คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
ในฐานะนักเรียนกฎหมายที่เคยได้รับปริญญาบัตรนิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มาประดับข้างฝาบ้านพักเมื่อปี ๒๕๓๘ และได้ใช้ความรู้ทางกฎหมายที่ร่ำเรียนมาเป็น “ทะแนะ” ให้แก่ผู้ทุกข์ยากเกี่ยวกับคดีความฟรีมาบ้างหลายราย โดยไม่เคยได้รับค่าตอบแทนอะไรมากไปกว่าคำว่า “ขอบคุณ” ข้าพเจ้าเคยเรียนรู้มาว่า “อัยการ” คือ นักกฎหมายที่ทำหน้าที่เป็นทนายของแผ่นดิน เป็นทนายของโจทก์ หรือผู้เสียหายในคดีความ “ผู้พิพากษา” คือ นักกฎหมายที่ใช้ความรู้ทางด้านกฎหมายทำหน้าที่พิพากษาอรรถคดีภายใต้พระปรมาภิไธย เพื่ออำนวยความยุติธรรมแก่สังคม “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” คือ นักกฎหมายที่ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี “ทนาย” คือ นักกฎหมายที่ทำหน้าที่แก้ต่างให้แก่โจทก์ และจำเลยในคดีความ ฯลฯ ทั้งหมดอยู่ในกระบวนการยุติธรรมที่มีกฎหมายเป็นเครื่องมือในการดำเนินการเพื่อดำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในสังคม
ข้าพเจ้ามีความเชื่อเช่นนั้น ตามตำราวิชากฎหมายที่ร่ำเรียนมา และครูบาอาจารย์เคยสั่งสอนไว้ในวันเข้าร่วมกิจกรรมก่อนจบหลักสูตรและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นเวลา ๗ วัน เพื่อใช้ชีวิตความเป็นนิสิตนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หลักสี่ กรุงเทพมหานคร
แต่เมื่อตอนเย็นวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ ทันทีที่ลงจากรถในโรงรถหน้าบ้าน และกำลังจะเดินไปปิดประตูรั้วบ้าน ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายที่อยู่ในจังหวัดแห่งหนึ่ง และกำลังวิ่งเต้นคดี เพื่อให้ลูกชายผู้พิการทางการได้ยิน เพราะประสบอุบัติเหตุจากการโค่นไม้ในอาชีพการแปรรูปไม้ตามสวนข้างบ้านของชาวบ้านขาย ที่ถูกฆ่าตายอย่างทารุณโหดร้ายเมื่อหนึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับคนร้ายหรือผู้ต้องสงสัยได้เพียงคนเดียว และในเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ เพราะจำนนด้วยหลักฐานคือ คราบเลือดของผู้ตายที่ยังติดรองเท้า และเสื้อผ้า ซึ่งส่งพิสูจน์เปรียบเทียบดีเอ็นเอผลออกมาว่า เป็นเลือดของผู้ตาย แต่ต่อมาภายหลังพนักงานสอบสวนได้แต่งสำนวนสอบสวนให้ผู้ต้องหาปฏิเสธ และพยายามหาช่องโหว่ให้ทุกคนที่ต้องสงสัยพ้นผิด โดยสร้างพยานหลักฐานให้ศาลเชื่อว่า ผู้ต้องหาเป็นคน “วิกลจริตจิตฟั่นเฟือนเพราะเสพยาบ้า”
ล่าสุด จากการสืบพยานในชั้นศาล สถานการณ์พลิกกลับกลายเป็นผู้ต้องหาปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนจงใจไม่เก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ไม่สืบสวนสอบสวนเพื่อเอาคนร้ายที่ร่วมลงมือวางแผน และรุมฆ่าผู้ตายอย่างโหดเหี้ยมทารุณ สร้างหลักฐาน และพยานเท็จให้ศาลเห็นว่า ผู้ต้องหาที่ถูกจับเพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่พฤติการณ์หรือรูปการในคดีคนทั่วไปย่อมรู้ดีว่า การฆ่าคนโดยการยิง แทง และฟันบริเวณลำคอเป็นบาดแผลฉกรรจ์หลายแผลแบบนี้ ไม่น่าจะเป็นการกระทำของคนร้ายเพียงคนเดียว มันเป็นลักษณะของการรุมฆ่า โดยคนร้ายไม่ต่ำกว่าสองคนขึ้นไป อีกทั้งพยานแวดล้อมอื่นๆ ก็มีมากมาย แต่พนักงานสอบสวน และอัยการไม่สนใจที่จะสอบสวนสืบสวนเพิ่มเติม
ทนายของพี่ชายจึงบอกได้เพียงว่า คดีนี้ห้าสิบห้าสิบ เพราะคนในกระบวนการยุติธรรมทุกระดับมันซื้อได้ทั้งนั้น ข้าพเจ้าจึงเริ่มไม่เชื่อมั่นในหลักการตามตำราที่ร่ำเรียนมา และเริ่มมั่นใจว่า ที่ชาวบ้านเคยสบประมาทว่า “หรางเขามีไว้ขังหมากับคนจน” มันเป็นความจริง เป็นสัจพจน์โดยแท้ “อัยการ” ที่ตำราบอกว่าเป็น “ทนายของแผ่นดิน” วันนี้มันกลายเป็นทนายของจำเลยเพื่อแลกรับเงิน หรือผลประโยชน์ตอบแทน โดยไม่คำนึงถึงความยุติธรรม เกียรติยศศักดิ์ศรีของข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเขาสามารถจะแลกรับผลประโยชน์บนความเป็นความตาย ความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน เช่นเดียวกับตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนที่ชอบค้าคดีเพื่อเรียกรับเงินจากฝ่ายจำเลย ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชนผู้ทุกข์ยากเดือดร้อน ไม่ทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” หรือ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” แต่กับกระทำตนชั่วช้าสามานย์ตรงกันข้ามกับคำขวัญอันสวยหรู แต่ไม่มีอยู่จริงดังกล่าว
ในส่วนของผู้พิพากษาที่สังคมเคยให้เกียรติยกย่องให้มีค่าตอบแทนสูง มีสวัสดิการเพียบพร้อม และได้รับการเคารพนับถือเรียกว่า “ท่าน” เพราะเชื่อกันว่าเขาเหล่านั้นพิพากษาคดีภายใต้พระปรมาภิไธย ตัดสินออกมาอย่างไร จะเป็นคุณหรือเป็นโทษ ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ หากใครฝ่าฝืนจะโดนข้อหาหมิ่นศาล ซึ่งไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาได้ แต่มาถึงวันนี้กิตติศัพท์ที่ว่าเริ่มมัวหมอง และถูกมองอย่างคลางแคลงใจจากสังคมที่เข้าไม่ถึงความยุติธรรม เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่ต่างกับ “เทวดาเดินดิน” สำหรับสามัญปุถุชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ประสบการณ์ทั้งโดยตรง และโดยอ้อมบอกข้าพเจ้าว่า ความยุติธรรมในสังคมด้อยพัฒนา ล้าหลัง และอำนาจนิยม-อุปถัมภ์ ไม่สามารถจะได้มาด้วยมือเปล่า จำเป็นต้องมีการจ่ายด้วยเงิน หรือผลประโยชน์ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรมตามที่อยากจะได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายโจทก์ หรือจำเลย ฝ่ายกระทำ หรือฝ่ายถูกกระทำ
กรณีคดีของหลานชายนับว่าเป็นคดีตัวอย่าง ที่บรรดานักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมต่างใช้ศพของหลานชายของข้าพเจ้าในการทำมาหากิน ทั้งในฐานะพนักงานสอบสวน อัยการ ผู้พิพากษา ทนาย ต่างกันเพียงว่าใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์อันพึงมีพึงได้ ใครเป็นเหลือบของสังคมที่เกาะกินดูดเลือดคนจน หยิบยื่นความอยุติธรรมให้แก่ประชาชน โดยไม่มีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี จนเป็นที่เอือมระอาของประชาชน นับวันความชั่วร้ายเหล่านี้จะยิ่งแผ่ขยายไปทั่ว ดังจะเห็นได้จากคดีผู้ต้องหาที่อ้างว่าถูกยัดยาบ้ากระโดดตึกที่ศาลเสียชีวิตมาแล้ว เพื่อประท้วงการกระทำของคนในกระบวนการยุติธรรม
“ไม่มีความชั่วร้ายใดจะเลวร้ายยิ่งไปกว่า ความชั่วร้ายที่เกิดจากการกระทำของนักกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม”