน และอื่นๆ อีกมากมายจิปาถะ
และช่วงหลังมานี้ก็เป็นเรื่องข่าวคราวความไม่ปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของผู้โดยสารที่เป็นหญิงสาว ที่เกิดขึ้นในขบวนรถนอนปรับอากาศ ซึ่งเป็นขบวนรถที่ชนชั้นกลางรับบริการมากกว่าชนชั้นล่างที่ส่วนใหญ่อาศัยรถไฟฟรี ชั้นสาม
ล่าสุดชะตากรรมมาเกิดขึ้นกับเยาวชนวัย ๑๓ ปี ถูกข่มขืนกระทำชำเราและโยนร่างไปทางหน้าต่างอย่างอำมหิตผิดมนุษย์ ปรากฏว่า เป็นการกระทำของพนักงานบริการปูผ้าประจำตู้รถไฟ และเมื่อสืบสวนสอบสวนปรากฏว่า ผู้ต้องหา หรืออาชญากรเคยก่อคดีลักษณะนี้มาแล้วกับพนักงานสาวประจำขบวนรถ แต่เนื่องจากเหยื่ออับอายไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดี
จึงปล่อยให้อาชญากรลอยนวล และเหิมเกริมมาก่อคดีสะเทือนขวัญกับเยาวชนผู้น่าสงสารอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เมื่อ ๑๓ ปีที่แล้วมีนักศึกษาปริญญาโทท่านหนึ่งถูกข่มขืนกระทำชำเรา ได้รับผลกระทบทั้งในหน้าที่การงาน และสภาพจิตใจ จนต้องหนีจากสังคมไทยไปอยู่ยังประเทศกรีซ และคดีความที่ฟ้องร้องยังไม่สิ้นสุดยุติ โดยเฉพาะคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายที่ทางการรถไฟฯ อุทธรณ์ฎีกาไม่ยอมเยียวยาตามคำพิพากษาของศาล
นอกจากนั้น ยังเคยมีผู้โดยสารผู้หญิงท่านหนึ่งถูกเหล็กที่กั้นเตียงชั้นบนหล่นทับใบหน้า ได้รับบาดเจ็บเสียค่ารักษาพยาบาลไปกว่า ๗ หมื่นบาท เมื่อมาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการรถไฟแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องดูแลเรื่องนี้ก็แจ้งว่า ไม่ใช่เกิดจากความผิดของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพราะเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลยืนยันว่า วัสดุอุปกรณ์ดังกล่าวมั่นคงแข็งแรง แต่ความเสียหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้เสียหายเองที่ไม่ระมัดระวังจนสมควรแก่เหตุ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคดีตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่อยู่คู่ประชาชนคนไทยมาร้อยกว่าปี โดยเฉพาะรถไปสายใต้สายที่ทรมาน และทุกขเวทนาที่สุดสำหรับการเดินทางที่ยาวนาน และยาวไกลที่สุดในประเทศไทย ทั้งๆ ที่เมื่อหันไปดูรถไฟของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟของประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ที่อยู่ใกล้บ้านเรา มันเทียบกันไม่ได้เลย
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นต่อผู้โดยสาร ผู้รับผิดชอบระดับผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่อ้างว่า มาจากการสรรหา และไม่จำเป็นจะต้องรู้ทุกเรื่องของการรถไฟฯ ก็มักจะออกมาตีสำบัดสำนวนเพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างหน้าด้านๆ
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผู้ว่าการรถไฟฯ ที่มาจากสายการเมืองก็ออกมาตีคารมสร้างความเอือมระอาให้แก่ญาติๆ ของผู้เสียหาย และประชาชนคนไทยผู้รักความเป็นธรรม และอยากเห็นความรับผิดชอบของการรถไฟฯ ที่เป็นรูปธรรม
ตอนแรกพวกเขาออกมาปฏิเสธว่า อาชญากรไม่ใช่พนักงานของการรถไฟฯ เป็นพนักงานของบริษัทเอกชน แต่ต่อมา ต้องยอมจำนนต่อพยานหลักฐานที่ยืนยันว่า อาชญากรคนนั้นเป็นพนักงานของการรถไฟฯ ก็เฉไฉไปว่าร้อยกว่าปีของการรถไฟฯ ไม่เคยมีเรื่องเลวร้าย ครั้นมีคนเขียนจดหมายบอกเล่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ ๑๓ ปีที่แล้ว และคดีความยังไม่สิ้นสุด เขาก็แถไปอย่างหน้าด้านๆ ว่าเพิ่งมาเป็นผู้บริหารการรถไฟฯ ไม่นาน ไม่อาจจะรู้ทุกเรื่องของการรถไฟฯ
ความจริงคุณไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง รู้จักนอตทุกตัวของรถไฟอย่างที่คุณพล่ามออกมาหรอก เพียงคุณรู้จักรับผิดชอบ มีความละอายแก่ใจ และมีความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการการกระทำของบุคคลที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของคุณ ให้สมกับเงินเดือน และสวัสดิการที่คุณได้รับ มันก็เพียงพอแล้วสำหรับความต้องการของประชาชน
นอกจากนั้น การที่อาชญากรอ้างว่าที่ก่อเหตุเนื่องจากเสพยาบ้า และดื่มเบียร์ จนเกิดอารมณ์ทางเพศ และควบคุมตัวเองไม่ได้ ยิ่งต้องประณามการรถไฟฯ ที่ปล่อยให้คนเสพยาบ้าอันเป็นสิ่งผิดกฎหมายร้ายแรง และดื่มเครื่องดื่มมึนเมาในขณะปฏิบัติหน้าที่ให้บริการประชาชน
และที่สำคัญคดีนี้ และคดีก่อนหน้านี้ผู้ก่อคดีเป็นพนักงานของการรถไฟฯ เอง แล้วจะมามัวเสียเวลาอยู่กับการหามาตรการในการป้องกันความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารหาหอกอะไร เพราะมาตรการที่ว่าไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด ตำรวจรถไฟ ฯลฯ มันช่วยอะไรไม่ได้เลย ถ้าผู้มีหน้าที่ให้บริการ และดูแลผู้โดยสารเป็นผู้ประกอบอาชญากรรมเสียเอง
มันเป็นระบบการบริหารจัดการที่เลวร้ายสุดๆ เหมือนปล่อยให้สัตว์นรกมาดูแลความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของผู้บริสุทธิ์นั่นแหละ
ดังนั้น แนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่ไล่อาชญากรออกจากงาน จ่ายเงินเยียวยาผู้เสียหาย ผู้ว่าการการรถไฟฯ ไปเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลศพ ฯลฯ แต่มันต้องปฏิรูประบบบริหารจัดการการถไฟฯ ตั้งแต่กระบวนการสรรหาผู้บริหารระดับสูง ให้ปลอดจากระบบเส้นสาย และระบบอุปถัมภ์ของสังคมอำนาจนิยม เพื่อให้คนดีเข้ามาบริหารจัดการกิจการที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการของประชาชน
ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่ล้าหลัง ไม่ทันการณ์ และไม่ตอบสนองต่อประชาชนคนชั้นล่าง หรือผู้เสียเปรียบในสังคม
ส่วนการกำหนดให้การข่มขืนกระทำชำเราต้องประหารชีวิตสถานเดียวนั้น ความจริงกฎหมายไทยก็มีโทษสถานหนักอยู่แล้ว เพียงแต่เราเอามาตรฐานสากลของประเทศที่พัฒนาแล้วมาใช้กับคนไทย ที่อาชญากรส่วนใหญ่มันเป็นคนด้อยพัฒนา และมีความเป็นคนน้อยกว่าคนทั่วไป ครั้นเมื่อกฎหมายบัญญัติให้มีเหตุอันควรบรรเทาโทษ และหลายประเทศในโลกไม่เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต อาชญากร หรือสัตว์นรกที่อยู่ในคราบมนุษย์จึงพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย
ในฐานะนักเรียนกฎหมายคนหนึ่ง และพบความอยุติธรรมด้วยตนเองและรับรู้จากญาติมิตรที่สนิทสนม บอกได้คำเดียวว่า กระบวนการยุติธรรมไทยเป็นคุณต่อคนเลว และเป็นโทษต่อผู้บริสุทธิ์มากกว่าจริงๆ