xs
xsm
sm
md
lg

“รัฐพาล” / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพจากอินเทอร์เน็ต
  
คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ  หยูทอง-แสงอุทัย
 
ในที่สุดการเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ถูกยกระดับเป็นการขับไล่รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมโดยปริยายตามความคาดหมาย ทำไมมวลชนส่วนใหญ่จึงเห็นด้วยกับแกนนำทุกกลุ่มที่ยกระดับมาขับไล่รัฐบาล
 
หากทบทวนถึงความขัดแย้งในสังคมไทยนับตั้งแต่สมัยการปฏิวัติเมื่อ  ๒๔  มิถุนายน  ๒๔๗๕  เป็นต้นมา  จนถึง  ๑๔  ตุลาคม  ๒๕๑๖  ๖  ตุลาคม  ๒๕๑๙ และ ๑๗-๒๐  พฤษภาคม  ๒๕๓๕  ไม่เคยมีครั้งไหนที่ประชาชนคนไทยถูกแบ่งเป็น  ๒  ฝ่าย  ประจันหน้าเข้าหากัน  ฝ่ายหนึ่งบอกว่ามาทำหน้าที่ปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นการปกป้องประชาธิปไตย  อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า มาขับไล่รัฐบาลที่โกงกินคอร์รัปชัน และทำทุกอย่างเพื่อโคตรตระกูลตัวเองเป็นสำคัญ
 
อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ  ชินวัตร  เป็นผู้สร้างความบาดหมาง  ความขัดแย้งให้เกิดขึ้นแก่คนในชาติในทุกกลุ่มทุกหมู่เหล่า  เกิดการแบ่งพวกแบ่งฝ่ายเข้าทำลายล้างกัน โดยไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง   นำไปสู่ความเกลียดชังของคนในชาติจนยากที่จะเยียวยาให้เกิดการปรองดอง ตามที่ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะนากรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศท่องบ่น (แต่มักทำตรงกันข้าม)
 
เมื่อประชาชนออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทั้งในส่วนของกระบวนการยกร่างที่ไม่ชอบมาพากล และเนื้อหาสาระที่เอื้อต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณอย่างชัดเจน จนเลยเถิดไปจากการออกกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับอื่นๆ ที่เคยทำกันมาก่อนหน้านี้  โดยเฉพาะสมัย พล.อ.เปรม  ติณสูลานนท์ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่  ๖๖/๒๕๒๓
 
แทนที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ และสภาผู้แทนราษฎรที่กระทำการตามความต้องการของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ จะออกมาแสดงสปิริตรับผิดชอบ และขอโทษต่อพี่น้องประชาชน  กลับกล่าวหาว่าประชาชนถูกบิดเบือนถูกใช้เป็นเหยื่อทางการเมือง 
 
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรียังปล่อยให้พวกลิ่วล้อสาวกเลวออกมากล่าวหา  ข่มขู่  คุกคาม  ใส่ร้ายป้ายสีพี่น้องประชาชนต่างๆ นานา จนทำให้มีประชาชนออกมาชุมนุมหนาแน่นขึ้น ทั้งในส่วนกลาง และต่างจังหวัด
 
บัดนี้  รัฐบาลขาดความชอบธรรมในการมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพราะไม่ได้ใช้เสียงข้างมากทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนส่วนใหญ่  แต่ใช้ไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่พี่ชาย และวงศ์ตระกูลของตนเองเป็นสำคัญ
 
แต่ปัญหาในสังคมการเมืองไทยขณะนี้ คือ บ้านเมืองกำลังถึงทางตัน เหมือนก่อนจะเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่  ๑๙  กันยายน  ๒๕๔๙  นั่นคือ การลุแก่อำนาจของเผด็จการเสียงข้างมากที่ทะนงตนว่า หากยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ พรรคพวกของตนก็คงได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลอีก
 
การยุบสภา หรือลาออกตามกระบวนการของระบบรัฐสภา คงใช้แก้ปัญหาวิกฤตทางการเมืองของประเทศไทยไม่ได้ เพราะกระบวนการเลือกตั้งของสังคมการเมืองไทยไม่อาจจะจำแนกคนดีออกจากคนไม่ดีได้
 
เมื่อเป็นเช่นนี้  การกดดันให้รัฐบาลยุบสภา หรือลาออก จึงอาจจะไม่ใช่ทางออกทางดีสำหรับสังคมการเมืองไทยในขณะนี้  ขณะที่การปฏิวัติรัฐประหารก็เป็นเรื่องที่ล้าหลังเกินกว่าจะนำมาใช้ในสังคมไทยได้อีกต่อไป  เพราะการปฏิวัติรัฐประหารในสังคมไทยไม่ค่อยมีใครทำเพื่อปฏิรูปการเมืองไทย  แต่ทำเพราะต้องการเปลี่ยนมืออำนาจโดยวิธีการนอกรัฐธรรมนูญเท่านั้น
 
หลายคนถามหาทางออกที่เหมาะสมของสังคมไทยในขณะนี้ ที่ไม่ใช่การยุบสภา หรือลาออกเพื่อเลือกตั้งใหม่  แต่ไม่มีทางออกอื่นให้เลือก  ผู้เขียนจึงทดลองนำเสนอทางออกที่อาจจะดูตื้นเขิน คือ การใช้ประชามติแทนการเลือกตั้ง เพื่อมีรัฐบาลแห่งชาติตามความต้องการของมวลมหาประชาชน และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มวลมหาประชาชนเป็นผู้ลงประชามติ  มีภารกิจหลัก คือ การมาร่วมกันปฏิรูปการเมืองไทยให้ออกจากวงจรอุบาทว์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
 
รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่ไหนๆ ในโลก ไม่มีรัฐบาลไหนทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล  ขณะที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เรียกร้องให้ยุติการเคลื่อนไหวคัดค้านต่อต้านรัฐบาล แต่นายกยิ่งลักษณ์ กลับยอมให้กลุ่ม นปช.หลอกคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมในลักษณะข่มขู่ประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็น และแสดงออกทางการเมืองโดยสุจริต  ปราศจากอาวุธ  เพื่อร่วมคัดค้านกระบวนการร่างกฎหมายที่พวกเขาเห็นว่าไม่ชอบธรรม
 
ปราชญ์จีนเคยกล่าวว่า “หากผู้มีอำนาจใกล้ชิดปราชญ์ บ้านเมืองย่อมสงบสุข แต่หากผู้มีอำนาจใกล้ชิดคนถ่อย บ้านเมืองย่อมไม่สงบสุขอบ่างแน่นอน” ปัจจุบันนี้เป็นที่ปรากฏชัดเจนแล้วว่า “ผู้มีอำนาจใกล้ชิดคนถ่อย มากกว่าใกล้ชิดปราชญ์” แทนที่จะเรียกว่า “รัฐบาล” จึงอาจจะถูกเรียกว่า “รัฐพาล”
 
(อ่านต่ออังคารหน้า)
แฟ้มภาพ
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น