คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
การเมืองการปกครองในระบอบรัฐสภาตามที่ประเทศไทยรับมาจากประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหราชอาณาจักร เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างรัฐบาล กับรัฐสภา หรือรัฐบาลถูกอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน ทางออกมี ๒ ทาง คือ ยุบสภา หรือรัฐบาลลาออกเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่
แต่สำหรับการเมืองไทยในขณะนี้ ไม่อาจจะใช้ทางออกทั้งสองทางในการแก้ปัญหาการเมือง หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ เพราะ ๑) ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากความขัดแย้งระหว่างสภาฯ กับรัฐบาล ๒) นายกรัฐมนตรีไม่มีทางลาออก ๓) การเลือกตั้งของประชาชนไม่สามารถนำสังคมออกจากวงจรแห่งความขัดแย้งได้ เพราะเลือกตั้งใหม่ผู้ได้เสียงข้างมากยังคงเป็นกลุ่มเดิม
ดังนั้น สังคมการเมืองไทยในขณะนี้จึงอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” หาทางออกตามระบอบรัฐสภาที่ทั่วโลกเขาใช้ไม่ได้
ฝ่ายที่ต้องการจะล้มรัฐบาลก็มองว่ารัฐบาลนี้เป็นนอมินีของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ และตระกูลชิน สัมปทานประเทศ ยุยงส่งเสริมให้มวลชนคนเสื้อแดง หรือ นปช.ออกมาปกป้องตน โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ชาติบ้านเมือง
ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลก็ชูประเด็น รัฐบาลของประชาชนมาจากเสียงข้างมาก ๑๕ ล้านคน เป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ฯลฯ
สรุปว่าสังคมไทยวันนี้มีข้อมูลคนละชุด เชื่อในพระเจ้าคนละองค์ ฝ่ายหนึ่งเชื่อในพระพุทธเจ้า หรือสิทธัตถะ อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อมั่นในเทวทัต ต่างฝ่ายต่าง “กูรักคนที่มึงเกลียด กูเกลียดคนที่มึงรัก” และคนในสังคมไทยในขณะนี้เขารักใคร เกลียดใคร ตามที่แกนนำคนที่เขาศรัทธาบอกเท่านั้น
มีเสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองจากหลายฝ่าย ในขณะที่บางฝ่ายชัยชนะในการต่อสู้หวังแค่คว่ำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเท่านั้น โดยเฉพาะนักศึกษา และปัญญาชนในสถาบันอุดมศึกษา เช่น นักวิชาการ และผู้บริหารมหาวิทยาลัย ขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งที่รู้เท่าทันปัญหาการเมืองต่างเรียกร้อง “ถีบให้สุดตีน” หรือ “รุกให้ทะลุซอยตัน” ออกไปถึงการปฏิรูปการเมือง
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า แนวทางในการปฏิรูปการเมืองที่ว่านั้นคืออย่างไร เริ่มต้นตรงไหน ยังไม่มีใครนำเสนอทางออกอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ทำให้การชุมนุมของกล่มต่างๆ ไม่มีความคืบหน้า ไม่เห็นอนาคต และชัยชนะที่ชัดเจน นอกจากหวังเพียงว่าในแต่ละวันจะมีคนมาชมนุมกันมากน้อยแค่ไหน จำนวนที่ต้องการขณะนี้คือ “๑ ล้านคน” ขึ้นไป ซึ่งก็ไม่ทราบว่าหากจำนวนคนมาชุมนุมถึง ๑ ล้านคนแล้วจะส่งผลถึงชัยชนะที่ต้องการอย่างไร และจะทำอะไร อย่างไรต่อไป
ปัญหาการเมืองไทยในขณะนี้ก็คือ การยุบสภา หรือลาออกของรัฐบาลไม่ใช่ทางเลือก หรือทางออก หากไม่มีการปฏิรูปการเมืองกันใหม่
หากยังนึกไม่ออกว่าเราจะออกจากกับดักแห่งความล้มเหลวของระบอบรัฐสภาไทยอย่างไร ลองทบทวนถึงเหตุการณ์บ้านเมืองหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ๒๕๓๕ ดูว่า ในเวลานั้นเราต่างสิ้นหวังกับนักการเมือง พรรคการเมือง ทั้งพรรคเทพ และพรรคมาร จึงคิดหาทางปฏิรูปการเมืองโดยการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน สร้างนวัตกรรมทางการเมืองมากมาย
เพียงแต่ว่าสาระบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนนำไปสู่เผด็จการเสียงข้างมาก และรัฐบาลเข้มแข็งจนนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ และกวักมือเรียกทหารมายึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และมีเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จ แต่ใช้อำนาจส่วนใหญ่ไปในการแสวงหาประโยชน์แก่ตนเอง และพรรคพวก
ครั้งนี้เราก็น่าจะกลับไปสู่การมีคณะทำงานเพื่อการปฏิรูปการเมือง ในส่วนของการคิดค้นกระบวนการเลือกตั้งที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน ระบบพรรคการเมืองที่ตอบสนองผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ในลักษณะของพรรคเพื่อปวงชน ไม่ใช่พรรคการเมืองของนายทุนพรรคอย่างที่เป็นอยู่ การถ่วงดุลอำนาจระหว่างอำนาจบริหาร กับอำนาจนิติบัญญัติ ให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นฝ่ายตรวจสอบฝ่ายบริหาร ไม่ใช่ลิ่วล้อของฝ่ายบริหาร หรือผู้มีบารมีในพรรคเท่านั้น
ทางออกจึงน่าจะเป็นดังนี้ ๑) รัฐบาลยุบสภา หรือลาออก ๒) ยติบทบาทของพรรคการเมืองไปสักระยะหรือ ๑ สมัยเลือกตั้ง ๓) มีคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองที่คล้าย ส.ส.ร..มาออกแบบการเลือกตั้ง ระบบพรรคการเมือง และการสร้างจิตสำนึกนักการเมือง ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ๔) มีรัฐบาลและรัฐสภาเฉพาะกิจมาจากการลงประชามติของคนทั่วประเทศ มีภารกิจสำคัญคือ การเตรียมประเทศสู่การเมืองใหม่ที่มีการปฏิรูปในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการปฏิรูปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ สร้างสังคมมนุษยนิเวศ แทนสังคมเดรัจฉานนิเวศที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
กับดักทางสังคมที่จะต้องฝ่าข้ามให้ได้ในเร็ววันคือ ตรรกะแบบตื้นๆ ที่แต่ละฝ่ายใช้ในการขับเคลื่อนเพื่อต่อสู้ทำลายล้างกัน คือ ฝ่ายที่ชอบกับไม่ชอบทักษิณ หรือประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้ง โดยเฉพาะฝ่ายที่ชอบทักษิณที่สถาปนาตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องยอมรับความจริงว่า ประเทศนี้ไม่เคยมีมวลชน หรือกลุ่มพลังฝ่ายไหนที่เป็นฝ่ายที่เหมาะสมต่อการสถาปนาเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าจะพอใกล้เคียงก็น่าจะเป็นขบวนการนิสิตนักศึกษาและประชาชนก่อน และหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เท่านั้น
ดังนั้น ถ้าจะเรียกหาความปรองดอง ความสามัคคีของคนในชาติ เราต้องไม่มีรัฐบาลเสียงข้างมากที่ใช้อำนาจไปเพื่อผลประโยชน์ของตน วงศ์ตระกูล และสาวกลิ่วล้อ ไม่มีรัฐสภาทาส ไม่มีข้าราชการประจบสอพลอเพื่อความก้าวหน้าของตนเอง และละเลยหน้าที่ที่พึงมีต่อประชาชน ฯลฯ
สังคมไทย และคนไทยพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ถ้ายังไม่พร้อมก็คงนำสังคมเข้าสู่มิคสัญญีอีกวาระหนึ่งอย่างแน่นอน.