คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ในรอบ 2 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมาคงไม่มีผู้หญิงไทยคนไหนที่โชคดีเท่ากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว และคุณวุฒิอื่นใดที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ท่ามกลางการยกยอปอปั้นของนักการเมืองรุ่นลายคราม นักวิชาการทั้งร่นเก่ารุ่นใหม่ อดีตผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งฝ่ายซ้าย และฝ่ายขวา (วันนี้มาอยู่ฝ่ายเดียวกันคือ ฝ่ายรับใช้ทักษิณ) นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนคนส่วนใหญ่ รวมทั้งลิ่วล้อสาวกมากหน้าหลายตาที่ขยันขันแข็งในการบิดเบือนข่าวสารข้อเท็จจริง ทั้งในวันที่เป็นฝ่ายค้านและวันที่เป็นรัฐบาล โดยเฉพาะประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ และคนถ่อยทั้งหลาย
คุณสมบัติข้อเดียวที่เด่นชัดที่ทำให้ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ แม้มิได้เป็นหัวหน้าพรรคตามหลักการของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยคือ การมีชาติกำเนิดเกิดมาเป็นน้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ และเป็นคนที่ 3 ที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณไว้วางใจให้ทำหน้าที่แทน หลังจากเคยเลือกนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาแล้ว และประสบกับความล้มเหลว เพราะถูกปฏิเสธจากประชาชนที่มองว่า คนเหล่านี้เป็นเพียงหุ่นเชิดของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ
ขณะเดียวกัน ในรอบ 2 ปีมานี้ไม่มีผู้หญิงไทยคนไหน หรือไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกที่จะถูกประชาชนก่นด่าประณามด้วยความเกลียดชังอย่างน่าสมเภชเวทนาเท่ากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่าจะถูกก่นด่าประณามว่า “อีโง่” “อีตอแหล” “อีแรด” ฯลฯ ซึ่งเชื่อว่าไม่มีผู้หญิง หรือผู้นำของประเทศใดในโลกได้รับเกียรติจากประชาชนของตนมากมาย และทั่วถึงขนาดนี้
เธอจึงเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารที่สุดคนหนึ่งที่อยู่ดีไม่ว่าดี ถูกพี่ชายในไส้อุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ และอำนวยความสะดวกแก่พี่ชายทุกวิถีทาง แม้ว่าการกระทำนั้นจะขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี จรรยาบรรณของผู้นำประเทศ และที่สำคัญ ขัดต่อหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ เลือกปฏิบัติ สองมาตรฐานในการอำนวยความยติธรรมแก่ประชาชนของตน
แม้ว่าข้าพเจ้าจะสงสารเธอที่ถูกพี่ชาย และลิ่วล้อกระทำให้ชีวิตนี้ทั้งชาติแม้จะล้มหายตายจากไปในวันข้างหน้า แต่ประวัติศาสตร์ไทย และประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติจะต้องกล่าวขานถึงความน่าสมเภชเวทนา และความอัปยศอดสูของเธอไปชั่วกาลนาน โดยที่เธอจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม แต่เมื่อเธอเต็มใจเป็นหุ่นเชิดเธอก็จะต้องรับผลกรรมที่ตามมา
ข้าพเจ้าสงสารเธอ แต่ข้าพเจ้าสงสารตัวเอง และประเทศชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะลูกหลานที่มีผู้นำทางการเมืองสูงสุดที่น่าอัปยศอดสูมากกว่าหลายเท่า
ทำไมคนไทยจึงออกมาขับไล่รัฐบาล และรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมาจากเสียงส่วนใหญ่ แน่นอน ไม่มีใครปฏิเสธว่ารัฐบาลนี้ และสมาชิกรัฐสภามาจากเสียงส่วนใหญ่ มาจากการเลือกตั้ง แต่ที่เขารับไม่ได้เพราะรัฐบาล และสภาใช้อำนาจที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ จากการเลือกตั้งไปในทางฉ้อฉล โดยไม่คำนึงถึงเสียงทัดทานของเสียงส่วนน้อย
รัฐสภาส่วนใหญ่ไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล และไม่ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน แต่กลับทำหน้าที่อำนวยประโยชน์ และอยู่ใต้อาณัติของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณอย่างชัดเจน และไร้ยางอาย
การอ้างประชาธิปไตยเสียงข้างมาก โดยไม่มองบริบทพฤติกรรมของการใช้อำนาจเสียงข้างมาก มันไม่ต่างกับตรรกะที่ว่า “โต๊ะมีสี่ขา วัวมีสี่ขา ดังนั้น โต๊ะคือวัว หรือเป็นสัตว์สี่ขาเหมือนวัว” มันใช้ไม่ได้ แต่ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลทรราชเสียงข้างมากก็นำมาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในทุกกรณี
รัฐบาล และลิ่วล้อเรียกร้องให้ฝ่ายค้าน และฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเคารพกติกา ไปต่อสู้กันในสภาตามระบอบรัฐสภา แต่พอฝ่ายค้านนำประเด็นความขัดแย้งไปต่อสู้กันในสภา ฝ่ายรัฐบาลก็ใช้ “พวกมากลากไป” โดยไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้แสดงความคิดเห็น หรือแสดงความคิดเห็นได้ก็ไม่ยอมรับฟัง ใช้จำนวนมือจำนวนตีน ไม่ใช้สมองในการเอาชนะกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่นิติบัญญัติ หรือตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
สมาชิกสภานิติบัญญัติของฝ่ายรัฐบาลทำหน้าที่สนับสนุนรัฐบาลมากกว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบ สภาไร้วุฒิภาวะอย่างนี้หรือที่จะใช้ในการทำหน้าที่ลดความขัดแย้งในการบริหารประเทศ
ประเด็นการออกมาแถลงการณ์ไม่ยอมรับอำนาจคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งของการ “พูดอย่าง ทำอย่าง และทำตรงกันข้ามกับที่เรียกร้องคนอื่น” ของฝ่ายรัฐบาล โดยอ้างว่าอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา เป็นการไม่เคารพกติกาของบ้านเมืองที่ฉกาจฉกรรจ์
เพราะศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เพียงวินิจฉัยประเด็นปัญหาที่เกิดจากการใช้รัฐธรรมนูญ ในกรณีนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามรัฐสภาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอย่างที่บิดเบือนกันจนเคยชิน เพียงแต่ตลาการศาลรัฐธรรมนูญออกมาชี้ว่า การกระทำใดขัด หรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ขัดอย่างไร ขัดในขั้นตอนไหน เพราะอะไร และทางที่ถูกควรจะทำอย่างไร และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติว่า คำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีผลผูกพันองค์กรต่างๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญนี้
ประเด็นการแถไม่ยอมรับอำนาจ และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นประเด็นไม่เคารพกติกาสำคัญของบ้านเมืองเพิ่มเติมเข้ามาอีก จึงเป็นประเด็นเรียกแขกให้มาเพิ่มให้พื้นที่บนถนนราชดำเนิน และบริเวณข้างเคียงอย่างล้นหลาม
ฝ่ายสาวก “ม็อบเติมเงิน” ก็ทำหน้าที่อย่างขึงขัง โกหกพกลม กุข่าวบิดเบือนกันไปต่างๆ นานา โดยเอาเงื่อนไขการชมนุมของอีกฝ่ายเป็นข้ออ้าง อันนี้ก็น่าสนใจว่าการเกิดขึ้นของกลุ่มพลังเหล่านี้ ทำไมต้องนำไปผูกติดกับฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่เกิด ไม่ค่อยมีอะไรเป็นของตัวเอง แม้แต่ประเด็นในการเคลื่อนไหว อุปกรณ์ที่ใช้ ฝ่ายโน้นมีมือตบ ฝ่ายนี้มีตีนตบ ฝ่ายโน้นสวมเสื้อเหลือง ฝ่ายนี้สวมเสื้อแดง ฝ่ายโน้นปกป้องในหลวง ฝ่ายนี้ปกป้องทักษิณ ฝ่ายโน้นใช้การอภิปรายให้ข้อมูลในการขับเคลื่อน ฝ่ายนี้ใช้ความรุนแรงทำร้ายบุคคล และเผาบ้านเผาเมือง
และที่สำคัญ ขัดขวางการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างอันธพาล และไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน และกฎหมายบ้านเมือง
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่เบื้องหลังของความขัดแย้งทางการเมืองที่มากกว่า ปชป.แพ้เลือกตั้งแล้วมายุยงมวลชนให้ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อให้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งคนที่ถูกพาดพิงทุกคนเขาออกมายืนยันแล้วว่า ไม่มีความคิดเช่นนั้น แต่อีกฝ่ายก็ยังท่องบ่นคาถานี้จนชาวบ้านรำคาญเต็มทน จึงได้ออกมาเต็มบ้านเต็มเมืองทั้งๆ ที่ถูกสกัด และข่มขู่คุกคามอย่างน่าอัปยศอดสูก็ตาม.