คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ตอนสายๆ ของวันที่ ๒๕ ก.พ.๒๕๕๗ ผู้เขียนขับรถยนต์มุ่งหน้าไปตามถนนลาดยางสายปากบางตะเครียะ-ปากเหมือง ในท้องที่ตำบลตะเครียะ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา จุดหมายปลายทางอยู่ที่บ้านลุงเชือน ศิวิโรจน์ ชายชราวัย ๙๕ ปี ผู้สูงอายุติดอันดับต้นๆ ของตำบลตะเครียะ ที่ยังอ่านหนังสือด้วยตาเปล่า และนั่งเขียนหนังสือด้วยลายมือได้หลายๆ หน้ากระดาษสมุด
ผู้เขียนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของลุงเชือนจากบทความในหนังสือระโนดสังสรรค์หลายๆ บทความ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบทความบอกเล่าความเป็นมาของชุมชนท้องถิ่นในทุ่งบ้านขาว และทุ่งตะเครียะ ซึ่งหาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ และผู้เขียนเคยใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในหนังสือของผู้เขียนบางเล่ม
ล่าสุด ผู้เขียนพบลุงเชือนในที่ประชุมแนะนำโครงการ ความเปลี่ยนแปลงและกระบวนการสร้างประชาธิปไตยในชนบทภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๗ ก.พ.๒๕๕๗ ที่ห้องประชุมโรงเรียนวัดเกษตรชลธี ตำบลตะเครียะ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา โดยการประสานงานของ อ.อนันต์ ศิรินุพงศ์ และ อ.บรรจง รัตนชาติ และผู้เขียนรับปากตามคำชักชวนของลุงเชือนว่า จะไปหาที่บ้านให้ได้ในเร็ววัน
ผู้เขียนมายืนจดๆ จ้องๆ อยู่หน้าบ้านสองชั้นที่มีรั้วรอบขอบชิด ประตูรั้วด้านหน้าเปิดคาอยู่ มีรถกระบะจอดอยู่ข้างเรือนทรงปั้นหยาสองชั้น แต่ประตูบ้านด้านหน้าปิดตาย ผู้เขียนจึงเรียกหาเจ้าของบ้าน ได้ยินเสียงตอบรับมาจากด้านหลังบ้าน จึงรู้ว่ามีคนอยู่ จึงตะโกนถามถึงลุงเชือนว่าอยู่ไหม ก็ได้ยินเสียงขานรับว่าอยู่ และเชิญชวนให้ขึ้นไปข้างบน
ผู้เขียนขึ้นบันไดบ้านที่ก่อด้วยซีเมนต์แบบโบราณขึ้นไปยังชานพื้นไม้กระดานไม้เคี่ยม ฝาลายฉลุแบบโบราณ ยกมือไหว้ทักทายลุงเชือน และภรรยาของลุงที่ลุงเคยบอกว่า ไม่นานมานี้เข้าโรงพยาบาลพร้อมกัน แต่ภรรยาอาการหนักกว่าเพราะต้องนอนไอซียู
ผู้เขียนแนะนำตัวกับภรรยาของลุงเชือน และบอกถึงวัตถุประสงค์การมาพบลุงเชือนในวันนี้ หลังจากสังเกตเห็นว่าคุณป้ามีท่าทีสงสัยในการมาของคนแปลกหน้า หลังจากนั้นป้าก็นั่งยิ้มบ้าง เฉยๆ บ้าง ร่วมสนทนากับเราบ้าง
ผู้เขียนเริ่มตั้งคำถามให้ลุงเชือนบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของชุมชนตะเครียะว่า เริ่มมีชุมชนบริเวณไหน และขยายพื้นที่ไปที่ใดตามลำดับ ลุงมาเน้นย้ำถึงตระกูลแกล้วทนงค์ โดยเฉพาะ “ขุนตระการตะเครียะเขต” (นุ่ม แกลวทนงค์) ในตอนท้ายๆ ของการพูดคุยลูกชายของลุงที่ออกจากงานที่กรุงเทพฯ มาดูแลพ่อแม่ที่บ้านคือ พี่สถิต ศิวิโรจน์ ก็กลับมาจากข้างนอก และร่วมพูดคุยด้วยเป็นระยะๆ
ช่วงหนึ่งของการพูดคุย ลุงบอกว่า กำลังเขียนบันทึกบอกเล่าเรื่องราวของตน และชุมชนบอกเล่าลูกหลาน เพื่อพิมพ์แจกในวาระมีอายุครบ ๘ รอบในปีหน้า (๓ ก.พ. พ.ศ.๒๕๕๘) แต่เปรยๆ ออกมาว่า “ไม่รู้จะอยู่ถึงวันนั้นไหม?” ตอนนี้เขียนได้ ๒๓ หน้ากระดาษสมุดแล้ว ผู้เขียนจึงขออนุญาตเอาต้นฉบับไปสำเนาที่ร้านข้างบ้าน
ต่อไปนี้คือ “บันทึกจากความทรงจำสุดท้าย…“ของลุงเชือน ศิวิโรจน์
“จับหนังสือถืออ่านผ่านคำนำ
เป็นประจำเอาไว้อย่าได้เผลอ
เพราะคำนำคำนี้ดีเลิศเลอ
อย่าได้เผลออ่านประจำเหมือนตำรา
ผู้เขียนมีกำเนิดในสมัย ร.๖ ขึ้นครองราชย์ได้ ๙ ปี ตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๒ ที่ตำบลตะเครียะ มีนายน่ม แกล้วทนงค์ (ขุนตระการตะเครียะเขต) เป็นกำนัน มีนายกลัน นวลย้อย เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ สมัยนั้นยังไม่มีเลขที่บ้าน ปัจจุบันผู้เขียนอายุย่างเข้า ๙๕ ปีแล้ว เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเขาจากโลกนี้เกือบจะหมดแล้ว
ข้าฯ นอนคิดว่าน่าจะทำอะไรให้ลูกหลานได้รู้บ้างว่า ประวัติความเป็นมาของต้นตระกูลเราเป็นอย่างไร เริ่มต้นตั้งแต่พอจำความได้จนบัดนี้ แต่ลำบากพอสมควร เพราะตาก็มองไม่ค่อยเห็น หูก็ไม่ค่อยได้ยินต้องพูดดังๆ ใกล้ๆ แต่จะลองทำดูเห็นว่าอยู่เปล่าๆ จะเขียนในแวดวงแคบๆ เฉพาะตำบลตะเครียะ และตำบลบ้านขาวที่เพิ่งแยกออกไป
เป็นที่น่าเสียดายคนที่ทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเราได้เริ่มเสียชีวิตไป โดยไม่มีใครได้เขียนประวัติคุณความดีที่ท่านทำไว้ก็หลายท่าน ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีหลายท่าน หนังสือเล่มนี้จะบอกผู้อ่านได้ว่าใครทำอะไร ที่ไหน ทำอะไร ให้ท่านทราบอย่างแจ่มแจ้ง และชัดเจน
และผู้เขียนขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า จะเขียนแต่เรื่องจริง จะไม่โกหกพกลมเป็นอันขาด เพราะผู้เขียนถือศีลห้าเป็นประจำมาหลายปีแล้ว และมีกลอนคติที่พอจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านสอดแทรกมาเป็นตอนๆ เพื่อผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณเอาเอง ถ้าเห็นตอนใดพอเป็นคติสอนใจได้บ้างก็จงนำมาปฏิบัติตามสมควร
ข้าฯ ถือกำเนิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่กินเช้าพออิ่มค่ำ มีพี่น้องร่วมท้องกัน ๗ คน ข้าฯ เป็นลูกคนที่ ๕ พี่ๆ ๔ คนเป็นผู้หญิง น้องติดกับข้าฯ เป็นชาย น้องสุดท้องเป็นผู้หญิง พี่ ๔ คนเสียชีวิตหมดแล้ว ยังคงเหลือข้าฯ กับน้องคนสุดท้อง พ่อเป็นคนสันโดษถือศีลห้าเป็นประจำ เท่าที่จำได้ไม่เคยเห็นพ่อหาปูหาปลาเลย พี่ผู้หญิงคนที่ ๒ ทำหน้าที่นี้แทนพ่อ ถึงหน้าเก็บเกี่ยวข้าวในนาหนองเล็กๆ พี่วิดจับปลาเอง ถึงฤดูพรุแห้งพี่จะลงไปพลอยจับปลาที่เขาวิดเกือบจะทุกวัน
หากวันไหนไม่มีที่จะจับปลาพี่ก็ชักรากบัวยาวตั้งสองศอกสามศอก ขุดเหง้าบัวขนาดเท่าข้อมือนำมาขายที่ตลาดนัดใกล้บ้าน วันหนึ่ง ๒๐-๓๐ สตางค์ นับว่าเป็นเงินโขแล้วในยุคนั้น พ่อถือศีลเคร่งครัด แต่พ่อทำงานชั้นสูงคือ ทำน้ำตาลโตนด (คาบตาล) เคี่ยวน้ำผึ้งบ้าง ทำน้ำส้มบ้าง ทำน้ำตาลแว่นบ้าง ฝีมือทำน้ำส้มโตนดของแม่หาตัวจับยาก
เท่าที่ข้าฯ จำได้ แม่เทน้ำตาลไว้ในเนียง หรือไหพอเปรี้ยวดีแล้วก็กรองเอาแต่น้ำใสๆ ใส่อ้อย ใส่น้ำผึ้งลงเล็กน้อย แล้วหุ้มปากเก็บไว้ใช้กินเองได้หลายๆ เดือน นำไปขายที่ตลาดบ้าง คนมาซื้อถึงบ้านบ้าง ส่วนพ่อเมื่อเอาน้ำตาลมาส่งให้แม่แล้ว พ่อจะไปกะเทาะกาบตาลโตนดมาทบเอาเส้นใยควั่นเชือกล่ามวัวควาย เชือกในตลาดขายขดละ ๒๐-๒๕ สตางค์ แต่ของพ่อขายขดละ ๔๐ สตางค์ มีคนสั่งจองทำไม่ทัน
พ่อเป็นคนสูบบุหรี่ หรือยาสูบใบจาก แต่พ่อไม่เคยซื้อใบจาก พ่อปลูกชุมเห็ดไว้ชายคลองใช้ใบชุมเห็ดท่อมวลยาสูบ ส่วนยาสูบพ่อปลูกเองเช่นกัน พ่อถือศีลห้าตลอดชีวิต พออายุได้ ๙๒ ปี พ่อก็ละจากโลกนี้ไปโดยสงบ ตลอดชีวิตของพ่อไม่มีอะไรให้โลกโจษขานกันในทางเสื่อมเสีย น่าที่ลูกหลานเหลนโหลนจะเอาเป็นตัวอย่าง.
(อ่านต่อฉบับหน้า)