xs
xsm
sm
md
lg

วาระสุดท้ายของวาทกรรม “รัฐบาลเป็นประกัน” / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 
คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ  หยูทอง-แสงอุทัย
 
คนไทยส่วนใหญ่ที่รู้จักสถาบันการเงินที่อยู่สังคมไทยมายาวนานตั้งแต่รัชสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คงคุ้นเคย และค้นหูกับสโลแกนของธนาคารออมสินที่ว่า “ธนาคารออมสิน  รัฐบาลเป็นประกัน”  ธนาคารออมสิน จึงมีความมั่นคงในความน่าเชื่อถือของประชาชน และเป็นธนาคารที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยรู้จักอดออมทรัพย์สินที่หามาได้เพื่อใช้จ่ายในวันข้างหน้า  โดยเฉพาะอนาคตของเด็กๆ เยาวชนของชาติ
 
แต่มาถึงยุคสมัยของรัฐบาลรักษาการ  รัฐบาลทรราชเสียงข้างมาก  ที่ทำลายมาตรฐานหลายๆ ด้านของชาติบ้านเมือง  ตั้งแต่มาตรฐานของคนเป็นนายกรัฐมนตรี  ที่ตกต่ำอัปลักษณ์ที่สุดเท่าที่ประเทศนี้เคยมีนายกรัฐมนตรีมา
 
มาตรฐานของข้าราชการตำรวจที่เคยมีคำขวัญว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” กลายเป็นตะกวดในความรู้สึกของประชาชน  โดยเฉพาะตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่สร้างวาทกรรมอัปยศที่ว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้”
 
มาตรฐานของรัฐมนตรีที่มากมายไปด้วยคนถ่อยสถุล  ตั้งแต่คนที่เคยถูกไล่ออกจากราชการ  เพราะกระทำการผิดวินัยอย่างร้ายแรง  คนที่เคยเป็นแกนนำมวลชนเผาบ้านเผาเมือง  และคนที่มีวิสัยทัศน์  “ต้นทุนต่ำ” และประกาศตัวว่า “เป็นขี้ข้าทักษิณ”  ฯลฯ
 
ธนาคารออมสิน ถูกทำลายความเชื่อมั่นเพราะข่าวว่า  รัฐบาลจะขอกู้เงินจากธนาคารออมสินไปใช้หนี้ชาวนาที่เกิดจากนโยบายประชานิยมจำนำข้าว  แล้วประสบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันโกงกิน  จนไม่สามารถหาเงินมาใช้หนี้ชาวนาได้
 
ทันทีที่มีข่าวนี้  เกิดการคัดค้านจากบุคลากรในสังกัด และลูกค้าของธนาคารออมสิน  เช่นเดียวกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. และธนาคารกรุงไทย ที่ไม่เชื่อมั่นในความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ล้มเหลวในทุกด้าน รวมทั้งความศรัทธาของประชาชน
 
ดังนั้น คำว่า  “รัฐบาลเป็นประกัน” จึงหมดความหมาย  สูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ที่เคยมีมาหลายชั่วอายุคนไปกับรัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบัน
 
เช่นเดียวกับความสำคัญของการเลือกตั้ง และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะรัฐบาลนี้ทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นเครื่องมือฟอกความผิด  ความชั่วร้าย  และความล้มเหลวของการบริหารจัดการบ้านเมือง  พยายามจะเอาการเลือกตั้งที่ตัวเองได้เปรียบทุกอย่างมาเป็นอาวุธในการทำลายความชอบธรรมของการเคลื่อนไหวเพื่อขจัดอำนาจเผด็จการรัฐสภาของตน
 
เช่นเดียวกับที่อ้างว่า “รักษากติกาและปกป้องประชาธิปไตย”  ทั้งๆ ที่ทำทุกอย่างเพียงเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของตน และพรรคพวก  อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง  มาจากเสียงสนับสนุนของคนส่วนใหญ่  อ้างสิทธิอันชอบธรรมในการมาตามระบอบ  แต่แท้ที่จริงมีผู้บงการเสียงส่วนใหญ่อยู่เพียงคนเดียวแบบเบ็ดเสร็จ  และเปิดเผย เพื่อกรุยทางให้นักโทษหนีคดีได้กลับบ้านอย่างสง่างาม
 
ท่ามกลางการต่อสู้กดดันแบบอหิงสา  สงบ และปราศจากความรุนแรงของมวลมหาประชาชน  รัฐบาลถ่อยเถื่อนก็มีการพลิกแพลงฉ้อฉลการใช้อำนาจเพื่อปราบปรามประชาชนอย่างป่าเถื่อน และอธรรม  นับตั้งแต่พยายามอาศัยอำนาจตามกฎหมายมาออกกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างไร้หลักการ และเหตุผลอันสมควร  และพยายามยกระดับความเข้มข้นของกฎหมาย  รวมทั้งเปลี่ยนแปลงผู้รับหน้าที่ (แต่ไม่รับผิดชอบ) ในการบังคับใช้กฎหมายนั้นๆ คนแล้วคนเล่า  เพื่อให้มีผลในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เจตนาจะละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
 
การใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ  ภายใต้การกำกับดูแลของนายธาริต  เพ็งดิษฐ์  ข้าราชการสอพลอรับใช้อำนาจอธรรมอย่างไร้ยางอาย  พยายามเอากฎหมายมากลั่นแกล้ง และปิดกั้นการขับเคลื่อนของมวลมหาประชาชน  ทั้งๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยครั้งแล้วครั้งเล่า  ศาลอาญายกคำร้องครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่กรมนี้ก็ยังดันทุรังที่จะกลั่นแกล้งมวลมหาประชาชน และแกนนำให้ได้
 
ดีเอสไอ ที่เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลคดีที่มีลักษณะพิเศษให้มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม  กลายเป็นหน่วยงานที่สร้างความอยุติธรรมมากที่สุดเท่าที่มีหน่วยงานนี้ขึ้นมา  เช่นเดียวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่พยายามจะหาช่องทางในการบริหารจัดการให้เกิดความเหมาะสมมากที่สุด  โดยแยกจากกระทรวงมหาดไทย มาขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรีโดยตรง  ก็กลายเป็นหน่วยงานที่ประชาชนเกลียดชังที่สุดในประเทศไทย
 
เริ่มตั้งแต่การสลายการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อเดือนตุลาคม เมื่อหลายปีมาแล้ว จนถึงวันนี้  วันที่ผู้บริหารระดับสูงของตำรวจออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” และเกิดชายชุดดำลอบฆ่าประชาชนโดยที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า เป็นตำรวจปลอมตัวเป็นชายชุดดำ  และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมมากมายของตำรวจที่สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน
 
รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่สร้างความทรงจำร่วมสมัยที่สำคัญมากมาย  นับตั้งแต่การทุจริตคอร์รัปชันในโครงการจำนำข้าว  ที่เกี่ยวข้องกับคนจนส่วนใหญ่ของประเทศคือ ชาวนา  จนชาวนานับล้านคนต้องเดือดร้อนเป็นเวลายาวนานถึง 6 เดือน  และมีชาวนาฆ่าตัวตายไปหลายคน
 
รัฐบาลที่บังคับคณะกรรมการการเลือกตั้ง  ให้จัดการเลือกตั้งท่ามกลางความขัดแย้งของประชาชน ที่ต้องการให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง  จนในที่สุดมีคนไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าครึ่ง  หรือกว่า ๒๐  ล้านคน  จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า  ๔๐  ล้านคน  ทำให้หลายจังหวัด และหลายเขตเลือกตั้งในภาคใต้ไม่มีการเลือกตั้ง
 
ที่สำคัญ ทำให้ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยบางคน  ในเขตเลือกตั้งบางเขตของจังหวัดนครศรีธรรมราช  อาจจะได้เป็น ส.ส.ของปวงชนด้วยคะแนนแค่  ๑๘  คะแนน (น้อยกว่าคะแนนการเลือกตั้งหัวหน้าชั้นนักเรียนชั้นอนุบาล ๓  เสียอีก)
 
ไม่มียุคไหนสมัยไหนที่พี่น้องประชาชนคนไทยจะมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวเพื่อขับไล่รัฐบาลรักษาการอย่างทั่วถึง  และสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนต่อผู้นำระดับชาติทั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลได้มากเท่ากับรัฐบาลนี้อีแล้ว
 
และที่สำคัญ ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนที่ไร้ค่า และน่าดูแคลนที่สุด  สำหรับประชาชนไทยทุกเพศทุกวัย และทุกสาขาอาชีพเท่ากับนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร” อีกแล้ว
 
นี่คือยุคที่ประเทศชาติบ้านเมืองสูญเสียความมั่นคง และน่าเชื่อมั่นในทุกๆ ด้านโดยสิ้นเชิง  เหลือไว้เพียงความน่าเชื่อมั่นของมวลมหาประชาชนที่มีความอดทน และมุ่งมั่น  เสียสละเพื่อขจัดความชั่วร้ายโดยมีอนาคตของชาติบ้านเมือง และอนาคตของลูกหลานเป็นเดิมพัน.
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น