คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
หมายเหตุ : ช่วงนี้ต้องขอพักการเขียนเรื่องการไปเยือนปักกิ่งไว้ชั่วคราว เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลเชื้อเชิญให้มาสนใจการออกกฎหมายนิรโทษกรรม “ฉบับสุดซอย”
ขณะนี้บ้านเมืองกำลังมีบรรยากาศตึงเครียด เข้าสู่ภาวะกดดัน การเผชิญหน้า และถึงทางตันทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง เหมือนตอนก่อนจะเกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ สาเหตุหลักมาจากความเหิมเกริม ลุแก่อำนาจของ “ฝ่ายเสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จในสภาผู้แทนราษฎร” ของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองกลุ่มเดิม
ทำไมประชาชนคนไทยที่มีสมอง และจิตสำนึกเพื่อสังคมหลายหมู่เหล่า ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มคนที่เคยสนับสนุน และอยู่เคียงข้างรัฐบาลมาโดยตลอดอย่างเข้มแข็ง จึงออกมาคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้
ประการแรก เนื่องจากกรรมาธิการเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรตระบัดสัตย์ แปรญัตติให้ร่างกฎหมายดังกล่าว กลายพันธุ์จากแมวในตอนวาระรับหลักการไปเป็นหมาในวาระต่อมา ดังนี้
๑) ด้านคดี ได้ขยายการนิรโทษกรรมให้รวมถึงคดีที่กล่าวหาโดยองค์กรที่จัดตั้งขึ้นหลังการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ซึ่งไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการชุมนุมแต่เป็นคดีทุจริตคอร์รัปชันโดยตรง
๒) ด้านเวลา ได้ขยายช่วงเวลาของการกระทำผิดที่จะได้รับการนิรโทษกรรมครอบคลุมไปถึง ๘
สิงหาคม ๒๕๔๖ การชุมนุมที่ต่อต้านอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ และคดีตากใบ กรือเซะ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารโดยตรง
๓) ด้านตัวบุคคล ได้ขยายให้นิรโทษกรรมต่อบุคคลเป็นการทั่วไป ทั้งผู้สั่งการ และแกนนำ
๔) ด้านผลการนิรโทษกรรม ได้กำหนดให้ผลการนิรโทษกรรมต้องดำเนินการตามหลัก “นิติธรรม” อย่างเคร่งครัด อีกทั้งเปิดช่องให้ผู้ได้รับการนิรโทษกรรมเรียกร้องสิทธิประโยชน์ได้
ประการที่สอง การตระบัดสัตย์ในครั้งนี้เป็นการตระบัดสัตย์ตามประเด็นที่ฝ่ายคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้เคยท้วงติงมาตลอดเวลาว่า “เป็นการตรากฎหมายเพื่อคนคนเดียวคือ “อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ” และฝ่ายสนับสนุนก็ยืนยันมาตลอดว่า ไม่เป็นความจริง ดังนั้น เมื่อผลออกมาตามที่คาดหมาย เมื่อกรรมาธิการเสียงข้างมากมากลับลำ “กลางซอย” เลยทำให้มีคนลุกขึ้นมา “ปิดซอย” ทั้งปากซอย ท้ายซอย โดยพร้อมเพรียงกัน ไม่เว้นแม้แต่คนที่เคยเดินร่วมซอยกันมา
ประการที่สาม พฤติกรรมอันเสื่อมถอย ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ของบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติ ที่กระทำตนไม่สมเกียรติที่ประชาชนมอบให้ ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่บนพื้นฐานของการตอบสนองความต้องการของประชาชน มิหนำซ้ำ กลับกระทำการให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ต้องการตอบสนองความต้องการของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ดังที่ผู้แปรญัตติร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ “สุดซอย” ออกมาสารภาพตรงๆ อย่างไม่มียางอายว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีที่มาจากคำปรารภของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศเคยกล่าวกับตนว่า “พี่ยุทธ์ผมอยากกลับบ้านแล้ว”
ประการที่สี่ ความล้มเหลวของการบริหารจัดการประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ที่ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนของประเทศไทยที่จะถูกประชาชนตราหน้าว่า “โง่” หรือให้สรรพนามสิงสาราสัตว์อื่นๆ อีกมากมายเท่านายกรัฐมนตรีคนนี้ โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย
วิกฤตศรัทธาเหล่านี้ รวมทั้งความชิงชังดั้งเดิมที่มวลชนมีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณและวงศ์ตระกูล จึงทำให้ขบวนแถวของคนคัดค้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมออกมาอย่างคึกคัก หนาแน่น และหลากหลายอย่างไม่เคยมีมาก่อน และกำลังยกระดับไปสู่การขับไล่รัฐบาลอยู่ในขณะนี้
ข้อเรียกร้องสำคัญของทุกฝ่ายเน้นไปที่การถอน หรือคว่ำร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งหลักนิติรัฐ และนิติธรรม ความหวังของทุกฝ่ายอยู่ที่การพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งถูกมองว่า รัฐบาลได้ซื้อใจไว้แล้ว ด้วยการแก้ไขกฎหมายให้มีที่มาจากการเลือกตั้ง และให้สิทธิแก่สมาชิกปัจจุบันลงสมัครรับเลือกตั้งได้ทันที โดยไม่มีการเว้นวรรคทางการเมือง
แม้ว่าจะมีคนออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยมากมาย แต่ฝ่ายรัฐบาลผู้มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ภายใต้การชี้นำของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ก็ยังด้านหน้าผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ต่อไปอย่างไม่ยอมลดราวาศอก เป็นการขับเคลื่อนประเทศมาสู่ปากเหวแห่งความหายนะ ท่ามกลางความขัดแย้งของคนในชาติ เพื่อเดิมพัน แลกกับผลประโยชน์ที่ตน และวงศ์ตระกูลจะได้รับ โดยไม่แยแสต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อชาติบ้านเมือง ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
วันนี้ประชาชนคนไทยก็ถูกแบ่งเป็น ๓ กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาด แม้จะมีจำนวนลดลง แต่ก็ยังมากพอที่จะสร้างความมั่นใจให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไป กลุ่มที่สองคือ กลุ่มที่ออกมาคัดค้านและขับไล่รัฐบาล ซึ่งเริ่มมากขึ้นตามลำดับ เพียงแต่ยังไม่มากพอที่จะกดดันรัฐบาลที่ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาต่อความไม่พึงพอใจของประชาชน กลุ่มที่สามคือ ประชาชนที่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่สนใจไยดีต่อความเป็นไปของชาติบ้านเมือง และบางส่วนก็ทำตัวเป็นผู้อยู่เหนือความขัดแย้ง กอดความเป็นกลางนอนเอกเขนกอยู่ที่บ้านคอยเป็น “สีแก้วพลอยรุ่ง” กับฝ่ายที่ชนะในวันข้างหน้า
(อ่านต่ออังคารหน้า)