คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ศ.พันตรีอาคม พัฒิยะ ผู้อาวุโสที่ผู้เขียนให้ความเคารพนับถือว่า เป็นผู้ใหญ่ที่ไหว้ได้เต็มไม้เต็มมือ เคยถามผู้เขียนว่า “รูญรู้ไหม คนที่เกษียณอายุแล้วมันกลัวอะไร” ผู้เขียนบอกไม่รู้ อาจารย์รีบเฉลยว่า “มันกลัวคนไม่ไหว้” คำถามนี้เกิดขึ้นในวันที่อาจารย์เกษียณอายุแล้วไม่นาน และอาจารย์ติดสอยห้อยตาม (ไปไหนไปกัน) ผูเขียนไปที่สำนักงานสามัญศึกษาจังหวัดสงขลา (สมัยนั้น) เจอคนรู้จัก และดีใจที่มีคนยกมือไหว้ทักทายแล้ว ๒ คน
อาจารย์อรรถาธิบายว่า ในสังคมอำนาจนิยม เมื่อเรามีอำนาจวาสนา มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตพอที่จะให้คุณให้โทษคนอื่นได้ ก็ย่อมมีคนให้ความเคารพกราบไหว้อย่างนอบน้อม จนแยกไม่ออกว่าเขาไหว้เราที่คุณความดี หรือไหว้ที่ตำแหน่งหน้าที่ที่สามารถจะให้คุณให้โทษเขาได้ ครั้นเมื่อลงจากตำแหน่ง หรือถึงกาลเกษียณ หมดอำนาจหน้าที่ ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับการเอาใจใส่เหลียวแลเหมือนตอนอยู่ในตำแหน่ง
ดังนั้น หากใครยังไหว้เราอยู่หลังจากเราเกษียณอายุราชการ หรือพ้นจากตำแหน่งแล้ว แสดงว่าเขาไหว้คุณความดี หรือไหว้ที่ตัวเรามากกว่าที่ตำแหน่ง
สิ้นเดือนกันยานของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ข้าราชการส่วนหนึ่งทยอยกันอำลาชีวิตราชการที่ทำหน้าที่กันมาหลายทศวรรษ เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของทุกคนที่เป็นข้าราชการไม่ต่างจากวันบรรจุใหม่ ต่างกันเพียงว่าวันนี้เป็นวันสิ้นสุดภาระหน้าที่ ขณะที่วันบรรจุใหม่เป็นวันเริ่มต้นชีวิตราชการ งานเลี้ยงแสดงมุทิตาจิตในกาลเกษียณจึงมีความหมาย มีความสำคัญอีกแบบหนึ่ง เป็นงานที่คนอื่นจัดให้ด้วยความผูกพัน และประทับใจในการได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน ที่ย่อมมีทั้งผู้ถูกใจ และไม่ถูกใจ มีทั้งมิตร และศัตรูเป็นธรรมดา
วันเกษียณของบางคนจึงอบอวลไปด้วยไมตรีจิตจากมิตรสหาย เพื่อนพ้องน้องพี่ ลูกศิษย์ลูกหา ในขณะที่บางคนไม่มีความสุขกับวันเกษียณ ถึงขนาดไม่มาร่วมงานที่ทางต้นสังกัดจัดให้ เพราะไม่ประทับใจกับผู้จัด ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานนั้นๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หน่วยงานบางหน่วยงาน บุคลากรมีความรักใคร่กลมเกลียว สมัครสมานสามัคคี เพราะวัฒนธรรมธรรมองค์กรเป็นองค์กรที่มีความเป็นธรรม เที่ยงตรง มีศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ส่งเสริมสนับสนุนกันด้วยความรู้ ความสามารถ ไม่ใช่ด้วยความสนิทสนมรักใคร่ชอบพอเป็นการส่วนตัว สร้างความอยุติธรรม ไม่ตรงไปตรงมา ทำให้เสื่อมถอยศรัทธาซึ่งกันและกัน คนมีความรู้ความสามารถเป็นตัวของตัวเองถูกกลั่นแกล้งกีดกัน ส่วนคนไร้ความสามารถ แต่มีความถนัดในเรื่องประสบสอพลอกลับได้ดิบได้ดี เพราะใกล้ชิดสนิทสนมผู้มีอำนาจ หน่วยงานแบบนี้ย่อมยากที่จะสร้างความสมานสามัคคีในองค์กรได้ วันเกษียณของบุคลากรในหน่วยงานที่ขัดแย้งแตกแยกย่อมมีบรรยากาศเงียบเหงา อึมครึม ปั้นหน้าเข้าหากัน เพื่อรักษามารยาท ไม่มีความอบอุ่น ไม่มีความจริงใจต่อกัน หลายคนจึงตัดสินใจไม่เข้าร่วมงาน
บางหน่วยงานมีบุคลากรหลายระดับเกษียณอายุราชการพร้อมกัน ทำให้ชั้นผู้น้อย เช่น ลูกจ้างประจำ ตัดสินใจไม่เข้าร่วมงาน เพราะรู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องไปปรากฏตัวบนเวทีร่วมกับอาจารย์ หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่มีอะไรหลายอย่างแตกต่างกัน เท่าเทียมกันอย่างเดียวคือ สูงอายุพอกันเท่านั้น แต่อย่างอื่นแตกต่างกันหมด รวมทั้งการได้รับการเอาใจใส่ดูแล และที่สำคัญต้องพูดภาษาราชการที่ตัวเองไม่ถนัด และกลายเป็นตัวตลกของงาน
ผู้เขียนมีโอกาสได้ร่วมงานแสดงมุทิตาจิตวันเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูมาหลายครั้ง ครั้งล่าสุดคือ การเกษียณอายุราชการของเพื่อนรุ่นพี่ข้าราชการครูที่โรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ มีอาจารย์อุบล อาจารย์พงษ์ศักดิ์ อาจารย์ยุพเยาว์ อาจารย์พรพรรณ และพี่เล็ก หรือยามเล็ก รู้สึกอบอุ่น ประทับใจแทนเจ้าตัว ถึงกับเปรยกับเพื่อนร่วมโต๊ะว่า “ผมอยากมาเกษียณอายุราชการที่พะตงประธานคีรีวัฒน์” โรงเรียนที่ผมอยู่นานที่สุดในชีวิตการเป็นครู แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
บรรยากาศของงานเกษียณอายุราชการของเพื่อนครูที่นั่นมีความอบอุ่น ทั้งเพื่อนครูในปัจจุบัน และเพื่อนครูที่เกษียณไปก่อนหน้านี้แล้ว และเพื่อนครูที่ย้ายออกจากที่นั่นมานานอย่างผู้เขียน และเพื่อน (ธีระวัฒน์ สุกิจ อภิมน มนัส ฯลฯ) ต่างก็กลับมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ด้วยความรักความผูกพัน ที่สำคัญคือ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพนับถือมาจองโต๊ะจัดเลี้ยง ที่ทางโรงเรียนระดมเงินโดยการหัก ณ ที่จ่ายจากเงินเดือนครูทุกคน ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม ส่วนของขวัญก็มากมายก่ายกองยิ่งกว่างานปีใหม่ บรรยากาศเช่นนี้หาได้ยากมากในแวดวงวิชาชีพอื่นๆ หรือแวดวงวิชาชีพเดียวกัน จึงอดชื่นชม “ชาวพะตงประธานคีรีวัฒน์” ไว้ในที่นี้ไม่ได้ เสียดายที่ผู้เขียนเดินออกจากที่นั่นมาเมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่แล้วด้วยความจำเป็น
สำหรับวันเวลาที่เหลือของผู้เกษียณอายุราชการแต่ละคน คงเป็นวันเวลาที่จะได้พักผ่อนจากสัมภาระที่หอบหิ้วมานาน หรือไม่ก็สำหรับบางคนก็คงเป็นวันเวลาที่จะได้ท่องเที่ยว หรือทำอะไรที่อยากจะทำ โดยไม่มีใครมากำหนดบงการ ไม่มีการลงเวลามาปฏิบัติหน้าที่ ลงเวลากลับ มีการประเมินให้น่ารำคาญใจอีกต่อไป แต่หลายคนอาจจะเป็นวันเวลาแห่งความเงียบเหงา ว้าเหว่ กระวนกระวาย หรือเบื่อหน่ายที่ต้องหายใจทิ้งไปวันๆ
แต่สำหรับผู้เขียนวาดหวังว่า วาระกาลเกษียณอายุราชการน่าจะเป็นวันที่มีค่า มีความหมายที่สุดสำหรับคนคนหนึ่งที่ทำงานมาค่อนชีวิตจนถึงบั้นปลาย ทุกคนมีเกิด และตายได้คนละครั้งเดียวเท่ากัน แต่ที่มันต่างกันคือ ระยะเวลาระหว่างวันเกิดกับวันตายว่าแต่ละคนเลือกอยู่ เลือกเป็น และเลือกทำเช่นไร เมื่อมาถึงวันนี้ใครทำอะไรไว้ ในวันวานจะดีหรือร้ายก็ไม่อาจจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว ทำได้อย่างเดียวก็คือ รับผลของการกระทำอันนั้นตราบจนชีวิตจะหาไม่
และคอยหวาดผวาเหมือนที่อาจารย์อาคม พัฒิยะ ตั้งคำถามไว้เหมือนเป็นการเตือนสติผู้เขียนให้เร่งทำความดี เพื่อจะได้ปลอดภัยใน ๒ วาระสำคัญคือ วันเกษียณอายุราชการ และงานศพ ที่ผู้อยู่ข้างหลังจะได้ไม่ลำบากใจในการค้นหาความดีของผู้เกษียณ หรือผู้ตายมากล่าวสดุดี เพราะหากไม่ทำดีไว้บ้าง ผู้อยู่ข้างหลังก็จนปัญญาที่จะควานหา และหยิบยกคุณความดีของเรามากล่าวอ้าง จนพระต้องผิดศีลเพราะต้องโกหกเพื่อให้ผู้ตายดูดีมีสาระ-อนิจจา.