xs
xsm
sm
md
lg

เลือก ส.ว.ไม่เข้าท่าจึงขายหน้ากันทั้งประเทศ / จรูญ หยูทอง-แสงอทัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพจากอินเทอร์เน็ต
 
คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ  หยูทอง-แสงอทัย
 
ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เมื่อวันอาทิตย์ที่  30  มีนาคม  2557  ที่ผ่านมาทั้ง  77  จังหวัด  ยกเว้นกรุงเทมหานครฯ เมืองหลวงของประเทศ  สะท้อนถึงวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศโลกที่สาม หรือประเทศด้อยพัฒนาได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
 
ผู้ได้รับเลือกตั้งมีคะแนนสูงสุดของแต่ละจังหวัด  ประกอบด้วย บุคคลประเภทอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  เครือข่ายของนักการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติทั่วทุกภาค  นอกจากนั้นก็คือ คนมีเงิน  ไม่ว่าเงินนั้นจะได้มาด้วยความสุจริตหรือไม่ก็ตาม
 
ทั้งๆ ที่บทบาทอำนาจหน้าที่ของ ส.ว.มีความสำคัญมากมายมหาศาล  ถ้าในต่างประเทศในประเทศที่พัฒนาแล้วอันเป็นต้นแบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งแบบประธานาธิบดี และแบบรัฐสภา  วุฒิสมาชิก หรือสภาสูงจะต้องเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียง และทำคุณประโยชน์ให้แก่ท้องถิ่น  ประเทศชาติบ้านเมืองจนเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน
 
แต่สำหรับประเทศด้อยพัฒนา  นักเลงการพนัน  เมียนักเคลื่อนไหวทางการเมือง  คนร่ำรวยจากการประกอบอาชีพที่ไม่สุจริต  นายทหาร  นายตำรวจ  และบุคคลที่มีประวัติขัดขวาง และเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ก็ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น
 
บางคนแค่เป็นเมียนักเคลื่อนไหว  สนับสนุนพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล และมีคดีการฉกเพชรจากห้างครั้งมีการเผาบ้านเผาเมือง  และมีพฤติกรรมน่าขยะแขยงอีกมากมายหลายประการ  ก็ยังได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ
 
ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า  ป่วยการที่จะพูดถึงการปฏิรูปการเมืองตามที่มวลมหาประชาชนเรียกร้อง  หากไม่ทำความเข้าใจในบทบาทอำนาจหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาให้ประชาชนเข้าใจ และตระหนัก  ไม่ใช่ไปเลือกตามแรงส่งของราคากลางในตลาดซื้อขายเสียง  และไปตามคำบงการของนักการเมือง หรือผู้นำทางศาสนา
 
นอกจากนั้น  เมื่อ ส.ว.ส่วนใหญ่ที่ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้มีความใกล้ชิดกับพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งโดยตรง และโดยอ้อม  ย่อมเป็นผลดีต่อรัฐบาลรักษาการที่ขาดความชอบธรรม  โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่ไร้วุฒิภาวะ และขาดความสำนึกในความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง  ไม่มียางอายต่อการกระทำที่ขัด และละเมิดต่อกฎหมายครั้งแล้วครั้งเล่า  แทนที่จะยอมรับคำวินิจฉัย  ชี้มูล หรือคำพิพากษาของศาลต่างๆ  แต่กลับตอบโต้ท้าทายอำนาจศาล  แต่ผลของการวินิจฉัย และชี้มูลของศาลเหล่านี้จะสิ้นสุดลงที่กระบวนการถอดถอนของวุฒิสภา
 
เมื่อสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่เป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาล  เสียงข้างมากอาจจะไม่ใช่ฝ่ายที่ให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรี  หรือรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งตามความต้องการของมวลมหาประชาชน  และตามที่ควรจะเป็น  เพื่อสร้างความสงบสุขให้แก่สังคมที่คนกระทำชั่วไม่ควรได้รับการยอมรับให้ปกครองบ้านเมืองอีกต่อไป  แต่กลับเป็นเสียงสนับสนุนและสร้างความชอบธรรมให้แก่การกระทำที่ผิดกฎหมายที่ผ่านมา และที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้นี้
 
ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นสิ่งยืนยันให้ “นักเลือกตั้งนิยม” ที่บูชาการเลือกตั้งเป็นสรณะว่า  เป็นสิ่งเดียวที่เรียกว่า “เป็นประชาธิปไตย” ที่มีดวงตา และสติปัญญาคิดใคร่ครวญเห็นว่าการเลือกตั้งของประชาชนคนหัวเมืองส่วนใหญ่  ยังไม่ใช่การเลือกตั้งที่มีคุณภาพตามเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตย  เพราะดุลพินิจในการพิจารณาของประชาชน (ยกเว้น กทม.) ยังไม่ได้ยึดโยงกับชีวิต และผลงานของผู้สมัครที่สอดคล้องเหมาะสมกับบทบาทอำนาจหน้าที่ของ ส.ว.
 
โชคดีที่การเลือกตั้งในครั้งนี้มีผู้ไปใช้สิทธิน้อยกว่าครั้งก่อนๆ และส่วนหนึ่งกาในช่องไม่ประสงค์จะเลือกใคร  ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้ทราบว่า ไม่เห็นด้วยต่อการเลือกตั้ง  หรือไม่ก็ไม่มีคนดีให้เลือก  แต่สัญญาณแบบนี้มันมีผลในทางปฏิบัติเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วเท่านั้น  สำหรับประเทศด้อยพัฒนาอย่างเรา  ประเทศที่มีนายกรัฐมนตรีไร้เดียงสา  คณะรัฐมนตรีที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชน  องค์กรอิสระถูกคุกคาม  ศาลถูกข่มขู่  ตำรวจรับใช้รัฐบาลทรราชย์  ทหารทำหน้าที่เก็บศพประชาชน  มวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลตกอยู่ใต้คำบงการของนักเคลื่อนไหวรับจ้างแบบ “ม็อบเติมเงิน”  การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์แบบนี้คงสูญเปล่า
 
จะอย่างไรก็ตาม  การเลือกตั้งครั้งนี้ได้สะท้อนถึงความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่มีสภา 2 สภาอีกครั้งหนึ่ง  ผู้ได้รับเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่ผู้แทนของปวงชน  แต่เป็นผู้แทนของคนส่วนน้อยประมาณ  30  เปอร์เซ็นต์ของแต่ละเขตการเลือกตั้ง หรือเขตจังหวัด  หลายจังหวัดผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากได้คะแนนไม่ถึงแสน  ในขณะที่มีผู้มีสิทธิร่วมล้านคน  แต่มีผู้ไปใช้สิทธิ 2-3 แสนกว่าๆ เท่านั้น
 
ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนเคยคาดหวังว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้จะสะท้อนการตื่นรู้ทางการเมืองของประชาชน  โดยเฉพาะประชาชนในภาคใต้ที่เป็นกองกำลังหลักในการต่อสู้เคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง  แต่ผลที่ออกมากลับไม่ต่างกับก่อนการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนในทุกพื้นที่ยกเว้น กทม. ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเพราะเหตุผลหรือปัจจัย 2-3 ประการคือ
 
1.มีผู้ไปใช้สิทธิน้อย  โดยเฉพาะในภาคใต้  เพราะกำนันสเทพ  เทือกสุบรรณ  นัดมวลมหาประชาชนร่วมชุมนุมที่ กทม.ในวันที่  29  มีนาคม  2557  ซึ่งเป็นวันก่อนเลือกตั้ง  1  วัน
 
2.ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมที่ กทม.ก็ไม่ไปเลือกตั้ง  เพราะต้องการให้มีการปฏิรูปก่อน
 
3.ไม่มีผู้สมัครที่อยากจะเลือกเพราะส่วนใหญ่ในหลายจังหวัด  ผู้สมัครไม่เป็นที่รู้จักของประชาชน
 
ผลการเลือกตั้ง ส.ว.ในครั้งนี้จึงเป็นความไม่สมประกอบอีกครั้งหนึ่งของการเมืองไทย และยิ่งตอกย้ำความด้อยพัฒนาของประชาชน และที่สำคัญผลการเลือกตั้งที่ได้สมาชิกสภาสูงไม่ต่างกับสภาล่างที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น แทนที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบ กลั่นกรอง และถอดถอน แต่กลับทำหน้าที่สนับสนุนให้ท้าย หรือการันตีให้ฝ่ายบริหารก่อกรรมทำชั่ว สร้างความเสียหายให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างไม่รู้จบสิ้น
 
ก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่หวั่นวิตกจะเป็นเพียง “หนาวก่อนฝน  ตีตนไปก่อนไข้” เพราะสังคมไทยมักจะใจกว้างสำหรับคนไม่ดี  และใจแคบสำหรับคนดี.
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น