คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ข้าพเจ้าเพิ่งกลับจากการไปพูดคุยปรึกษาหารือกับทนายความ พ่อแม่และญาติพี่น้องของหลานชายที่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายทารุณทั้งยิง แทงและฟัน บาดแผลเหวอะหวะ เหตุเกิดในท้องที่บ้านวังใน ต.ถ้ำใหญ่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ พ่อแม่ของผู้ตายได้แจ้งความร้องทุกข์คดีอาญาที่ ๕๔๔/๕๕๖ ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของท้องที่ได้จับกุมผู้ต้องหาได้รายหนึ่งหลังจากวันเกิดเหตุไม่นาน ตามการให้เบาะแสของบางคนที่ญาติของผู้ตายสงสัยว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทั้งเป็นผู้บงการและลงมือร่วมฆ่าผู้ตาย โดยเป็นคนลงมือยิงแล้วให้ลูกน้องอีกสองสามคนแทงและฟันอย่างโหดเหี้ยม แต่จนบัดนี้ผู้ต้องหาที่ถูกฝากขังไว้ที่เรือนจำอำเภอทุ่งสงยังให้การปฏิเสธ แม้ผลการพิสูจน์เปรียบเทียบดีเอ็นเอที่เสื้อผ้าและรองเท้าของผู้ต้องหาตรงกับดีเอ็นเอของผู้ตาย
ผู้รับผิดชอบคดีนี้ในเบื้องต้นคือ พ.ต.อ.ธรรมนูญ ใฝจู อดีต ผกก.สภ.ทุ่งสง ก่อนลาออกไปสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดนครศรีธรรมราช และได้รับเลือกตั้งภายใต้การสนับสนุนของพรรคการเมืองยอดนิยมของคนใต้พรรคหนึ่ง แต่คดีดังกล่าวไม่มีความคืบหน้าในทางที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายผู้เสียหาย นอกจากความคืบหน้าในส่วนของผู้ที่ญาติผู้ตายสงสัยว่าเกี่ยวพันกับคดีนี้ ซึ่งได้ข่าวว่ามีการขายที่ขายทางหลายแปลงเพื่อวิ่งเต้นคดี ไม่ให้สาวไปถึงผู้บงการผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่ที่มีเครือข่ายโยงใยกว้างขวางทั้งฝ่ายตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษาและผู้มากบารมีในเรือนจำ
ฝ่ายพนักงานสอบสวนได้แต่อ้างว่า แม้ญาติผู้ตายจะสงสัยและมีเบาะแสของผู้บงการและร่วมลงมือกระทำความผิด สาเหตุในการฆาตกรรมเพราะต้องการปลดหนี้และฮุบผลประโยชน์จากการแปรรูปไม้ของผู้ตาย และเป็นการกำจัดผู้ตายที่เคยทวงถามเงินค่าไม้ในที่สาธารณะ สร้างความเจ็บอายให้กับผู้บงการ แต่เมื่อไม่มีพยานหลักฐานใดให้สาวไปถึง และไม่มีใครซัดทอด ก็ไม่สามารถจะดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยคนนั้นได้
คำกล่าวที่ว่า “ปล่อยคนผิดไปสิบคน ยังดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธิ์เพียงคนเดียว” ยังถูกนำมาอ้างเพื่อสร้างภาพให้เห็นว่า กระบวนการยุติธรรมไทยยังยึดหลักมาตรฐานสากลทุกประการ แต่ลืมวาทกรรมอีกฟากหนึ่งที่ว่า “การปล่อยคนผิดเพียงคนเดียวให้ลอยนวลเย้ยฟ้าท้าดิน เหยียบย่ำกระบวนการยุติธรรม” ก็ไม่น่าจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของกระบวนการยุติธรรมในประเทศใดๆ เช่นกัน
คำกล่าวที่ว่า “คุกตารางมีไว้ขังหมากับคนจน” น่าจะยังเป็นวาทกรรมที่ใช้ได้อยู่ในสังคมไทยในปัจจุบัน และคำกล่าวของคนใต้ในสมัยก่อนที่ว่า “นายรักเหมือนเสือกอด หนีนายรอดเหมือนเสือหา” ก็ดูเหมือนจะยังอธิบายปรากฏการณ์และพฤติกรรมของคนในกระบวนการยุติธรรมได้ดี
ทนายความคนหนึ่งถึงกับกล่าวคำว่า “อุบาทว์สุดๆ” ออกมา เมื่อกล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมในจังหวัดนครศรีธรรมราช บางคนตะโกนใต้ถุนศาลว่า “พวกกูไม่ต้องทำมาหากินกันแล้ว” เพราะผลการพิจารณาที่บอกว่า “ยกฟ้อง” “ไม่พอฟ้อง” ทั้งที่ทนายเห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ ภาพปรากฏเหล่านี้คือสภาพความเป็นอยู่เป็นไปในกระบวนการยุติธรรมไทยในปัจจุบันนี้
ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าผิดหวังกับเพื่อนสื่อมวลชนที่ข้าพเจ้าหวังจะพึ่งพาในการช่วยกันปกป้องสังคมให้เกิดความยุติธรรม และเปิดโปงคนชั่วให้ไม่มีที่อยู่ที่ยืนในสังคมนี้ แต่แทนที่จะได้รับความเมตตา เพื่อนสื่อมวลชนกลับสร้างความอยุติธรรมให้กับข้าพเจ้าและหลานผู้ตายอย่างน่าเวทนาว่า คดีนี้เป็นการหักหลังกันของขบวนการค้ายาเสพติด และยิ่งเจ็บปวดอีกหลายเท่าเมื่อทราบว่าสื่อมวลชนกลุ่มนี้ได้เบาะแสเรื่องนี้จากปากของตำรวจ ตำรวจที่ประชาชนในพื้นที่อำเภอทุ่งสงประณามสาปแช่งว่า สารเลวเกินกว่าจะรับได้ และหลายคนกำลังถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้
ข้าพเจ้าจึงพบความจริงว่า สังคมนี้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทำมาหากินด้วยสุจริต ถูกต้องตามครรลองครองธรรม ไม่อาจจะพึ่งพาใครได้ ทั้งกระบวนการยุติธรรมและสื่อมวลชน ที่โดยมาตรฐานสากลแล้วบางประเทศประชาชนให้ความสำคัญกับสื่อมวลชนเป็นฐานันดรที่สี่ และบางทีสำคัญกว่ารัฐบาลผู้บริหารประเทศเสียด้วยซ้ำ แต่สื่อมวลชนของประเทศนี้ก็ตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาชนเสียด้วยซ้ำ
หนทางในการต่อสู้คดีในฐานะผู้เสียหายในคดีนี้จึงเป็นไปตามยถากรรม ต้องคอยระวังทั้งฝ่ายตำรวจที่ไปเข้าด้วยกับโจร และฝ่ายโจรที่อาจจะใช้วิธีการฆ่าปิดปากเพื่อปิดคดี ญาติผู้ตายหวังเพียงให้คนร้าย โดยเฉพาะผู้บงการมันมีอันเป็นไปฉิบหายจากการขายที่เพื่อวิ่งเต้นให้ตนรอดพ้นจากความผิด
นอกนั้นก็หวังพึ่งศูนย์ดำรงธรรมและกองทัพภาคที่ 4 ส่วนสื่อมวลชนที่ข้าพเจ้ามีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่บ้างก็ถูกปัดมือปัดเท้า เพียงเพราะพวกเขาเชื่อปากคำของตำรวจว่า หลานชายของข้าพเจ้าที่ถูกรุมฆ่าอย่างทารุณทั้งๆ ที่เขาเป็นคนทำมาหากิน จนประสบอุบัติเหตุโค่นไม่ล้มฟาดหัวปางตาย และสูญเสียการได้ยินโดยสิ้นเชิง และเขาถูกวางแผนลวงไปฆ่า เพราะเขาไปทวงเงินค่าขายไม้จากนายหน้าเพื่อเอาเงินไปผ่าตัดหูที่กรุงเทพฯ เขาจึงถูกนายหน้าขายไม้คนนั้นวางแผนและร่วมลงมือฆ่า แต่สื่อมวลชนกลับบอกว่าเป็นคดียาเสพติด
นี่คือความตายของความยุติธรรมในสังคมไทยวันนี้โดยแท้.