คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ตลอดระยะเวลาของการชุมนุมของมวลมหาประชาชนเป็นเวลากว่าสองร้อยวัน ประชาชนต่างเรียกหาทหารให้ออกมาทำหน้าที่ปกป้องชาติ รักษาราชบัลลังก์จากรัฐบาลเถื่อน เจ้าหน้าที่ถ่อย และบริวารลิ่วล้อสถุล อย่าทำหน้าที่แค่ทหารเสนารักษ์คอยทำแผล และเก็บศพประชาชนที่ถูกรัฐบาล และสมุนบริวารลอบทำร้ายบ้าง ทำต่อหน้าต่อตาบ้าง จนเกิดทหาร “ป็อปคอร์น” มาปกป้องประชาชนบริเวณการชุมนุมที่ถนนแจ้งวัฒนะของหลวงปู่พุทธอิสระ และอีกหลายครั้งในเหตุการณ์ที่ล่อแหลมต่อการถูกกระทำจากกองกำลังที่ประชาชนทราบฝ่าย แต่รัฐบาลเถื่อน และ ศอ.รส.สถุลไม่ทราบ เอาแต่คอยไล่จับคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเป็นหลัก
ในที่สุดทหารก็ออกมาพร้อมการประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งเป็นกฎหมายโบราณสมัยรัชกาลที่ ๖ มีอายุครบ ๑๐๐ ปีในปีนี้พอดี เป็นเรื่องน่าอนาถใจที่รัฐบาลนี้ และสังคมนี้ไม่สามารถใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียนมาแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ ต้องกลับไปใช้กฎอัยการศึกอันเป็นกฎหมายอนารยะที่ใช้ในสถานการณ์สงครามและการจลาจลมาเป็นเครื่องมือในการสร้างความสงบสุขในบ้านเมือง และเป็นจุดเริ่มต้นในการปฏิรูปการเมือง และปฏิรูปประเทศสู่ความก้าวหน้าสถาพรในระบอบประชาธิปไตย
จะสังเกตเห็นว่า ทันทีที่ทหารประกาศใช้กฎอัยการศึก ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลและประกาศแข็งกร้าวต่อผู้นำกองทัพมาโดยตลอด จนถึงขนาดเคยประกาศว่า “หากมีการตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง หรือเกิดการรัฐประหาร กลุ่มคนเสื้อแดงพร้อมประกาศดีเดย์เพื่อบุกเข้ากรุงเทพฯ ทันที และจะทำสงครามกับทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.” (จตุพร พรมหพันธุ์. ประธาน นปช. สำนักข่าวพระนครนิวส์) แต่พอทหารประกาศกฎอัยการศึกก็เฉไฉไปว่า “ถ้ามีการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยเมื่อใด หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทำเกินกว่ากฎอัยการศึก ถ้าข้ามไปถึงรัฐการประหาร คนเสื้อแดงจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด” (จตุพร พรหมพันธุ์. ประธานนปช. ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗) โดยอ้างว่าขณะนี้ยังไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ และรัฐบาลรักษาการยังอยู่
ในส่วนของมวลมหาประชาชน และฝ่ายที่สนับสนุนการหาทางออกให้แก่ประเทศโดยการมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม ไม่ใช่รัฐบาลเถื่อนถ่อยสถุลอย่างที่ดันทุรังรักษาการอยู่ ต่างเห็นด้วยกับการประกาศกฎอัยการศึก เพราะอย่างน้อยๆ ก็มีผลดีหลายประการ
ประการแรก เป็นการยับยั้งกองกำลังติดอาวุธที่ฝ่ายหนึ่งเตรียมการเข้ามาก่อความรุนแรงเข่นฆ่าพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ภายใต้การดูแลรับผิดชอบของคนที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับรัฐบาล ดังที่มีข่าวการค้นพบคลังอาวุธระดับกองทัพน้อยๆ ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในนครนายก และที่ตึกชินวัตร
ประการที่สอง การยุบ ศอ.รส หน่วยงานเถื่อนถ่อยที่ทำหน้าที่รับใช้นักการเมืองบางคนบางกลุ่ม ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการไล่ล่า กลั่นแกล้งผู้ที่ไม่เข้าข้างรัฐบาลต่างๆ นานา ไม่ยอมทำหน้าที่ “รักษาความสงบเรียบร้อย” ให้บ้านเมือง และไม่ทำหน้าที่ปกป้องประชาชนจากการคุกคามของกองกำลังสถุลถ่อยที่ลอบกัดลอบฆ่าประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า บุคคลที่มีบทบาทนำใน ศอ.รส.ทุกคนทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับประชาชนผู้เสียภาษี และเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง เพียงเพราะพวกเขาไม่สนับสนุนรัฐบาลเถื่อนถ่อยสถุลที่โกงบ้านกินเมือง
ประการที่สาม ทำให้สื่อมวลชน อันธพาลกวนเมือง นักการเมือง นักวิชาการ และข้าราชการกำมะลอที่ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ระบอบทักษิณ และใช้วิชาโกงบิดเบือนหลักการ ทำลายความชอบธรรม ใส่ร้ายป้ายสีประชาชน ถูกจำกัดบทบาท และโอกาสในการกระทำชั่วช้าสามานย์ลงได้บ้าง
ประการที่สี่ ทำให้การเจรจาขอความร่วมมือในการร่วมกันแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมมากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ รัฐบาลนี้ยืนยันอย่างเดียวว่า พวกตนยังมีความชอบธรรมตามกฎหมายในการรักษาการจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดแก่ชาติบ้านเมือง ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
ประการสุดท้าย การประกาศใช้กฎอัยการศึกครั้งนี้โดยไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล แสดงให้เห็นว่าสังคมไทย และคนไทยส่วนใหญ่ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมืองการปกครอง ยังไม่เหมาะที่จะใช้การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะไม่สามารถจะพูดคุยเจรจาหารือกันด้วยเหตุผล หลักการ จิตสำนึกเพื่อส่วนรวมได้ ยังต้องใช้อำนาจเผด็จการแบบทหารเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ จึงจะยอมรับ และได้ผลในทางปฏิบัติ
ขอบคุณรัฐบาลเถื่อนที่ทำให้ประชาชนในประเทศด้อยพัฒนาที่มักจะเป็นปฏิปักษ์กับทหาร กลายเป็นมิตรกับทหาร ขอบคุณความถ่อยสถุลของ ศอ.รส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ (บางส่วน) ที่ทำให้ประชาชนผู้เสียภาษีได้รู้ว่า ข้าราชการที่เนรคุณต่อประชาชน และชาติบ้านเมืองหน้าตามันเป็นอย่างไร ขอบคุณข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งระดับจังหวัด และระดับชาติทั้งหลายที่ทำให้ประชาชนเห็นว่า ข้าราชการประจบสอพลอ ขี้ข้านักการเมืองหน้าตามันเป็นอย่างไร และอยู่ที่ไหนบ้าง
ขอบคุณนักการเมืองที่มีจุดยืนรับใช้ผู้โกงกิน และทำร้ายชาติบ้านเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนทำให้ประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินเห็นว่า ความหายนะของบ้านเมืองเกิดจากการกระทำของใคร และสุดท้าย ขอบคุณสื่อมวลชนทั้งของรัฐ และเอกชนที่ทำให้ประชาชนเห็นว่า “สื่อมวลชน” กับ “กระบอกเสียงนักการเมืองและทาสนายทุน” มันแตกต่างกันอย่างไร
ทั้งหมดนี้มันมาจากเหตุผลเดียว “เพราะเราเป็นประเทศด้อยพัฒนา” ครับ-อาเมรุ.