คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
สังคมไทยในอดีตเมื่อไม่นานมานี้ สมัยเมื่อประมาณกึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เป็นสังคมจารีตนิยม ประเพณีนิยม ที่ยึดมั่นในคำสอนทางศาสนาผ่านกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม โดยสถาบันสำคัญทางสังคมคือ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา สถาบันการเมืองการปกครอง และสื่อพื้นบ้าน หรือศิลปะวรรณกรรม ที่มีเป้าหมายสำคัญเพื่อสร้างสมาชิก หรือคนดีให้แก่ชุมชนท้องถิ่น และสังคม แต่หลังจากสถาบันทางสังคมเหล่านี้ประสบความล้มเหลวล่มสลาย โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และสถาบันศาสนาที่อ่อนแอไปตามสถานภาพ และบทบาทที่เปลี่ยนไป ด้วยกระแสเชี่ยวกรากของวัฒนธรรมพลัดถิ่นที่หลั่งไหลเข้ามา พร้อมๆ กับกระบวนทัศน์การพัฒนาทำให้เป็นตะวันตก หรือเป็นสมัยใหม่ สังคมไทยก็ประสบกับวิกฤตทางวัฒนธรรมและสังคมเป็นลำดับ จนระส่ำระสายไปทั่วทุกหัวระแหง
สถาบันครอบครัวที่เคยทำหน้าที่หลักในการให้การอบรมบ่มเพาะ และถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม ผ่านเทศกาลงานประเพณีที่สำคัญ โดยเฉพาะประเพณีทางศาสนา ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีทอดกฐิน ประเพณีเข้าพรรษา-ออกพรรษา ประเพณีชักพระ ประเพณีสารทเดือนสิบ ประเพณีตรุษจีน ประเพณีการถือศีลอด ฯลฯ ปัจจุบัน ครอบครัวไม่สามารถจะทำหน้าที่ตามสถานภาพ และบทบาทที่เคยมีอย่างเคร่งครัด เนื่องจากพ่อแม่ไม่อยู่ในฐานะที่จะอบรมสั่งสอนลูกหลานได้อย่างแต่ก่อน ด้วยข้อจำกัดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิถีชีวิต หรือวิถีคิดที่เปลี่ยนไป องค์ความรู้ที่สังคมสมัยใหม่ต้องการ และที่สำคัญคือ การศึกษาในระบบที่ไม่สอดคล้องกับวิถีที่เป็นจริงสังคม
สถาบันการศึกษาที่เคยมีสถานภาพ และบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดมวลประสบการณ์ และปลูกฝังค่านิยมที่ดีงามแก่เยาวชน ด้วยการขัดเกลาอุปนิสัยใจคอของเด็ก และเยาวชนด้วยวิชาหน้าที่ศีลธรรม เปลี่ยนมาถ่ายทอดมวลประสบการณ์ที่ห่างไกลจากชีวิตจริงของผู้เรียน เป้าหมายสำคัญเพื่อให้เด็กเป็นผู้ชนะในการแข่งขันเข้าเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น สอนข้อสอบ มากกว่าจะสอนความรู้ หรือบอกวิธีการเรียนรู้ และใช้กระบวนการเรียนรู้ในการขัดเกลาจิตใจให้เด็กเรียนรู้ที่จะเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว เป็นสมาชิกที่ดีของชุมชนท้องถิ่น เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ
สถาบันศาสนา สูญเสียบทบาท และสถานภาพของการเป็นสถาบันกล่อมเกลา อบรมบ่มนิสัยและถ่ายทอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรม ผ่านสำนักช่างสิบหมู่ที่มักแสดงฝีไม้ลายมือไว้ในวัด คนที่บวชเรียนแล้วเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นคนโดยสมบูรณ์ และเข้าสู่วัยของการครองรักครองเรือนหรือมีคู่สมรสได้ ปัจจุบัน สถาบันศาสนาไม่สามารถจะกลับไปทำหน้าที่เหล่านั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกแล้ว เพราะข้อจำกัดของสถาบันเอง และข้อจำกัดของศาสนิกอันเป็นผลิตผลของสังคมพันทาง หรือสังคมไร้รากเหง้า โดยเฉพาะรากเหง้าทางศาสนาที่มีเป้าหมายสร้างคนดีให้แก่สังคม
สถาบันการเมืองการปกครองก็เต็มไปด้วยความไม่สมประกอบต่างๆ นานา สร้างความเบื่อหน่ายเกลียดชังให้แก่ประชาชนเป็นส่วนใหญ่ การเมืองที่สกปรก ระบบการปกครอง และระบบราชการที่อยุติธรรม ทำให้ประชาชนไม่เลื่อมใสศรัทธาในการเมืองการปกครอง กลายเป็นปัญหาในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การซื้อสิทธิขายเสียง การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ และการเข้าถึงการบริการของรัฐที่ไม่เท่าเทียม
สถาบันการสื่อสาร ศิลปะ บันเทิงคดี ล้วนถูกครอบงำด้วยอำนาจเงิน อิทธิพล ผลประโยชน์ ไม่สามารถให้ความรู้ ความคิด ความบันเทิง และเป็นปากเสียงแทน หรือปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชนในฐานะผู้บริโภค และเป็นเจ้าของทรัพยากรการสื่อสารที่แท้จริง สื่อพื้นบ้าน หรือการแสดงพื้นเมืองที่เคยมีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญในระดับชุมชนท้องถิ่น ปัจจุบันสูญเสียบทบาท และสถานภาพนั้นไปจนเกือบจะสิ้นเชิง ไม่มีการส่งเสริม สนับสนุน หรือสืบทอดให้คงอยู่อย่างเข้มแข็ง และยั่งยืน นับวันจะรอการล้มหายตายจาก หรืออยู่ไปตามยถากรรม
ตรงข้ามกับวัฒนธรรมพลัดถิ่น โดยเฉพาะวัฒนธรรมของชาติตะวันตกที่เผยแพร่เข้ามาผ่านทางระบบการศึกษา ระบบราชการและเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ โดยเฉพาะการติดต่อค้าขายกับต่างชาติเจ้าอาณานิคมทางวัฒนธรรม สร้างปัญหาเชิงสังคมและวัฒนธรรมแก่สังคมไทยได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ดังจะเห็นได้จากวัฒนธรรมการแต่งกาย วัฒนธรรมการกิน วัฒนธรรมด้านศิลปะบันเทิง วัฒนธรรมด้านการสื่อสาร และวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันในสังคม
ดังนั้น เพื่อกระตุกกงล้อทางสังคมไทยไม่ให้ไหลเข้ารกเข้าพง หรือลงเหวเร็วเกินไป เราต้องรื้อฟื้นบทบท และสถานภาพของสถาบันทางสังคมดังกล่าวกลับคืนมาทำหน้าที่ให้จงได้ โดยเฉพาะสถาบันครอบครัวจะต้องทำหน้าที่มากกว่าการผลิตสมาชิกเพิ่มให้แก่สังคมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำหน้าที่อบรมเลี้ยงดูเตรียมสมาชิกที่ดีให้แก่สังคม สถาบันการศึกษาจะต้องสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีรากเหง้าอยู่กับสังคมจารีตประเพณี แต่ทอดยอด หรือกิ่งก้านสาขาไปสู่สากล เพื่อทันโลกทันเหตุการณ์ สถาบันศาสนาก็ต้องทำหน้าที่ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประเพณี และพิธีกรรม รวมทั้งอบรมบ่มเพาะจริยธรรม คุณธรรม และศีลธรรมแก่ประชาชน สถาบันอื่นๆ ก็ต้องทำหน้าที่มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นคงเป็นไปตามที่พระเดชพระคุณพุทธทาสภิกขุเคยกล่าวว่า “ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ” อย่างแน่นอนครับ.