xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การลุกขึ้นต่อต้านจะกลายเป็นหน้าที่ / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 
คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย... / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
 
โธมัส  เจฟเฟอร์สัน  เคยกล่าวไว้ว่า  “เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย  การลุกขึ้นต่อต้านจะกลายเป็นหน้าที่”  ช่างตรงกับสถานการณ์ในบ้านเมืองของเราในช่วงเวลาสามสี่เดือนที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้  เพราะต้นเหตุของความวุ่นวาย และการลุกขึ้นสู้ของประชาชนมาจากการต่อต้านความอยุติธรรมของกฎหมายที่มาจากอำนาจรัฐที่อธรรม
 
เริ่มตั้งแต่การผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมสุดซอย และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ ที่ฉ้อฉล  หมกเม็ด และมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์  เมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมาวินิจฉัยแทนที่จะระงับยับยั้ง กลับร่วมกันแถลงการณ์ไม่ยอมรับอำนาจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
 
ต่อมา เมื่อประชาชนลุกขึ้นต่อต้านจากทั่วประเทศก็ประกาศยุบสภา โดยอ้างว่าจะคืนอำนาจให้ประชาชน  ครั้นประชาชนส่วนใหญ่ออกมาคัดค้านการเลือกตั้ง โดยให้มีการปฏิรูปประเทศไทยในหลายด้านที่สำคัญๆ ก่อน  รัฐบาลกลับดันทุรังจะเลือกตั้งให้ได้  จนนำไปสู่ความรุนแรง  เกิดการบาดเจ็บล้มตาย
 
ในที่สุด รัฐบาลก็ประกาศกฎหมาย  ๒  ฉบับ ที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นตามที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้การคุ้มครอง  โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลแพ่ง  แต่รัฐบาลโดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะตั้งข้อหากบฏ และออกหมายจับกมแกนนำกว่าครึ่งร้อยคนให้ได้
 
นอกจากนั้น ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ผ่านมา รัฐบาลรักษาการของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์  ชินวัตร  แสดงจุดยืนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ความอยุติธรรมเป็นกฎหมายให้ได้  จนนำไปสู่ความเกลียดชังในหมู่ประชาชนที่มีต่อผู้นำทุกคนในฝ่ายรัฐบาล
 
นับหนึ่งตั้งแต่นายกรัฐมนตรี  “ปูเน่า-นกขุนทอง”  ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย “เป็ดเหลิม” และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ “ธาริต  สีดวง”  ที่ยกระดับคดีเป่านกหวีดใส่ฝ่ายรัฐบาลเป็นคดีพิเศษ  แต่ไม่ยอมรับให้คดีประกาศแบ่งแยกประเทศเป็นคดีพิเศษ
 
มาร์ติน  ลูเธอร์คิง  จูเนียร์  เคยกล่าวไว้ว่า  “อยุติธรรมไม่ว่าจะเกิดขึ้น  ณ  ที่แห่งหนใดก็ตาม ล้วนแต่ข่มขู่  คุกคามต่อความยุติธรรมทุกหนทุกแห่งทั่วโลก”  แต่สำหรับในประเทศไทย คงยกเว้นในหมู่คนเสื้อแดง และผู้สนับสนุนรัฐบาลอยุติธรรมชุดปัจจุบัน
 
รัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบัน ทำให้คนไทยได้พบสัจธรรมที่ว่า  “กฎหมายที่ดีย่อมเอื้อต่อการทำสิ่งที่ถูกได้ง่าย และทำสิ่งผิดได้ยาก”  เพราะรัฐบาลทำให้เกิดปรากฏการณ์ตรงข้ามที่ว่า “กฎหมายที่ดีย่อมเอื้อต่อการทำที่ถูกได้ยาก และทำสิ่งที่ผิดได้ง่าย”
 
กล่าวคือ ประชาชน หรือมวลมหาประชาชนต้องมีความเสียสละ อดทน ต่อสู้เพื่อผลักดันให้เกิดการปฏิรูปประเทศไทยในทุกๆ ด้าน  ด้วยความยากลำบากเป็นเวลานานนับร้อยวันแล้ว  แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนใจรัฐบาลให้ยอมลงจากอำนาจได้  แต่ครั้นประชาชนเป่านกหวีด หรือแสดงพลังกดดันรัฐบาล  ก็กลับถูกข้อหาเป็นกบฏเอาง่ายๆ
 
แต่รัฐบาลนี้ก็ให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องคุณสมบัติบางประการของกฎหมายทั่วโลก ตามที่  เบนจามิน  แฟรงคลิน  กล่าวไว้ที่ว่า  “กฎหมายที่อ่อนหลวมเกินไป  นั้นแทบจะไม่ได้รับการเชื่อฟัง  ส่วนกฎหมายที่เคร่งครัด  มักไม่ค่อยได้รับการปฏิบัติตาม”
 
ดังจะเห็นได้จากกฎหมายห้ามชุมนุมทั้ง 2 ฉบับของรัฐบาลที่ออกมาอย่างขึงขัง  แต่ประชาชนกลับไม่ให้ความสำคัญ  และท้าทายอย่างไม่เกรงขาม  จนทำให้รัฐมนตรีแต่ละคนที่ได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้กำกับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว  กลายเป็นตัวตลกแห่งชาติสำหรับมวลมหาประชาชนไปโดยปริยาย
 
เพราะมวลมหาประชาชนส่วนใหญ่เชื่อความเห็นของ ซิเซโร ที่ว่า  “ความดีของประชาชนคือ กฎหมายสูงสุด”  ซึ่งคล้ายคลึงกับที่  ราล์ฟ  วอลโด  เอเมอร์สัน  ที่ว่า  “คนดีไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังกฎหมายมากเกินไป”  เพราะ “กฎหมายฉบับหนึ่งตราขึ้นเพื่อสิงโตแล้ว  วัวย่อมถูกกดขี่”  ตามที่  วิลเลียม  เบลค  ว่านั่นคือ  “กฎหมายฉบับหนึ่งที่ตราโดยทรราชเสียงข้างมาก  มวลมหาประชาชนย่อมถูกกดขี่กลั่นแกล้ง”  เป็นธรรมดา
 
บัดนี้  ความอยุติธรรมกำลังกลายเป็นกฎหมายหลายฉบับ  หลายมาตรา  ในมือของรัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรม  ขาดวุฒิภาวะของความเป็นรัฐบาลผู้ต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชน  เป็นรัฐบาลที่ประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับความทุจริตฉ้อฉลของรัฐบาล  รัฐบาลที่ยืนดูประชาชนถูกไล่ล่าฆ่าเข่น  บาดเจ็บและล้มตายครั้งแล้วครั้งเล่า  ไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ ผู้ไร้เดียงสา และเป็นอนาคตของชาติ  โดยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลไม่ได้รู้สึกรู้สาต่อความเป็นความตายของประชาชน
 
จึงไม่แปลกที่มวลมหาประชาชนจะต้องลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลที่อยุติธรรมทุกวิถีทาง  จนกว่าจะได้รับชัยชนะ  ไม่ว่าจะต้องบาดเจ็บ ล้มตาย หรือถูกข่มขู่คุกคามกลั่นแกล้งนานาประการก็ตาม  แม้จะมีผู้กล่าวว่า  “การเมืองคือ  สงครามที่ปราศจากการหลั่งเลือด  ขณะที่สงครามคือ  การเมืองที่ต้องหลั่งเลือด” (เหมา  เจ๋อ  ตุง)
 
แต่การเมืองภายใต้การนำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคพวก  ไม่ว่า  “การเมือง”  หรือ  “สงคราม”  ดูเหมือนว่าต้อง “หลั่งเลือด”  อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เพราะมันเป็นการเมืองของ “เดรัจฉาน”.
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น